หลังมีข่าวเล่าลือมานานเกี่ยวกับรถคันใหม่ของ Porsche ตระกูล 718 ทำให้หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบรถสปอร์ตขนาดกลางของค่ายต่างคาดหวังว่ารถคันใหม่ที่จะปล่อยออกมา ต้องติดของดีของแรงมาสร้างความประทับใจให้อย่างแน่นอน แต่เหมือนจะเหนือกว่าที่คาดการณ์กันเอาไว้เพราะ Porsche ทำให้ประหลาดใจกว่าที่คาดด้วยการปล่อย 718 ออกมาพร้อมกัน 2 โมเดล ค่ายรถยนต์สุดแรงจากเยอรมนีเปิดตัว Cayman GT4 สุดหล่อที่มาในรูปแบบคูเป้และ Boxster Spyder ตัวแรงในลุคเปิดประทุน โดยทั้งสองคันเป็นรถยนต์ที่อยู่ในสายการผลิตของรถสปอร์ตขนาดกลางอย่างตระกูล 718 แต่สำหรับหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบยนตรกรรมของค่ายนี้เป็นทุนเดิม คงจะพอใจกับเครื่องยนต์แบบ 6 สูบแบบเดียวกันกับที่ใช้ใน 911 Carrera s Cayman GT4 และ Boxster Spyder มาพร้อมเครื่องยนต์หกสูบนอน Boxer ขนาด 4.0 ลิตรที่ให้กำลัง 414 แรงมาสูงสุดที่ 7,600 ต่อ/นาที แรงบิดที่ 309 ปอนด์-ฟุตสูงสุดที่ 5,000-6800 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับชุดเกียร์ธรรมดา 6-speed ที่จะส่งกำลังไปยังล้อหลังทั้งสองซึ่งให้อัตราเร่ง
ในโลกของกีฬามอเตอร์สปอร์ต สิ่งสำคัญที่คนในวงการต่างให้ความสำคัญก็คือเรื่องของ “ความเร็ว” เพราะมันคือหัวใจหลักที่จะตัดสินผลแพ้ชนะในการแข่งขัน และเป็นเรื่องที่ทั้งตัวนักขับ ทีมวิเคราะห์ ทีมเทคนิค รวมไปถึงทีมช่างทุกคนต่างทำงานอย่างหนักเพื่อให้รถยนต์จากทีมของพวกเขาเร็วที่สุด เพื่อจะทะยานแซงรถทุกคันเข้าสู่เส้นชัยเป็นอันดับ 1 ถ้าพูดถึงทีมมอเตอร์สปอร์ตชั้นนำจากเอเชียชื่อของ BMW Team Studie คืออีกชื่อที่ผู้รักความเร็วทุกคนต้องจำให้ขึ้นใจ เพราะพวกเขาคือทีมแข่งขันของ BMW จากประเทศญี่ปุ่นที่มีทั้งนักขับมือฉมังและทีมงานมืออาชีพซึ่งทำงานภายใต้เป้าหมายเดียวกัน คือการเป็นเจ้าความเร็วในทุกสนามที่ลงแข่งขัน รายการ Blancpain GT Series Asia 2019 (บลองค์แปง จีที ซีรีส์ เอเชีย) พวกเขาก็พร้อมมาร่วมล่าแชมป์ด้วย BMW M4 GT4 ที่มากับลวดลายชุดแข่งใหม่ที่จะสะกดสายตาทุกคู่ในสนาม สำหรับ Blancpain GT Series Asia 2019 เป็นการแข่งขันรถยนต์ประเภท Grand Tourer ระดับโลกของทวีปเอเชียที่จัดโดย SRO MotorSport เป็นซีรีส์แข่งขันที่เต็มไปด้วยทีมมอเตอร์สปอร์ตชั้นนำจากทั่วทั้งทวีป แข่งขันแบบเก็บสะสมแต้มจากทั้งหมด 6 สนาม สนามแรกจัดที่ Sepang International Circuit ประเทศมาเลเซีย ทีม
หลังจากสู้งานหนักมาตลอดทั้งเดือน ประคองชีวิตเหนื่อย ๆ มาตลอดทั้งปี การมีช่วงวันหยุดวันพักให้ตัวเองมีเวลาว่างทั้งที หนุ่ม ๆ ทั้งหลายคงถือโอกาสเตรียมการเดินทางพักผ่อนให้กับตัวเองเอาไว้แล้ว บางคนอาจเลือกที่จะบินตรงไปถึงจุดหมายเพื่อความรวดเร็ว แต่สำหรับผู้ชายสาย Road trip ที่ชอบขับรถท่องเที่ยวเองพร้อมนั่งฮัมเพลงสบาย ๆ นี่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่จะได้เดินทางไปกับรถคันคู่ใจ เพื่อมอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมให้กับตัวเอง สำหรับขาประจำที่เคยมีประสบการณ์จัดทริปขับรถทางไกลคงรู้ดีว่าการเตรียมตัวและวางแผนให้พร้อม จะช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พัก เส้นทางและจุดหมายสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องของน้ำมันที่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับ Road Trip ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะน้ำมันที่ดีเปรียบเสมือนเลือดที่รถยนต์ขาดไม่ได้ ให้อะไรกับรถยนต์และตัวคุณมากกว่าที่คิด วันนี้ UNLOCKMEN เลยถือโอกาสพิสูจน์น้ำมันคุณภาพสูงจาก Caltex ที่มาพร้อมเทคโนโลยี TECHRON ด้วยทริปส่วนตัวของเรา มาดูกันว่าการเดินทางด้วยน้ำมันคุณภาพเต็มถังในครั้งนี้จะมีผลดีต่อรถยนต์และการเดินทางของเรายังไงกันบ้าง กำลังเครื่องยนต์และสมรรถนะที่ดีขึ้น อาการเครื่องยนต์มีปัญหาหรือทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ มีต้นเหตุมาจากการเลือกเติมน้ำมันที่ไม่มีคุณภาพ ทำให้เกิดการสะสมตัวของคราบสกปรกภายในห้องเผาไหม้ ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มที่และอาจมีปัญหาใหญ่ตามมาในระยะยาว แต่การเลือกเติมน้ำมันคุณภาพสูงจาก Caltex ในทริปครั้งนี้ของเราช่วยลดปัญหาได้เพราะ Polyetheramine หนึ่งในส่วนผสมของน้ำมันสูตรเทครอน ไม่ได้ทำหน้าที่แค่กำจัดคราบเขม่าคาร์บอนที่สะสมในเครื่องยนต์เท่านั้น แต่ยังทำความสะอาดคราบสกปรกที่มีผลต่ออัตราการเร่งด้วย ทำให้ทุกครั้งที่เราเหยียบคันเร่งก็ได้สัมผัสถึงอัตราการทำความเร็วที่มีพลังมากขึ้นจากรถยนต์ที่ใช้งานอยู่จนรู้สึกเหมือนรถใหม่ในวันแรกที่เจอกัน การขับขี่ที่ต่อเนื่องและนุ่มนวล หลายคนอาจเคยเจอกับอาการตอบสนองช้าและเครื่องยนต์สะดุดจากรถที่ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างสตาร์ทเครื่องยนต์ ขับขี่และเร่งเครื่อง ซึ่งส่วนใหญ่มักเจอในรถยนต์ที่ใช้งานวิ่งในระยะสั้นเป็นประจำและมีคราบเขม่าอุดตันที่หัวฉีดทำให้อัตราการจ่ายน้ำมันไม่ต่อเนื่อง เป็นสาเหตุให้เกิดอาการจุกจิกต่าง
หลังจากที่ BMW ได้ประกาศการกลับมาของ 8-Series ในรหัสตัวถัง G14 G15 และ G16 ไปในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ในที่สุดโปรเจกต์ที่เคยถูกพับเก็บไปกำลังจะกลับมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้ตระกูล 8 อีกครั้ง ด้วยรถสายพันธุ์แรงรหัส M คันรุ่นล่าสุดอย่าง BMW M8 หลังจากเปิดตัว BMW M8 Coupe ออกมาก่อนหน้านี้เพียงโมเดลเดียวทำให้หนุ่ม ๆ ที่รอคอย M8 ตั้งข้อสงสัยว่าในสายการผลิตล่าสุดของรถยนต์สมรรถนะสูงอย่าง M8 ปี 2020 จะประกอบด้วยโมเดลแบบไหนบ้าง จนในที่สุดค่ายใบพัดสีฟ้าก็เปิดตัวโมเดลที่เหลือซึ่งได้แก่ตัว Convertible รวมถึงของแรงอย่าง M8 Coupe Competition และ M8 Convertible Competition ที่อัปเกรดขึ้นมาเล็กน้อยจากรุ่นปกติ ภายนอก M8 สามคันที่เพิ่งเปิดตัวออกมามีตัวถังยาว 4.86 เมตร กว้าง 1.90 เมตรและสูง 1.36 เมตร มีฐานล้อขนาด 2.82 เมตรเพื่อรองรับห้องเครื่องยนต์และห้องโดยสารขนาดใหญ่ ดีไซน์รถมีมิติที่สวยงาม
ดูเหมือนอีเวนต์ 24 Hours of Le Mans 2019 งานแข่งรถสายพันธุ์อึดที่จัดขึ้นในวันที่ 15-16 มิถุนายนนี้จะไม่ได้มีแค่ผลการแข่งขันว่าใครจะได้แชมป์มาราธอนของปีนี้ไปครองเพียงอย่างเดียวแล้ว เมื่อ Aston Martin ประกาศว่าพวกเขาเปิดตัว DB4 Zagato Continuation รถยนต์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่นดั้งเดิมของมันที่ผลิตขึ้นมาเมื่อ 60 ปีที่แล้ว ให้กลับมาโลดแล่นบนท้องถนนอีกครั้ง ย้อนกลับไปในปี 1960 ค่ายรถจากเมืองผู้ดีเปิดตัว Aston Martin DB4 GT Zagato ในงาน London Motor Show รถรุ่นดังกล่าวผลิตขึ้นในโรงงาน Zagato ประเทศอิตาลี โดยตั้งใจผลิตมันออกมาเป็นสายพันธุ์นักแข่งน้ำหนักเบาที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 6 สูบขนาด 3.7 ลิตรซึ่งถือว่าแรงสุดในเวลานั้น แผนเดิมของพวกเขาคือผลิตออกมาทั้งหมด 25 คัน แต่ผลิตออกมาจริงเพียง 20 คันเท่านั้น จนกลายเป็นหนึ่งในโมเดลหายากที่แฟน ๆ Aston Martin ทั่วโลกอยากได้มาครอบครอง เวลาผ่านไปเกือบ 60 ปีพร้อมข่าวลือที่เล็ดลอดออกมาว่า Aston
สำหรับแบรนด์รถยนต์ที่ยืนหนึ่งเรื่องความ Innovation กับประวัติศาสตร์ที่ยาวนานถึง 85 ปีของ Nissan ล่าสุดได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านการเคลื่อนที่ในอนาคตในงาน CES Asia 2019 ด้วยการนำเสนอ เทคโนโลยีที่ใช้คลื่นสมองและการผสานโลกความเป็นจริง และโลกเสมือนจริงเพื่อช่วยผู้ขับขี่ ให้สมกับที่เป็นเจ้าแห่ง “Intelligent Mobility” Nissan แสดงเทคโนโลยี Invisible-to-Visible หรือ I2V เทคโนโลยี Brain-to-Vehicle หรือ B2Vรวมถึง IMs รถยนต์ต้นแบบที่ใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนแบบ all-wheel-drive (AWD) ที่งานแสดงสินค้า ณ นครเซี่ยงไฮ้ การจัดแสดงนวัตกรรมเหล่านี้เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกของ Nissan Intelligent Mobility ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ของแบรนด์ แก่ลูกค้า ที่เปลี่ยนวิธีขับเคลื่อนยานยนต์ เปลี่ยนวิถีในการขับขี่ รวมถึงการบูรณาการเข้ากับสังคม “ที่นิสสันเรามุ่งมั่นการพัฒนานวัตกรรมให้ก้าวไกลกว่าคนอื่นเสมอ” รอย เดอ วีรส์ รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของนิสสัน (Roel De Vries – Senior Vice President for Marketing)
มันเป็นยุคของรถ SUV ที่ทำให้ตลาดรถ Supercar ต่างต้องแข่งกันออกแบบพัฒนารถหรู แรง และลุยได้ของตัวเองออกมาแย่งชิ้นเค้กในตลาดนี้กันไม่เว้นแม้แต่ Lamborghini ที่ส่ง Urus ตัวลุยโคตรแรงที่ถูกจำกัดความว่าเป็น Super SUV แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะ Happy กับการเห็นรถในฝันของตัวเองกลายร่างเป็นลุยทรงตลาดแบบนี้ (แม้จุดเริ่มต้นของค่ายนี้จะมาจากรถ Tractor และเคยมี SUV มาก่อนทำ Supercar ด้วยซ้ำ) What’s done is done! คนทำธุรกิจก็ต้องหาเงิน แต่ในขณะเดียวกัน Lamborghini ก็ไม่ปล่อยให้คนค้างคาใจ เปิดตัวลุย All-Road รุ่นใหม่ที่คราวนี้ไม่ทำให้ใครผิดหวังแน่นอน เพราะยึดจากรูปทรงรถของ Huracan ที่ผ่านการปรับแต่งรอบคันทั้งภายนอกและภายใน มั่นใจได้เลยว่าจะสถาพถนนแบบไหนก็สามารถลุยไปได้อย่างมีสไตล์กว่าใครเพื่อน Lamborghini Huracan Sterrato ถือเป็นรถ Off-roader ยุคใหม่รุ่นที่ 2 ของค่ายนับตั้งแต่ Urus ภายนอกสังเกตได้ทันทีว่ารุ่นนี้สายลุย ด้วยสติกเกอร์ตกแต่งรอบคันพร้อมไฟ LED ด้านหน้าและด้านบนหลังคารถ ช่วงล่างเพิ่ม clearence มีการยกสูงมากขึ้นกว่า Huracan ปกติถึงวง 47mm
Brabus ค่ายแต่งรถชั้นเซียนประกาศศักดาของตัวเองอีกครั้งหลังคลอด The Brabus 800 ที่มีพื้นฐานมาจาก Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ ซึ่งสมรรถนะของมันจะถูกอัปเกรดขึ้นมามากแค่ไหนและมีส่วนใดที่เปลี่ยนแปลงไปบ้างมาชมกัน เริ่มต้นจากความเปลี่ยนใต้ฝากระโปรงของซึ่งเดิมทีต้นแบบอย่าง Mercedes-AMG GT 63 S 4MATIC+ มาพร้อมเครื่องยนต์ AMG ขนาด 4.0 ลิตรที่ให้กำลัง 630 แรงม้า แรงบิดที่ 800 นิวตันเมตรที่สร้างอัตราเร่ง 0-100 ในเวลา 3.4 วินาที พร้อมอัตราเร่งสูงสุดที่ 310 กิโลเมตร/ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม Brabus 800 คันพัฒนายกเครื่องใหม่โดยใช้เครื่องยนต์ V8 Twin-Turbo ที่ให้กำลัง 800 แรงม้า จนถูกใช้เป็นชื่อเรียกและแรงบิดที่ 737 ปอนด์-ฟุต และปรับจูนกล่อง ECU ให้มีอัตราการเร่ง 0-100 ลดลงมาเหลือ 2.9 วินาที นอกจากความแรงขุมพลังภายในแล้ว ดีไซน์ภายนอกของ Brabus 800
ถ้าพูดถึงสุดยอดนักเตะไทยที่ค้าแข้งอยู่ต่างแดน แน่นอนว่าชื่อที่หนุ่ม ๆ ในบ้านเราคิดถึงต้องเป็นชื่อของ “เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์” ที่เพิ่งพาคอนซาโดเล่ ซัปโปโรคว้าอันดับ 4 ใน J1 League ฤดูกาลที่ผ่านมา ด้วยฟอร์มการเล่นอันร้อนแรงทางผู้สนับสนุนประจำตัวอย่าง Jeep ก็มอบรถยนต์คันใหม่ให้เขาโดยถือเป็นคันที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่เขาย้ายมาค้าแข้งในแดนปลาดิบ เจ ชนาธิป สรงกระสินธ์พัฒนาตัวเองแบบก้าวกระโดดจนกลายมาเป็นกำลังหลักของทีมไปแล้ว เห็นได้จากการพาคอนซาโดเล่ ซัปโปจบอันดับ 4 ในฤดูกาลที่แล้วและติดโผทีมยอดเยี่ยมประจำปี 2018 จากการเล่นที่ดีต่อเนื่องนี้เองทำให้ Jeep ค่ายรถผู้สนับสนุนมอบ Jeep Cherokee 2019 สีดำล้วนสวยงามตั้งแต่หัวจรดเท้าเป็นรางวัล 2019 Jeep Cherokee ถือเป็นรถยนต์ในเซกเมนต์ Compact-SUV รุ่นพัฒนาใหม่มาพร้อมเครื่องยนต์ Tigershank ขนาด 2.4 ลิตรที่ให้กำลัง 180 แรงม้า แรงบิด 170 ปอนต์-ฟุตสูงสุดที่ 6400 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติ 8 Speed ดีไซน์ภายนอกของ Cherokee ออกแบบมาอย่างสวยงามด้วยเส้นสายด้านหน้า บนฝากระโปรงและด้านข้างของตัวรถนอกจากนี้ยังมาพร้อมล้อแม็กขนาด 17
จากกระแสรถยนต์ประเภทไฮบริดที่ได้รับความสนใจและความนิยมจากหนุ่ม ๆ ผู้รักความเร็วทั่วโลกมากขึ้นทุกวัน ทำให้ปัจจุบันค่ายรถต่าง ๆ หันมาผลิตรถยนต์รูปแบบดังกล่าวสู่ตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เว้นแม้แต่สุดยอดค่ายซูเปอร์คาร์อย่าง Ferrari ที่เพิ่งคลอดม้าลำพองปลั๊กอินไฮบริดคันแรกออกสู่ตลาดและว่ากันว่ามันมาพร้อมความเร็วที่ไม่เป็นรองใคร เพื่อต้อนรับยุคสมัยใหม่ที่กำลังจะมาถึง ต้องขอบคุณการทำงานหนักของวิศวกรและทีมดีไซน์ รวมไปถึงสุดยอดต้นแบบอย่าง LaFerrari ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของไฮเปอร์คาร์คันล่าสุดจาก Ferrari ที่สร้างมาเพื่อแสดงศักยภาพของพลังปลั๊กอินไฮบริดของค่ายม้าลำลองที่มาในชื่อ Ferrari SF90 Stradale โดยชื่อรุ่นถูกตั้งมาเพื่อระลึกถึงการครบรอบ 90 ปีของทีม F1 ประจำแบรนด์อย่าง Scuderia Ferrari Race Team SF90 Stradale ไฮเปอร์คาร์คันบุกเบิกยุคสมัยใหม่ของค่ายม้าลำพองที่จะทำให้คนเลิกดูถูกพลังของระบบปลั๊กอินไฮบริดด้วยสมรรถนะความแรงที่ได้พลังจากเครื่องยนต์ V8 Turbocharged ขนาด 4.0 ลิตรวางกลางที่มอบพลัง 769 แรงม้าและแรงบิด 800 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว (ด้านหน้าตัวรถ 1 ด้านหลัง 2) ที่จะบวกพลังเพิ่มอีก 217 แรงม้ากลายเป็นพลังรวมที่ 986 แรงม้า พลังทั้งหมดจะถูกส่งต่อไปยังชุดเกียร์ Dual-clutch