ขอเข้าเรื่องแบบไม่รีรอ คอนเทนต์นี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำ 3 ร้านกิน ดื่ม ชิล ที่ต้องไปให้ได้ในช่วงเวลาที่ลมหนาวเดือนธันวาคมยังคงอยู่กับประเทศไทย เลื่อนลงไปอ่านแล้วโทรนัดเพื่อนออกมาเลย เพราะลมหนาวใกล้จะไปแล้ว ! Everyday Mookrata & Cafe (Riverside) : ตอนเช้า American Breakfast / ตอนบ่ายเอ็นจอยหมูกระทะ / ตอนกลางคืนจิบเบา ๆ ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา “หมูกระทะกินกับอะไรก็อร่อย” ไม่มีอะไรจะถูกต้องไปกว่าคำพูดข้างบนไปมากกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งช่วงท้ายของปีอากาศของลมหนาวพัดผ่านร่างก็ยิ่งตอกย้ำความถูกต้องในความอร่อยของหมูกระทะมากขึ้นไปอีก และไม่มีร้านหมูกระทะไหนจะสไตล์จัดได้เท่ากับ Everyday Mookrata & Cafe (Riverside) ที่เขาเพิ่งเปิดสาขาใหม่เมื่อเดือนธันวาคมนี่เอง โดดเด่นด้วยการเป็นร้าน 3 in 1 เป็นทั้งคาเฟ่ บาร์ ร้านหมูกระทะ แถมยังอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา วิวหลักล้านเห็น Icon Siam อยู่ฝั่งตรงข้าม ให้เราได้มองพระอาทิตย์ตกดินไปด้วยกัน ข้อดีของ Everyday Mookrata & Cafe
คุณมองเสน่ห์สีสันของ ‘ชีวิตกลางคืน’ (night life) เป็นแบบไหน คือสีของแสงจากเสาไฟที่สาดถนนอันว่างเปล่า สีของไฟแช็คที่จุดขึ้นก่อนถูกกลบอบอวลด้วยควันของบุหรี่ หรือสีของแก้วเหล้าที่ถูกรังสรรค์ส่วนผสมในการชงอย่างดีจากบาร์เทนเดอร์คนโปรด เหตุผลข้อหลังสุดพาเรายืนอยู่หน้าร้าน WYNN WOOD florist studio ในซอยทองหล่อ 61 ร้านซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของ Midsummer Night’s Dream Bar บาร์ค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบทละครโศกของ Shakespear ทั้งชื่อเดียวกัน การตกแต่ง ไปจนถึงเครื่องดื่มที่ถูกคิดสูตรมาอย่างดี เรานัดเจอกับ ‘ออย-วรีวรรณ ยอดกมล’ ผู้เป็น Bar Manager ของที่นี่ และเธอเพิ่งได้รับคำพ่วงชื่อต่อท้ายอันใหม่ด้วยคำว่า ‘คนไทยคนแรกที่สามารถเข้ารอบ 2 ของการแข่งขัน Hennessy My Way ปี 2022’ ก่อนที่จะได้แข่งชงค็อกเทลกับบาร์เทนเดอร์ฝีมือฉกาจ 400-500 คนจากทั่วทุกมุมโลกใน Hennessy My Way 2022 คุณออยเป็นบาร์เทนเดอร์มากว่า 15 ปีแล้ว เธอหลงใหลในชีวิตกลางคืน
หลังจากแกรนด์ โอเพนนิ่งเปิดตัวไปอย่างร้อนแรงในปี 2020 ก็ได้เวลาที่ “Playroom” (เพลย์รูม) สปีคอีซี่บาร์หรูย่านเอกมัยของ เจย์ – สายนิสา แสงสิงแก้ว จะก้าวไปอีกสเต็ปสู่บทใหม่ที่เข้มข้นและเจนจัดกว่าเดิม ซึ่งได้ถ่ายทอดเรื่องราวและความหลงใหลทั้งหมดผ่านการรังสรรค์ 9 เมนูค็อกเทลใหม่ ที่รอให้เหล่าสายดริ้งค์มาดื่มด่ำใน “Playroom Chapter 2” “Playroom” ในคำจำกัดความของสปีคอีซี่บาร์แห่งนี้นั้น ดูจะเป็นให้คุณได้มากกว่าห้องนั่งเล่นธรรมดาทั่วไป เพราะที่แห่งนี้ได้รับการออกแบบและครีเอทมาเพื่อเป็นห้องนั่งเล่นสุดแสนเพลย์ฟูล โดยได้แรงบันดาลใจมาจากมิสเตอร์ เกรย์ (Mr.Grey) ในภาพยนตร์เรื่อง Fifty Shades of Grey สำหรับทุกคนที่ต้องการมาเติมเต็มประสบการณ์สุดพิเศษ ปลดปล่อยความสนุก หรือใช้เวลาดื่มด่ำกับเครื่องดื่มและเสียงเพลงท่ามกลางความเป็นส่วนตัว อัดแน่นด้วยคาแรคเตอร์เซ็กซี่แสนซุกซน ที่ทั้งดูรุ่มรวยและหรูหรา แต่กลับมีความลึกลับ น่าค้นหา ให้บรรยากาศเสมือนกำลังชมฉากโปรดในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ว่าได้ โดดเด่นด้วยสไตล์การตกแต่งที่เลือกใช้มู้ดแอนด์โทนของสีแดง ทอง และดำ แถมมาพร้อมกิมมิคให้เล่นสนุกมากมาย ด้วยไอเทมสุดจี๊ดเพื่อให้สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ อาทิ โซ่ แส้ กุญแจมือ อีกทั้งตัวเคาน์เตอร์บาร์ก็ยังชวนให้นึกถึงชุดคอร์เซ็ทตั้งแต่แรกเห็น ภายใต้แสงสลัวชวนเคลิบเคลิ้ม เหมาะแก่การนั่งละเลียดค็อกเทล แชมเปญ หรือวิสกี้นุ่มๆ พลาดไม่ได้กับมุมไฮไลท์บนผนังอย่าง “You
‘Bloody Mary’ ค็อกเทลสีแดงสดจากวอดก้าและน้ำมะเขือเทศแก้วนี้ คงไม่ใช่เครื่องดื่มที่ถูกจริตกับผู้ชายอย่างเรามากเท่าผู้หญิง ยิ่งถ้าเทียบกับคลาสสิกค็อกเทลหัวรุนแรงแก้วอื่น ๆ บอกเลยว่า Bloody Mary ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมศักดิ์ศรีเท่าไรนัก แต่เราเชื่อว่าค็อกเทลแต่ละแก้วล้วนมีเรื่องราว รสชาติ และความพิเศษเฉพาะตัว ซึ่ง Bloody Mary ก็เป็นหนึ่งในค็อกเทลที่น่าสนใจไม่แพ้แก้วไหน วันนี้ UNLOCKMEN เลยขอเสิร์ฟเรื่องราวของค็อกเทลสีแดงสดรสจัดจ้านแก้วนี้ ไม่แน่ว่าอึกแรกที่ยกดื่มอาจเปลี่ยนนัยน์ตาหรี่ปรือของคุณให้เบิกโพลงได้ทันควัน ส่วนผสมหลักของ Bloody Mary คือน้ำมะเขือเทศ น้ำแข็ง และวอดก้า สุรากลั่นไร้สีจากรัสเซียที่ถูกใช้เป็นเบสของค็อกเทลหลากชนิด ตั้งแต่ Screwdriver, White Russian ไปจนถึง Vodka Martini ว่ากันว่าค็อกเทลแก้วนี้ได้สามารถรักษาอาการเมาค้างได้ดี เมื่อดื่มจะรู้สึกถึงรสชาติเผ็ดร้อน สดชื่น และร้อนรุ่มไปทั่วร่างกาย แต่สูตรและกรรมวิธีการทำค็อกเทลชนิดนี้วิวัฒนาการและดัดแปลงไปตามยุคสมัย เพื่อให้ถูกปากกับนักดื่มแต่ละคน จึงมีทั้งบาร์เหล้าที่เสิร์ฟ Bloody Mary แบบดั้งเดิม และบาร์ที่เติมเกลือ พริกไทยดำ หรือพริกชี้ฟ้าบ่นเพิ่มเข้าไป ราชินีอังกฤษผู้กระหายเลือด บ้างว่าชื่อค็อกเทล Bloody Mary ตั้งตามราชินีในศตวรรษที่ 16 นามว่า
“ยานัตถุ์หมอมี แก้ฝีแก้หิด ยานัตถุ์หมอชิตแก้หิดแก้ฝี” ประโยคทดสอบการอ่านที่เราพูดเล่นกันมาตั้งแต่เด็กประโยคนี้ คงทำให้ผู้ชายหลายคนพอคุ้นชื่อ “หมอมี” กันอยู่บ้าง แม้ยานัตถุ์จะไม่ได้มีสรรพคุณช่วยแก้หิดหรือแก้ฝี แต่หมอมีที่ปรากฏในประโยคชวนลิ้นพันนี้มีตัวตนอยู่จริง หมอมีคือหมอยาชื่อดังผู้เชี่ยวชาญด้านการปรุงยาสมุนไพรจีนในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งตอนนี้บ้านเก่าแก่อายุร่วม 125 ปีของเขา ถูกเนรมิตให้กลายเป็นร้านอาหารไทยชาววังที่ซ่อนบาร์ลึกลับเอาไว้ในชั้นใต้ดิน Philtration สปีกอีซี่บาร์ในห้องปรุงยาเก่าของหมอมี ใต้โครงสร้างบ้านไม้สีขาวของร้านอาหารบ้านหมอมี เป็นที่ตั้งของ ‘Philtration’ บาร์ลับในห้องใต้ดินที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของหมอมีและศาสตร์แห่งการปรุงยาของเขา ก้าวแรกที่ผลักประตูไม้เก่าเข้าไปด้านในก็สัมผัสได้ถึงความมืดมิดและแสงไฟสลัวรางที่รอต้อนรับเราบริเวณทางเดินทรงเกือกม้า แต่เมื่อเดินงมไปตามแสงไฟส้มริบหรี่จนสุดทางกลับไม่พบประตูทางเข้าแต่อย่างใด พบเพียงชั้นไม้ปริศนาที่ดูมีเงื่อนงำ เรายืนนิ่งพินิจพิเคราะห์อยู่สักพักและใช้เวลาไม่นานนักก็หาวิธีเข้าไปข้างในได้สำเร็จ ภายในร้านเป็นห้องโถงไม้เก่าแก่ที่ดูลึกลับไม่ต่างจากทางเข้า โดดเด่นด้วยแสงไฟสีเหลืองอมส้มส่องสว่างท่ามกลางความมืด พื้นห้องมีกระเบื้องลายแปลกที่นำเข้าจากอิตาลีเมื่อหลายร้อยปีก่อนทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า บวกกับผนังบางส่วนที่บอกร่องรอยแห่งกาลเวลาได้อย่างดีเยี่ยม ทว่ามีเพดานทรงโค้งแบบสมัยใหม่เข้ามาช่วยรับน้ำหนักของโครงสร้างเดิม และเสริมกลิ่นอายร่วมสมัยจากเฟอร์นิเจอร์หนังและบาร์ไม้ทอดยาวที่ตั้งตระหง่านกลางร้าน จากตำรายาสมุนไพรสู่สูตรค็อกเทลที่ไม่เหมือนใคร เมนูค็อกเทลของ Philtration ถ่ายทอดตัวตนของหมอยาเลื่องชื่อคนนี้ออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน เพราะทางร้านจะเน้นเสิร์ฟ herb cocktails ที่ครีเอตขึ้นจากสมุนไพร เครื่องเทศ และผลไม้เป็นหลัก ปริมาณเหล้าที่ใช้จึงไม่ได้หนักแน่นหัวรุนแรงมากนัก หากสร้างสมดุลให้รสเหล้าและหลากวัตถุดิบอย่างลงตัว เพื่อให้ค็อกเทลแต่ละแก้วคงสรรพคุณทางยาที่เอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพของนักดื่ม เราประเดิมแก้วแรกด้วย ‘Sam Kok’ ค็อกเทลวรรณกรรมเพชรน้ำเอกของโลกที่ได้ Saint James Rum เป็นเบส สมทบด้วยบรั่นดีรสเข้ม Giffard Apricot
ก่อนโบกมือลาจากเดือนกุมภาพันธ์แห่งความรักไป UNLOCKMEN อยากชวนมาละเลียดรสแอลกอฮอล์เข้มขมที่หนุ่มนักดื่มทุกคนหลงใหล พลางฟังดนตรีแจ๊สลื่นหู ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกของ ‘Crimson Room’ บาร์เหล้าย้อนยุคที่จะพาคุณย้อนวันวานหวาน ๆ ผ่านแอลกอฮอล์แก้วขมปนอร่อย Crimson Room บาร์แจ๊สสไตล์ Gatsby แห่งปี 1920 เมื่อแหวกผ้าม่านสีแดงสดและเลี้ยวสลับซ้ายขวาไปตามทางแคบ คุณจะพบกับบาร์เหล้าที่ถอดแบบงานดีไซน์ของโรงละครและโถงแสดงดนตรีหรูหรามาได้อย่างแนบเนียน บรรยากาศภายในตระการตาราวกับบาร์แห่งนี้หลุดมาจากยุคใดยุคหนึ่ง จริง ๆ แล้ว Crimson Room ได้แรงบันดาลใจมาจากยุค Gatsby ในช่วงปี 1920 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ผู้คนในตอนนั้นจึงหลงใหลแสงสี ความสนุกสนาน และมองหาความสุขเพื่อทุเลาประสบการณ์เลวร้ายจากภัยสงคราม ยุคนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่งเสรีและดนตรีแจ๊สไปโดยปริยาย โซนที่นั่งแบ่งเป็นบาร์เครื่องดื่ม บาร์ยาวด้านบน ไล่ไต่ระดับลงมาถึงโซนโต๊ะหินอ่อนครึ่งวงกลม และโต๊ะชิดติดเวทีแสดง นอกจากพรมปูพื้นและเบาะนั่งกำมะหยี่สีแดง ยังมีราวเหล็กทองเหลืองที่เลื้อยวนไปตามโต๊ะต่าง ๆ เสริมบรรยากาศภายในร้านให้หรูหรามีระดับ ผนังของร้านออกแบบด้วยส่วนเว้าโค้งที่รับกันกับเสียงดนตรี อาจทำให้คุณด่ำดิ่งลงไปในบทเพลง หรือฟังดนตรีแจ๊สได้อย่างไพเราะยิ่งขึ้น แถมตามผนังและระหว่างทางเดินยังประดับประดาแสงไฟสลัวราง เหมาะแก่การสั่งค็อกเทลหนัก ๆ สักแก้วมานั่งละเลียดจนหมดคืน จากค็อกเทลดั้งเดิมสู่ซิกเนเจอร์ค็อกเทลยุคใหม่ไม่เหมือนใคร Crimson Room มีเมนูเครื่องดื่มให้เลือกมากมาย ตั้งแต่แชมเปญ
เข้าสู่เดือนแห่งความรักอย่าง ‘กุมภาพันธ์’ ทั้งที UNLOCKMEN ก็ไม่พลาดที่จะพาหนุ่มนักดื่มของเราไปลิ้มชิมรสแอลกอฮอล์เข้มขมที่คุ้นเคย ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นจากเสียงคลาริเน็ต ทรัมเป็ต ทรอมโบน ดับเบิลเบส เปียโน กีตาร์ กลอง และแซกโซโฟนที่สอดประสานรับส่งกันไปมา จนเกิดเป็นดนตรีแจ๊สโรแมนติกเข้ากับเดือนแห่งความรักเดือนนี้เป็นที่สุด แต่ถ้าจะพูดถึงตำนานบาร์แจ๊สในประเทศไทย คงมีเพียงไม่กี่ร้านที่โดดเด่นและมีสไตล์เท่ ๆ แบบที่เราโปรดปราน และเชื่อว่า ‘Smalls’ บาร์แจ๊สเล็ก ๆ ในย่านสาทร ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ร้านที่ผู้ชายหลายคนหลงใหล หรือถ้าลองไปแล้วอาจหลงรัก ‘SMALLS’ บาร์แจ๊สในตำนานที่ยังหายใจและบรรเลงเพลงมาเกือบ 6 ปี Smalls เป็นบาร์แจ๊สที่ตั้งอยู่หัวมุมตึกริมถนนเส้นหนึ่งในย่านสาทร นอกจากจะเป็นหนึ่งในเก้าบาร์ที่ CNN ยกนิ้วว่าสวยที่สุดในกรุงเทพฯ แล้ว ที่นี่ยังโด่งดังจากทั้งคลาสสิกและซิกเนเจอร์ค็อกเทลรสหนักแน่น แถมยังเป็นบาร์เก่าแต่เก๋าที่บรรเลงดนตรีแจ๊สมาเกือบ 6 ปี แม้บรรยากาศนอกร้านจะคึกคักและมากไปด้วยมนุษย์ออฟฟิศชาวสาทร แต่เมื่อผลักประตูบานเล็ก ๆ เข้ามาในร้าน ราวกับได้หลุดออกมาอีกโลกที่ไม่คุ้นตาแต่รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ภายในร้านตกแต่งด้วยผ้าม่านสีแดงเด่น ตัวร้านแบ่งเป็นสามชั้น แม้ชั้นล่างจะมืดกว่าชั้นอื่น ๆ แต่ก็มีแสงสลัวประดับประดาไว้ตามจุดต่าง ๆ เพื่อมอบความสว่างไสวและทำให้เราพอมองเห็นเคาน์เตอร์บาร์ไม้สไตล์วินเทจที่ตั้งตระหง่านกลางร้าน ตลอดสามชั้นมีภาพถ่ายและภาพวาดศิลปะจากฝีมือเจ้าของร้านทั้งสอง แถมนอกร้านยังดีไซน์ให้เป็นแกลเลอรีขนาดย่อม เปิดโอกาสให้ศิลปินนำผลงานของตนมาจัดแสดงและสับเปลี่ยนหมุนเวียนทุก ๆ
เมื่อถึงคราวที่พระจันทร์ต้องขึ้นไปส่องสว่างแทนที่พระอาทิตย์ ความมืดมิดก็ค่อย ๆ เยื้องกรายเข้าปกคลุมท้องฟ้า และนั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่าชีวิตกลางคืนของผู้ชายอย่างเราได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่เป็นอีกวันที่เราโคตรเหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน และกำลังมองหาเครื่องดื่มดี ๆ สักแก้วมาช่วยทุเลาความเหนื่อยล้านั้น ทันทีที่นึกได้ว่าแถว ๆ พร้อมพงษ์เหมือนจะมีบาร์เหล้าเปิดใหม่ เราก็ไม่รอช้าและรีบเดินทางไปยังที่นั่น แม้ต้องผ่านอุปสรรคที่เรียกว่าผังเมืองกรุงเทพฯ เจอกับความป่วยของการจราจร หรือแม้แต่เดินสวนกับฝูงชนที่พลุกพล่าน แต่เมื่อมาถึงร้าน ‘Alonetogether’ ดูเหมือนว่าความว้าวุ่นก่อนหน้ากลับหายไปเป็นปลิดทิ้ง ‘ALONETOGETHER’ บาร์ลับที่ชวนคนเหงามานั่งเมาไปด้วยกัน แม้บรรยากาศของย่านพร้อมพงษ์จะคึกคักและมีผู้คนสัญจรไปมาอย่างคับคั่ง แต่เมื่อก้าวเข้ามาในร้าน เรากลับรู้สึกได้ถึงความสงบ ความเป็นส่วนตัว และความลึกลับบางอย่างที่ทำเอาเราอยากเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ‘Alonetogether’ เป็น Speakeasy Bar ที่มองเผิน ๆ แล้วอาจไม่รู้ว่ามันคือบาร์เหล้า เพราะหน้าร้านมีเพียงป้ายไฟสีขาวขนาดจิ๋วเท่านั้น แถมตัวร้านก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรมาก เหมือนกับซ่อนอยู่ในซอกหลืบเล็ก ๆ ของตึกแถวในย่านนี้ เมื่อผลักประตูร้านเข้าไปจะเจอกับทางเดินแคบ ๆ ที่ขนาบข้างกับเคาน์เตอร์บาร์ไม้ ทางเดินขนาดกะทัดรัดนี้จะพาคุณไปยังโถงดนตรีที่อยู่สุดทาง อันเป็นที่ตั้งของกองชุดและเปียโนสีดำขนาดใหญ่ ซึ่งทุก ๆ วันพุธถึงวันเสาร์จะมีวงต่าง ๆ มาบรรเลงดนตรีแจ๊ส ตั้งแต่สามทุ่มครึ่งถึงเที่ยงคืน ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ตั้งใจจะสร้างบาร์เหล้าย้อนยุค เจ้าของร้านจึงเนรมิตห้องแถวขนาดจิ๋วให้กลายเป็นบาร์ร่วมสมัย ที่เน้นใช้วัสดุไม้และแสงเทียนเป็นพระเอกหลัก ไม่เพียงสร้างความอบอุ่นด้วยพื้นไม้ ผนังไม้ และเฟอร์นิเจอร์ไม้
เมื่อเริ่มชินชาและรู้สึกหวิวท้องหน่อย ๆ กับการนั่งดื่มเหล้าและจ้องมองวิวจากมุมสูงของตึกระฟ้า เราก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศพาหนุ่ม ๆ ชาว UNLOCKMEN ไปนั่งจิบค็อกเทลชิล ๆ กันดูบ้าง แม้หลายคนจะติดภาพว่า ‘อารีย์’ เป็นย่านที่มีร้านกาแฟมากมายและรวบรวมอาหารอร่อยเอาไว้แน่นเอี้ยด แต่หากคุณลองเดินเข้าไปในซอยอารีย์ 3 จะพบว่าย่านแห่งนี้ก็มีบาร์ค็อกเทลเท่ ๆ และบรรยากาศสบาย ๆ ที่ถูกใจผู้ชายอย่างเราด้วยเหมือนกัน ระยะทางไม่เกิน 550 เมตรจากสถานีบีทีเอสอารีย์ คุณก็จะพบกับ ‘Blacksmith’ บาร์เหล้าสุดเท่ที่รอต้อนรับคุณด้วยผนังทรงโค้งรูปเกือกม้าแบบโคโลเนียล (Colonial) ผสานพื้นผิวสีดำดิบแบบอินดัสเทรียลลอฟต์ (Industrial Loft) บวกแสงไฟสลัวที่ลอดผ่านมายังด้านนอก ช่วยสร้างบรรยากาศชวนหลงใหล และทำให้เราอยากเข้าไปนั่งละเลียดค็อกเทลจนหมดคืน BLACKSMITH บาร์ที่การออกแบบสองสไตล์ผสานกันอย่างลงตัว บาร์เหล้าแห่งนี้แบ่งเป็นสองชั้น ด้านบนเปิดเป็นคาเฟ่ (ตอนกลางวัน) เน้นเสิร์ฟเมนูกาแฟ เครื่องดื่มม็อกเทล และขนมโฮมเมด ส่วนตอนกลางคืน Blacksmith จะแปลงโฉมกลายเป็นบาร์เหล้าสุดเจ๋งที่เสิร์ฟครีเอตค็อกเทลพร้อมอาหารสไตล์ฟิวชั่นเลิศรส การออกแบบภายในร้านผสมผสานระหว่างสไตล์อินดัสเทรียลลอฟต์ (Industrial Loft) และโคโลเนียล (Colonial) เข้าด้วยกัน ดีไซน์โครงสร้างหลักด้วยเหล็ก ปูนเปลือย และพื้นปูนขัดมัน ใช้เพดานสูงและหน้าต่างกระจกบานกว้างที่ให้ความรู้สึกดิบ เถื่อน
‘เสียงหัวเราะ’ เป็นอีกหนึ่งสัญญาณความสุขที่พ่วงมากับรอยยิ้มโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่วยขับเคลื่อนความสุขแทบทุกอณูของชีวิตและปลอบประโลมหัวใจอ่อนแอของผู้ชายในวันที่เหนื่อยล้าและท้อแท้ได้อย่างดี หลังจากฟาดฟันกับกองงานมหึมามาร่วม 8 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าก็ค่อย ๆ ถาโถมเข้ามาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ระยะเวลาการทำงานจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ดูเหมือนอาการเหนื่อยล้าที่ว่ายังไม่ทุเลาลงสักนิด ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเราตอนนี้ ดันไปประจวบเหมาะพอดีกับบรรยากาศโดยรอบของย่าน ‘พร้อมพงษ์’ เพราะที่นี่ทั้งแออัด วุ่นวาย และรีบเร่ง ไม่แปลกเลยถ้ามนุษย์ออฟฟิศในย่านนี้จะเหน็ดเหนื่อยหลังเลิกงาน แน่นอนว่าเราคงหมดหวังที่จะได้ยินเสียงหัวเราะจากย่านแห่งนี้ มาปลอบประโลมจิตใจในวันที่เราเองก็เหนื่อยล้าไม่แพ้กัน ท่ามกลางความวุ่นวายของย่านธุรกิจใจกลางเมืองหลวง น่าแปลกที่จู่ ๆ เราดันได้ยินเสียงหัวเราะดังกึกก้องมาจากซอยสุขุมวิท 26 ไม่รอช้า เราตัดสินใจเดินลัดเลาะไปตามถนนแสนร่มรื่นเส้นนี้ เพื่อหวังค้นหาต้นตอของเสียงหัวเราะ จนท้ายที่สุดเราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้า ‘SERIAL LAUGHTER’ บาร์เหล้าที่เป็นจุดเริ่มต้นของเสียงหัวเราะต่อเนื่องที่เราตามหา SERIAL LAUGHTER บาร์สงบส่วนตัวกลางใจเมืองที่วุ่นวาย Serial Laughter เป็นบาร์เหล้าที่ตั้งอยู่ใน Marigold ร้านอาหารไทยใต้จากเกาะสมุย ทั้งสองร้านถูกแบ่งโซนเพียงประตูบานเล็ก ๆ คั่นกลาง ใช้ผนังสีน้ำตาลผสมผนังกระเบื้องขาวโพลนเป็นหลัก สอดแทรกเฟอร์นิเจอร์หลากหลายสไตล์ มีโคมระย้าเป็นจุดกำเนิดแสงไฟที่จัดวางไว้กึ่งกลางโต๊ะอาหาร สร้างบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเองด้วยโทนสีดินและพื้นปูนเปลือย ซึ่งเข้ากันดีกับสไตล์อาหารไทยของทางร้าน ส่วนบาร์เหล้า Serial Laughter นั้นดีไซน์มาให้มีขนาดกะทัดรัด เพื่อให้เข้าถึงง่ายและสร้างสเปซเล็ก ๆ ให้แขกรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว