ถ้ามีการทำกราฟแสดงระยะเวลาที่มือของเราใช้งาน Smartphone ในแต่ละวัน เชื่อว่าแท่งกราฟคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสองสามเท่าตัวถ้าเทียบกับในสมัยก่อน ด้วยความเปลี่ยนแปลงทางการใช้ชีวิต ที่ยกทุกอย่างไปไว้ใน Smartphone ให้เราใช้ชีวิตได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแม้แต่ท่านั่ง รวมถึงการเสพติดเรื่องราวบนโลกออนไลน์ ทำให้ทุกวันนี้เรามีการสัมผัส Smartphone มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะยามยืน เดิน นั่ง โดยที่เราไม่รู้ตัว ผลเสียของการเสพติด Smartphone มากเกินไปนั้นมีอยู่มากมายอย่างที่เรารู้กันบ้างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมาธิที่สั้นลง ความเครียดจากการเห็นชีวิตดีเกินจริงของคนอื่น ผลเสียทางประสาทสัมผัสจากท่านั่ง การโน้มคอ ข้อนิ้ว สายตา ออกห่างจากสังคม การนอนหลับ และอื่น ๆ อีกมากมาย นี่จึงเป็นสาเหตุและเหตุผลที่งาน Design ต้องเข้ามามีบทบาท เพราะโดยพื้นฐานแล้ว Design ไม่ใช่เกิดขึ้นมาเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่การแก้ปัญหาการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น ก็เป็นหน้าที่ของการออกแบบด้วยเช่นกัน KLEMENS SCHILLINGER นักออกแบบชาว Vienna เมืองหลวงของประเทศ Austria มองว่า Smartphone Acciction ก็เป็นอาการเสพติดไม่ต่างกับยาเสพติดชนิดอื่น ถ้าเสพมากเกินไปก็ทำให้เกิดผลเสียรุนแรงได้ จึงเกิดไอเดียที่จะบำบัดอาการเสพติดนี้ ด้วยการสร้างโปรเจค Substitute
นอกจากดีไซน์ที่ถูกใจ กลไกการบอกเวลาที่เที่ยงตรง ปัจจัยการเลือกเรือนเวลาคู่ใจของเหล่าคนรักนาฬิกา คงหนีไม่พ้นเรื่องราว ประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ซึ่งถือเป็นเสน่ห์ที่ทำให้นาฬิกาไม่ได้เป็นแค่อุปกรณ์บอกเวลา หรือเครื่องระดับที่บ่งบอกฐานะ แต่มันเป็นสิ่งที่สามารถสร้างคุณค่าทางจิตใจให้กับผู้เป็นเจ้าของได้เป็นอย่างดี ซึ่ง Hamilton ถือเป็นอีกแบรนด์นาฬิกาที่มีหลากรุ่น หลายซีรี่ส์ที่มีเรื่องราวและประวัติอันยาวนาน ผ่านหน้าประวัติศาสตร์กว่า 125 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งแบรนด์ขึ้นที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ในปี 1892 โดยเริ่มต้นจากการผลิตนาฬิกาพกคุณภาพสูงในจำนวนน้อย ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในนาฬิกามาตรฐานของการทางรถไฟของสหรัฐอเมริกาในฐานะ “Watch of Railroad Accuracy” และ “The Railroad Timekeeper of America” นอกจากนี้ความยิ่งใหญ่ของเรื่องราวเมื่อครั้งอดีตยังได้ส่งต่อถ่ายทอด DNA มาถึงคอลเลคชั่นปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนาฬิกาสำหรับกองทัพสหรัฐฯ ที่ Hamilton ผลิตในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ในรุ่น Khaki Field หรือคอลเลคชั่น Broadway ที่ตั้งชื่อมาจากนาฬิกาพกรุ่น Broadway ที่เคยสร้างชื่อเสียงให้กับ Hamilton เมื่อครั้งอดีต และเมื่อพูดถึงคอลเลคชั่นเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ Hamilton ถ้าไม่พูดถึงรุ่น Ventura ก็คงไม่ได้
ไม่ว่าใครก็มีสิ่งที่ตัวเองหลงใหลมากกว่าหนึ่ง และถ้าเป็นไปได้ เราก็อยากทำให้สิ่งที่หลงใหลนั้นรวมเข้าด้วยกันได้ จะถือว่าเป็นที่สุดของการใช้ชีวิต เจเรมี่ มอนแทโร (Jeremy Monteiro) นักดนตรีชื่อดังระดับโลก ก็เป็นอีกคนที่สามารถนำเอาสิ่งที่ตนเองหลงใหลมารวมอยู่ด้วยกัน นั่นก็คือ J. Monteiro แบรนด์นาฬิกาที่มี DNA จาก Music และ Timepiece ซึ่งสามารถไปด้วยกันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ Jeremy Monteiro เป็นนักเปียโนแจ๊สที่มากไปด้วยความสามารถระดับต้น ๆ ของเอเชียคนหนึ่ง เขาไม่ได้เป็นเพียงแค่นักเปียโนที่เก่งกาจ แต่เขายังเป็นนักแต่งเพลง นักร้องและโปรดิวเซอร์ที่ศิลปินนานาประเทศอยากร่วมงานด้วยจนได้สมยานามว่า “Singapore’s King of Swing” “ดนตรีแจ๊สไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่เจเรมี่หลงใหล เครื่องบอกเวลาอย่างนาฬิกา ก็เป็นสิ่งที่เขาหลงใหลด้วยเช่นกัน” ย้อนกลับไปในอดีต เขาได้รับนาฬิกาข้อมือเป็นของขวัญวันเกิดจากคุณพ่อตอนอายุ 16 ปี หลังจากที่ได้รับของขวัญชิ้นนั้น มันทำให้เขาเริ่มก้าวเข้ามาศึกษาเรื่องของกลไกลบอกเวลาควบคู่ไปกับการสั่งสมประสบการณ์ทางด้านดนตรีจนกลายมาเป็นนักเปียโนแจ๊สระดับโลก วันหนึ่ง Jeremy ไปเยี่ยมสตูดิโอของนักดนตรีแจ๊สท่านหนึ่งที่ร่วมงานด้วย ทำให้ได้เห็นโครงร่างของการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ สิ่งนั้นเหมือนเป็นการจุดประกายแรงบันดาลใจครั้งใหม่ให้ Jeremy มันทำให้ต่อมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และภาพนาฬิกาที่เดินตามจังหวะดนตรีก็ปรากฏขึ้นในหัวทันที วินาทีนั้นเขารู้แค่ว่าอยากทำให้ภาพในหัว ณ ตอนนั้น เกิดออกมาเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น และทั้งหมดนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของเรือนเวลาที่ชื่อ “J. Monteiro” “J. Monteiro”
เมื่อตัวจริงแห่งวงการดีไซน์เดนมาร์กมาเจอกับผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่จากสวีเดน…ความร่วมมือครั้งสำคัญที่สั่นสะเทือนวงการออกแบบระดับโลกเมื่ออิเกีย ผนึก Hay รังสรรค์คอลเล็คชั่นใหม่ “YPPERLIG/อิปเปอร์ลิก” สะท้อนค่านิยมและเอกลักษณ์ของงานออกแบบแถบสแกนดิเนเวียที่โดดเด่นด้วยความสวยงามและคุณภาพ ผสานกับเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย มีสินค้าใหม่ให้เลือกกว่า 35 รายการ ตั้งแต่ โซฟาเบด โต๊ะกลาง เก้าอี้ โคมไฟ กระจก ปลอกหมอน กล่องเหล็ก จนถึงไอคอนประจำอิเกียอย่าง ถุงพลาสติกสีน้ำเงินที่นำมาออกแบบปรับโฉมใหม่เพิ่มเติมลวดลายและสีสันละมุนตา พบกับคอลเล็คชั่น “YPPERLIG (อิปเปอร์ลิก)” ได้ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคมนี้ ที่อิเกีย เมกาบางนา คอลเล็คชั่น “YPPERLIG/อิปเปอร์ลิก” เป็นความร่วมมือกันเพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์และแบ่งปันประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท อิเกียมีความรู้ด้านการผลิตอย่างลึกซึ้ง ในขณะที่ HAY สร้างเสน่ห์ให้กับผลงานของตัวเองด้วยดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ การร่วมงานกันครั้งนี้ คือความท้าทายของทั้งสองฝ่ายที่ค่อยๆ หาจุดสมดุลที่เป็นที่พอใจของทั้ง 2 ฝ่าย จนได้ผลลัพธ์เป็นคอลเล็คชั่น YPPERLIG/อิปเปอร์ลิก เฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้านที่มีความสวยงามด้วยรูปทรงเรขาคณิตและสีละมุนตา ใช้วัสดุคุณภาพดีมีความคงทน ใช้งานได้จริง ในราคาที่เหมาะสม Marcus Engman หัวหน้าทีมดีไซน์ประจำอิเกีย สวีเดน เล่าถึงความร่วมมือกับ HAY ในครั้งนี้
ต้องยอมรับว่าที่พักอาศัย คืออีกสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกตัวตน สะท้อนถึงความสำเร็จในชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้อย่างชัดเจน ผ่าน Lifestyle ที่เหนือระดับ ซึ่งการใช้ชีวิตภายใต้ความเป็นอยู่แบบ Super Luxury นั้นไม่ได้วัดจากมูลค่าราคาของที่อยู่อาศัยที่เป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว แต่ในขั้นตอนการสร้างสรรค์จำเป็นจะต้องลงลึกไปถึงรายละเอียดความพิถีพิถันของวัสดุ และงานดีไซน์ ให้น้ำหนักกับสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ซึ่งผสมผสานกับความงดงามทางศิลปะได้อย่างลงตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นผู้มีรสนิยมของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี ล่าสุด UNLOCKMEN มีโอกาสได้ไป Exclusive Visit สัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยเหนือระดับ จากโครงการ VITTORIO ผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซจากเอพี (ไทยแลนด์) ที่ตั้งใจให้เป็นสถาปัตยกรรมด้านที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในย่าน The Em District ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งพิกัดที่มีชีวิตชีวาที่สุดในกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ โดย VITTORIO ไม่เพียงแค่ตั้งอยู่ในทำเลที่เรียกได้ว่าดีที่สุด แต่ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์โครงการนี้ ล้วนแล้วแต่คัดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดมานำเสนอ ซึ่งสิ่งแรกที่สร้างความประทับใจให้กับเราคืองานออกแบบสถาปัตยกรรมที่ถ่ายทอดความงดงาม ส่งมอบอารมณ์ความเป็นอยู่ที่หรูหราของชนชั้นสูงในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ซึ่งถือเป็นเมืองศูนย์กลางทางศิลปะชั้นยอดของโลก และโดดเด่นในเรื่องราวของสถาปัตยกรรมยุคเรอเนสซองส์ งานออกแบบโดยรวมของ VITTORIO นั้นได้แรงบันดาลใจมาจากการจัดวางพื้นที่ของพิพิธภัณฑ์ ‘Uffizi Gallery’ พิพิธภัณฑ์ศิลปะด้านจิตรกรรมและประติมากรรมชื่อก้องโลกแห่งเมืองฟลอเรนซ์ ที่ซึ่งรวบรวมงานจิตรกรรมชิ้นเอกของศิลปินชาวอิตาเลี่ยนไว้มากมาย โดยเราสามารถสัมผัสแรงบันดาลใจนี้ได้เริ่มตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปยัง ‘Galleria Medici’ หรือ โถงต้อนรับขนาดใหญ่ สูง 6
ครั้งก่อนเราได้พูดถึงเรื่อง Fashion จากยุค Mid-Century ที่ยังทรงคุณค่าความคลาสสิคตั้งแต่ยุค 1950s ถึงปัจจุบัน ไม่ใช่เฉพาะความฮิตในหมู่คนรุ่นเก๋าอย่าง Baby Boomer เท่านั้น แต่ยังได้รับความนิยมอย่างมากในคนรุ่นใหม่กลุ่ม Millennial ที่เกิดช่วง 80s – 90s ดูง่าย ๆ ก็แฟชั่นจาก James Dean, Steve McQueen หรือ The Beatles ที่เรายังมีรูปติดอยู่เต็มกำแพงบ้าน ล้วนเป็นรายละเอียดที่แสดงถึงคาแรคเตอร์ ตัวตน ความมั่นใจในการเลือกใช้ของดี ความกล้าตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ และเป็นการตอกย้ำสัญลักษณ์รอยต่อของความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์เอาไว้ถึงปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ด้านแฟชั่น คำว่า Mid-Century ในด้านงานสถาปัตยกรรมก็มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน มันคือยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นรากฐานของสถาปัตยกรรมปัจจุบัน โดยมีการนิยามสไตล์งานออกแบบ ตกแต่ง สถาปัตยกรรม รวมไปถึงงานดีไซน์ทุกชนิดที่ยึดรากฐานจากยุค 1933s ถึง 1980s รวมกันว่า Mid-Century Modern หลัง World War 2 จบลง การสร้างสรรค์ที่มองไปไกลถึงอนาคต การเปลี่ยนแปลงและการค้นพบวัตถุดิบก่อสร้างหลายอย่าง
“Logo หรือ ตราสัญลักษณ์” เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่หลายองค์กรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้นกว่าจะได้ Logo มาหนึ่งอัน ต้องผ่านขั้นตอนการออกแบบจากมันสมองของ Designer มืออาชีพมากมาย ที่ได้พยายามกลั่นกรองจนตกตะกอนมาแล้วเป็นอย่างดี กว่าจะได้ Logo ที่ดีออกมามีความหมายครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นด้านความโดดเด่น มีเอกลักษณ์ สวยงามลงตัว จดจำได้ง่าย และที่สำคัญมันต้องซ่อนความหมายและตัวตนที่แท้จริงเอาไว้เสมอ อย่างเช่น BWM Logo จากค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่แห่งเยอรมนี ที่ใครต่อใครเห็นตรา Logo ฟ้า-ขาว แม้ตาบอดสีก็รู้แจ้งได้ในทันทีว่า มันคือ Logo ของแบรนด์รถยนต์ที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านสมรรถนะและความหรูหรา หลายต่อหลายคน จดจำมันได้เป็นอย่างดี เห็นแค่เสี้ยวเดียวก็รู้ทันทีว่ามันคือแบรนด์ BMW แต่ความหมายที่แท้จริงของมันนี่สิ ที่เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ หรืออาจจะเข้าใจผิดมาตลอดว่า Logo ทรงกลมที่มีช่องสีฟ้า-ขาว นั้น มันเป็นสัญลักษณ์ของใบพัดเครื่องบินที่ตัดกับท้องฟ้า ถูกนำมาใช้เพื่อที่จะทำให้ทุกคนหวนกลับไปนึกถึงรากเหง้าที่แท้จริงของบริษัท ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการผลิตเครื่องยนต์เครื่องบิน แต่ทว่าเรื่องดังกล่าวนั้น กลับเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดอันยาวนานเท่านั้น!! เราจะพาไปไขความลับ เกี่ยวกับเรื่องราวของตราสัญลักษณ์ BMW ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันมาอย่างยาวนาน ถึงจุดกำเนิดที่มาของโลโก้ BMW ตั้งแต่รูปทรงกลม ตำแหน่งตัวหนังสือ รวมไปถึงสีฟ้าขาวด้านใน
เชื่อว่ามนุษย์สายครีเอทีฟ หรือสายงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์หลาย ๆ คนคงเคยเจอกับปัญหา ‘สมองตื้อ คิดงานไม่ออก’ กันเป็นประจำ หลายครั้งที่เราต้องขยับตัวออกจากเก้าอี้เพื่อไปหาบรรยากาศใหม่ ๆ สร้าง Inspiration ให้กับตัวเองนอกโต๊ะทำงาน ไม่ว่าจะเป็นคาเฟ่ สวนสาธารณะ หรือ co-working space แต่บ่อยครั้ง ไอเดียที่ดีที่สุด กลับมาปรากฏตัวในขณะที่เรากำลัง ‘เข้าห้องน้ำ’ อยู่ที่บ้านซะงั้น เพราะงานวิจัยบอกว่า ในขณะที่เรากำลังทำพฤติกรรมซ้ำซากจำเจ ทำไปตามอัตโนมัติ โดยไม่ผ่านการคิดที่ซับซ้อน ในสถานที่ ๆ คุ้นเคย และบรรยากาศที่ปลอดโปร่ง เช่น ‘การอาบน้ำ’ จะทำให้สมองของเรารู้สึกผ่อนคลาย และไร้ความกดดัน โมเมนต์เหล่านี้จะช่วยให้สมองปล่อยคลื่นแห่งความสุข และเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดความคิดสร้างสรรค์นั่นเอง แล้วเราต้องจัดบรรยากาศห้องน้ำแบบไหนล่ะ ให้เวิร์คที่สุดสำหรับการปลดปล่อยไอเดียเจ๋ง ๆ IDEA 1 : STAY CLOSE TO NATURE เราจะรู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ เพราะฉะนั้นหากตกแต่งห้องน้ำ ด้วยสีโทนธรรมชาติ จะทำให้ดูอบอุ่น สะอาดตา ไม่ว่าจะเป็นสีของผนังหรือเครื่องใช้ต่างๆ หากเป็นสีขาว สีครีม
วิถีแห่งงานดีไซน์ คือการนำเอาเรื่องของศาสตร์ และ ศิลป์ เข้ามารวมกันไว้ได้อย่างกลมกล่อม โดยมีจินตนาการและแรงบันดาลใจทำหน้าที่เป็นตัวผสานชั้นยอด ซึ่งเมื่อมองในแง่ของการออกแบบผลิตภัณฑ์ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่างานออกแบบที่สวยงามนั้นมีผลต่อการตัดสินใจ ไม่แพ้อรรถประโยชน์ที่จะได้รับจากชิ้นงานนั้น ๆ TOYOTA คืออีกหนึ่งแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับศาสตร์แห่งการดีไซน์มาโดยตลอด และได้มีการสื่อสารเรื่องราวของปรัชญาการออกแบบในแนวทางของ TOYOTA ผ่านแคมเปญ PAST FORWARD โดยจัดเป็นรูปแบบของกิจกรรมต่อเนื่อง ซึ่งทาง UNLOCKEN มีโอกาสได้เข้าร่วมซึมซับปรัชญาด้านการออกแบบของ TOYOTA ที่เล่าย้อนไปถึงความเป็นมาเมื่อครั้งอดีต พร้อมส่งต่อจิตวิญญาณแห่งดีไซน์ผ่านแนวคิดเพื่ออนาคต จากกิจกรรมที่ผ่านมาทั้ง 2 เฟส อย่าง BEGIN: Design Culture (Behind the Design) นำเสนอ History of TOYOTA’s Sport Car Design จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ควบคู่ไปกับ History of Sneakers ในเรื่องราว และแนวคิดของการออกแบบรองเท้า Sneakers วัฒนธรรมที่กำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น ต่อเนื่องมาจนถึงเฟส 2 BEYOND: Design for
คนทำงานสายครีเอทีฟดีไซน์ไม่ควรพลาด บทเรียนจากเจ้าพ่อ sneaker แห่งค่าย Nike