สภาพแวดล้อมกลายเป็นสิ่งที่โคตรมีผลต่อการทำงาน ออฟฟิศไหนที่ดีไซน์ออกมาให้คูล เจ๋ง มีบรรยากาศแห่งการผ่อนคลาย สบาย ๆ ใคร ๆ ก็อยากพุ่งตัวเข้าไปทำงานด้วย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีได้ทำงานในออฟฟิศคูล ๆ เสมอไป แต่เราก็สามารถจัดโต๊ะทำงานของเราให้คูลเหมาะสมกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ไม่แพ้กัน นี่จึงเป็น 5 วิธีง่าย ๆ ที่ไม่ว่าทำงานที่ไหนก็ได้ประสิทธิภาพเต็มเปี่ยม 1.ปลูกต้นไม้กระถางเล็ก ๆ สักกระถางสิ งานวิจัยจำนวนมากที่บอกกับเราว่า วิธีง่าย ๆ ที่จะลดความตึงเครียด สร้างความรู้สึกผ่อนคลายคือการอยู่กับธรรมชาติ แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้การที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ จะหอบการหอบงานเข้าป่าไปทำงานก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย วิธีง่าย ๆ จึงเป็นการหาต้นไม้เล็ก ๆ สักกระถางมาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น? The Green Infrastructure Research Group จาก University of Melbourne ศึกษาเรื่องพื้นที่สีเขียวที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างจริงจังก็พบว่าการได้มองไปในพื้นที่สีเขียวอย่างต้นไม้จากหน้าต่างห้องทำงาน ช่วยลดความเครียด สร้างอารมณ์ผ่อนคลาย ที่สำคัญทำให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ดีไม่ดีไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ เฟซบุ๊กก็ลงทุนสร้างหลังคาขนาดเท่าสนามฟุตบอลหลายสนาม แล้วปลูกต้นไม้ใบหญ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงานของตัวเองแล้ว 2.แสงธรรมชาติก็เป็นสิ่งสำคัญ Mirjam
พูดคำว่า “ไม่” กลายเป็นมิติพิศวงที่ชวนให้คนที่พูดมันออกมาต้องงุนงงทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนถูกขอร้อง ถูกขอความช่วยเหลือ แต่ไม่รู้ทำไม พอต้องปฏิเสธ พอต้องพูดว่าไม่ทีไร เราถึงต้องรู้สึกแย่ รู้สึกผิดทุกครั้งไป การช่วยเหลือคนมันก็ดีนั่นแหละ แต่ถ้าจะให้ช่วยทุกคน ช่วยทุกเรื่องก็คงมากไป แต่ไอ้ครั้นจะมามัวปฏิเสธไป รู้สึกผิดไปก็ดูจะทำร้ายจิตใจตัวเองมากเกินไปหน่อย UNLOCKMEN จึงเอาวิธีพูดคำว่า “ไม่” ไว้ปฏิเสธใคร ๆ แบบไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไปมาฝากกัน 1.เราไม่ได้ฆ่าคนตาย อย่าจมอยู่กับความรู้สึกผิดขนาดนั้น โอเค เรามาเริ่มกันที่ทำไมเราต้องรู้สึกผิดกับการพูดปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด? ก่อนอื่นเราอยากให้คุณทำความเข้าใจเรื่องนี้เสียใหม่ “ความรู้สึกผิด” สมควรที่เราจะรู้สึกก็ต่อเมื่อเราทำผิดต่อใครสักคน ทำร้ายเขา ทำให้เขาเจ็บปวด ไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ แต่เดี๋ยวก่อน! การปฏิเสธความช่วยเหลือ (ที่ขอมาหลายครั้งเกินไป หรือเหนือบ่ากว่าแรงเราจนช่วยไม่ไหว) ไม่ใช่การที่เราทำร้ายเขา แต่เป็นการบอกให้เขาเข้าใจเงื่อนไขของเรา และเขาจะได้หาคนที่เขาสามารถขอความช่วยเหลือที่เหมาะสมคนต่อไป หรือไม่ก็เรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเอง ดังนั้นนี่ไม่ใช่การทำร้ายเขา เลิกรู้สึกผิดได้แล้ว! 2.เราไม่ใช่คนเลว เราแค่ไม่สะดวก อีกกรณีที่เรามักรู้สึกผิดเมื่อเราต้องบอกปัดอะไรจากใครสักคน เพราะเรากลัวการดูเป็นคนเลว การดูเป็นคนไม่มีน้ำใจ หรือการดูเป็นคนไม่อยากช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งไม่จริงเสมอไป เราควรถามตัวเองแทนว่าเพราะอะไรเราถึงปฏิเสธเขา? เพราะเขาขอร้องให้ช่วยเรื่องซ้ำ
หลังจากลืมตาตื่น อะไรคือสิ่งที่คุณทำเป็นอย่างแรก? เปิดสมาร์ทโฟนมาเลื่อนดูเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม? เช็คอีเมลงาน? คิดถึงงานที่ค้างจากเมื่อวาน? คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าการเริ่มต้นวันที่คุณกำลังทำอยู่นั้นส่งผลให้คุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ? Jacqueline Whitmore ผู้เขียนหนังสือ Poised for Success: Mastering the Four Qualities That Distinguish Outstanding Professionals จะมาร่วมแชร์วิธีการตื่นนอนอย่างสงบ ผ่อนคลายที่จะช่วยให้คุณจัดการวันของคุณให้มีประสิทธิภาพตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวขาลงจากเตียง 1.ลุกจากเตียงอย่างนุ่มนวล เรามักลุกจากเตียงอย่างรีบเร่ง เพราะคิดว่าใช้เวลานอนให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการกดเลื่อนนาฬิกาปลุกออกไปเรื่อย ๆ แล้วจะถือว่าได้ใช้เวลาพักผ่อนนานขึ้น แต่ลองเปลี่ยนวิธีการลุกจากที่นอนดูใหม่ แทนที่จะรีบลุกอย่างเร่งร้อน ให้เราค่อย ๆ ลุกอย่างนุ่มนวล นอนให้เต็มตื่น ปลุกเวลาเผื่อเวลาต้องตื่นจริงสัก 5-10 นาที เลือกใช้เสียงปลุกที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขที่ได้ฟังมากกว่าเสียงที่ทำให้ฟังแล้วรู้สึกเกลียดที่จะตื่นขึ้นมา 2.ยิ้ม วิธีโคตรง่ายอย่างการยิ้มนี่แหละ ที่จะทำให้วันทั้งวันของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะการยิ้มสามารถเปลี่ยนโทนของอารมณ์ได้ โดยการยิ้มช่วยเพิ่มปริมาณสาร endorphin ในร่างกายซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวด ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณคิดว่าเรากำลังให้คุณตื่นขึ้นมาฉีกยิ้มพร่ำเพรื่อก็คงไม่ใช่ แต่เรากำลังแนะนำให้คุณหาอะไรที่ทำให้คุณยิ้มได้มาวางไว้หัวเตียง อาจจะเป็นสาวที่คุณชอบ สถานที่ที่คุณชอบไป ที่เที่ยวที่คุณฝันว่าจะไปมาตลอดชีวิต จะได้ตื่นมาแล้วยิ้มให้กับสิ่งดี ๆ เหล่านั้นก่อนเริ่มต้นวัน
เราต่างอยู่ในยุคที่ถูกกรอกหูอยู่ทุกวันว่าให้คิดบวกสิ คิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้สิ ไม่มีอะไรในโลกที่เราทำไม่ได้หรอก ขอแค่เรามั่นใจในตัวเอง แล้วบอกว่ามันเป็นไปได้ก็พอ เราเชื่อตาม ๆ กันมา ตื่นนอนมาพร้อม ๆ กับการยืนหน้ากระจกฉีกยิ้มให้กับตัวเอง แล้วบอกว่าทำได้! กูทำได้ทุกอย่างในโลกเลย! แต่การคิดบวก ให้กำลังใจตัวเองตลอดเวลาอย่างนี้เป็นผลดีจริงหรือเปล่า? มันมีส่วนกับความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน? แล้วถ้าไม่คิดบวกตามแบบใคร ๆ เรามีโอกาสประสบความสำเร็จหรือเปล่า? ก่อนอื่น UNLOCKMEN ขอพาคุณย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายนปี 2015 ขณะนั้นที่ New York มีการแข่งขันเทนนิส U.S. Open รอบ semi-finals โดยเป็นการแข่งขันกันระหว่าง Roberta Vinci กับนักเทนนิสมือวางอันดับหนึ่งในขณะนั้นอย่าง Serena Williams เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า Serena Williams ชนะ 3 รายการหลักของการแข่งขันเทนนิสไปแล้วในปีนั้น แถมได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในขณะที่ Roberta Vinci ไม่เคยผ่านเข้ามาถึงรอบ semi-finals ของการแข่งขันเทนนิสรายการใหญ่ ๆ เลย นี่เป็นครั้งแรกของชีวิตการเป็นนักกีฬาเทนนิสของเธอ โอกาสชนะครั้งนี้คือ 300
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าท่ามกลางกระแสว่าเศรษฐกิจไม่ดี เรากลับพบว่ารอบตัวเต็มไปด้วยธุรกิจใหม่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จ ภายใต้การขับเคลื่อนของผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นผลจากรอยต่อของ Generation X ปลาย ๆและ Y ต้น ๆ กลุ่มคนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ กล้าลองผิดลองถูก และสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางต่าง ๆ มาทำเป็นธุรกิจได้อย่างสวยงาม นับตั้งแต่วงการ StartUp เริ่มบูมขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้ก็ไม่รอช้าที่จะใช้ความรู้ ความสามารถ และเทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน จนเกิดเป็น Unicorn StartUp ก็หลายราย ในทางการตลาดเราเรียกคนกลุ่มนี้รวมกันว่า “Mass Affluent” กลุ่ม Mass Affluent ที่เข้าใจง่าย ก็คือบรรดาผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ซึ่งไม่ใช่คนกลุ่มน้อยอย่างที่คิด ใน ภาพใหญ่ระดับเอเชีย คนกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2020คนกลุ่มนี้จะมีทรัพย์สินรวมกันสูงถึง 43.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยเองก็มี Mass Affluent อยู่ไม่น้อย โดยตัวเลขปัจจุบันระบุว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 500,000 ราย ที่อัตราเติบโตประมาณ
“กิ่งไม้หนึ่งกิ่งหักง่าย แต่ถ้านำกิ่งไม้หลายกิ่งมารวมกันเป็นมัดใหญ่ กลายเป็นยากที่จะหัก” ถ้าจะให้อธิบายข้อดีของความสามัคคี ประโยคที่ถูกใช้สอนกันมาตั้งแต่เด็กประโยคนี้น่าจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด แน่นอน! พวกเรารู้ประโยชน์ของความสามัคคีเป็นอย่างดี เรารู้ว่าถ้าผู้คนในสังคมช่วยเหลือกัน ร่วมมือกันทำสิ่งต่าง ๆ ความสำเร็จ ความสุขในทุกระดับ ความเจริญก้าวหน้าของชาติจะตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่น่าแปลกใจ ที่เมื่อเราโตขึ้นมา กลับพบว่าสังคมสามัคคีในอุดมคตินั้น เป็นจริงได้ยากเหลือเกิน กระทั่งเราได้เจอกับ copy ที่โดนใจจากแคมเปญ #WECULTURE ของ Ananda Development ทำให้ฉุกคิดได้ว่า จุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนไปสู่สังคมอุดมคตินั้น ง่ายกว่าที่คิด เริ่มจากเปลี่ยนคำว่า “ME” เป็น “WE” “ยาก” แต่ไม่ได้แปลว่า “เป็นไปไม่ได้” เราได้เห็นพลังของการช่วยเหลือกันในสังคมเมื่อถึงคราวจำเป็น เช่นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ปัญหาที่ดูใหญ่โตระดับที่คนไทยไม่เคยพบเจอมาก่อน กลับถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็วจากการช่วยเหลือกันของคนทั้งประเทศ ต่างคนต่างงัดความสามารถออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ หรือการร่วมมือกันในเลเวลเล็กลงมา อย่างการหลบรถพยาบาลฉุกเฉินบนท้องถนน ก็เป็นพฤติกรรมที่คนในสังคมทำตามกันโดยไม่ต้องรณรงค์มากมายอะไร เราจึงมีความเชื่ออยู่เสมอว่า ขอแค่มีผู้นำที่มีความพร้อม เป็นตัวตั้งตัวตี ก็น่าจะสามารถชักชวนคนในสังคมให้เกิดความสามัคคีร่วมมือกันได้ ทั้งหมดคือเหตุผลที่เรารู้สึกว่า #WECULTURE campaign ของ ANANDA DEVELOPMENT ทำออกมาได้ตรงใจคนไทยหลายคนแน่นอน #WECULTURE แคมเปญชื่อตรงตัวแบบไม่ต้องตีความหมายให้ยากเย็น
“ความสำเร็จ” เป็นคำที่มีนิยามความหมายแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่จุดหมายที่มีร่วมกันคงหนีไม่พ้นการได้เป็นที่สุดในด้านต่าง ๆ ของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง เงินทอง หรือ ความสุข ส่วนนิยามความสำเร็จในมุมมองของ UNLOCKMEN เรามองว่าไม่ใช่แค่เพียงการเป็นที่สุดในด้านใดด้านหนึ่ง แต่มันคือการบาลานซ์ให้เราสามารถมีความสุขกับชีวิตได้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จเรื่องงาน และชีวิตส่วนตัว ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดลอย ๆ เพราะในวันนี้เรามี 2 ตัวแทนคนรุ่นใหม่มากความสามารถ ซึ่งยืนอยู่ในจุดที่ผู้คนต่างให้การยอมรับ พวกเขาจะมาแชร์มุมมองที่มีผลต่อความสำเร็จ และเคล็ดลับที่ทำให้ก้าวมาสู่จุดนี้ กับมิติของชีวิตซึ่งไม่ได้หยุดอยู่แค่ที่ทำงาน หรือโฟกัสแค่เงินทอง และความสำเร็จส่วนตัวเพียงอย่างเดียว แต่มันคือการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และรักษาสมดุลระหว่างการทำงาน และชีวิตส่วนตัวได้อย่างพอดิบพอดี เริ่มต้นด้วยมุมมองของ แนท-วสุ วิรัชศิลป์ สถาปนิกหนุ่มผู้ก่อตั้ง VaSLab Studio (บริษัท แวสแล็บ) บริษัทที่ออกแบบสถาปัตยกรรมได้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสร้างผลงานจนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก กับอาชีพสถาปนิกที่เปรียบเทียบผลงานชิ้นหนึ่งเหมือนดั่งงานศิลปะแห่งการอยู่อาศัย แรงบันดาลใจเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใส่เข้าไปในผลงานทุก ๆ ชิ้นที่ทำลงไป สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือ Creativity ห้ามหมด ในการทำงานแต่ละครั้ง ความตั้งใจและความภาคภูมิใจจะต้องถูกใส่ลงไปในทุก ๆ process ในขณะเดียวกันเราก็ต้องทำจินตนาการในหัวให้สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานจริงที่ตัวเองและผู้เกี่ยวข้องรู้สึกดีกับมันได้ “แค่แรงบันดาลใจจากคนใกล้ตัว ก็สามารถสร้างผลงานระดับโลกได้” ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จ เคล็ดลับคือต้องเป็นคนที่ไม่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง
Young Professional เป็นกลุ่มมาแรงที่เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและอินเตอร์เน็ต พวกเขาทุ่มเทพลังในการสร้างสรรค์พื้นที่ให้กับตนเองและก้าวสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็วจากการหาโอกาสจากสิ่งรอบตัวที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นไปได้ พลังของกลุ่ม Young Success ในทางการตลาด กลุ่ม Young Professional จัดอยู่ในกลุ่ม “Mass Affluent Segment” ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริหาร เจ้าของกิจการ หรืออาชีพอิสระ และเป็นกลุ่มที่ได้รับความสนใจจากธุรกิจต่างๆ เพราะเป็นกลุ่มที่มีอำนาจการใช้จ่าย มีแนวทางการใช้ชีวิตที่ชัดเจน และเป็นผู้นำความคิดของผู้คน กลุ่ม Mass Affluent ในเอเชีย เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่และมีการเติบโตรวดเร็วมากที่สุด โดยคาดการณ์ว่า ภายในปี 2020 จะมีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 43.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา คิดเป็น 20% ของธุรกิจบริหารจัดการความมั่งคั่งในเอเชีย ประเทศไทย ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่ากลุ่ม Mass Affluent ในประเทศไทยมีจำนวน 500,000 ราย มีแนวโน้มเติบโต 7% ต่อปี มีเงินฝาก 1.3 ล้านบัญชี รวม 3.2 ล้านล้านบาท เท่ากับ
มีหลายเหตุผลที่ทำให้คนอยากควักเงินซื้อห้องในคอนโดมิเนียม ซึ่งเหตุผลของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนซื้อเพื่อเป็นที่อยู่หลัก ก็ต้องมองหาห้องขนาดใหญ่ พื้นที่อยู่ใกล้ที่ทำงาน เดินทางไปกลับสะดวก บางคนซื้อเน้นใกล้รถไฟฟ้า เพื่อจะได้เดินทางไปจุดหมายต่าง ๆ ในกรุงเทพได้สะดวกขึ้น เพราะต้องยอมรับว่ารถไฟฟ้านอกจากจะช่วยประหยัดเวลารถติดบนถนนในช่วงเวลาเร่งรีบได้มาก ส่งผลให้สุขภาพจิต และสุขภาพกายดีขึ้นตามลำดับ เป็นการหา solution ที่หลายคนใช้ปรับไลฟ์สไตล์ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตเมืองหลวงยุคปัจจุบัน ก่อนหน้านี้รถไฟฟ้ายังไม่กระจายตัวออกสู่พื้นที่รอบนอก ทำให้คอนโดมิเนียมกระจุกตัวแข่งกันบนพื้นที่โซนกรุงเทพชั้นใน จนราคาต่อตารางเมตรสูงลิบลิ่ว แค่เช็คราคาก็ทำให้คนทำงานหน้ามืดไปตาม ๆ กัน แต่ตอนนี้รถไฟฟ้าได้กระจายตัวออกไปสู่ชานเมืองมากขึ้น พร้อมกับเทรนด์ผู้คนที่อยากได้คอนโดสักห้อง เพื่อตอบโจทย์หลักที่เน้นความสะดวกในการเดินทาง ขับรถเข้าเมืองได้ง่ายดาย มีรถไฟฟ้าใช้รอรับถึงหน้าโครงการ แม้จะไม่ได้อยู่บนทำเลทองคำ แต่ก็สามารถไปถึงได้ด้วยเวลาไม่เกิน 20 นาที ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้ทันทีในย่านสำโรง ที่ปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นย่าน “Underrated Living Area” กับราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยแถว ๆ 75,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น ประหยัดไปเบา ๆ ก็สิบล้าน ถ้าเทียบกับพื้นที่ในย่าน Prime Area ที่ราคาเฉลี่ยตบเท้าพุ่งขึ้นแตะไปตารางเมตรละ 200,000 – 300,000 บาท คำว่า “สำโรง” อาจทำให้หลายคนจินตนาการภาพในหัวว่าอยู่ไกล เดินทางยาก
การอยู่ในคอมฟอร์ทโซนก็เป็นเรื่องที่ทำให้เราสบายอกสบายใจดีอยู่แล้ว จะให้เราก้าวออกไปเสี่ยงเพื่อจะต้องเจอกับความผิดหวังอันน่าเจ็บปวดไปทำไม? แต่ชีวิตเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ถูกตลอดเวลา การลองผิดลองถูก การเผชิญหน้ากับความผิดหวัง การกระโจนเข้าไปเสี่ยง ไปเจอกับความผิดหวังก็เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต ไม่ใช่แค่การเติบโตของชีวิตเท่านั้น แต่รวมถึงหน้าที่การงานและธุรกิจด้วย ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ก็อยากเสี่ยง แต่ยังเกร็ง ๆ วันนี้ UNLOCKMEN รวม 3 TED Talks ที่ฟังจบแล้วต้องตะโกนออกมาว่า “รู้ว่าเสี่ยง ก็คงต้องขอลอง!” Success is a continuous journey Richard St. John คือนักธุรกิจที่ผ่านทั้งความสำเร็จ และความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน และเขาเลือกใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับเราทุกคน แรงบันดาลใจที่จะบอกว่า เฮ้ย ความล้มเหลวมันไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตสักหน่อย เขาเชื่อว่าความสำเร็จมันคือการเดินทางที่ต่อเนื่องยาวนาน การที่เราผิดหวังหนึ่งครั้ง หรือสมหวังหนึ่งครั้ง ไม่ได้บอกว่าเราหมดโอกาสที่จะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อไหร่ที่เราหยุดก้าวไปข้างหน้า หยุดพยายามนั่นแหละ ที่เรากำลังก้าวเข้าสู่ความล้มเหลว Don’t regret regret Kathryn Schulz บอกว่าคนเรามักถูกสอนให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เสียจนความผิดหวัง ความเสียใจดูเป็นเรื่องเลวร้าย ดูเป็นสิ่งต้องห้าม แต่เธอจะมาบอกเราว่ามันจริงเสมอไปหรือที่ชีวิตคนเราจะต้องมีแต่ความสุข? TED Talks ครั้งนี้เธอจึงจะมาเล่าเรื่องความผิดหวังเสียใจของตัวเอง