บอกเลยว่าการเว้นระยะห่างจากสังคม (Social Distancing) นั้นดูเด็กไปเลยถ้าเทียบกับการห้ามเดินทางเข้า-ออกและปิดเมือง (Lockdown) แม้มาตรการนี้จะสร้างขึ้นเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ช่วยชีวิตผู้ป่วยมหาศาล และลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อีกด้านหนึ่งมาตรการดังกล่าวก็ทำให้หนุ่ม ๆ หลายคนต้องจมปลักอยู่ที่บ้าน ไม่ได้พบปะสังสรรค์กับผู้คน และขาดการปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพอย่างชัดเจน ซ้ำร้ายเมื่อผู้นำประเทศประกาศปิดเมืองอย่างจริงจัง ยิ่งทำให้มวลความเหงาแทรกซึมไปทั่วทุกพื้นที่แบบไร้อาณาเขต จนผู้ชายบางคนถูกความเหงากัดกินและรันโรมโจมตีจิตใจเข้าอย่างจัง ความเหงาเป็นเหมือนช่องว่างตรงกลางระหว่างสิ่งที่เราต้องการจากคนอื่นกับสิ่งที่เราได้รับจากคนอื่น เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่างจากเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก แต่กลับไม่ได้รับสิ่งนั้นมักจะทำให้เรารู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อ ๆ แต่ระหว่าง ‘ความเหงา’ กับ ‘สภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม’ มีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ ขณะที่ความเหงานิยามถึงความรู้สึกฟุ้งซ่านอันเนื่องมาจากการอยู่คนเดียวและไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้อื่น สภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมกลับเกิดขึ้นต่อเมื่อเราขาดการติดต่อจากผู้อื่นเป็นระยะเวลานาน ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าเราต้องรู้สึกเหงาเสมอไป แต่น่าแปลกที่มาตรการเว้นระยะห่างจากสังคม (Social Distancing) รวมทั้งมาตรการปิดเมือง (Lockdown) เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส COVID-19 กลับทำให้ใครหลายคนรู้สึกเหงาได้เหมือนกัน เพราะ ‘ความเหงา’ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกัน เมื่อต้องแยกห่างจากกันเป็นระยะเวลานานแล้วทำให้รู้สึกเหงาก็คงไม่แปลกอะไร แต่มวลความเหงาที่ก่อตัวขึ้นในช่วงนี้นั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ถึงขั้นที่รัฐบาลอังกฤษต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความเหงา (Minister for Loneliness) อย่างเป็นทางการ เพื่อจัดทำกลยุทธ์บรรเทาความเหงาของประชาชนและสนับสนุนโครงการที่สร้างการเชื่อมต่อระหว่างประชาชนในช่วงที่ไวรัส COVID-19
“แม้รักกันมากแค่ไหนแต่คู่รักส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตัวติดกันตลอด 24 ชั่วโมง” วลีข้างต้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคู่รักและครอบครัวคนทั่วโลก เพราะแต่ละคนต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง บางบ้านสามีออกไปทำงานส่วนภรรยาอยู่บ้าน หรือคู่รักบางคู่ก็มีงานทำด้วยกันทั้งคู่ ครอบครัวที่มีลูกแล้วก็ต้องแบ่งเวลากันดูลูกและแบ่งเวลาให้กับชีวิตส่วนตัว ไม่ต้องพูดถึงครอบครัวใหญ่ที่มีกันหลายคนทั้งปู่ ย่า พ่อ แม่ ลูก หลาน เราเชื่อว่าคงไม่มีใครอยู่กับคนอื่นตลอด 24 ชั่วโมงแน่นอน ตอนนี้ไวรัสโควิด-19 ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องอยู่ติดบ้าน หลายประเทศสั่งห้ามประชาชนออกจากไปไหนถ้าไม่จำเป็น สำนักงานจำนวนมากสั่งให้พนักงานทำงานที่บ้าน ทำให้สมาชิกในครอบครัว คู่รักหลายคู่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่แทนที่จะมีแต่ความโรแมนติก อยู่ด้วยกัน เห็นหน้ากันตลอด กลายเป็นว่าความรุนแรงในครอบครัวกลับพุ่งสูงขึ้นจนน่าใจหาย ประเทศฝรั่งเศสเริ่มปิดประเทศเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2020 โดยตั้งเป้าว่าจนถึงวันที่ 25 เมษายน จะมีประชาชนออกจากบ้านน้อยลงเว้นแต่ออกไปซื้ออาหารหรือยารักษาโรค จูงสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่นได้วันละครั้ง ออกไปออกกำลังกายวันละครั้งตามคำแนะนำของแพทย์ หลังจากเริ่มมาตรการฉุกเฉินได้สักพักรัฐบาลฝรั่งเศสพบความผิดปกติ หลังจากสั่งให้ประชาชนกักตัวอยู่บ้าน มีคนจำนวนมากโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถูกคนในครอบครัวทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้นถึง 36% ซึ่งจำนวนนี้แค่เฉพาะในเมืองปารีสเท่านั้น ส่วนเมืองอื่น ๆ ของฝรั่งเศสก็มีบันทึกเหตุทารุณกรรมเพิ่มขึ้น 32% รวมถึงมีคดีฆาตกรรมในช่วงวิกฤตไวรัสอีกสองคดี นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิและความเท่าเทียมแสดงความเป็นห่วงต่อกรณีดังกล่าว พวกเขามองว่าการโดนสั่งให้กักตัวจะทำให้เหยื่อความรุนแรงขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ได้ยากขึ้น เหยื่อต้องยกหูโทรศัพท์แจ้งความอย่างเดียวโดยไม่สามารถหลอกว่าจะออกไปทำธุระข้างนอกเพื่อขอความช่วยเหลือ หากการกักตัวอยู่แต่บ้านยังคงดำเนินต่อไปเป็นเดือน ๆ จะต้องมีคนโดยทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้นแน่นอน Marlene Schiappa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความเสมอภาคทางเพศ
“ไม่ว่าใครก็ติดไวรัสได้ ไม่ว่าจะรวยหรือจนหรือมีอำนาจล้นฟ้า” ประโยคดังกล่าวคือการนิยามถึงภัยร้ายจากการระบาดของไวรัสได้เป็นอย่างดี เพราะใคร ๆ ก็สามารถป่วยได้ด้วยกันทั้งนั้น จึงทำให้สถานการณ์การเมืองโลกในช่วงนี้ลดความร้อนระอุลงอย่างไม่น่าเชื่อ UNLOCKMEN จะพาทุกคนสำรวจไปทั่วโลกว่าประเทศน้อยใหญ่แต่ละที่เขามีมาตรการรับมือกับไวรัสอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะประเทศที่มีคู่กรณีหรือไม่ค่อยจะลงรอยกัน ดูสิว่าไวรัสระบาดสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการทูตมากน้อยแค่ไหน ช่วงแรกประเทศจีนเผชิญกับไวรัสโควิด-19 ทำให้คนทั่วโลกรู้จักเมืองอู่ฮั่นในฐานะเมืองแพร่เชื้อ ประเทศจีนกล่าวหาว่ากองทัพสหรัฐฯ อาจเป็นผู้ปล่อยเชื้อใส่ประเทศจีน ส่วนทางสหรัฐอเมริกากล่าวว่าเป็นจีนเองนี่แหละที่คิดค้นเชื้อโรคและเกิดความผิดพลาดจนทำให้คนตายไปจำนวนมาก ประเทศคู่กรณีอย่างไต้หวันกับจีนที่ทะเลาะกันอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่น้อยหน้า เมื่อไต้หวันบอกว่าพวกเขาเตือนองค์การอนามัยโลก (WHO) ไปตั้งแต่แรกแต่กลับไม่มีใครสนใจฟัง เพียงเพราะไต้หวันไม่ถูกนับว่าเป็นประเทศในสายตาของจีนและองค์การอนามัยโลก ทางฝั่งญี่ปุ่นที่มีข้อพิพาทกับจีนแถมยังไม่ค่อยลงรอยกับเกาหลีใต้ก็มาร่วมวงครั้งนี้ด้วย สำนักข่าวญี่ปุ่นเรียกร้องให้จีนแสดงความรับผิดชอบเพราะเป็นประเทศแรกที่เกิดการแพร่ระบาด ส่วนเกาหลีใต้ก็มีท่าทีแข็งกร้าวเมื่อเกิดการระบาดใหญ่ทั่วประเทศ หลายเมืองเกิดการโทษกันไปมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกไวรัสโควิด-19 ว่า “ไวรัสจีน” องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์เตือนผู้คนทั่วโลกว่าโปรดอย่าเรียกชื่อไวรัสชนิดนี้ว่า “ไวรัสจีน” เพราะการกระทำดังกล่าวจะสร้างภาพลักษณ์ผิด ๆ ให้กับเพื่อนร่วมโลก เพราะไวรัสไม่รู้เรื่องพรมแดน ไม่สนใจชาติพันธุ์อันแตกต่าง สีผิว หรือเงินเก็บที่คุณฝากธนาคารเอาไว้ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกท่านอย่าสร้างภาพเหมารวมผิด ๆ ก่อให้เกิดความแตกแยก หลังจากหลายชาติต่างสลับสับเปลี่ยนวิวาทกันไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีไวรัสโควิด-19 ก็แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยย้ายจากจีนมาเป็นอิตาลีที่อาการหนักเข้าขั้นโคม่า ถัดจากอิตาลีคือสหรัฐฯ ที่มีผู้ติดเชื้อมากขึ้นจนน่าใจหาย และจำนวนผู้ติดเชื้อกับผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย
ต้องยอมรับว่าจิตสำนึกและความรับผิดชอบต่อสังคมที่เป็นปัจเจกบุคคลอาจยังไม่พอทุเลาสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 การกระตุ้นและรณรงค์ผ่านสื่อออนไลน์จึงเป็นอีกเครื่องมือช่วยเปลี่ยนปรับพฤติกรรมที่ใช้ได้ผล ทว่าบางครั้งข้อมูลที่ประชาชนได้รับเป็นทางการมากเกินไป ใช้ศัพท์วิชาการที่เข้าใจได้เฉพาะกลุ่ม หรืออัดแน่นเบียดเสียดไปด้วยตัวอักษรที่มักจะทำให้ใครหลายคนไม่อยากคลิกเข้าไปอ่าน งานดีไซน์เจ๋ง ๆ ที่ทำให้คนเข้าใจไวรัสง่ายกว่าเดิม ต่อให้ใช้ข้อมูลเดียวกันและส่งไปยังกลุ่มผู้อ่านที่ต่างกัน ก็ไม่อาจรับประกันว่าผู้รับสารที่เป็นทั้งเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน และผู้สูงอายุจะเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดในทิศทางเดียวกันได้ เหล่าศิลปินและนักออกแบบจึงผลิตผลงานสุดสร้างสรรค์เพื่อรณรงค์และแนะนำวิธีการใช้ชีวิตอย่างถูกต้องในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาด พวกเขานำความคิดสร้างสรรค์ผนวกเข้ากับสัญลักษณ์ รูปภาพ ตัวอักษร และการจัดองค์ประกอบเพื่อสื่อความหมายเชิงทัศนศิลป์ และช่วยให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหาสาระทั้งหมดที่ต้องการสื่อได้ง่าย ๆ เพียงตาเห็น ภาพเคลื่อนไหวจำลองพลังของเชื้อไวรัส Harry Stevens จากหนังสือพิมพ์ The Washington Post จำลองภาพโมชั่นกราฟิกให้เห็นถึงพลังของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งประชาชนอยู่ใกล้ชิดกันในพื้นที่สาธารณะมากเท่าไร ยิ่งทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายง่ายขึ้นมากเท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นตามมาได้ นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานดีไซน์ที่ตอกย้ำว่า Social Distancing หรือการเว้นระยะห่างจากสังคม ยังเป็นเรื่องสำคัญเสมอตราบเท่าที่เราไม่อาจมองเห็นเชื้อไวรัสด้วยตาเปล่า หรือยังไม่มีวัคซีนจำนวนมากพอจะยับยั้งไวรัสได้อย่างขาดรอย ภาพประกอบสุดกวนที่เล่าอาการของผู้ติดเชื้อ ผู้สื่อข่าวสายข้อมูลชาวอังกฤษ Mona Chalabi โพสต์ภาพวาดประกอบของเธอลงใน Instagram ส่วนตัวเพื่ออธิบายอาการของผู้ติดเชื้อ COVID-19 แบบเข้าใจง่าย เธอใช้ภาพวาดสุดกวนที่ดูตลกและสร้างสรรค์ในเวลาเดียวกันสื่อความหมายว่าอาการผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ต่างจากผู้ป่วยโรคไข้หวัดอย่างไร แถมสีสัน สายเส้น และฟอนต์ตัวอักษรที่เธอเลือกใช้ก็ไม่ได้ดูหดหู่หรือเคร่งเครียดเกินไปด้วย ไม้ขีดไฟที่ไม่ถูกเผาไหม้
ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 และจำนวนผู้ติดเชื้อที่ทะยานสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่แปลกถ้าผู้ชายบางคนจะรู้สึกวิตกกังวล ไม่เป็นอันกินอันนอน และตื่นกลัวทุกสิ่งอย่าง ไหนจะข่าวสารที่น่าหดหู่ ผู้คนบางตารอบตัว หรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนที่เปลี่ยนไป คล้ายกับอุปาทานหมู่ที่ทำให้เราวิตกตามไปด้วย แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างตอนนี้ กลับเป็นช่วงที่เราต้องมีสติและเข้มแข็งมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าคุณปล่อยให้อารมณ์วิ่งพล่านและอาละวาดโดยปราศจากการควบคุม อาจทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วย่ำแย่ลงไปอีก วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะมาบอกวิธีควบคุมและจัดการกับอารมณ์ของตัวเองไม่ให้กระเจิดกระเจิงไปไหนไกล เพื่อให้คุณยังมีสติ เข้มแข็ง และยืดหยัดอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ต่อไปได้ รู้จักอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้น วิธีพื้นฐานในการควบคุมจัดการกับอารมณ์ตัวเอง เริ่มจากคุณต้องรู้ก่อนว่าตอนนี้อารมณ์แบบไหนกำลังเกิดขึ้นกับคุณอยู่ หากสามารถจำแนกและบอกได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แปลว่าคุณมีสติและควบคุมอารมณ์ได้ในระดับหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นการรู้จักอารมณ์ยังช่วยจัดการกับอารมณ์เชิงลบและลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตัวคุณได้ เช่น ถ้าคุณรู้สึกวิตกกังวลกับการแพร่ระบาดของไวรัส ความกังวลของคุณจะอยู่บนพื้นฐานของความคิดและเหตุผล คุณจะไม่กระวนกระวายเหมือนคนอื่น ๆ หากมีสติและพร้อมแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาด ช่วยเหลือคนรอบตัว แม้คุณสามารถจำแนกและควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ แต่เชื่อว่ายังมีคนในครอบครัวหรือคนรอบตัวอีกมาก ที่ไม่อาจจัดการกับอารมณ์ต่าง ๆ นานาได้อย่างคุณ คุณจึงต้องช่วยนำทางพวกเขาหรือแบ่งปันอารมณ์ร่วมกัน ว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้างและพอมีวิธีไหนจะทำให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นได้บ้าง ถ้าความวิตกกังวลเรื่องไวรัส COVID-19 เป็นอุปาทานหมู่ที่ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกแย่ตามไปด้วย การมีสติ เข้มแข็ง และควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ก็สามารถกลายเป็นอุปาทานหมู่ที่ส่งต่อไปยังคนอื่นได้เช่นกัน ไม่ต่างจากเรื่องไวรัส จดจ่อสิ่งที่ทำได้ คุณอาจไม่สามารถไปยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสในวงกว้างได้ แต่เราอยากให้คุณมุ่งเน้นในเรื่องที่คุณทำได้และทำมันให้ดีที่สุด เช่น
นอกจากการดูแลร่างกายที่หลายหน่วยงานบอกให้เราล้างมือ ยืนห่าง ใช้หน้ากาก และพยายามอย่าใช้มือสัมผัสใบหน้า ซึ่งเป็นการป้องกันเบื้องต้น แต่ยิ่งเราเข้าใจ Coronavirus มากเท่าไหร่ เรายิ่งสามารถป้องกันตัวเองจากมันได้มากขึ้น ล่าสุดมีผลวิจัยที่น่าสนใจจากประเทศอังกฤษ ประเทศที่มีตัวเลขการระบาดแบบก้าวกระโดด อธิบายระยะเวลาที่ Covid-19 มีชีวิตอยู่นอกร่างกายบนพื้นผิวต่าง ๆ ได้นานแค่ไหน ซึ่งมันทำให้เห็นว่านอกจากการป้องกันเบื้องต้นตามที่หลายหน่วยงานแนะนำ เรายังควรฆ่าเชื้อโรคบนพื้นผิวต่าง ๆ ที่เราต้องสัมผัส และการหมั่นล้างมือทุกครั้งเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ทุกคนน่าจะเข้าใจแล้วว่าเจ้าไวรัส severe acute respiratory syndrome coronavirus 2 (SARS-CoV-2) ต้นเหตุของโรค Coronavirus disease (COVID-19) สามารถแพร่กระจายทางผ่านทางละอองของเหลว การสร้างระยะห่าง Social Distance ไม่น้อยกว่า 2 เมตร รวมถึงการหลีกเลี่ยงไม่รวมตัวในหมู่คนจำนวนมาก จึงเป็นวิธีป้องกันที่ถูกต้องและทุกคนควรทำตามอย่างเคร่งครัด แต่ที่หลายคนอาจยังไม่รู้คือ เจ้าไวรัสชนิดนี้มันมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายมนุษย์ได้นานหลายชั่วโมงไปจนถึงสูงสุดคือ 72 ชั่วโมง (3 วัน) ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิว เป็นการช่วยคอนเฟิร์มว่าเราจำเป็นต้องล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่ไม่น้อยกว่า 20 วินาที ทำความสะอาดผิวสัมผัสก่อนจับเสมอ เนื่องจากเจ้า SARS-CoV-2
ในช่วงการระบาดของ Coronavirus หรือ Covid-19 ที่อานุภาพรุนแรงฝ่าทุกการป้องกันในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเจริญแล้วอย่างราบคาบ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน อังกฤษ สเปน หรือแม้แต่ฝรั่งเศส ซึ่งการระบาดของ Coronavirus นั้นติดง่าย แต่ไม่ร้ายแรงถึงตายทันตาเห็น และแน่นอนว่ายังไม่มียาป้องกัน มีเพียงยารักษาตามอาการและปล่อยให้ร่างกายเป็นฮีโร่สุดท้ายในการต่อสู้กับไวรัส ท่ามกลางความตื่นตระหนก ย่อมมาพร้อมสารพัด Fake News ว่าสิ่งนี้สิ่งนั้นช่วยป้องกัน Covid-19 ได้ ที่น่าสนใจคือแต่ละประเทศจะมี Fake news แบบนี้ไม่เหมือนกัน สะท้อนวัฒนธรรมและวิถีชีวิตได้ดีพอสมควร แต่ในฝรั่งเศสถือว่าสุดโต่งกว่าใคร เมื่อมีกระแสที่ได้รับการ Viral จนวัยรุ่นเชื่อและนำไปทำตามกันเยอะมาก จนรัฐบาลฝรั่งเศสต้องออกมาประกาศว่า “โคเคน มันป้องกันหรือรักษา Coronavirus ไม่ได้นะคุณ” ต้นตอของกระแสแปลก ๆ นี้เริ่มจากภาพตัดต่อที่ทำให้ดูเหมือนข่าวจากแหล่งที่น่าเชื่อว่าพร้อม headline ว่า “Breaking News: Cocain kills Corona Virus” ถูก post ลงบน Twitter ทันใดนั้นมันก็ถูกแชร์ส่งต่อข้อมูลผิด ๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโคโรนาไวรัส (Coronavirus) เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่คนทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ หลังจากแพร่ระบาดที่เมืองอู่ฮั่นและกระจายตัวในวงกว้างมาร่วมสามเดือน ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 250 รายในประเทศจีน และเชื้อไวรัสนี้ก็กำลังระบาดไปยังอีก 20 ประเทศทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลก (WHO) ต้องออกมาประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขโลก ไม่เพียงสร้างความตื่นตัวให้กับผู้คน หากยังสร้างความหวาดกลัวและวิตกกังวลในเวลาเดียวกัน สิ่งเดียวที่ทำได้คือเรียนรู้ ตระหนัก และป้องกันตัวเองด้วยการใส่มาสก์ตลอดจนหมั่นล้างมือให้สะอาด แต่นั่นคงไม่เพียงพอที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัสที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ติดต่อได้ผ่านคน และปะปนอยู่แทบทุกที่รอบตัวเรา Sun Dayong สถาปนิกชาวจีนหนึ่งในผู้ก่อตั้งสตูดิโอออกแบบ Penda ก็รู้สึกได้ถึงผลกระทบของโคโรนาไวรัสและคิดหาไอเดียต่าง ๆ เพื่อป้องกันผู้คนจากเชื้อไวรัสที่กำลังแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องในตอนนี้ เนื่องจากโคโรนาไวรัสและโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่อาจมีจุดเริ่มต้นมาจากค้างคาว และสถาปนิกรายนี้ก็เชื่อว่าค้างคาวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของร่างกายได้อย่างน่าทึ่ง โดยขณะที่บินอุณหภูมิร่างกายของพวกมันสามารถพุ่งสูงถึง 40 องศาเซลเซียสได้ และลดลงอย่างรวดเร็วขณะที่หยุดพัก Sun Dayong จึงนำเรื่องราวของค้างคาว ซูเปอร์ฮีโร่ที่ข้ามขีดความสามารถมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิมาผนวกเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็น ‘Be a Bat Man’ เสื้อเกราะสุดเจ๋งที่ใช้รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ UV ฆ่าเชื้อไวรัส เพื่อให้ผู้สวมใส่มั่นใจได้ว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวของพวกนั้นปลอดเชื้ออย่างแท้จริง ตัวเสื้อเกราะใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เป็นหลัก ดีไซน์รูปลักษณ์ออกมาคล้าย ๆ ปีกค้างคาว ตัวปีกจะเชื่อมต่อกับฟิล์ม