มีข่าวลือเกี่ยวกับ Hypercar สำหรับแข่งคันใหม่ล่าสุดจาก Gazoo Racing และ Toyota สะพัดมาร่วมสองปี ซึ่งต่างจาก GR Supra, GR Yaris เพราะนี่คือรถที่สร้างขึ้นใหม่หมดทั้งคันตามกฎของ FIA Racing เรียกได้เต็มปากว่าเกิดจากสนามแข่งอย่างแท้จริง GR Toyota Hypercar คันนี้ยังไม่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ แต่มันถูกเรียกด้วยรหัสว่า ‘GR 010’ เป็นรถแข่งที่สร้างใน ‘Le Mans Hypercar’ class ขุมพลัง Hybrid เครื่องยนต์ twin-turbo 2.4-liter Competition V6 พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว คาดว่าจะประกบล้อหลังข้างละตัว และใช้ขับล้อคู่หน้า 1 ตัว ซึ่งสเปกที่ได้ออกมาอยู่ที่ 680 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อ four-wheel drive racing hybrid มีน้ำหนักตัวรวมเพียงแค่ 1030
ก่อนหน้านี้เราได้นำเอา Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในโมเดลที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับนักขับรถตัวจริง มันสามารถใช้งานได้ดีในชีวิตประจำวัน สมรรถนะที่ถูกถ่ายทอดจาก AMG เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร เทอร์โบ พ่วง EQ Boost 435 แรงม้า แรงบิด 520 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ 0-100km/h ใน 4.5 วินาที แม้จะไม่ใช่ One man, one engine แต่ก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณรถแข่งโดยทีม AMG ในทุกรายละเอียด เชื่อว่าหลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า ตัวเลขสมรรถนะของ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ ยังขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นโมเดลพิเศษที่สุดของค่ายอย่างตระกูล Mercedes-AMG GT ที่ถูกดีไซน์และสร้างโดย Mercedes-AMG เพื่อเป็นรถ Supercar โดยเฉพาะ มันจะสุดขนาดไหน วันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้ว ขอสรุปล่วงหน้าสั้น
ในขณะที่พวกเราเฝ้ารอ 2021 Audi S3 ที่เผยให้เห็นดีไซน์โฉมใหม่ หล่อ คมเข้ม และยังมีพละกำลังเพิ่มขึ้นมาก โดยสเปกจากโรงงานของ Audi S3 ใหม่เมื่อพ้นประตูโรงงานผลิต จะมีตัวเลขน่าประทับใจถึง 306 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร แต่สำหรับสำนักจูนคู่บุญค่ายสี่ห่วงอย่าง ABT Sportsline นอกจากจะไม่ต้องรอนาน ยังสามารถจับมือกับ Audi เอา 2021 S3 มาจูนเสริมพลังใหม่เป็นที่เรียบร้อย ด้วยการปลุกเสกเครื่อง 2.0 ลิตร ให้มีตัวเลขใกล้เคียงกับรุ่นใหญ่บ้าพลัง RS3 รวมถึงชุดแต่งภายนอกที่ไม่ล้นทะลักเกินงาม ให้อารมณ์สปอร์ตแบบลงตัวใน 2021 Audi S3 Tuned by ABT Sportsline ในแง่สมรรถนะ 2021 Audi S3 Tuned by ABT Sportsline มีสเปกอยู่ที่ 306 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตันเมตร
ในช่วงโควิด-19 กำลังระบาดระลอกใหม่ เจ้าของธุรกิจหลายอาจจะประสบปัญหาจนอยากจะขายหุ้นให้นักลงทุนเพื่อรักษาประสิทธิภาพการทำงานเอาไว้ วิกฤตการทำธุรกิจนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่ Elon Musk ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวในอดีตว่าเคยติดต่อขอนัดพบ Tim Cook เพื่อให้ Apple ซื้อหุ้น Tesla แต่กลับถูกปฏิเสธ ซึ่งมองในวันนี้ถือเป็นโชคดี เพราะมูลค่าของ Tesla เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าจากวันนั้นได้ด้วยตัวเอง หลัง Apple ออกมาแง้มแผนการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ สาวก Apple หลายคนน่าจะจำได้ว่าในปี 2014 เคยมีข่าวเกี่ยวกับ ‘Project Titan’ โครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างรถยนต์พลังงานไฟฟ้า แต่การสร้างรถยนต์ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่บริษัทนักสร้างนวัตกรรมอย่าง Apple ก็ต้องพบเจอปัญหามากมายจนต้องยุบแผนกไปหลายครั้ง ถึงกับเคยถอดใจเปลี่ยนแผนไปมุ่งพัฒนา autonomous driving software แทน กระทั่งไม่กี่วันก่อน ก็มีข่าวว่าเกี่ยวกับ Apple Car อีกครั้งให้สำเร็จในปี 2024 ด้วยจุดเด่นที่แบตเตอรี่พลังงานสูงอย่างที่ไม่เคยมีในตลาด หลังแพลนของ Apple ถูกนำเสนอไปทั่วโลก Elon Musk ได้ออกมาเล่าถึงเรื่องราวในอดีตย้อนไปในปี
สมัยนี้รถแรงทุกคนต้องมีการพ่นไฟทางท่อไอเสีย หรือที่ภาษาเทคนิคเรียกว่า Antilag system สำหรับรถเทอร์โบสมรรถนะสูง แต่ในอดีตมีการพ่นไฟที่ใหญ่โตกว่า Antilag ในปัจจุบัน อันที่จริงควรจะเรียกว่าเครื่องพ่นไฟติดในรถยนต์เลยจะดีกว่า เพราะหน้าที่ของมันมีไว้ยิงไฟใส่หัวขโมยที่ชุกยิ่งกว่ายุง ในปี 1998 เป็นช่วงเวลาที่โจรขโมยรถยนต์ระบาดหนักใน South Africa เรียกว่าจอดไว้เป็นหาเรียบ ที่จริงไม่ใช่แค่โจรขโมยรถที่ชุกชุม เรียกว่าอาชญากรทุกรูปแบบเลยดีกว่า ในยุคนั้นศาลใน South Africa ถึงกับอนุญาตให้ป้องกันตัวด้วยการฆ่าคู่กรณีได้ถ้าจำเป็นต้องป้องกันตัว และเฉพาะในปี 1997 ก็มีตัวเลขรถถูกขโมยไปมากถึง 13,000 คัน ทั้งปล้นต่อหน้าหรือขณะจอดไว้ก็ตาม เมื่อเจอปัญหานี้มาก ๆ เข้า ก็มีนักธุรกิจหัวใส “Mr. Charl Fourie” หาทางออกที่สะใจเจ้าของรถมาให้ ด้วยการเพิ่มชุดออพชั่นเสริมกันขโมย ไม่ใช่สัญญาณ แต่เป็นเครื่องพ่นไฟ “Blaster” ติดตั้งไว้บริเวณใต้ต้องรถทั้งสองด้าน มีหัวต่อท่อจากถังแก๊สที่เก็บไว้บริเวณท้ายรถ ยิงเปลวไฟสูงความสูงระดับหัวมนุษย์ได้พร้อมกันทั้งด้ายซ้ายและขวา ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกระดับความแรงและทิศทางของเปลวไฟได้ตามสภาพแวดล้อมที่ต้องการ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะกลายเป็นฆาตกรเสียเองจากเปลวไฟที่รุนแรงขนาดนี้ เพราะเจ้าของเค้าการันตีว่าความแรงของเปลวไฟไม่ทำให้ถึงตาย เพราะมันทำให้โจรตาบอดได้เท่านั้น และคงไม่มีโจรหน้าไหนยืนแช่เปลวไฟโดยไม่รีบวิ่งหนีออกมาแน่นอน The Blaster ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมากในยุคนั้น ถ้าเทียบกับปัจจุบันก็ระดับ Start-Up ของ Seo
มีรถยนต์หรูหราสำหรับผู้บริหารมากมายที่ถูกนำไปปรับแต่งเสริมเกราะกันกระสุนรอบคันเพิ่มความปลอดภัยให้ชีวิต แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เราจะเป็น Supercar อย่าง Ferrari 458 Speciale ถูกนำไปอัพเกรดในเวอร์ชั่นกันกระสุน อาจจะเป็นเพราะการยิงใส่รถ Supercar ที่ทำเวลา 0-100 km/h ใน 3 วินาทีนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก แต่ AddArmor เชื่อว่าคนที่ซื้อรถ Supercar แบบนี้ได้ ย่อมต้องเป็นบุคคลสำคัญ และต้องการความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ขับ Supercar กินลมเล่นก็ตาม หลายคนต่างมีคำถามว่า ซื้อ Ferrari 458 Speciale ซึ่งเป็น Lightweight model มาเสริมเกราะกันกระสุนให้หนักเพื่ออะไร มันจะผิดวัตถุประสงค์ของรถคันนี้มากไปหรือไม่? แต่ AddArmor ไม่คิดแบบนั้น และอธิบายว่า ถ้าคุณซื้อรถธรรมดาที่หนักอยู่แล้วมาเสริมเกราะกันกระสุน แม้มันจะปลอดภัย แต่ก็จะหนักเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะทำความเร็วได้ไม่ดีนัก และเป้าหมายที่เคลื่อนไหวได้ช้าย่อมเป็นเป้าหมายที่อันตราย รวมถึงคนที่อยู่ในรถด้วย (มีเหตุผล!) ผลงานการเสริมความแข็งแกร่งให้ Ferrari 458 Speciale จึงเป็นการแสดงฝีมือของ AddArmor ว่าสามารถติดตั้งเกราะกันกระสุนได้ไม่ว่าจะเป็นรถรูปทรงไหน แม้แต่ Lightweight
หลังจาก Lamborghini พึ่งจะเปิดตัว Huracan STO ในเดือนที่ผ่านมา และเราคิดว่าน่าจะเป็นโมเดลสุดท้ายของปี 2020 แต่ต้องบอกเลยว่าคิดผิด เพราะ Lamborghini ยังมีผลงานที่ร้อนแรงและพิเศษยิ่งกว่ารอเอาไว้ นั่นคือ Lamborghini SC20 ในตัวถัง Roofless ไร้หลังคาไว้ซ่าแบบ Open top ผลิตเพียงคันเดียวในโลก! Lamborghini SC20, the most extreme open version of a road-legal V12 supercar, ผลงานระดับ Masterpiece ชิ้นล่าสุดของ Squadra Corse motorsport division ซึ่งต่อยอดมาจาก Track-only Lamborghini Essenza SCV12 เครื่องยนต์ NA V12 850 แรงม้า สุดยอด Racecar ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในสนามแข่งเท่านั้น ต่างกับ SC20
เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของอายุขัยแล้วสำหรับ Alfa Romeo 4C Spider ซึ่งค่ายรถเลือด Italian ก็เตรียมส่งท้ายด้วยเวอร์ชั่นสุดพิเศษ “33 Stradale Tributo” ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก 1967 Alfa Romeo 33 Stradale รถแข่งในอดีตที่อยู่เหนือกาลเวลา Alfa Romeo 4C Spider 33 Stradale Tributo มากับตัวถังสี signature แดงสด Rosso Villa d’Este tri-coat ผลิตจาก carbon monocoque chassis ตัดกับสีดำจาก carbon fiber ในจุดต่าง ๆ ของรถ พร้อมล้อสีพิเศษ grayish gold ช่วยเพิ่มอารมณ์ความสปอร์ตให้เลือดลมสูบฉีดได้เต็มพิกัด ส่วนภายในเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ประณีตสวยงามผสมผสานอารมณ์ Racecar และความหรูหราของเครื่องหนัง Italian ด้วยโทนสีดำตัดน้ำตาล tobacco brown มีสัญลักษณ์ระบุความเป็น edition
Mercedes-Benz ต่างกับ Mercedes-AMG ยังไง ก่อนหน้านี้อาจจะมีบางท่านที่ไม่ทราบความเป็นมาของการควบรวมแบรนด์ระหว่าง Mercedes-Benz และ AMG จนได้ออกมาเป็นสุดยอดรถยนต์สมรรถนะเยี่ยมเต็มเปี่ยมด้วย DNA จากสนามแข่งออกมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งถ้าใครอยากรู้ข้อมูลแบบเจาะลึกก็สามารถเข้าไปดูกันได้ที่ History of Mercedes-Benz and AMG สำหรับในบทความนี้ เป็นอีกครั้งที่เราจะมาตอบคำถามยอดฮิตที่หลายคนสงสัยว่า รถที่เป็น Mercedes-AMG แท้ ๆ ดูยังไง แล้ว Mercedes-Benz ที่เป็น AMG Line ล่ะมันใช่ Mercedes-AMG หรือไม่ โดยการเทียบความแตกต่างที่ระหว่าง Mercedes-Benz CLS 300 d AMG Premium กับ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ จิตวิญญาณรถแข่งแท้ ๆ completed จากโรงงาน AMG Line คือการติดตั้งชุดแต่งทั้งภายนอกและภายในที่ผ่านการออกแบบมาเพิ่มอารมณ์สปอร์ตให้กับรถยนต์ Mercedes-Benz ซึ่งมักจะเป็นรุ่นท็อปสุดในโมเดลนั้น ๆ ภาพลักษณ์ที่ดูดุดันขึ้นจากชุดแต่งรอบคัน
“ผมยังจดจำได้ว่า เอนโซ่ เฟอร์รารี่ เข้ามาพูดคุยกับผม เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินความปรารถนาในการสร้างรถยนต์ที่แสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริงของเฟอร์รารี่ ขณะเดียวกัน ผมก็รู้ได้ในเวลาเดียวกันว่า นี่จะเป็นรถคันสุดท้ายในชีวิตของชายที่ชื่อ เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่” Leonardo Fioravanti กล่าวถึงการสนทนาที่กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของ Ferrari F40 ถ้าหากพูดถึงเรื่องราวของซูเปอร์คาร์จากค่ายรถสุดแรงสัญชาติอิตาเลียนนามว่า เฟอร์รารี่ เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงมีโมเดลรถยนต์จากค่ายม้าลำพองที่ชื่นชอบเป็นการส่วนตัวอยู่หลายรุ่น อย่างไรก็ตาม หนึ่งในรถยนต์รุ่นไอคอนอย่าง Ferrari F40 ถือเป็นซูเปอร์คาร์ที่ถูกจดจำได้มากที่สุด ทั้งจากงานดีไซน์ที่มีสวยงามมีเอกลักษณ์ อย่างไรก็ตาม รถยนต์คันสุดท้ายในชีวิต ชายผู้ก่อตั้งค่ายเฟอร์รารี่คันนี้ ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมาย และวันนี้เราจะพาทุกคนไปย้อนทำความรู้จักกับจุดเริ่มต้นของซูเปอร์คาร์คันนี้ รวมถึงความพิเศษที่ทำให้มันกลายเป็นตำนานบนท้องถนนมาจนถึงปัจจุบัน 288 GTO Evoluzione เรื่องราวของ Ferrari F40 เริ่มต้นขึ้นในปี 1984 เมื่อ Nicola Materazi หัวหน้าทีมวิศวกรผู้รับหน้าที่พัฒนาแผนกรถสปอร์ตและรถแข่งของเฟอร์รารี่ ได้เสนอไอเดียให้เอ็นโซ่ เฟอร์รารี่ เลือกใช้เครื่องยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน Group B ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขนาด 2.857 ลิตร Turbocharged เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของรถยนต์รุ่นที่ใช้บนท้องถนนของค่าย เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเฟอร์รารี่มียอดขายที่รถน้อยลง