งานศิลปะทางการเมือง Political Art ในนาม “Headache Stencil” ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ไม่ชอบเปิดเผยหน้าสักเท่าไร แต่หลาย ๆ คนก็รู้จักเขาผ่านทางผลงานที่เล่าเรื่องคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับ ประเด็นทางการเมือง หรือประเด็นที่บางคนไม่กล้าพูดถึง รับรองว่าใครที่เขาได้ mention ถึงในผลงานได้มีอาการ “ปวดหัว” เป็นแน่แท้ ก่อนหน้านี้หลังจากที่เขาปล่อยผลงานที่แสดงถึงการต่อต้านเผด็จการ จึงถูกคุกคามจากกลุ่มคนนิรนาม ถึงบ้านพัก บางครั้งก็ถูกขับรถตาม เรียกได้ว่า “บ้าน” ก็ยังไม่ปลอดภัยสำหรับเขา ยิ่งถูกคุกคามมากเท่าไร เขายิ่ง “พร้อมจะตีแผ่ความจริงของประเทศให้โลกได้รับรู้มากเท่านั้น” การพูดความจริงไม่สามารถพูดได้ในที่สาธารณะ แต่เขายังคงยืนหยัดที่จะสร้างผลงาน เพื่อต่อต้านเผด็จการ หรือประชาธิปไตยจอมปลอมต่อไป โดยผลงานของเขาได้ถูกสื่อต่างประเทศอย่าง reuters ตีแผ่เพื่อให้โลกได้รับรู้ และถูกขนานนามว่าเป็น Banksy (ศิลปินชาวอังกฤษ) แห่งเมืองไทย และล่าสุด การตีแผ่ความจริงทางการเมืองในเชิงศิลปะ ของเขาถูกจัดแสดงขึ้นที่ สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย ซึ่งคิดว่าเป็นเพราะ เพื่อไม่ให้ถูกแทรกแซงจากกลุ่มบุคคลอื่น และเป็นที่สนใจของสื่อต่างประเทศเป็นอย่างมาก ภายใต้ชื่องานที่ว่า ดู-ดาย (Do or Die) : HEADACHE STENCIL SOLO
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่สิทธิในเรือนร่างเรากลายเป็นของสังคม แม้ไม่ใช่ด้วยกฎหมายกำหนดแต่ก็ด้วยไม้บรรทัดอีกชิ้นจากสายตาผู้คนรอบข้าง สำหรับผู้หญิงคงมีเรื่อง “โป๊เปลือย” กำกับส่วนผู้ชายมักเป็นเรื่อง “รอยสัก” ที่นำมาตีตราว่าเป็นคนไม่น่าวางใจ เป็นนักเลงหัวไม้ สารพัดความหมายเชิงลบมาผสมกัน “Exaggerate” คือ Solo Exhibition หนึ่งที่กำลังจัดแสดงที่ Green Lantern Gallery ใกล้ BTS ทองหล่อ เล่าเรื่องราวของศิลปะบนร่างกายทั้งหญิงและชายผ่านภาพถ่าย เพื่อดึงให้เรากลับมาคิด คิดถึงความหมายที่แท้จริงผ่านศิลปะบนร่างกายที่เปลือยเปล่า คิดถึงลวดลายสักยันต์โบราณและความคิดคำนึงที่แท้จริงของชายคนหนึ่งที่มีอักขระจารทั่วร่างไปจนถึงกระหม่อม บันทึกช่วงเวลาเปิดเผยเนื้อหนัง ไร้เสื้อผ้าและเส้นผมปิดบังผ่านชัตเตอร์ เรื่องราวเหล่านี้มีความหมายอย่างไร แบบไหนที่ “ว่าเกินจริง (Exaggerate)” แบบไหนที่เป็นของจริง คงไม่มีใครพูดถึงมันได้ดีกว่าเจ้าของผลงานชิ้นนี้ ภัทร – พงศ์ธวัช พยุงชัยธนานนท์ ชายที่มีอาชีพช่างภาพอิสระจบการศึกษาด้านศิลปะการถ่ายภาพจากวิทยาลัยเพาะช่าง ที่หลายคนอาจคุ้นเคยหน้าตาของเขาจากการจำหน่ายกล้องฟิล์ม เพราะเขาคือเจ้าของ House of Film Camera สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น ศิลปะที่รอการพิสูจน์ เราบุกมานั่งคุยกับภัทรถึงสตูดิโอส่วนตัวของเขา หลังจากดูงานนิทรรศการเดี่ยวของเขาจบลง ภาพผู้ชายท่าทีสุภาพที่มีรอยสักหลายจุดบนเนื้อตัว ทั้งท่อนแขนและขา ชวนให้เราคิดถึงภาพที่จัดแสดงในห้องสีแดงอีกครั้ง จนเราต้องเอ่ยถามคอนเซ็ปต์งานที่เขาต้องการสื่อในนิทรรศการครั้งนี้ “คอนเซ็ปต์คือ Exagerate หรือ ‘ว่าเกินจริง’ เกินจริงที่แปลว่าพูดเกินความจริงที่เห็น และเกินจริงที่เป็นเรื่องเหนือจริงผสมกัน
ใคร ๆ มักพูดกันว่าผู้ชายเรามีเสื้อผ้าในตู้กันอยู่ไม่กี่สี มีแพตเทิร์นของเสื้ออยู่ไม่กี่แบบ ส่วนใหญ่จะเน้นความมินิมัลเพื่อให้เข้าได้กับทุกสถานการณ์ เรื่องนี้เราคงต้องยอมรับว่า “ใช่” แต่จะให้เหมารวมว่าเราชอบความจำเจและอยากเพลย์เซฟคงไม่ใช่ เพราะความจริงเราละเอียดอ่อนกับเรื่องการแต่งตัวกว่านั้น เสื้อผ้าต้องแสดง attitude และความเหมาะสมกับการสวมใส่ ส่งท้ายงานดีไซน์ครั้งใหญ่ของกรุงเทพฯ ที่กำลังจะสิ้นสุดลงวันนี้ เราจึงพาทุกคนไปพูดคุยกับ 2 ดีไซเนอร์ไทยจาก 2 แบรนด์ MENSWEAR ที่หลายคนอาจเห็นงานพวกเขาจริง ๆ ใน BKKDW 2020 หรือติดตามผ่านโซเชียล เพื่อให้รู้เบื้องหลังของการออกแบบชุดเท่ ๆ และสนุกสนานที่ตอบโจทย์คอนเซ็ปต์การออกแบบประจำปีนี้ คือ ปรับตัว>อยู่รอด>เติบโต : “Resilience” “CURATED” – เอก ทองประเสริฐ เริ่มต้นที่คอลเลกชัน COLLECTOR PROJECT x DEVANT – BANGKOK EDITION จากแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่น Curated ของเอก ทองประเสริฐ ดีไซเนอร์ไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกและอยู่ในวงการมานับ 10 ปี ที่ดีไซน์เอาไว้จัดจ้าน สนุกทั้งสีสันและสุดทั้งลวดลาย มาเต็มทั้งผ้ายันต์
คุณรู้จักอาร์ตนูโวไหม ไม่แปลกหรอกถ้าฟังแล้วอยากจะถามกลับมาว่า นั่นมันอะไรนะ ? หรือสับสนว่านี่เป็นชื่อสมาชิกใหม่วงนูโวหรือเปล่า เพราะส่วนมากคนเรามักไม่จำชื่อของศิลปิน ไม่จำชื่อผลงานศิลปะ และยิ่งถ้าลึกเข้าไปกว่านั้นอย่างคำว่า “ART NOUVEAU (อาร์ตนูโว)” ที่เป็นชื่อยุคหนึ่งของศิลปะตะวันตก ก็เป็นธรรมดาที่ออกมานอกห้องเรียนแล้วมันจะตกหล่นจากเมมโมรี่ไปบ้าง แต่ SOMETHING, NOUVEAU เป็นหนึ่งในงานนิทรรศการเปิดต้นปี 2020 ในไทยที่เราแนะนำให้คุณต้องไปสักครั้งในชีวิต งานนี้เป็นซีรีส์ตัวที่ 3 ที่จัดขึ้นที่ River City ต่อจากนิทรรศการรุ่นพี่ 2 ตัวแรก FROM MONET TO KANDINSKY และ ITALIAN RENAISSANCE ที่เคยสร้างความประทับใจ โดยคัดสรรผลงานกว่า 500 ชิ้นของศิลปินตัวพ่อแห่งยุคทองทางศิลปะมาถึง 3 คน ได้แก่ กุสตาฟ คลิมท์ (Gustav Klimt) อัลโฟนส์มูคา (Alphonse Mucha) และออเบรย์เบียร์ดสเลย์ (Aubrey Beardsley) ทั้ง 3 คนนี้ถ้าให้เทียบก็เสมือนอาหารจานเด็ดของยุคอาร์ตนูโวที่ถ้าเราไม่ทำความรู้จักผลงานและตัวตนของพวกเขาก็เหมือนอดกินต้มยำกุ้ง กะเพรา
เดินดูงาน Awakening Bangkok มาตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้เองก็ตามมาถ่ายรูป แต่เชื่อว่าคุณยังไม่เคยรู้เลยว่าเจ้าของผลงานที่อยู่เบื้องหลังแสงไฟสวย ๆ เหล่านี้คือใคร…เราเองก็เช่นกัน ปีนี้ UNLOCKMEN จึงขอถือโอกาสเพิ่มความพิเศษ จากเดินดูงานเปิดไฟ ขอไปเปิดหน้าศิลปินเจ้าของผลงาน 3 ชิ้นที่เราสนใจและเพิ่งลงผลงานของพวกเขาไปเมื่อวานกันบ้าง พร้อมบทสัมภาษณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้คุณรู้จักเขาและผลงานเพิ่มขึ้น ใครชอบงานชิ้นไหน อย่าลืมจำชื่อของเขาไว้ บางทีระหว่างที่คุณดูงาน AWAKENING 2019 คืนนี้ อาจจะได้เจอกับพวกเขาก็ได้ หรือจบงานนี้ ไปเจอกันที่อื่น อยากจะเดินเข้าไปทักทายก็ทำได้เช่นกัน เพราะพวกเขาพูดคุยเป็นกันเองมาก DON BOY : Lhong 1919 presents D19B19 อย่างที่เราบอกไว้ก่อนหน้านี้ในการลง Gallery Post ว่าเราเลือกความสนใจจากทั้งงานและสถานที่ที่มีกลิ่นอายความเป็นจีน ดังนั้น สถานที่ขนาดใหญ่อย่างล้ง 1919 ที่เซตขึ้นเป็นโรงงิ้ว มาพร้อมแสง สี เสียง จัดเต็มจึงไม่รอดสายตาของเราไป และพวกเขา “DON BOY” คือเจ้าของผลงาน Lhong
“ทุกวัน…ผมเริ่มห่างไกลจากความเป็นมนุษย์เข้าไปทุกที” ประโยคที่เหมือนดักตีหัวระหว่าง scroll เจอในโลกออนไลน์กับโปสเตอร์งานที่เห็นครึ่งคนครึ่งเหี้ย ทำให้เราตัดสินใจกันทันทีว่าชาว UNLOCKMEN ต้องไปดูงานนี้ให้ได้ ยิ่งพอไปดูกับตัวแล้วเจอความรู้สึกบวก ๆ เกินความคาดคิด ยิ่งทำให้ต้องมาบอกต่อ ก่อนจะไปว้าวกับภาพงานที่เราเอามาฝาก ซึ่งเรารับรองว่าคุณจะสนุกกว่าถ้าไปเล่น ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ขอเกริ่นเรื่องศิลปินที่สร้างงานชิ้นนี้ขึ้นมาก่อน พวกเขาคือ “Living Spirits” กลุ่ม Art Collective ที่หลายคนเคยได้ยินหรือรู้จักจากงาน Light Installation เพราะเขาคือกลุ่มตัวแทนคนไทยที่ไปจัดแสดงงานในสิงคโปร์ ผลงานของพวกเขาเน้นการตั้งคำถาม การรับฟัง และเชื่อมโยงสิ่งเหล่านั้นให้ผู้คนเข้าใจและเกิดการรับรู้ผ่านศิลปะ “I GONE WILD (everyday)” ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมเรื่องการตั้งคำถามและรับฟังแปรมาเป็นงานศิลป์ให้เราเข้าถึง เขานำคอนเซ็ปต์ของภาพจำ เหตุการณ์ในเมืองหลวงที่คุ้นตา ปัญหาที่ไม่เคยถูกแก้ไขหรือแก้แล้วยังวนลูปกลับมาเป็นซ้ำ ๆ สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าเราต้องเคยเห็น เผลอ ๆ หลายอย่างเราก็ต้องเคยทำ โดยเอามาล้อเลียนกับสำนวนภาษาของคนไทยเปรียบเทียบให้ดูตลก กัดเบา ๆ แต่ทำให้เรารู้สึกอมยิ้มตาม ภายในนิทรรศการจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนในพื้นที่เดียวกัน ส่วนแรกเป็นภาพติดผนัง และส่วนที่เป็นไฮไลต์คือเจ้าโมเดล 3d print สีขาวเทา จำลองภาพเหตุการณ์ในเมืองที่เราต้องหยิบกระจก (Tablet)
ถ้าเทียบกับส่วนอื่น ๆ ของประเทศ ย่าน “เมือง” จะเป็นที่แรก ๆ ที่โดนเปลี่ยนแปลงก่อน แถมยังต้องปรับเปลี่ยนหน้าตาบ่อย ๆ เพื่อพัฒนาพื้นที่ตอบโจทย์คนมาใหม่และคนที่เป็นเจ้าของพื้นที่เดิม หนึ่งในพื้นที่นั้นคือ “สามย่าน” โซนความเจริญที่มีแหล่งร้านอาหารเพียบ เลยไปหน่อยก็เจอหัวลำโพง ใกล้ MRT มีวัด ขยับไปอีกด้านมีห้าง มหาวิทยาลัย ศูนย์รวมความทันสมัยมากมายที่พวกเราต่างไปที่นั่นกันบ่อย ๆ แล้วนอกจากพื้นที่สาธารณะล่ะ? พื้นที่ส่วนตัวประเภทที่อยู่อาศัยมีอะไร เขาอยู่กันแบบไหน ทั้งก่อนและหลังการเปลี่ยนผ่านไปเป็นพื้นที่ใหม่? Art of Ars ครั้งนี้เราขอชวนชาว UNLOCKMEN ที่กำลังกระหายศิลปะกับความรู้สึกแปลกใหม่ กำลังอยากเติมไอเดียไปดูนิทรรศการในสามย่านที่ The Shophouse 1527 พื้นที่ทดลองแห่งใหม่จากความร่วมมือของ Cloud Floor, If และ soi | ซอย ที่เพิ่งเปิดตัวนิทรรศการแรกเล่าความสัมพันธ์กับคนและสถาปัตยกรรม โดยใช้ชื่อว่า Resonance of Lives at 1527 คุณเคยเห็นตึกเก่า คุณเคยเห็นตึกใหม่ที่โดนรีโนเวตแล้ว แต่ไม่มีโอกาสเห็นตึกนั้นตอนเปลี่ยนแปลง นี่คือคอนเซ็ปต์ตั้งต้นของ Resonance
คนเสพงานศิลปะหลายคนหลงเข้ามาในวงการ เดินอยู่ในแกลอรี่โดยไม่ทันได้จำชื่อของศิลปินด้วยซำ้ ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร เพราะธรรมชาติเราใช้ใจสัมผัสผลงานก่อนชื่อเสียงเรียงนาม เราจดจำ ลายเส้น สีสัน เสียงดนตรี และความชอบได้ไวกว่าตัวคน แต่ด้วยเหตุผลที่จำไม่ได้ กว่าจะหากันเจอและติดตามผลงานต่อเนื่องก็กลายเป็นเรื่องเส้นผมบังภูเขา ทั้งที่งานศิลป์เหล่านั้นบางทีก็จัดอยู่ข้างบ้านหรือบนชั้นหนังสือที่เราเดินผ่าน คงจะดี ถ้ามีใครสักคนให้ตามไว้กันเหนียว หรือเปิดโลกทางศิลปะไทย? ใครคนที่ไม่ใช่ Van Gogh หรือ Leonado Davinci หรือศิลปินแห่งชาติเสียบ้างเพื่อเสพศิลป์แนวอื่น Ars of Art ครั้งนี้เราตั้งใจพาคุณไปจำชื่อศิลปินมือเก๋าสักคนที่ชื่นชอบจากสาขาที่สนใจในงาน “ศิลปาธร” ประจำปีพุทธศักราช 2562 งานรางวัลอันทรงเกียรติของศิลปินร่วมสมัยชาวไทยจากสาขาต่าง ๆ ที่เพิ่งสิ้นสุดการจัดแสดงที่หอศิลป์ร่วมสมัยราชดำเนินเมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา แม้งานจะจบลงแต่เราไม่พลาดเก็บบรรยากาศและผลงานที่น่าสนใจกลับมาฝากกัน ก่อนอื่นเราต้องบอกก่อนว่าเหตุผลที่เราสนใจศิลปินทั้ง 7 จากงานศิลปาธรเพราะพวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่แค่คนที่มีพรสวรรค์เข้าตากรรมการในปีนี้ แต่ยังเป็นศิลปินที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงานอย่างต่อเนื่องตลอดหลายปี การสร้างผลงานที่ดีโดดเด่นไม่ยากเย็น หากความหนาวของเส้นทางที่วิ่งต่อเนื่องต่างหากคือเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จ นที อุตฤทธิ์ (สาขาทัศนศิลป์) นที อุตฤทธิ์ เกิด 9 เมษายน 2513 จบการศึกษาศิลปบัณฑิต สาขาภาพพิมพ์ คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์
เสียงนกเสียงกา ยังดังกว่าเสียงสวดมนต์ ถึงจะฟังดูแปลกแต่ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะเมื่อพูดถึงพุทธศาสนาหรือวัดที่อยู่ใกล้บ้านวันนี้ มันไกลกว่าเรื่องเทคโนโลยีหรือคนดังจากอีกทวีปเสียอีก เสียงสวดมนต์กลายเป็นเสียงที่เราอยากจะกด Skip เพื่อข้าม ๆ มันไป ธรรมะทุกข้อที่ได้ยินเหมือนมีอะไรมาอุดมากลบทำให้เราอยากออกมาห่าง ๆ กระทั่งวัดหน้าบ้าน เรายังไม่อยากเข้าเลยเพราะรู้สึกว่า “มันร้อน” เกินทน พอพูดถึงพุทธศาสนาในศตวรรษที่ 21 เราเลยรู้สึกต่างไปจากความเป็นพุทธฯ ในวันวาน แน่นอนว่าศาสนายังคงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องยกขึ้นหิ้งเหมือนแต่ก่อน จึงเป็นธรรมดาที่คนบางกลุ่มอาจจะดึงมาถูลู่ถูกัง ลากไถไปตามความรู้สึกบ้าง เป็นเรื่องนานาจิตตังที่เราคงไม่เข้าไปห้ามอะไร เพราะเราเชื่อว่าอะไรที่อยู่มานานพอและจะอยู่ต่อไป คงต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเองเสมอ ขณะเดียวกันก็มีคนอีกกลุ่มที่เชื่อว่าแก่นของพุทธศาสนามันแข็งแรงพอและน่าสนใจ ถ้าได้รับการเล่าเรื่องที่เหมาะสมเข้ากับยุคสมัย ซึ่งดูเหมือนสิ่งที่เขาทำมันสำเร็จแล้ว เพราะทำให้พวกเราตบเท้าเข้าวัดจากผลงานนิทรรศการของเขาที่ใช้ชื่อว่า BODHI THEATER (โพธิ เธียเตอร์) ที่จัดในวัดสุทธิวรารามเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ART OF ARS วันนี้ ขอแนะนำให้หาวันว่างไปเข้าวัด ดูนิทรรศการ BODHI THEATER (โพธิ เธียเตอร์) ซึ่งเป็นงานศิลปะสไตล์ ‘Projection Mapping’ ที่ได้แรงบันดาลใจจากการตีความบทสวด “ชัยมงคลคาถา” ที่เชื่อว่าเราชาวไทยต้องคุ้นเคยจากประโยคขึ้นต้นว่า พาหุงสะหัส สะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง… ชัยมงคลคาถา คือคาถาที่กล่าวถึงชัยชนะ