ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นในวงการอสังหาฯ นอกจากเรื่องของการพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย รวมถึงการฟาดฟันด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่ดุเดือด ยังมีแนวคิดดี ๆ ที่มองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นในการสร้างพื้นฐาน พัฒนาคน พัฒนาบุคลากร รวมถึงผู้คนทั่วไป ให้มีความรู้ความเข้าใจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ดียิ่งขึ้น กับการเปิดตัว AP Academy Lab แล็บเพื่อการเรียนรู้ครบวงจรด้านอสังหาฯ แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการพัฒนาที่อยู่อาศัยคุณภาพสำหรับคนเมือง ที่ยกห้องเรียน และห้องปฏิบัติการด้านอสังหาฯ มารวมเอาไว้ในที่เดียว ด้วยคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ และความสงสัยว่าแหล่งเรียนรู้ด้านอสังหาฯ แนวใหม่ จะฉีกกฎการเรียนรู้ในตำราให้สัมผัสได้จริง สามารถเข้าถึง เข้าใจง่ายโดยไม่น่าเบื่อได้อย่างไร UNLOCKMEN จึงขอเข้าไปเยี่ยมชม AP Academy Lab แล็บการเรียนรู้ดีไซน์เท่ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 800 ตารางเมตร บนชั้น 31 ของอาคารเลครัชดา ถนนรัชดาภิเษก ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง ‘คุณแจ๊ค ปิตุพงษ์ เชาวกุล’ แห่ง Supermachine Studio สตูดิโอออกแบบไทยชื่อเสียงโด่งดังไกลในระดับสากล ร่วมกับ ทีม AP
หลังจากที่ UNLOCKMEN ได้นำผู้อ่านทุกท่านไปสัมผัสกับนิยามความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ ใน Article ก่อนหน้านี้ ที่ว่าด้วยเรื่องของความสำเร็จที่แท้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ความเป็นที่สุดทางด้านธุรกิจเพียงเท่านั้น แต่การบาลานซ์ชีวิตได้อย่างสมดุล พร้อมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ยังคงให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ เพื่อเติมเต็มความสุขในพาร์ทของชีวิตส่วนตัว ถือเป็นพื้นฐานสำคัญ ที่เหล่าผู้บริหารรุ่นใหม่มองว่า สามารถผลักดันให้ได้พบกับความสำเร็จอย่างแท้จริง และยั่งยืน และในวันนี้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับ 2 ตัวแทนคนรุ่นใหม่ กับมุมมองความสำเร็จจาก 2 วงการธุรกิจ ที่เกิดจากการต่อยอดแนวคิดที่ได้จากการสังเกตไลฟ์สไตล์ของตัวเอง และคนรอบข้าง นำมาพัฒนาจนเป็นรูปแบบที่ธุรกิจซึ่งช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์แปลกใหม่ไม่หยุดนิ่ง รวมถึงธุรกิจที่อาศัยการต่อยอดเพิ่มมูลค่าให้กับคุณค่าดั้งเดิมจนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนยุคใหม่ เริ่มต้นจากมุมมองของ ปรางค์ – อภินรา ศรีกาญจนา ทายาทคนสวยของ บริษัท เอเชียประกันภัย ผู้ที่พิสูจน์ศักยภาพตัวเอง ด้วยการปลุกปั้นธุรกิจ startup ที่กำลังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนสายปาร์ตี้อย่าง U Drink I Drive บริการพนักงานขับรถส่วนตัว ที่จะพาคุณและรถส่วนตัวของคุณกลับบ้าน โดยมุ่งเน้นความปลอดภัยของผู้ใช้บริการเป็นหลัก เติมเต็มไลฟ์สไตล์ของคนเมืองในปัจจุบัน “เราอาจเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ของคนเมืองไม่ได้ แต่เราสามารถเพิ่มทางเลือกด้วยบริการที่ทำให้ชีวิตพวกเค้าดีกว่าหรือปลอดภัยกว่าได้” เชื่อไหมว่าด้วยนิสัยและทัศนคติคนไทยบางคนชอบมองว่าเมาแล้วขับรถกลับบ้านเองได้เป็นเรื่องเท่ แต่จากสถิติประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากการโดนคนเมาขับรถชนมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ปรางค์มองว่าเราควรจะทำอะไรซักอย่างเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ไม่ใช่รอให้เกิดอุบัติเหตุก่อนแล้วประกันค่อยเข้าไปดูแล เราเลยคิดว่าควรเพิ่มทางเลือกให้กับคนเมืองเหล่านี้ ด้วยอะไรที่ทำให้เค้ารู้สึกปลอดภัยและก็ไม่ได้ทำให้เค้ารู้สึกเชยด้วย ซึ่ง U Drink
หากพูดถึงร้านขายอุปกรณ์กีฬาที่ไม่ใช่แบรนด์สโตร์แล้วละก็ ในประเทศไทยคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก Ari (อาริ) ร้านคอนเซ็ปต์สโตร์ที่เปิดขึ้นมารองรับสำหรับผู้ที่ชื่นชอบในเรื่องของกีฬา รวมถึงไลฟ์สไตล์แบบสปอร์ต จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ต้องการสานฝันความชอบของตัวเอง จนเป็นแรงผลักดันถึงปัจจุบันทำให้ Ari (อาริ) สามารถขยับขยายร้านจนกลายเป็นแถวหน้าในเรื่องอุปกรณ์กีฬา เพื่อล้วงเบื้องหลังความสำเร็จของพวกเขา วันนี้ UNLOCKMEN จึงได้ติดต่อขอสัมภาษณ์แบบ Exclusive กับ คุณ เอ็กซ์ – ศิวัช วสันตสิงห์ ผู้ก่อตั้ง Ari (อาริ) ที่จะมาบอกเล่าเคล็ดลับความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจที่ทุกท่านสามารถนำไปใช้เป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเองได้ UNLOCKMEN : ขอถาม background คุณเอ็กซ์ก่อนมาเริ่มทำร้าน Ari หน่อย? จริง ๆ ที่บ้านเป็นข้าราชการเกือบหมด คุณแม่ทำออฟฟิศ ส่วนคุณพ่อก็เป็นข้าราชการ ท่านก็ตั้งเป้าอยากให้เราเป็นข้าราชการเหมือนท่าน ก่อนหน้านี้ผมเลยทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศ แต่คือมันไม่ไหว มันไม่ใช่ตัวเองก็เลยอยากออกมาทำธุรกิจของตัวเอง UNLOCKMEN : แล้วจุดเริ่มต้นของร้าน Ari มันมาจากไหน? เริ่มจากว่าเราชอบเตะฟุตบอล เราชอบรองเท้าสตั้ด อุปกรณ์กีฬาอะไรเงี้ย แต่เมื่อก่อนเมืองไทยมันไม่มีร้านขาย เราก็ต้องฝากเพื่อนซื้อจากต่างประเทศ หรือไม่ก็ต้องวิ่งไปตามร้านที่เขาหิ้วมาขาย เรารู้สึกว่า เอ้ย ทำไมมันไม่มีร้านขายอุปกรณ์เกี่ยวฟุตบอลอย่างเดียว ก็เลยเหมือนแบบอยากทำ
ขึ้นชื่อว่า “ลูกค้า” ต่อให้ผู้ประกอบการจะยิ่งใหญ่คับฟ้ายังไงก็ต้องโดนคอมเพลน เพราะเราอาจจะผิดพลาดจนต้องแก้ไข หรือบางทีก็เป็นเรื่องจุกจิกกวนใจที่เราไม่ทันนึก แต่ลูกค้าเขาดันนึกถึง เพราะฉะนั้นการรับมือกับลูกค้าจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ว่าจะทำงานอยู่ในระดับไหนของธุรกิจก็ต้องเรียนรู้เอาไว้ วันนี้ UNLOCKMEN พามาดู 3 CEO ระดับชื่อก้องโลกว่าเขาเหล่านี้มีวิธีรับมือกับความเยอะของลูกค้าอย่างไรบ้าง รับรองว่าเรียนรู้แล้วเอาไปใช้ ไม่มีคำว่าเสียใจแน่นอน รับมือแบบมินิมอลสไตล์ Steve Jobs (CEO Apple) ดีไซน์สินค้าและการใส่เสื้อสีเดียวแบบเดิมซ้ำ ๆ ก็บ่งบอกถึงความความมินิมอลในจิตวิญญานของ Steve Jobs ได้มากพอสมควรแล้ว แต่ใครจะไปรู้ว่าความมินิมอลนี้แผ่ขยายมาถึงการรับคำคอมเพลนจากลูกค้าด้วย!? จากคำบอกเล่าของลูกค่าผู้น่ารัก (?) อย่าง Aaron Brooker ที่เล่าถึงประสบการณ์หาญกล้าในการคอมเพลนสินค้าของ Apple แต่ไม่ได้จะเดินเข้า iStudio เรียกพนักงานมาแล้วก็บ่น ๆ ๆ ให้เสียเวลา เขียนอีเมลไปคอมเพลนกับ Steve Jobs แม่งเลยแล้วกัน Aaron Brooker ซื้อจอ monitor ขนาด 22 นิ้ว พร้อมกับ Macbook Pro ขนาด
สภาพแวดล้อมกลายเป็นสิ่งที่โคตรมีผลต่อการทำงาน ออฟฟิศไหนที่ดีไซน์ออกมาให้คูล เจ๋ง มีบรรยากาศแห่งการผ่อนคลาย สบาย ๆ ใคร ๆ ก็อยากพุ่งตัวเข้าไปทำงานด้วย แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะโชคดีได้ทำงานในออฟฟิศคูล ๆ เสมอไป แต่เราก็สามารถจัดโต๊ะทำงานของเราให้คูลเหมาะสมกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ไม่แพ้กัน นี่จึงเป็น 5 วิธีง่าย ๆ ที่ไม่ว่าทำงานที่ไหนก็ได้ประสิทธิภาพเต็มเปี่ยม 1.ปลูกต้นไม้กระถางเล็ก ๆ สักกระถางสิ งานวิจัยจำนวนมากที่บอกกับเราว่า วิธีง่าย ๆ ที่จะลดความตึงเครียด สร้างความรู้สึกผ่อนคลายคือการอยู่กับธรรมชาติ แต่เดี๋ยวก่อน ไอ้การที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ จะหอบการหอบงานเข้าป่าไปทำงานก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย วิธีง่าย ๆ จึงเป็นการหาต้นไม้เล็ก ๆ สักกระถางมาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น? The Green Infrastructure Research Group จาก University of Melbourne ศึกษาเรื่องพื้นที่สีเขียวที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างจริงจังก็พบว่าการได้มองไปในพื้นที่สีเขียวอย่างต้นไม้จากหน้าต่างห้องทำงาน ช่วยลดความเครียด สร้างอารมณ์ผ่อนคลาย ที่สำคัญทำให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ดีไม่ดีไม่รู้แต่ที่แน่ ๆ เฟซบุ๊กก็ลงทุนสร้างหลังคาขนาดเท่าสนามฟุตบอลหลายสนาม แล้วปลูกต้นไม้ใบหญ้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้พนักงานของตัวเองแล้ว 2.แสงธรรมชาติก็เป็นสิ่งสำคัญ Mirjam
พูดคำว่า “ไม่” กลายเป็นมิติพิศวงที่ชวนให้คนที่พูดมันออกมาต้องงุนงงทุกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เราเป็นคนถูกขอร้อง ถูกขอความช่วยเหลือ แต่ไม่รู้ทำไม พอต้องปฏิเสธ พอต้องพูดว่าไม่ทีไร เราถึงต้องรู้สึกแย่ รู้สึกผิดทุกครั้งไป การช่วยเหลือคนมันก็ดีนั่นแหละ แต่ถ้าจะให้ช่วยทุกคน ช่วยทุกเรื่องก็คงมากไป แต่ไอ้ครั้นจะมามัวปฏิเสธไป รู้สึกผิดไปก็ดูจะทำร้ายจิตใจตัวเองมากเกินไปหน่อย UNLOCKMEN จึงเอาวิธีพูดคำว่า “ไม่” ไว้ปฏิเสธใคร ๆ แบบไม่ต้องรู้สึกผิดอีกต่อไปมาฝากกัน 1.เราไม่ได้ฆ่าคนตาย อย่าจมอยู่กับความรู้สึกผิดขนาดนั้น โอเค เรามาเริ่มกันที่ทำไมเราต้องรู้สึกผิดกับการพูดปฏิเสธ ทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่ได้ทำอะไรผิด? ก่อนอื่นเราอยากให้คุณทำความเข้าใจเรื่องนี้เสียใหม่ “ความรู้สึกผิด” สมควรที่เราจะรู้สึกก็ต่อเมื่อเราทำผิดต่อใครสักคน ทำร้ายเขา ทำให้เขาเจ็บปวด ไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจ แต่เดี๋ยวก่อน! การปฏิเสธความช่วยเหลือ (ที่ขอมาหลายครั้งเกินไป หรือเหนือบ่ากว่าแรงเราจนช่วยไม่ไหว) ไม่ใช่การที่เราทำร้ายเขา แต่เป็นการบอกให้เขาเข้าใจเงื่อนไขของเรา และเขาจะได้หาคนที่เขาสามารถขอความช่วยเหลือที่เหมาะสมคนต่อไป หรือไม่ก็เรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตัวเอง ดังนั้นนี่ไม่ใช่การทำร้ายเขา เลิกรู้สึกผิดได้แล้ว! 2.เราไม่ใช่คนเลว เราแค่ไม่สะดวก อีกกรณีที่เรามักรู้สึกผิดเมื่อเราต้องบอกปัดอะไรจากใครสักคน เพราะเรากลัวการดูเป็นคนเลว การดูเป็นคนไม่มีน้ำใจ หรือการดูเป็นคนไม่อยากช่วยเหลือผู้อื่น ซึ่งไม่จริงเสมอไป เราควรถามตัวเองแทนว่าเพราะอะไรเราถึงปฏิเสธเขา? เพราะเขาขอร้องให้ช่วยเรื่องซ้ำ
หลังจากลืมตาตื่น อะไรคือสิ่งที่คุณทำเป็นอย่างแรก? เปิดสมาร์ทโฟนมาเลื่อนดูเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม? เช็คอีเมลงาน? คิดถึงงานที่ค้างจากเมื่อวาน? คุณแน่ใจได้อย่างไรว่าการเริ่มต้นวันที่คุณกำลังทำอยู่นั้นส่งผลให้คุณทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ? Jacqueline Whitmore ผู้เขียนหนังสือ Poised for Success: Mastering the Four Qualities That Distinguish Outstanding Professionals จะมาร่วมแชร์วิธีการตื่นนอนอย่างสงบ ผ่อนคลายที่จะช่วยให้คุณจัดการวันของคุณให้มีประสิทธิภาพตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวขาลงจากเตียง 1.ลุกจากเตียงอย่างนุ่มนวล เรามักลุกจากเตียงอย่างรีบเร่ง เพราะคิดว่าใช้เวลานอนให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการกดเลื่อนนาฬิกาปลุกออกไปเรื่อย ๆ แล้วจะถือว่าได้ใช้เวลาพักผ่อนนานขึ้น แต่ลองเปลี่ยนวิธีการลุกจากที่นอนดูใหม่ แทนที่จะรีบลุกอย่างเร่งร้อน ให้เราค่อย ๆ ลุกอย่างนุ่มนวล นอนให้เต็มตื่น ปลุกเวลาเผื่อเวลาต้องตื่นจริงสัก 5-10 นาที เลือกใช้เสียงปลุกที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขที่ได้ฟังมากกว่าเสียงที่ทำให้ฟังแล้วรู้สึกเกลียดที่จะตื่นขึ้นมา 2.ยิ้ม วิธีโคตรง่ายอย่างการยิ้มนี่แหละ ที่จะทำให้วันทั้งวันของเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะการยิ้มสามารถเปลี่ยนโทนของอารมณ์ได้ โดยการยิ้มช่วยเพิ่มปริมาณสาร endorphin ในร่างกายซึ่งจะช่วยลดความเจ็บปวด ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและรู้สึกดีเกี่ยวกับตัวเอง แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคุณคิดว่าเรากำลังให้คุณตื่นขึ้นมาฉีกยิ้มพร่ำเพรื่อก็คงไม่ใช่ แต่เรากำลังแนะนำให้คุณหาอะไรที่ทำให้คุณยิ้มได้มาวางไว้หัวเตียง อาจจะเป็นสาวที่คุณชอบ สถานที่ที่คุณชอบไป ที่เที่ยวที่คุณฝันว่าจะไปมาตลอดชีวิต จะได้ตื่นมาแล้วยิ้มให้กับสิ่งดี ๆ เหล่านั้นก่อนเริ่มต้นวัน
เราต่างอยู่ในยุคที่ถูกกรอกหูอยู่ทุกวันว่าให้คิดบวกสิ คิดว่าทุกอย่างเป็นไปได้สิ ไม่มีอะไรในโลกที่เราทำไม่ได้หรอก ขอแค่เรามั่นใจในตัวเอง แล้วบอกว่ามันเป็นไปได้ก็พอ เราเชื่อตาม ๆ กันมา ตื่นนอนมาพร้อม ๆ กับการยืนหน้ากระจกฉีกยิ้มให้กับตัวเอง แล้วบอกว่าทำได้! กูทำได้ทุกอย่างในโลกเลย! แต่การคิดบวก ให้กำลังใจตัวเองตลอดเวลาอย่างนี้เป็นผลดีจริงหรือเปล่า? มันมีส่วนกับความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน? แล้วถ้าไม่คิดบวกตามแบบใคร ๆ เรามีโอกาสประสบความสำเร็จหรือเปล่า? ก่อนอื่น UNLOCKMEN ขอพาคุณย้อนกลับไปเมื่อเดือนกันยายนปี 2015 ขณะนั้นที่ New York มีการแข่งขันเทนนิส U.S. Open รอบ semi-finals โดยเป็นการแข่งขันกันระหว่าง Roberta Vinci กับนักเทนนิสมือวางอันดับหนึ่งในขณะนั้นอย่าง Serena Williams เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่า Serena Williams ชนะ 3 รายการหลักของการแข่งขันเทนนิสไปแล้วในปีนั้น แถมได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเทนนิสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ในขณะที่ Roberta Vinci ไม่เคยผ่านเข้ามาถึงรอบ semi-finals ของการแข่งขันเทนนิสรายการใหญ่ ๆ เลย นี่เป็นครั้งแรกของชีวิตการเป็นนักกีฬาเทนนิสของเธอ โอกาสชนะครั้งนี้คือ 300
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าท่ามกลางกระแสว่าเศรษฐกิจไม่ดี เรากลับพบว่ารอบตัวเต็มไปด้วยธุรกิจใหม่ ๆ ที่ประสบความสำเร็จ ภายใต้การขับเคลื่อนของผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นผลจากรอยต่อของ Generation X ปลาย ๆและ Y ต้น ๆ กลุ่มคนที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ กล้าลองผิดลองถูก และสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางต่าง ๆ มาทำเป็นธุรกิจได้อย่างสวยงาม นับตั้งแต่วงการ StartUp เริ่มบูมขึ้นเมื่อหลายปีที่ผ่านมา คนกลุ่มนี้ก็ไม่รอช้าที่จะใช้ความรู้ ความสามารถ และเทคโนโลยีเข้ามาแก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน จนเกิดเป็น Unicorn StartUp ก็หลายราย ในทางการตลาดเราเรียกคนกลุ่มนี้รวมกันว่า “Mass Affluent” กลุ่ม Mass Affluent ที่เข้าใจง่าย ก็คือบรรดาผู้บริหาร เจ้าของกิจการ ซึ่งไม่ใช่คนกลุ่มน้อยอย่างที่คิด ใน ภาพใหญ่ระดับเอเชีย คนกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2020คนกลุ่มนี้จะมีทรัพย์สินรวมกันสูงถึง 43.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในประเทศไทยเองก็มี Mass Affluent อยู่ไม่น้อย โดยตัวเลขปัจจุบันระบุว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่า 500,000 ราย ที่อัตราเติบโตประมาณ
“กิ่งไม้หนึ่งกิ่งหักง่าย แต่ถ้านำกิ่งไม้หลายกิ่งมารวมกันเป็นมัดใหญ่ กลายเป็นยากที่จะหัก” ถ้าจะให้อธิบายข้อดีของความสามัคคี ประโยคที่ถูกใช้สอนกันมาตั้งแต่เด็กประโยคนี้น่าจะทำหน้าที่ได้ดีที่สุด แน่นอน! พวกเรารู้ประโยชน์ของความสามัคคีเป็นอย่างดี เรารู้ว่าถ้าผู้คนในสังคมช่วยเหลือกัน ร่วมมือกันทำสิ่งต่าง ๆ ความสำเร็จ ความสุขในทุกระดับ ความเจริญก้าวหน้าของชาติจะตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่น่าแปลกใจ ที่เมื่อเราโตขึ้นมา กลับพบว่าสังคมสามัคคีในอุดมคตินั้น เป็นจริงได้ยากเหลือเกิน กระทั่งเราได้เจอกับ copy ที่โดนใจจากแคมเปญ #WECULTURE ของ Ananda Development ทำให้ฉุกคิดได้ว่า จุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนไปสู่สังคมอุดมคตินั้น ง่ายกว่าที่คิด เริ่มจากเปลี่ยนคำว่า “ME” เป็น “WE” “ยาก” แต่ไม่ได้แปลว่า “เป็นไปไม่ได้” เราได้เห็นพลังของการช่วยเหลือกันในสังคมเมื่อถึงคราวจำเป็น เช่นเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ปัญหาที่ดูใหญ่โตระดับที่คนไทยไม่เคยพบเจอมาก่อน กลับถูกแก้ไขได้อย่างรวดเร็วจากการช่วยเหลือกันของคนทั้งประเทศ ต่างคนต่างงัดความสามารถออกมาโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ หรือการร่วมมือกันในเลเวลเล็กลงมา อย่างการหลบรถพยาบาลฉุกเฉินบนท้องถนน ก็เป็นพฤติกรรมที่คนในสังคมทำตามกันโดยไม่ต้องรณรงค์มากมายอะไร เราจึงมีความเชื่ออยู่เสมอว่า ขอแค่มีผู้นำที่มีความพร้อม เป็นตัวตั้งตัวตี ก็น่าจะสามารถชักชวนคนในสังคมให้เกิดความสามัคคีร่วมมือกันได้ ทั้งหมดคือเหตุผลที่เรารู้สึกว่า #WECULTURE campaign ของ ANANDA DEVELOPMENT ทำออกมาได้ตรงใจคนไทยหลายคนแน่นอน #WECULTURE แคมเปญชื่อตรงตัวแบบไม่ต้องตีความหมายให้ยากเย็น