ครั้งหนึ่งในชีวิตของเราอาจเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ศิลปะเป็นเรื่องไกลตัว และเป็นเรื่องสำหรับคนรวยเท่านั้น” ประโยคที่ฟังแล้วทำให้คิดตามว่า จริงหรือไม่ที่ศิลปินและคนเสพศิลปะจำกัดไว้เฉพาะแวดวงร่ำรวย ถ้าเป็นอย่างที่ว่า คนจนหรือคนชนชั้นกลางไม่มีสิทธิ์เข้าถึงศาสตร์แห่งการเล่าเรื่องด้วยภาพเลยเหรอ ? ในช่วงเวลาที่กำลังครุ่นคิดว่าคนรุ่นใหม่จะหันมาเป็นศิลปินเยอะหรือไม่ หรือคิดว่าประเทศไทยจะไม่มีศิลปินรุ่นใหม่ ๆ อย่างที่เขาว่า ก็ดันเหลือบไปเห็นแฮชแท็กหนึ่งที่ขึ้นเทรนด์ความนิยมในทวิตเตอร์ช่วงนี้ที่สามารถตอบคำถามคาใจได้ แฮชแท็กขึ้นเทรนด์ที่ว่าคือ #Thaiartist ที่มีความหมายตรงตัว เปิดโอกาสให้ศิลปินน้อยใหญ่ลงผลงานของตัวเองกันอย่างเต็มที่ และจากแฮชแท็กทำให้ UNLOCKMEN พบว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยศิลปินมากความสามารถ เห็นผลงานหลากสไตล์กับลายเส้นที่บ่งบอกตัวตน บางคนวาดลงบนผ้าใบหรือกระดาษ บางคนวาดบนไอแพดหรือใช้เมาส์ปากกาวาดในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งผลงานเท่ ๆ สไตล์คอลลาจ จนเราอดใจไม่ไหว อยากแบ่งปันผลงานศิลปะจากฝีมือคนไทยมาให้ทุกคนได้ชมกัน ART & TECHNOLOGY ถ้าเป็นสมัยก่อนผลงานศิลปะส่วนใหญ่จะอยู่บนผืนผ้าใบ แผ่นกระดาษหรือแผ่นไม้ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนศิลปะก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมปัจจุบันด้วยเช่นกัน ในยุคนี้จึงมีศิลปินรุ่นใหม่จำนวนมากใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ บ้างก็เพื่อความสะดวกสบาย บ้างก็เป็นความชอบและรสนิยมแถมเครื่องมือไฮเทคก็จะช่วยถ่ายทอดจินตนาการที่มีอยู่เต็มหัวออกมาเป็นผลงานจับต้องได้จริง ศิลปินไทยหลายคนนิยมสร้างสรรค์ผลงานด้วยโปรแกรม Illustrator หรือใช้เครื่องมือแตกต่างกันไปตามความถนัดของศิลปิน แต่สิ่งที่เราจะเห็นเหมือนกันคือความชอบและลายเส้นที่บ่งบอกตัวตนเฉพาะตัว บ้างก็หยิบสิ่งที่เห็นในชีวิตประจำวัน ความทรงจำกับสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงความชอบของตัวเองสื่อออกมาเป็นผลงาน การนำแรงบันดาลใจจากศิลปินยุคเก่าที่วาดภาพบนผ้าใบมาปรับแนวให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองก็น่าสนใจไม่น้อย เช่นภาพของกลุ่มผู้ชายยุคกลางกับโทนภาพมืด ๆ เน้นเส้นสีสะเทือนอารมณ์ และเล่นเรื่องแสงเงาตามแบบมิเกลลันเจโล คาราวัจโจ นอกจากนักวาดและศิลปินสร้างสรรค์ผลงานเท่ ๆ เราจะเห็นสายอาชีพออกแบบอื่น
ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วกับการแข่งขันกีฬาที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติอย่าง Olympic Games การแข่งกีฬาระหว่าง 200 กว่าประเทศ ส่งตัวแทนนักกีฬาหลายพันคนต่างตั้งใจฝึกซ้อมเพื่อชิงชัยในงานนี้ การเลือกเจ้าภาพจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุก ๆ สี่ปี และ Olympics ครั้งนี้เจ้าภาพที่จะได้จัดมหกรรมกีฬาสุดยิ่งใหญ่ก็คือเมืองเกาะกลางทะเลอย่างประเทศญี่ปุ่น เมื่อกีฬาสุดยิ่งใหญ่ Tokyo 2020 กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้ ทำให้ Omega แบรนด์นาฬิกาที่อยู่คู่กับการแข่งขัน Oympics มาอย่างยาวนานในฐานะ Olympic Official Timekeeper หรือผู้จับเวลาการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกจึงไม่พลาดเปิดตัวนาฬิกาที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจจาก Tokyo 2020 นาฬิกาที่บอกเล่าเรื่องราวของ Tokyo 2020 จาก Omega มีชื่อว่า Seamaster Planet Ocean Tokyo 2020 Limited Edition (Ref.522.33.40.20.04.001) ด้วยชื่อที่ยาวเกินไปกว่าจะเรียกจบนาฬิกาเรือนนี้ก็คงขายหมดไปแล้ว ทำให้เหล่านักสะสมเรียกมันว่า Omega Tokyo 2020 แทน และจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยสีขาวล้วนก็ทำให้ใคร ๆ ต่างก็ให้ความสนใจกับนาฬิกาเรือนนี้ Omega Tokyo 2020 สีขาวล้วนตัวเรือนทำมาจากสเตนเลสสตีล ขนาด
ถ้าพูดถึงโมเดลรองเท้าตัวแทนจาก Adidas Original ชื่อของ Stan Smith คงเป็นโมเดลที่หลายคนนึกถึง เพราะนี่คือรองเท้าที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันค่ายสามขีดให้ประสบความสำเร็จอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน และทุกวันนี้ผู้คนยังนิยมอยู่เสมอจากความสวยงามที่แสนคลาสสิกของมัน แม้จะวางขายมานานกว่า 50 ปีแล้วก็ตาม ขณะเดียวกันเมื่อยุคสมัยและทิศทางของตลาดรองเท้าเริ่มเปลี่ยนแปลงไป Adidas ก็เริ่มปรับเปลี่ยนและพัฒนา Stan Smith ให้เข้ากับกระแสความนิยม รวมถึงทำเทคโนโลยีให้ล้ำสมัยมากขึ้น โดยพวกเขาหวนกลับไปทำงานกับแบรนด์เสื้อผ้าที่เน้นฟังก์ชันของวัสดุและเทคโนโลยีอย่าง GORE-TEX หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จร่วมกันเมื่อครั้งทำ Stan Smith GORE-TEX ในปี 2017 ด้วยการนำโมเดลเดียวกันนี้ มาเคลือบนวัตกรรมกันน้ำในรองเท้า จนขายหมดทุกสต็อก วันนี้ทั้งสองค่ายกลับมาร่วมงานอีกครั้งกับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานได้มากกว่าเดิม แถมยังเลือก Back to Basic ด้วยการใช้ Stan Smith สี OG อย่างขาว-เขียวมา ส่วนงานออกแบบปรับดีไซน์เล็กน้อย โดยตรงส่วนลิ้นจะไม่มีรูปคุณปู่แสตนในรุ่นนี้ รวมถึง Heel Tap สีเขียวซึ่งจะไม่มีโลโก้ Adidas Original แต่ด้านข้างก็มีตราพิมพ์แบบยุบลงไปของ GORE-TEX และป้ายที่เขียนถึง GORE-TEX Infimium เย็บติดเอาไว้
‘ญี่ปุ่น’ ประเทศเมืองเกาะที่เป็นดินแดนในฝันของผู้ชายหลายคน ห้อมล้อมอยู่ในอ้อมกอดธรรมชาติตั้งแต่ภูเขายันท้องทะเล มีอาหารเลิศรสและจารีตประเพณีงดงามทรงเสน่ห์ ทั้งยังผู้คนที่มีระเบียบ ใส่ใจรายละเอียด และขยันขันแข็งกับแทบทุกเรื่องในชีวิต หากคุณเคยไปเยือนประเทศญี่ปุ่นมาบ้าง คงจะพอคุ้นชินกับเหตุการณ์หยุดรถไฟกะทันหัน เนื่องจากมีคนกระโดดลงรางรถไฟความเร็วสูงเพื่อปลิดชีพ และมันเป็นอีกวิธีฆ่าตัวตายยอดนิยมของคนที่นี่ จริง ๆ แล้วการฆ่าตัวตายในญี่ปุ่นมีมาตั้งแต่สมัยหลังสงคราม เนื่องด้วยชาวญี่ปุ่นต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากและไม่อาจทนทุกข์ทรมานอยู่บนโลกนี้ได้ จึงตัดสินใจยุติลมหายใจเฮือกสุดท้ายด้วยวิธีการฆ่าตัวตายในรูปแบบต่าง ๆ การผูกคอตายครองแชมป์มาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วยการกระโดดลงรางรถไฟ และการปล่อยให้ร่างกายซึมซับแก๊สพิษตามลำดับ สาเหตุการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นก็หนีไม่พ้นเรื่องการทำงานที่เคร่งเครียด ปัญหาทางเศรษฐกิจ อาการเจ็บป่วยที่ไม่อยากเป็นภาระให้ลูกหลาน หรือแม้แต่ปัญหาชีวิตวุ่น ๆ ของเหล่าวัยรุ่น Kenji Chiga ช่างภาพหนุ่มชาวญี่ปุ่นจึงถ่ายทอดเรื่องราวการฆ่าตัวตายของคนในประเทศตนด้วยคอลเลกชันภาพถ่ายที่แฝงความโศกเศร้าไร้ทางออก และมีเพียง ‘การฆ่าตัวตาย’ เท่านั้นที่อาจทำให้ใคร (บางคน) พ้นจากความทุกข์ได้จริง ๆ การฆ่าตัวตาย อาจเปรียบดั่งโรคติดต่อของคนในประเทศนี้ แพร่กระจายอย่างรวดเร็วราวไวรัสจากสมองของคนหนึ่งไปสู่สมองอีกคน บางครั้งผู้ตายอาจไม่ได้มองหาความตายเสมอไป หากมองหาการปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บปวดทั้งทางกายและใจที่ถูกพันธนาการ ความตายจึงเป็นวิธีปลดปล่อยอย่างง่ายและชัดเจนที่สุด ยิ่งในช่วงที่สื่อและเทคโนโลยีผลัดกันนำเสนอเรื่องราวของคนตาย ไวรัสที่ชื่อ ‘Werther Effect’ ก็ค่อย ๆ รุนแรงและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังมียาต้านไวรัสที่จะสร้างขึ้นเมื่อคุณ เขา เธอ หรือใครก็ตามเห็นคุณค่าของชีวิตและคนรอบตัวมากพอ นำความรักและการเห็นคุณค่านั้นหล่อเลี้ยงความคิดเพื่อการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข แม้การฆ่าตัวตายจะเป็นคำตอบสำหรับบางคน
ถ้าพูดถึงสถาปัตยกรรมจีนโบราณ หนุ่ม ๆ หลายคนคงนึกภาพกำแพงเมืองจีนที่ใช้โครงสร้างอิฐก้อนใหญ่ถมทับด้วยดินเหลืองและเศษหินความยาว 21,196.18 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลทั่วประเทศแดนมังกร และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ในอดีตกำแพงอิฐที่ทอดยาวนี้ถูกสร้างขึ้นเป็นป้อมปราการเพื่อป้องกันการรุกรานดินแดน แต่ปัจจุบันมันกลายเป็นสถาปัตยกรรมจีนโบราณอันล้ำค่า ที่เป็นรากฐานให้งานออกแบบชนิดอื่น ๆ นอกจากไม้ที่เป็นจุดเด่นของสถาปัตยกรรมจีน การออกแบบพื้นที่ให้กว้างขวางก็เป็นอีกเอกลักษณ์ที่สำคัญไม่แพ้กัน ทีมสถาปนิกของ Zaha Hadid Architects จึงหยิบโครงสร้างสถาปัตยกรรมจีนโบราณผนวกเข้ากับการออกแบบสมัยใหม่ จนออกมาเป็นท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง-ต้าซิง ที่ผสมผสานเทคโนโลยีกับกลิ่นอายทางวัฒนธรรมของจีนอย่างลงตัว แม้อาคารผู้โดยสารขนาด 700,000 ตารางเมตร จะดีไซน์ออกมาให้กะทัดรัด แต่ก็สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 72 ล้านคนต่อปี โครงสร้างของอาคารผู้โดยสารถูกล้อมด้วยหลังคากระจกที่เป็นเหมือนสกายไลต์ช่วยเปิดรับแสงจากธรรมชาติ พร้อมสร้างความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย ให้กับเหล่านักท่องเที่ยว ที่นี่ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ ระบบดูดความร้อนจากชั้นพื้นดิน ทั้งยังออกแบบช่องทางลำเลียงน้ำฝนและมีระบบจัดการน้ำที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ การออกแบบภายในถอดแบบมาจากสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ที่เน้นหนักในการจัดพื้นที่ให้เชื่อมต่อถึงกันได้แบบ open plan จากจุดศูนย์กลางของท่าอากาศยานผู้โดยสารสามารถเดินเชื่อมไปยังเครื่องบินโดยตรงผ่านประตูทั้ง 79 แห่ง เมื่อมองจากมุมสูงท่าอากาศยานแห่งนี้จะมีรูปทรงคล้าย ๆ ปลาดาว 5 แฉก ที่ไม่เพียงสวยงามแปลกตา
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์สายลับเราจะนึกถึงใครจากเรื่องอะไรบ้าง ? แน่นอนว่าหนึ่งชื่อที่จะต้องถูกยกขึ้นมาทุกครั้งเมื่อพูดถึงสายลับก็คือ James Bond เจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษรหัส 007 ที่ใครหลายคนยกให้เป็นต้นแบบของความเท่สไตล์สุภาพบุรุษ James Bond เป็นตัวละครโคตรเท่โลดแล่นอยู่ในหน้ากระดาษจากงานเขียนของ Ian Fleming ก่อนจะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายภาคด้วยกัน และตอนนี้ก็มีภาคหนึ่งที่มีอายุถึง 50 ปีแล้ว ภาคที่ว่าคือ On Her Majesty’s Secret Service (1963) นวนิยายลำดับที่ 10 จากหนังสือชุดของ James Bond วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1963 และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันว่า On Her Majesty’s Secret Service (1969) โดยได้ George Lazenby รับบทเป็นสายลับสุดเท่ ซึ่งตอนนี้เรื่องราวของหนังสายลับฉบับภาพยนตร์ On Her Majesty’s Secret Service ก็ครบรอบ 50 ปี ในปี 2019 จึงทำให้แบรนด์นาฬิกาที่อยู่คู่กับ James
กว่าภาพยนตร์แต่ละเรื่องจะผ่านกระบวนการผลิตจนนำมาฉายให้เราได้ชมกันล้วนต้องผ่านขั้นตอนมากมายที่มีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเขียนหรือพัฒนาบท การแคสติ้งนักแสดง ไปจนถึงการเตรียมงานโปรดักชัน สร้างเอฟเฟกต์พิเศษทำให้หนังบางเรื่องต้องให้เวลาผลิตหลายปี แม้จะเป็นเพียงขั้นตอนการเตรียมตัวถ่ายทำเท่านั้น นอกจากบทภาพยนตร์ที่เตรียมไว้ซึ่งจะช่วยให้การถ่ายทำในแต่ละฉากสามารถเล่าภาพในหัวที่ผู้สร้างต้องการออกมา อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ทีมงานสามารถลำดับภาพของหนังให้ชัดเจนมากขึ้นก็คือสตอรี่บอร์ด (Storyboard) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ไม่เฉพาะในอุตสาหกรรมภาพยนตร์เท่านั้น แต่รวมถึงการทำโฆษณา ไปจนถึงงานประเภท Motion Picture และ Animation ด้วย ทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ภาพยนตร์แต่ละเรื่องเลือกใช้ศิลปินฝีมือดีมาช่วยสร้างสตอรี่บอร์ดสำหรับการถ่ายทำ วันนี้ UNLOCKMEN อยากพาชมความสวยงามของ 23 สตอรี่บอร์ดของ 23 ภาพยนตร์ดังที่รวมไว้ทั้งยุคสมัยเก่าและใหม่ สตอรี่บอร์ดของหนังแต่ละเรื่องจะถูกสร้างออกมาสวยงามและมีเอกลักษณ์แค่ไหน มาชมไปพร้อมกันเลย Alien (1979): Storyboards by Ridley Scott Jurassic Park (1993) Storyboards by David Lowery Transformers (2007) Storyboards by Ed Natividad There Will
ตลาดรองเท้าที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งกระตุ้นให้แบรนด์ต่าง ๆ คลอดรองเท้าโมเดลใหม่ ๆ ออกมาเพื่อหวังผลกำไร แต่เมื่อแบรนด์มีกำลังการผลิตที่สูงขึ้น ก็ต้องใช้วัสดุเพิ่มขึ้นซึ่งไม่ใช่ทั้งหมดที่จะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ค่ายรองเท้าสุดคลาสสิกอย่าง Converse เล็งเห็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดขึ้น จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ออกคอลเลกชันรองเท้าสุดรักษ์โลกอย่าง Renew Denim และ Renew Panel Denim โดยคราวนี้เลือกใช้โมเดลรองเท้าสุดเก๋าอย่าง Converse Chuck Taylor ‘70 Converse Chuck Taylor ’70 “Renew Denim” เป็น 1 จาก 3 คอลเลกชันในโปรเจกต์ Converse Renew ที่ประกอบไปด้วย Renew Canvas ที่ใช้วัสดุผ้าใบต่อด้วย Renew Cotton ที่ใช้ส่วนประกอบของผ้าฝ้ายและสุดท้ายคือ Renew Denim ที่มีรองเท้าผ้าทั้งหมด 3 คู่ด้วยกันประกอบไปด้วยโมเดล Chuck Taylor ’70 Low ที่มาพร้อมกับอัปเปอร์จากผ้ายีนรีไซเคิลสีอ่อนและสีเข้มอย่างละ 1
ถ้าพูดถึง Kanye West ผู้ชายส่วนใหญ่ก็จะต้องรู้จักเขาไม่ว่าจากเพลงที่ร้องหรือรู้จักผ่านสนีกเกอร์ Yeezy ที่เขาดีไซน์ หรือรู้จักจากดราม่าสะเทือนวงการเพลงระหว่างเขากับนักร้องสาว Taylor Swift แต่ไม่ว่าจะรู้จักทางไหนคนส่วนใหญ่ก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขาอยู่ดี สไตล์ห่าม ๆ ที่เราเห็นผ่านบทเพลง การสัมภาษณ์ หรือแม้กระทั่งทัศนคติและมุมมองทางการเมืองที่แสดงออกมาอย่างร้อนแรงของเขาทำใครหลายคนมองว่าแรปเปอร์คนนี้ไม่เป็นมิตรและคงจะอารมณ์ร้อนอยู่ตลอดเวลา และในตอนนี้อพาร์ตเมนต์กลางเมืองนิวยอร์กของเขาก็กลับเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นที่เรียบร้อย ด้วยโอกาสที่ดีแบบนี้จึงทำให้ UNLOCKMEN สนใจพาทุกคนไปสำรวจบ้านของ Kanye West ไปพร้อมกันว่าที่พักอาศัยของเขาจะดุดันเหมือนเพลงที่ร้องหรือการเมืองที่เขาวิจารณ์มากน้อยขนาดไหน อพาร์ตเมนต์ที่ว่าคือที่พัก 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ขนาด 2,427 ตารางฟุต ตั้งอยู่ในย่าน Soho ใจกลางกรุงนิวยอร์ก ออกแบบและตกแต่งภายในโดยเจ้าของเก่าคือ Kanye West ร่วมกับ Claudio Silvestrin สถาปนิกชื่อดังชาวอิตาลี จุดเด่นของอพาร์ตเมนต์นี้อยู่ที่ห้องนั่งเล่นโปร่งโล่ง มีหน้าต่างขนาดใหญ่ทั้งหมด 13 บาน ทั้งทางทิศเหนือและทิศตะวันออก ซึ่งหน้าต่างทั้งหมดใช้เทคโนโลยี Smart home สามารถปรับเฉดสีอัตโนมัติตามแสงแดดหรือปรับตั้งค่าความเข้มอ่อนได้ตามใจ ทำให้เราเห็นทัศนียภาพและทิวทัศน์ของมหานครทั้งกลางวันและกลางคืนได้อย่างเต็มตา ดีไซน์แทบทุกห้องจะตกแต่งด้วยสไตล์มินิมัลสีอ่อนทำให้ห้องดูกว้างขวางสบายตา จากนั้นตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และไอเทมแต่งบ้านโทนสีธรรมชาติอย่างสีน้ำตาลของไม้ สีเขียวของใบไม้ หรือสีเทาของก้อนหิน ซึ่งสไตล์ที่เป็นธรรมชาติช่วยให้ห้องชุดหรูหราและให้บรรยากาศเป็นกันเองไปพร้อมกัน
ถ้าพูดถึงประเทศอังกฤษ เชื่อว่ารายชื่อสโมสรฟุตบอล ภาพหอนาฬิกา Bigben และอุณหภูมิเย็นยะเยือกคงละเลียดเล็ดเข้ามาในหัวของผู้ชายหลายคน แล้วนั่นคงทำให้หนุ่ม ๆ บางคนพอระลึกได้ว่าอีกสมญานามของเกาะอังกฤษแห่งนี้คือ ‘เมืองผู้ดี’ เนื่องจากอังกฤษเป็นประเทศที่เก่าแก่และนับเป็นหนึ่งในอาณาจักรที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอดีต มีพระมหากษัตริย์ คนชนชั้นสูง และขนบธรรมเนียมประเพณี ตั้งแต่การแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ คำพูดคำจา หรือมารยาทบนโต๊ะอาหารที่แม้แต่คนไทยสมัยก่อนก็หยิบนำมาสร้างเป็นบรรทัดฐานของสังคมและวัฒนธรรมบ้านเรา แต่ในประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีมารยาททางสังคมสูงส่ง ได้ซุกซ่อนโลกใต้ดินที่อบอวลไปด้วยเสน่ห์และวิถีชีวิตของผู้คน ทำให้ประเทศเกาะของทวีปยุโรปแห่งนี้มีสีสันและชีวิตชีวามากกว่าแค่เป็น ‘เมืองผู้ดี’ ที่เรารู้จักคุ้นเคย UNLOCKMEN เลยอยากพาหนุ่ม ๆ ไปสำรวจอีกด้านของกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ ผ่านคอลเลกชันภาพถ่ายของ Bob Mazzer ชายที่ถ่ายภาพผู้โดยสารในขบวนรถไฟใต้ดินจนเคยชิน ความเคยชินก่อตัวเป็นนิสัย นิสัยที่ทำให้เขามีความสุขทุกครั้งเมื่อได้จ้องมองผู้คนผ่านเลนส์ ก่อนจะลั่นชัตเตอร์ ลอนดอน ถือเป็นอีกเมืองที่รวบรวมผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกเข้าไว้ด้วยกัน และชาวลอนดอนก็ใช่จะเคร่งเครียดและเจ้าระเบียบอย่างที่ใครหลายคนคิด พวกเขากลับดูเป็นธรรมชาติ มีความสุข และมีความทุกข์ไม่ต่างผู้คนในประเทศอื่น ๆ เลย Bob Mazzer ช่างภาพชาวอังกฤษรายนี้จึงใช้กล้องเป็นสื่อบันทึกเศษเสี้ยวและรายละเอียดของความหลากหลายในชีวิตมนุษย์ ลั่นชัตเตอร์ในสภาพแวดล้อมแห่งความเป็นจริง ทำให้ได้ภาพที่พิเศษธรรมดาและไม่ได้ถูกปรุงแต่งจนเกินความเป็นภาพถ่าย ทั้งยังนำเสนอมุมมองอีกด้านหนึ่งของลอนดอนที่มีเสน่ห์และมีชีวิตชีวา ไม่แพ้วัฒนธรรมแห่งเมืองผู้ดีที่ขึ้นชื่อเลย Photography by Bob Mazzer. COVER