สำหรับหนุ่ม ๆ ที่คลั่งไคล้รถยนต์ คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์รถยนต์สุดหรูอย่าง Lamborghini หนึ่งในค่ายที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นเป็นตัวเองจนทำให้กลุ่มคนรักรถและผู้มีกำลังซื้อนิยมรถยนต์แต่ละรุ่นของพวกเขาอย่างเหนียวแน่น แต่ขณะเดียวกันค่ายกระทิงดุก็ออกมาประกาศว่าจะจำกัดจำนวนการผลิตต่อปีเพื่อรักษามาตรฐานของตัวเองแล้ว แม้ไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ที่ใครก็สามารถเป็นเจ้าของได้ เพราะแต่ละคันมีค่าตัวแพงลิบ แต่ความเร็วสะใจและรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ก็ทำให้ยอดขายครึ่งปีแรกของ Lamborghini แตะระดับ 4,553 คัน เฉพาะโมเดล Urus ที่มียอดจองและขายออกไปแล้วถึง 2,693 คันก็ถือว่ามาแรงมาก โดยอัตราส่วนการผลิตที่เหลือคือรุ่นยอดนิยมอย่าง Huracan (1,211 คัน) และ Aventador (649 คัน) ทำให้การส่งมอบครึ่งปีแรกเติบโตคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.7 พันล้านยูโร เพิ่มขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.4 พันล้านยูโร แต่ดูเหมือนยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในปีนี้จะไม่ใช่สิ่งที่ซีอีโอคนปัจจุบันอย่าง Stefano Domenicali ต้องการ เมื่อเขาออกมาประกาศว่าปีนี้อาจเป็นปีสุดท้ายที่แบรนด์กระทิงดุจะไม่จำกัดจำนวนการผลิตต่อปี เพราะจากนี้ต้องการรักษาคุณค่าและมาตรฐานของค่าย โดย Stefano ให้สัมภาษณ์ว่า พวกเขาไม่ต้องการเติบโตไปตลอด แต่ต้องการกำหนดทิศทางที่ถูกต้องเพื่อรักษาคุณค่าของแบรนด์ รวมถึงให้ความสำคัญกับความพิเศษในการผลิตรถแต่ละรุ่นเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามตลาดทั่วโลกที่กำลังขยายตัว โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน และเยอรมนี รวมถึงในประเทศที่กำลังเติบโตอย่างรัสเซียและอินเดีย ทำให้กลุ่มผู้ถือหุ้นเตรียมขยายขอบเขตการผลิตใหม่ คาดว่าจาก 8,000 คันต่อปีเป็น 10,000 คันต่อปีเพื่อผลประโยชน์ทางการตลาด
รถยนต์สายพันธุ์ครอสโอเวอร์คันล่าสุดอย่าง BMW X6 ปี 2020 เปิดเผยภาพและสเปคคร่าว ๆ ออกมาให้ยลโฉมกันแล้ว โดย BMW X6 ถือเป็นตัว ReDesign ของรถยนต์ที่ทางค่ายเรียกเป็นเซกเมนต์ SAV (Sport Activity Vehicles) มาพร้อมเครื่องยนต์ที่มีให้เลือกถึง 3 แบบ ตอบโจทย์หนุ่ม ๆ ผู้กำลังมองหายนตรกรรมที่คล่องตัวและเต็มไปด้วยพลังอย่างแน่นอน มาเริ่มกันที่ดีไซน์ภายนอกของ BMW X6 ปี 2020 ซึ่งเราจะได้เห็น Kidney Grille หรือกระจังหน้าทรงไตคู่ ดีไซน์ใหม่ที่ส่องสว่างได้เมื่อสตาร์ท สามารถสั่งงานเปิดปิดได้โดยเชื่อมต่อกับไฟหน้าแบบ Adaptive Full LED ที่มาในดีไซน์บางเฉียบและไฟท้ายรูปตัวแอลอันโฉบเฉี่ยว ขนาดของตัวรถที่ขยายจากรุ่นก่อนหน้าเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นความกว้างของตัวรถที่เพิ่มขึ้น 15 มิลลิเมตร ฐานล้อกว้างขึ้น 22 มิลลิเมตร พร้อมความดุดันที่ได้จากล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้วและ 22 นิ้วที่เป็นออปชั่นเสริมรวมถึงท่อไอเสียแบบ M Sport แต่คงไม่มีทางเลือกไหนที่น่าสนใจไปกว่าเครื่องยนต์ของ BMW X6 ปี 2020 ที่มีให้เลือกถึง 3
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่หลงใหลรถยนต์ เชื่อว่าทุกคนต่างสนใจเรื่องสมรรถนะและความเร็วที่รถคู่ใจจะมอบให้ระหว่างขับขี่ แต่ขณะเดียวกันการขับขี่ทุกครั้งยังมีอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันนั่นก็คือความปลอดภัยที่ได้จากยนตรกรรมที่เราใช้งาน รวมถึงทักษะการขับขี่ที่ถูกต้องซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่ทางเมอร์เซเดส เบนซ์ให้ความสำคัญเสมอมา จึงเป็นสาเหตุให้มีอีเวนต์อย่าง “Mercedes-Benz Driving Events” เกิดขึ้น เพื่อแนะนำวิธีขับขี่ปลอดภัยต่อผู้ร่วมงานทุกคน เมอร์เซเดส เบนซ์ ประเทศไทย ตอกย้ำวิสัยทัศน์ความเป็นผู้นำนวัตกรรมยานยนต์ด้านความปลอดภัย พร้อมเดินหน้าสานต่อกิจกรรมฝึกอบรมเทคนิคการขับขี่ปลอดภัยครั้งที่ 16 “Mercedes-Benz Driving Events 2019” นำทีมโดยผู้ฝึกสอนมากฝีมือ รวมถึงยนตรกรรมหรูและแรงหลากหลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็น CLS 300 d AMG Premium และ Mercedes-AMG E 53 4MATIC+ Coupé จำนวนกว่า 24 คัน รวมถึงรถยนต์รุ่นล่าสุด “Mercedes-Benz S 560 e” ที่เพิ่งเปิดตัวไปในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 40 ที่ผ่านมา โดย “Mercedes-Benz Driving Events
มีอะไรที่ทำให้เราแค่มองเห็นก็รู้สึกตื่นเต้นจนเลือดสูบฉีดได้บ้าง? มีอะไรที่เราเห็นแล้วต้องคว้ากล้องขึ้นมาถ่าย ต้องสะกิดคนข้าง ๆ ให้หันไปดูด้วยกันได้บ้าง? แม้ผู้ชายเราจะมีความชอบและไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนเกิดปฏิกิริยานั้นได้ ก็เมื่อ Nissan Skyline GT-R ขับผ่านหน้าเราไป ไม่ว่าจะเป็น Skyline GT-R รุ่นไหนก็ตาม แม้คุณจะไม่ใช่ Hardcore Fans ในเรื่องรถยนต์ แต่ทุกครั้งที่เราได้เห็นไฟท้ายโดนัทคู่ เสียงท่อคำรามจากเครื่องยนต์ 6 สูบเทอร์โบคู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ เราก็รู้ทันทีว่ามันมีความพิเศษที่รถคันอื่น หรือแม้แต่ Supercar ราคาหลายสิบล้านไม่มี นั่นคือเสน่ห์ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุค 1969 ซึ่งถือเป็น Skyline GT-R รหัสแรกที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีรถรุ่นไหนสามารถสืบทอดคุณค่าให้เป็นที่นิยมทั้งในและนอกสนาม ทำให้รหัส GT-R กลายเป็น Iconic Car แห่งความเร็วในฝันได้ทุก Generation มีหลายอย่างที่เราเข้าใจผิดเดียวกับ GT-R อย่างเช่นไม่ใช่ทุก Skyline จะต้องมีรหัส GT-R หรือคำว่า GT-R ย่อมาจากคำว่า Gran Turismo Racer
สำหรับคนรักมอเตอร์สปอร์ต อีกสถานที่ที่คนรักความเร็วต้องได้ไปสัมผัสคือ สนาม Mugello ในประเทศอิตาลี หนึ่งในสนามแข่งระดับโลกที่ต้องไปเยือนสักครั้ง ซึ่งต้องบอกว่าเป็นเรื่องสุดประทับใจและฟินกันไปอีกนาน เมื่อ The Ultimate JOY Experience พาสมาชิกผู้รักความเร็วไปเยือนสวรรค์ของคนรักมอเตอร์สปอร์ตในทริป The Ultimate BMW M Track Experience – Mugello ณ สนามมูเกลโล ประเทศอิตาลี โอกาสนี้สมาชิกได้สัมผัสความแรงของ BMW M4 และ M5 ในสนามแข่ง และยังได้ซิ่ง BMW M4 GT4 ‘รถแข่ง’ ในฝันที่คนรักความเร็วทุกคนต้องอยากลองขับสักครั้งในชีวิต และได้ใส่ความเร็วกันเต็มสปีดในแทร็กมูเกลโล สนามแข่งระดับโลกที่มีโค้งต่อเนื่องมากกว่า 20 โค้ง และยังท้าทายสุด ๆ ด้วยองศาโค้งที่แตกต่างกัน แถมตัวสนามยังเป็นเนินเขา ความยาวมากกว่า 5 กิโลเมตร เนื่องจากทริปนี้เป็นทริประดับ advance ซึ่งสมาชิกนักขับต้องผ่านหลักสูตรการขับในสนามแข่งมาแล้วจากโปรแกรม BMW M race track training
สำหรับหนุ่ม ๆ โดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบรถยนต์สายพันธุ์คลาสสิก คงคุ้นเคยกันดีกับดีไซน์เหนือกาลเวลาของ Volkswagen Beetle ซึ่งก่อนหน้านี้กำลังเผชิญหน้ากับคดีการครอบครองสิทธิ์ในงานออกแบบ ล่าสุดศาลเยอรมนีมีคำพิพากษาออกมาแล้ว Volkswagen Beetle คือหนึ่งในรถยนต์สายพันธุ์คลาสสิกที่ผู้ชายทั่วโลกรู้จักโดยรถยนต์ที่ผลิตระหว่างปี 1938 – 2003 เป็นผลงานการออกแบบของ Ferdinand Porsche ซึ่งมีดีไซน์เฉพาะตัวเพราะลักษณะที่คล้ายตัวด้วง รวมถึงเครื่องยนต์แบบสี่สูบนอนวางหลัง พร้อมช่วงล่างแบบ Torsion Bar พิสูจน์ความสำเร็จตลอดระยะเวลา 65 ปีด้วยยอดขายกว่า 21,500,000 คันทั่วโลก ความสำเร็จของ Volkswagen Beetle มีผู้คนเกี่ยวข้องมากมาย จึงทำให้ทางค่ายต้องพบเจอปัญหาด้านลิขสิทธิ์อยู่บ้าง ล่าสุดคือการถูกฟ้องเรียกร้องค่าส่วนแบ่งออกแบบจากลูกสาวของ Erwin Komenda หนึ่งในทีมดีไซน์ที่เคยทำงานร่วมกับ Ferdinand Porsche ในช่วงปี 1930 และในช่วงปี 1966 ลูกสาวของ Erwin Komenda มีหลักฐานเป็นรูปวาดที่พ่อของเธอเคยร่างแบบของ Beetle เอาไว้พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินกว่า 5.7 ล้านเหรียญหรือประมาณ 175,400,000 ล้านบาท รวมถึงเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์จากรถยนต์ Volkswagen Beetle ที่ผลิตตั้งแต่ปี 2014 โดยบอกว่ารถรุ่นใหม่ยังคงใช้องค์ประกอบจากงานออกแบบที่พ่อของเธอเคยคิดค้นเอาไว้ ผลการตัดสินล่าสุด ศาลเมือง
เมื่อช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ยุคแรกเริ่มแห่งการบุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศญี่ปุ่น ในวันที่ 26 ธันวาคม ปี 1933 ได้มีบริษัทรถยนต์แห่งใหม่ถือกำเนิดขึ้นจากการควบรวมกิจการระหว่างบริษัท Tobata Imono และ Nihon Sangyo โดยใช้ชื่อว่าใหม่ว่า Jidosha Seizo Co., Ltd. แน่นอนว่าชื่อบริษัทเหล่านี้หลายคนคงรู้สึกไม่คุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่เชื่อว่าทุกคนจะต้องร้องอ๋อในทันที เมื่อได้รู้ว่าในปีถัดมาบริษัทผลิตรถยนต์น้องใหม่รายนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Nissan Motor Co., Ltd. หรือ Nissan ที่เรารู้จักกันดี และกลายเป็นผู้นำที่ออกแบบพัฒนารถยนต์ระดับ Iconic บนหน้าประวัติศาสตร์มามากมาย รวมถึงยังเป็นแบรนด์แรกที่พารถยนต์ญี่ปุ่นไปสร้างชื่อเสียงให้คนทั้งโลกได้รับรู้กับความล้ำหน้าของรถยนต์ Made In Japan ผ่านเวลามาจนถึงวันนี้ เวลาเดินทางผ่านไปเกือบ 86 ปี จากบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมาด้วยเงินทุนเพียง 10 ล้านเยน ได้กลายมาเป็นบริษัทยานยนต์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นและเป็นหนึ่งในแถวหน้าของโลก ผลิตรถยนต์จำหน่ายไปแล้ว 150 ล้านคันทั่วโลก (ข้อมูลเมื่อปี 2017) และได้สร้างสรรค์ Iconic Cars ระดับตำนานภายใต้แบรนด์ Datsun และ
Christian von Koenigsegg ผู้ก่อตั้ง Koenigsegg (คอนิกเส็กก์) ค่ายรถยนต์สมรรถนะสูงจากประเทศสวีเดนเคยฝันว่าอยากผลิตซูเปอร์คาร์ระดับโลก ดูเหมือนตอนนี้ความฝันของเขากำลังจะเป็นจริงขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากพวกเขาปล่อยภาพและสเปคบางส่วนของ Koenigsegg JESKO รุ่นพิเศษที่ทั้งสวยงามและแรงจนทำให้หนุ่ม ๆ ทุกคนไฝ่ฝันอยากได้มาครอบครองแน่นอน JESCO เป็นไฮเปอร์คาร์คันล่าสุดจาก Koenigsegg เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาใน Geneva Motor Show 2019 โดยลือกันว่ามีความเร็วสุดโหดที่กล้าเทียบรัศมีรุ่นใหญ่ในวงการซึ่งครั้งนั้นเผยโฉมในเครื่องแบบสีขาวสะดุดตา จนใคร ๆ ก็ตาลุกวาว แต่ดูเหมือนพัฒนาการจะไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อ Koenigsegg เปิดตัวรุ่นพิเศษโดยให้ชื่อว่า Koenigsegg JESCO Red Cherry Edition ที่มีเครื่องแบบสีแดงเข้มและสมรรถนะสุดโหดคันหนึ่งของยุคเลยก็ว่าได้ ภายนอกของ JESCO : Red Cherry Edition ถูกออกแบบมาให้เป็นไฮเปอร์คาร์สายวิชาตัวเบาอย่างแท้จริง เริ่มจากโครงสร้างรถที่ใช้เป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์สีแดงเข้มตัดสลับสีดำอย่างลงตัว เส้นสายและช่องลมอันโดดเด่นโดยเฉพาะบริเวณด้านหน้าและด้านข้างของตัวรถ รวมถึงฝากระโปรง เมื่อทำงานร่วมกับสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ด้านหลังทำให้มีระบบ Aerodynamic ที่กดทับและประคองตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล้อด้านหน้าทั้งสองข้างที่ผลิตจากเส้นใยคาร์บอนซึ่งมีน้ำหนักไม่ถึง 6.7 กิโลกรัมและล้อด้านหลังที่มีน้ำหนัก 8.4 กิโลกรัม ทำให้น้ำหนักรวมของรถหนักเพียง
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าภาพยนตร์ James Bond 007 : Goldfinger คือส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้ชายหลายคนรู้จักรถยนต์สุด Iconic สายพันธุ์แรงเมืองผู้ดีอย่าง Aston Martin DB5 ที่โดดเด่นทั้งเรื่องดีไซน์สุดคลาสสิกและสมรรถนะปราดเปรียว โดยรถ 1 ใน 4 คันที่ถูกสร้างขึ้นมาใช้กำลังจะถูกนำออกประมูลแล้ว Aston Martin DB5 4 คันถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในภาพยนตร์ James Bond 007 : Goldfinger มีรถสองคันถูกใช้ระหว่างการถ่ายทำ หนึ่งคันถูกใช้เพื่อการโปรโมต ส่วนอีกหนึ่งคันที่ดัดแปลงโดย John Stears ที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์สายลับก็ถูกมือดีขโมยไปในปี 1997 และไม่เคยได้กลับคืนมา โดย RM Sotheby บริษัทจัดประมูลรถยนต์ชื่อดังตั้งใจจะนำ DB5 คันที่ถูกใช้สำหรับโปรโมตออกประมูลในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ รถยนต์คันนี้ถูกเสนอขายเป็นครั้งแรกในปี 1969 ก่อนถูกนักสะสมซื้อไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ The Smokey Mountian Car Museum และจอดแสดงทิ้งไว้เป็นเวลากว่า 35 ปีทำให้รถมีสภาพทรุดโทรมลงไปตามเวลา
หลังมีข่าวเล่าลือมานานเกี่ยวกับรถคันใหม่ของ Porsche ตระกูล 718 ทำให้หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบรถสปอร์ตขนาดกลางของค่ายต่างคาดหวังว่ารถคันใหม่ที่จะปล่อยออกมา ต้องติดของดีของแรงมาสร้างความประทับใจให้อย่างแน่นอน แต่เหมือนจะเหนือกว่าที่คาดการณ์กันเอาไว้เพราะ Porsche ทำให้ประหลาดใจกว่าที่คาดด้วยการปล่อย 718 ออกมาพร้อมกัน 2 โมเดล ค่ายรถยนต์สุดแรงจากเยอรมนีเปิดตัว Cayman GT4 สุดหล่อที่มาในรูปแบบคูเป้และ Boxster Spyder ตัวแรงในลุคเปิดประทุน โดยทั้งสองคันเป็นรถยนต์ที่อยู่ในสายการผลิตของรถสปอร์ตขนาดกลางอย่างตระกูล 718 แต่สำหรับหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบยนตรกรรมของค่ายนี้เป็นทุนเดิม คงจะพอใจกับเครื่องยนต์แบบ 6 สูบแบบเดียวกันกับที่ใช้ใน 911 Carrera s Cayman GT4 และ Boxster Spyder มาพร้อมเครื่องยนต์หกสูบนอน Boxer ขนาด 4.0 ลิตรที่ให้กำลัง 414 แรงมาสูงสุดที่ 7,600 ต่อ/นาที แรงบิดที่ 309 ปอนด์-ฟุตสูงสุดที่ 5,000-6800 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับชุดเกียร์ธรรมดา 6-speed ที่จะส่งกำลังไปยังล้อหลังทั้งสองซึ่งให้อัตราเร่ง