ตลอดช่วงเวลาของวาเลนไทน์ถือเป็นโอกาสดีสำหรับหนุ่ม ๆ สายสนีกเกอร์เฮดแน่นอน เพราะเทศกาลนี้มีรองเท้ารุ่นเด็ดดีไซน์แจ่มถูกปล่อยออกมาหลายคู่ และสำหรับช่วงเทศกาลแห่งความรักปีนี้ เราจะพาทุกท่านไปดูกันว่าแต่ละแบรนด์นั้นมีทีเด็ดอะไรปล่อยออกมากันบ้าง THREE STRIPE in VALENTINE ค่ายสามขีดเตรียมโมเดลรองเท้าไว้สำหรับวาเลนไทน์ทั้งรุ่นสุดเก๋าและรุ่นใหม่ล่ามาแรงใน Adidas Originals Valentine 2020 Collection ซึ่งประกอบไปด้วยโมเดล Superstar 2 คู่และโมเดล Stan smith 3 คู่ ถูกปรับงานดีไซน์ให้ออกมาเหมาะกับวันแห่งความรัก เริ่มต้นกับ Adidas Superstar คอลเลกชันนี้มากับอัปเปอร์หนังสีขาวและสีดำตกแต่งด้วยลายกราฟิกรูปหัวใจและโลโก้ Adidas Original ไว้ด้านนอกตัวรองเท้า รวมถึงเชือกสีขาวที่มีดลวดลายหัวใจสีแดงแต่เพิ่มพื้นที่ว่างให้กับรองเท้าด้วยลิ้นและ Heel Tap สีขาว ต่อมาเป็นโมเดล Stan Smith คู่แรกมาในอัปเปอร์หนังสีขาวตกแต่งอย่างเรียบง่ายด้วยกราฟิก STAN SMITH สีแดงและรูปหัวใจแทนที่ในส่วน Heel Tap เป็นโมเดลไอคอนอีกคู่ที่เรียบง่ายและหยิบมาสวมอย่างมีสไตล์ได้เสมอ 2 คู่ต่อมาเป็น Stan Smith อีก2 สีคือ White/Green และ White
ถือว่าเป็นปีที่ร้อนแรงมาก ๆ ของแบรนด์ Kith แฟชั่นสตรีตจากอเมริกาก่อตั้งขึ้นโดย Ronnie Fieg ดีไซเนอร์ชาวผิวสีที่มองว่าการเดินเข้าช็อปแฟชั่นสตรีตสักร้านมันควรจะมีไอเทมทุกอย่างรองรับสุภาพบุรุษสายแฟชั่น ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจับมือปล่อยคอลเลกชันเครื่องแต่งกายสุดพิเศษกับภาพยนตร์มาเฟียในตำนานจากปี 1972 เรื่อง The Godgather และแบรนด์สนีกเกอร์ New Balance ไปหมาด ๆ ล่าสุดไม่รอช้าต่อยอดกระแส ตีเหล็กตอนกำลังร้อนด้วยการจับมือกับแบรนด์นาฬิการะดับตำนานของญี่ปุ่นอย่าง Casio เพื่อสร้างสรรค์เรือนเวลา G-Shock ที่โดดเด่นกว่าใคร มีใครสักคนเคยกล่าวไว้ว่า “นาฬิกา G-Shock อาจเป็นเรื่องไกลเกินตัวที่จะทะยานเข้าสู่วงการไฮเอนด์ฯ” คนที่เอ่ยประโยคนี้อาจมองว่า G-Shock เป็นนาฬิกามหาชน สามารถสวมใส่ได้แทบทุกวัยทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เลยทำให้ G-Shock ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่ความหรูหราได้เท่าไรนัก แต่ Kith มีมุมมองแตกต่างออกไป และเจ้าของแบรนด์อย่าง Ronnie Fieg ก็มองว่าความเป็นนาฬิกามหาชนจากแบรนด์ Casio สามารถเติบโตด้วยดีไซน์หรูหราแต่ราคาเอื้อมถึงได้เช่นกัน นาฬิกา G-Shock เรือนพิเศษเกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของ Kith x G-Shock ได้ไอเดียจาก Ronnie Fieg ที่ตัดสินใจนำโลหะมาประกอบเข้ากับเรือนเวลารุ่น DW-6900
ต่อให้ไม่รู้จักชื่อหรือที่มาที่ไปแน่ชัด แต่เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงเคยเห็นการออกแบบสไตล์บรูทัลลิสต์ (Brutalist) ผ่านตากันมาบ้าง บรูทัลลิสต์ถือเป็นงานดีไซน์ที่เน้นโครงสร้างและชูความโดดเด่นของสัจจะวัสดุอย่าง ‘คอนกรีต’ เป็นหลัก แต่บางครั้งก็นำรูปทรงเรขาคณิตและแพตเทิร์นซ้ำไปซ้ำมามาใช้ในงานออกแบบ เพื่อเติมความสนุกสนานหรือลูกเล่นให้งานนั้น ๆ แม้บรูทัลลิสต์จะเกิดขึ้นในช่วงปี 1950-1970 แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสไตล์นี้ยังมีเสน่ห์และผู้คนยังนิยมจวบจนทุกวันนี้ แม้แต่ Annabell Kutucu นักออกแบบและตกแต่งภายใน ผู้คร่ำหวอดในวงการออกแบบบ้านหรูมากว่า 10 ปี ก็นำสไตล์บรูทัลลิสต์มาผนวกเข้ากับงานของเธอด้วย เธอได้รับโจทย์จาก NOA – No Ordinary Agency ให้ออกแบบ ‘Brutalist Silence’ ออฟฟิศกึ่ง Co-working Space ริมแม่น้ำชเปร (Spree) ในกรุงเบอร์ลิน ออฟฟิศแห่งนี้ถูกฉาบด้วยพื้นผิวคอนกรีตไล่ตั้งแต่พื้น ผนัง ไปจนถึงเพดาน เน้นชูความโดดเด่นของคอนกรีตตามสไตล์บรูทัลลิสต์โดยไม่ปรุงแต่ง ผิวคอนกรีตที่เป็นพระเอกหลักไม่เพียงสร้างบรรยากาศเงียบสงบเหมาะกับการทำงาน หากยังทำให้ออฟฟิศนี้ดูเรียบง่าย เนี้ยบเท่ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เติมความเคร่งขรึมให้สเปซที่ว่างเปล่าด้วยเฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ ชั้นวาง built-in รวมทั้งผนังกั้นห้องที่ทำจากไม้โอ๊ครมควัน นอกจากนั้นยังมีของตกแต่งโบราณหลากชิ้นตั้งวางตามจุดต่าง ๆ ในออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นชามเซรามิกสีเอิร์ธโทน
ในปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าวงการรองเท้าคือตลาดเครื่องแต่งกายที่มีขนาดและมีมูลค่าสูงมากเมื่อเทียบกับตลาดเครื่องแต่งกายชนิดอื่น ๆ ด้วยความเป็นตลาดร่วมที่มีส่วนผสมระหว่างวงการแฟชั่นและกีฬาก็ยิ่งให้รองเท้ามีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง และมีผู้คนจำนวนมากผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาสร้างสีสันและความเปลี่ยนแปลงให้วงการมาตลอดหลายสิบปี หนึ่งในนั้นคือ Christian Tresser (คริสเตียน เทลสเซอร์) หากจะกล่าวว่าผลงานของคริสเตียน เทลสเซอร์ นั้นเป็นที่รู้จักมากกว่าชื่อเสียง และตัวตนของเขาคงไม่ผิดนัก เพราะต้องบอกเลยว่านักออกแบบรองเท้าคนนี้มีผลงานและสร้างความเปลี่ยนแปลงให้วงการรองเท้าจากแนวคิดที่หาตัวจับได้ยาก งานออกแบบของเขาบางรุ่นกลายเป็นไอคอนิกของยุคสมัย บางรุ่นยังคงได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบัน และอะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้เขาสนใจและหลงใหลในการดีไซน์รองเท้าจนก้าวมาเป็นนักออกแบบซึ่งมีผลงานสนีกเกอร์หลายรุ่นที่ยังคงทรงอิทธิพลอยู่อย่างยาวนาน เรามาหาคำตอบไปพร้อมกัน Form Soccer To Designer คริสเตียนเกิดในรัฐแคลิฟอร์เนีย วัยเด็กเขาเป็นคนที่ชอบวาดภาพ แต่อีกหนึ่งกิจกรรมโปรดในวัยเด็กคือการเล่นฟุตบอล หรือซ็อกเกอร์ แต่อย่างที่รู้กันดีว่าเมืองลุงแซมไม่ได้เป็นดินแดนของฟุตบอลเพราะพวกเขามีอเมริกันเกมส์ที่นิยมอยู่แล้วทั้งเบสบอล บาสเกตบอล และอเมริกันฟุตบอล อย่างไรก็ตามกีฬายอดฮิตของชาวอเมริกันเหล่านั้นไม่อาจเบนความสนใจของคริสเตียนไปจากสิ่งที่เขาหลงใหลได้เลย คริสเตียนแค่หลงใหลในกีฬาฟุตบอล และเล่นมันอย่างต่อนเนื่องจนกระทั่งเข้าศึกษาต่อในระดับมหาลัยเขาก็ยังชอบฟุตบอลอยู่เสมอโดยลงเล่นให้ Foothill College Soccer Team แต่แล้วเวลาแห่งการตัดสินใจก็มาถึง เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพในเวลานั้นโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาแทบจะไม่มีทางเป็นไปได้ ส่งผลให้คริสเตียนดเล่นฟุตบอลในระดับมหาวิทยาลัยได้เพียงปีเดียวก็ตัดสินใจย้ายไปเรียนการออกแบบที่วิทยาลัยศิลปะและการออกแบบในซานฟรานซิสโก เพราะการออกแบบคืออีกเรื่องที่เขาหลงใหลไม่แพ้กัน และรู้ว่าเส้นทางสายออกแบบนั้นยังพอเหลือที่ว่างให้ตัวเองมีโอกาสถ่ายทอดความรักในเกมกีฬาลงในสิ่งเขาออกแบบขึ้น คริสเตียนเป็นคนที่มีฝีมือในการวาดและสเก็ตช์ภาพสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะรองเท้าที่ตัวเขาสนใจเป็นพิเศษ หลังจบการศึกษาได้มีโอกาสรับจ็อบดีไซน์เนอร์ให้กับบริษัทออกแบบรองเท้าอิสระที่กำลังรับงานแบรนด์ย่อย BOKS ให้กับ Reebok ในยุครุ่งเรือง ก่อนที่ไอเดียของคริสเตียนจะไปเข้าตาคนในบริษัทและได้รับการว่าจ้างเต็มเวลาให้ Reebok ในที่สุด REEBOK
ในแวดวงแฟชั่นและผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่น คงไม่มีใครไม่รู้จักแบรนด์แฟชั่นระดับโลกที่มีชื่อว่า Issey Miyake ซึ่งใช้ชื่อเดียวกันกับดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้งแบรนด์ เด็กหนุ่มจากฮิโรชิมาที่สร้างสรรค์งานออกแบบทั้งเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายได้อย่างน่าประทับใจเสมอมา Issey Miyake มักสร้างปรากฏการณ์น่าทึ่งให้กับโลกของแฟชั่นอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงการเปิดศักราชใหม่อย่างงดงามด้วยนาฬิกาคอลเลกชันล่าสุดที่ดึงดีไซเนอร์ระดับตำนานอย่าง Satoshi Wada (ซาโตชิ วาดะ) ชายผู้เคยสร้างฝีมือให้โลกประจักษ์ด้วยการดีไซน์รถยนต์ Audi A5 ทำให้รถยนต์รุ่นนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็น “The most beautiful coupé in the world” หรือ “รถคูเป้ที่สวยที่สุดในโลก” การเจอกันระหว่าง Issey Miyake กับ Satoshi Wada ในครั้งนี้ไม่ใช่การเจอกันครั้งแรก แต่ทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาแล้วเพื่อสร้างสรรค์นาฬิกาคอลเลกชัน “W” ที่โดดเด่นด้วยสไตล์มินิมัลและได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบรถยนต์ของ Satoshi Wada และมาในปี 2020 พวกเขาก็ได้ดีไซน์เรือนเวลาสุดพิเศษขึ้นอีกครั้งกับคอลเลกชัน “U” Series ชื่อของคอลเลกชัน “U” Series มีที่มาจากคำว่า ‘Unidentified’ รวบรวมจุดเด่นของความหลากหลายแตกต่างนำมาไว้บนเรือนเวลา เพราะ Satoshi Wada ขึ้นชื่อเรื่องงานดีไซน์ที่เน้นความมินิมัลผสมผสานกับความร่วมสมัย ส่งให้นาฬิกาเต็มไปด้วยความคลาสสิกผสมผสานความสากลในสไตล์ของ
เหลือเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ก่อนหนุ่ม ๆ ที่เป็นแฟนภาพยนตร์เจมส์บอนด์จะได้ชมบทสรุปของชายผู้มาพร้อมรหัส 007 และการอำลาบทบาทของแดเนียล เคร็ก ในภาค ‘NO TIME TO DIE’ ขณะที่ค่ายนาฬิกาอย่าง SWATCH ก็อยากให้เกียรติการกลับมาของ 007 ด้วยแคปซูลนาฬิกา SWATCH x 007 SWATCH x 007 ประกอบไปด้วยนาฬิกา 6 เรือน มีพื้นฐานจากโมเดล Original Gent’s หน้าปัดขนาด 34 มิลลิเมตร และรุ่น New Gentleman ขนาดหน้าปัด 41 มิลลิเมตรเพื่อตอบโจทย์ผู้ชายที่มีขนาดข้อมือใหญ่ ความพิเศษคือทั้ง 6 เรือนได้แรงบันดาลใจงานดีไซน์ตามจากแฟรนไชส์ James Bond ที่เลือกมา 6 ภาคเด่นจากตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา เอาเป็นว่าอย่ารอช้า เชิญไปดูกันว่าแต่ละเรือนนั้นถูกสร้างออกมาได้โดดเด่นแค่ไหน Dr. NO (1962) Dr. NO มาพร้อมหน้าปัดขนาด
สำหรับหนุ่ม ๆ ที่สะสมฟิกเกอร์และชื่นชอบการ์ตูนเรื่อง Gundam คงจะจดจำการคอลแลปส์ฯ สุดแหวกแนวกันได้ขึ้นใจของตัวต่อที่ผสมผสานเรื่องราวระหว่าง Gundam ที่เป็นตัวแทนของเด็กผู้ชาย กับ Hello Kitty การ์ตูนลายเส้นน่ารัก ๆ ขวัญใจเด็กผู้หญิง เพื่อฉลองความสำเร็จอันยาวนานของการ์ตูนทั้งสองเรื่องที่มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ด้านล่างได้ Hello Kitty x RX-78-2 Gundam คือโมเดลตัวละครสุดลิมิเต็ดที่ออกโปรโมตเมื่อปี 2019 ผลิตโดยบริษัท Bandai Spirits (Tamashii) จับเด็กสาวหน้าตาเหมือนแมวจากเรื่องคิตตี้มาใส่ชุดโมบิลสูทกันดั้มตัวแรก พร้อมกับเอกลักษณ์สุดโดดเด่นที่สลับขั้วจากกันดั้มทั่วไป ที่ปกติจะมีหัวขนาดเล็ก แต่สำหรับฟิกเกอร์สุดพิเศษนี้จะมาในรูปแบบโมเดลหัวโตหน้าตาน่ารัก หมวกมีหูเหมือนแมว แถมยังติดโบว์สีแดงไว้ตรงหูด้วย โดยการจับมือกันของมังงะดังสองเรื่องนี้เกิดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปี Hello Kitty และครบรอบ 40 ปี ของ Gundam เมื่อบริษัทผู้ผลิตปล่อยภาพของฟิกเกอร์ Hello Kitty x RX-78-2 Gundam ก็เกิดกระแสพูดถึงในวงกว้างทันที บางคนบอกว่ามันสาวเกินไป แต่หลายคนก็ชื่นชอบเพราะคอลเลกชันแบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อย ๆ แถมแฟนสาวของหนุ่มที่สะสมฟิกเกอร์หลายคนต่างก็โอเคถ้าเราจะซื้อเจ้าโมเดลตัวนี้มาตั้งไว้ในบ้าน (ก็มันน่ารัก) ด้วยกระแสเชิงบวกที่ผู้คนให้ความสนใจทำให้เกิด
เรารู้จัก ‘ยูเครน’ ในฐานะประเทศลึกลับแห่งยุโรปตะวันออก และอาจเป็นประเทศที่โด่งดังเรื่องข่าวสงครามมากกว่าจะเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวหลากเชื้อชาติ แต่เมืองเคียฟ (Kiev) หรือ อิฟ (Kyiv) เมืองหลวงของประเทศลึกลับแห่งนี้ กลับเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ การศึกษา และวัฒนธรรมของยุโรปตะวันออก แถมยังมีพื้นที่ว่างให้สถาปัตยกรรมปรากฏตัวเพื่อบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์และความขลังผ่านกำแพงอิฐเก่าแก่ Rina Lovko Studio ได้รับโจทย์ให้ออกแบบ ‘Balthazar’ บาร์ชั้นใต้ดินที่ตั้งอยู่ทางใต้ของตลาด Besarabsky อันเป็นตลาดในร่มที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและชาวเมืองก็คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี Balthazar เป็นบาร์เครื่องดื่มเก่าแก่ที่ดูลึกลับและมีเสน่ห์เฉพาะตัว และ Rina Lovko Studio สตูดิโอสัญชาติยูเครนรายนี้ก็เข้ามาออกแบบภายใน โดยไม่ทิ้งกลิ่นอายความเก่าและเก๋าของวัสดุในอดีต ภายในบาร์เผยให้เห็นโครงสร้างแบบอินดัสเทรียลลอฟต์ที่ชัดเจน การตกแต่งจะใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มเป็นหลัก มีเบาะนั่งสีเขียว และกระเบื้องเคลือบเฉดเขียวหุ้มฐานของเคาน์เตอร์ เพื่อสร้างบรรยากาศลึกลับ มีเสน่ห์ และน่าค้นหา แสงไฟสลัวตามมุมต่าง ๆ ของร้านเกิดจากการผสมผสานของเทียน โคมระย้า และโคมไฟตั้งพื้นที่คลุมด้วยผ้า ส่วนผนังและเพดานยังคงความเก่าของอิฐมอญที่ก่อรูปร่างไว้เมื่อหลายปีก่อน โดยไม่ได้ดัดแปลงหรือแต่งเติมจนความขลังที่ว่านั้นเลือนรางไป แม้การออกแบบภายในครั้งนี้จะไปได้สวย แต่ Rina Lovko Studio ก็ยังต้องเจอกับปัญหาใหญ่ เพราะเดิมทีบาร์ใต้ดินแห่งนี้มีทางเดินคดเคี้ยวและลูกค้ามักจะถูกเพดานอิฐความสูง 1.6 เมตรมาขัดจังหวะการเดิน เนื่องจากไม่สามารถทุบเพดานอิฐด้านบนที่เป็นโครงสร้างหลักได้
‘Panerai’ หนึ่งในแบรนด์นาฬิกาไฮเอนด์จากเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ที่โดดเด่นด้วยงานดีไซน์นาฬิการ่วมสมัย มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แถมยังได้รับความไว้วางใจจากกองทัพเรืออิตาลีให้ผลิตนาฬิกา ทั้งรุ่น Marina Militare นาฬิกาดำน้ำสุดแข็งแกร่งอย่าง Radiomir หรือแม้แต่รุ่น PAM 232 ที่ตอกย้ำว่าแบรนด์นี้คือผู้ผลิตเรือนเวลาให้กับกองทัพเรืออิตาลีอย่างเป็นทางการและเพียงผู้เดียว เมื่อ Panerai ย้ายฐานการผลิตจากอิตาลีไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บวกกับการที่บริษัท Richemont เข้ามาบริหารกิจการต่อในปี 1997 และนำการตลาดแบบใหม่มาใช้ ทำให้แบรนด์นาฬิกาสัญชาติอิตาเลียนรายนี้ประสบความสำเร็จและโด่งดังไปทั่วโลก แม้จะมีบางช่วงที่ Panerai ปล่อยนาฬิการุ่น limited-edition ออกมาล้นตลาด จนทำให้เหล่านักสะสมชั่งใจที่จะซื้อและคิดทบทวนถึงเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้อีกครั้ง แต่เมื่อผ่านช่วงวิกฤตมาได้ Panerai ก็เป็นที่พูดถึงและชื่อเสียงของ “นาฬิกาที่ยิ่งซื้อแพง ยิ่งขายต่อได้แพง” ก็เริ่มหวนคืนสู่แวดวงเครื่องบอกเวลาอย่างน่าภูมิใจ เมื่อไม่กี่วันมานี้ Panerai ก็เพิ่งประกาศเปิดตัวนาฬิกาในคอลเลกชัน Luminor Marina รุ่นล่าสุดอย่าง ‘PAM1661 Luminor Marina Carbotech’ เป็นนาฬิกาดำน้ำกึ่งสปอร์ตสุดเท่ที่ชวนให้คิดถึงรุ่น Lab-ID อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และเป็นรุ่นที่หนุ่ม ๆ สาวก Panerai ทุกคนหลงรัก PAM1661
Wabi-sabi (วะบิ-ซะบิ) เป็นอีกแนวทางการออกแบบของญี่ปุ่นที่โด่งดังไม่แพ้มินิมัลสไตล์อันเลื่องชื่อ บ้างว่า Wabi-sabi คือปรัชญาการใช้ชีวิตเช่นเดียวกับ Ikigai (อิคิไก) แต่ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องการค้นหาความหมายในชีวิต หากว่าด้วยเรื่องการยอมรับความไม่สมบูรณ์ของทุกสรรพสิ่งรอบตัว นอกจากแนวคิดนี้จะหยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่นแล้ว Wabi-sabi ยังเข้ามามีอิทธิพลต่อแวดวงการออกแบบด้วยเช่นกัน เหล่านักออกแบบและสถาปนิกบางคนเริ่มนำวัสดุที่ผุกร่อนและมีรอยตำหนิมาใช้ในงาน เลิกยึดติดกับความงามตามอุดมคติและเปิดใจยอมรับว่าบางครั้งความไม่สมบูรณ์แบบก็งดงามและมีคุณค่า NC Design & Architecture สตูดิโอออกแบบของฮ่องกงได้รับโจทย์ให้ออกแบบห้องที่มีพื้นที่ใช้สอย ดูสวยงาม และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สตูดิโอรายนี้จึงนำวัสดุที่มีร่องรอยขีดข่วนและรอยตำหนิ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ไปจนถึงของตกแต่งชิ้นเล็ก มาสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมภายใน ที่สะท้อนความงดงามของความไม่สมบูรณ์แบบตามหลักปรัชญา Wabi-sabi พื้นที่ใช้สอยขนาด 157 ตารางเมตรถูกแบ่งให้เป็นสามส่วนหลักคือห้องนั่งเล่น ห้องนอน และห้องน้ำที่มีทางเดินไม้ยกระดับเป็นตัวกั้น ซึ่งทางเดินไม้ที่ออกแบบให้สูงกว่าพื้นห้องนั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก Genkan (เก็นคัง) โถงทางเข้าบ้านที่ไล่ระดับพื้นตามแบบบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิม ส่วนห้องครัวและห้องอ่านหนังสือจะตั้งอยู่ทางด้านหลังของห้องหลัก ภายในอพาร์ตเมนต์นี้ดีไซน์ด้วยวัสดุธรรมชาติเป็นหลัก ใช้พื้นไม้และผนังไม้บางส่วนสร้างความอบอุ่นแบบบ้านญี่ปุ่น ผนัง เพดาน ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์บางชิ้นก็เลือกใช้เป็นสีเอิร์ธโทนที่ดูอบอุ่นเช่นกัน แม้จะตกแต่งให้ดูเรียบง่าย แต่ก็มีเฟอร์นิเจอร์หินอ่อนที่มีรอยตำหนิหลายชิ้นช่วยสร้างความโดดเด่นและเป็นจุดนำสายตา ทั้งยังได้หินอ่อนทรงเรขาคณิตและโลหะออกซิไดซ์เก่า ๆ ประดับประดาตามผนัง เป็นเหมือนงานประติมากรรมขนาดย่อม เฟอร์นิเจอร์ที่ติดตั้งในห้องนั่งเล่นยังถูกเลือกสรรอย่างพิถีพิถัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่สงบ เรียบง่าย และดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด โทรทัศน์และประตูที่เชื่อมไปยังห้องต่าง ๆ