MB&F จักรกลสุดซับซ้อนอันดับต้นของโลก เปิดตัว Machine รุ่นใหม่ล่าสุด HM11 ด้วยแนวคิด “une maison est une machine à habiter“ (a house is a machine to live in) ที่ Maximilian Büsser อยากทดลองวางกลไกในสถาปัตยกรรมที่ได้แรงบันดาลใจจากบ้านเรือนในช่วง mid-to-late 1960s ตัวเรือนดีไซน์ให้เป็น three-dimensional กว้าง 42mm ผลิตจากวัสดุ Grade-5 titanium ที่แข็งแรงที่สุด รูปทรงแปลกตาเหมือนบ้านหลังใหญ่ที่มีห้อง 4 ห้องทำมุม 90 องศา มองจากด้านบนจะพบหัวใจหลัก Central flying tourbillon movement ไขลานด้วยมือ ทำหน้าที่เสมือนเสาหลักของบ้าน ไขลานโดยการหมุนเคส 45 องศา โดยหมุนครบ 10 ครั้งจะได้พลังงานเต็ม 96
TAG Heuer Carrera Chronograph เป็นที่จดจำในฐานะนาฬิกาที่แสดงถึงงานฝีมือ ซึ่งเป็นมากกว่านาฬิกา; นับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของ TAG Heuer ในการสร้างเรือนเวลาที่บ่งบอกความเหนือใครของผู้สวมใส่ การเปิดตัวครั้งนี้เหมือนได้นึกย้อนกลับถึง Jack Heuer ผู้มีวิสัยทัศน์ที่ได้สร้างคอนเซปต์ที่พลิกวงการ: ด้วยการมอบนาฬิกาสีทองสู่เหล่านักแข่งรถ นาฬิการุ่นนี้นี้เปรียบเสมือนการแสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง TAG Heuer และโลกแห่งมอเตอร์สปอร์ต นาฬิกาเหล่านี้ได้ก้าวข้ามบทบาทผ่านรางวัลต่างๆ ไม่ว่าเป็นเพื่อนคู่ใจในการแสวงหาชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกระหน่ำของเครื่องยนต์และความเร็วน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้นักแข่งหลายคนเลือกที่จะสวมใส่นาฬิกาเหล่านี้บนข้อมือ อาทิ Ronnie Peterson และ Niki Lauda ซึ่งได้พาพวกเขาไปก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดต่างๆ ความกล้าหาญของ Jack Heuer ได้พลิกโฉมอุตสาหกรรมนาฬิกาลักซ์ชัวรี่ไปตลอดกาล นาฬิกาเรือนสีทองทั้งหมดนี้กลายเป็นมากกว่าเครื่องจับเวลา แต่ละรุ่นได้รวบรวมแก่นแท้ในด้านความสำเร็จ ความกล้า และ การมุ่งหาความเป็นเลิศอย่างแน่วแน่ ทุกการขับเคลื่อนของเข็มโครโนกราฟได้สะท้อนแรงผลักดันที่ไม่หวั่นเกรงของนักแข่ง ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอถึงเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ของพวกเขา นาฬิกา TAG Heuer Carrera Chronograph มาพร้อมขนาด 39 มิลลิเมตร ถือเป็นการยกย่องที่หวนคืนสู่ยุควินเทจ แสดงถึงเสน์ห์แบบย้อนยุค และสุนทรียะที่ไร้กาลเวลา ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสปิริตของแบรนด์ที่ไม่เคยหยุดยั้ง ตัวเรือนนาฬิกา TAG
Rolex Submariner หนึ่งในเบญจภาคีของ Rolex ที่นักสะสมทุกคนต้องมี แต่ย้อนไปในปี 1953 ปีที่ Rolex Submariner Reference 6204 วางขายเป็นครั้งแรกในฐานะนาฬิกา Dive watches ธรรมดาที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Rolex Datejust Turn-O-Graph 6202 ปีนั้นมี Rolex Submariner ออกมาทั้งหมด 3 Reference ในเวลาไล่เลี่ยกัน คือ Reference 6200, Reference 6204, Reference 6205 ซึ่งแม้จะไม่เป็นทางการ แต่มีการฟันธงว่า Ref 6204 น่าจะเป็นรุ่นแรกสุดที่วางขายแบบ commercial release เพราะมี serial number บนเคสระบุช่วงเวลา “II.53” แต่จะไม่มีการระบุความสามารถในการกันน้ำ เพราะเข้าใจว่ายุคนั้น Rolex ยังไม่สามารถพิสูจน์ depth rating ของ Ref 6204
คอลเลกชันนี้เป็นการสานต่อความมุ่งมั่นของดีไซเนอร์ในการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชุดกีฬา และนำเสนอรูปแบบเสื้อผ้าซึ่งเป็นมรดกของอาดิดาสที่ถูกปรับโฉมใหม่ในสไตล์เรียบหรู โดยสินค้าที่มาในคอลเลกชันประกอบด้วย เสื้อผ้าถักสีน้ำตาลมาฮอกกานี จับคู่เข้าเช็ทกับกางเกงฟุตบอลขาสั้นผ้าไนลอนสี Sand ที่ตัดด้วยแถบสี 3 แถบด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีสินค้าหลักที่ถูกผลิตด้วยผ้าไนลอนน้ำหนักเบาอันได้รับแรงบันดาลใจจากช่วงยุค 70s ถึงยุค 90s ได้แก่ ชุดแทรคสูทมาในสีฟ้าอ่อนสะท้อนแสง และเสื้อไนลอนสีดำที่โดดเด่นด้วยปกสีเขียวสดใสที่ตัดกันอย่างลงตัว และเสื้อผ้าทุกชิ้นไม่จำกัดเพศ ทำให้ทุกคนสามารถเป็นสวมใส่เสื้อผ้าในคอลเลกชันนี้ได้ สำหรับรองเท้าในคอลเลกชัน โมเดลสุดไอคอนิกอย่างรุ่น Samba ยังคงถูกหยิบมาพัฒนาและออกแบบในสไตล์ของ Wales Bonner อีกเช่นเคย โดย 2 คู่แรก โดดเด่นด้วยอัปเปอร์ที่ทำจากขนม้าเทียมและพื้นรองเท้ายาง มาในลายพิมพ์เสือดาวและสีแทนอ่อนที่ถ่ายทอดความหรูหราของตัวรองเท้าออกมาได้อย่างลงตัว ในขณะที่อีก 2 คู่ ประกอบด้วยวัสดุหนังกลับและการตัดเย็บแบบตัดกันอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากซีซั่นก่อนๆ ภาพในแคมเปญจึงได้ถูกเปลี่ยนฉากหลังจากวิวภูมิทัศน์ให้กลายเป็นฉากเรียบๆ ในสตูดิโอ พร้อมผสมผสานระหว่างนาย/นางแบบและสายสตรีท รวมถึงนักสเก็ตบอร์ดอย่าง Na-Kel Smith มาร่วมถ่ายภาพในแคมเปญ โดยเน้นไปที่การถ่ายทอดความมินิมอลของเสื้อผ้าในคอลเลกชัน และความซับซ้อนในคาแรกเตอร์ของแบบแต่ละคน นอกจากนี้ แคมเปญนี้ยังมาพร้อมวีดีโอบทสัมภาษณ์สั้นๆ พร้อมภาพเคลื่อนไหว โดยคำถามในการสัมภาษณ์ถูกจัดโดยนักเขียนบทละครและนักแสดงผู้ใจบุญอย่าง Jeremy O. Harris
De Bethune กับการสร้างสรรค์คอลเลกชันไม่ซ้ำใครในรุ่น “Cempasúchil II” เรือนเวลาที่โฉบไปมาระหว่างชีวิต และความตายด้วยสัมผัสแห่งอารมณ์ขันอันแสนซุกซน เป็นภาพเดียวกับการเฉลิมฉลองเทศกาล Dia de Muertos ของชาวเม็กซิกันที่สนุกสนานและมีสีสัน! และยังเหมาะกับเดือนฮาโลวีนเดือนนี้เลยทีเดียว “Cempasúchil II” หน้าปัดที่ถูกแปลงเป็นฟลอร์เต้นรำสำหรับ Calaveras สองตัว เพื่อระบุชั่วโมงและนาที ในอีกด้านหนึ่งของนาฬิกา มีการตกแต่งโดยเฉพาะ (โดยปกติจะซ่อนอยู่หลังฝาครอบลับ) แสดงให้เห็นภาพ ‘การกระทำ’ ของ Calaveras ทั้งสองอันแสนซุกซนของเรา ภายใต้การแสดงโกศหัวเราะซึ่งคู่ควรกับ La Catrina มีกล้องและคันโยกมากมายที่เคลื่อนไหวและทำให้ตัวละครทั้งสองมีชีวิตขึ้นมา เคลื่อนไหวตามความต้องการด้วยกลไกที่ซับซ้อนสูง ด้วยการกดปุ่มที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ฉากร่าเริงสื่อถึงความสนุกสนาน และความชั่วร้าย งานแกะสลักทั้งหมดบนหน้าปัดทั้งสองข้างเป็นการยกย่องให้กับช่างแกะสลักชาวเม็กซิกันผู้ชาญฉลาด José Guadalupe Posada ศิลปินผู้สร้างสรรค์การเต้นรำแบบไร้ชีวิตชีวาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับ Denis Flageollet และ Michèle Rothen ในปี 2020 ในการออกแบบ DW5 Cempasúchil ด้วยการสร้างสรรค์ครั้งใหม่นี้
แฟน ๆ ดาบพิฆาตอสูร ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ เตรียม Hype ไปกับ Demon Slayer x Crocs collection งาน Collab ที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของ 4 คาแรคเตอร์หลักอย่าง Tanjiro / Nezuko / Inosuke / Zenitsu ลงบนรองเท้า Crocs Classic Clog และ Echo Clog โดย Echo Clog จะมาพร้อมธีมของ Tanjiro โดดเด่นด้วยสีสันดำ / เขียว ที่คุ้นตา ส่วนอีก 3 ตัวละครอย่าง Nezuko, Inosuke และ Zenitsu นั้นถูกส่งต่อตัวตนลงบนโมเดล Classic Clog ที่มาพร้อมสีชมพู น้ำเงิน และสีเหลือง พร้อม
จากความสำเร็จอย่างล้นหลามที่ผ่านมา ภายใต้รูปโฉมใหม่ในโทนสีน้ำผึ้ง ของ Maurice Lacroix AIKON Venturer จนมาถึงวันนี้ แบรนด์มอริส ลาครัวซ์ได้เผยโฉมนาฬิกาตัวเรือนบรอนซ์ใหม่ภายใต้เอกลักษณ์ของ Venturer Bronze ที่ผลิตขึ้นเพียง 288 เรือน โดยรังสรรค์ขึ้นมาอย่างสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับภูมิภาคเอเชียเพียงเท่านั้น AIKON Venturer Burgundy Asia Limited Edition ออกแบบภายใต้ตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 43 มม. ทำจากบรอนซ์ ที่จับคู่มากับหน้าปัดสีเบอร์กันดีอันโดดเด่น ซึ่งเผยให้เห็นเหลือบสีที่ตอกย้ำถึงโทนสีทองแดงของบรอนซ์ และบางครั้งก็ยังปรากฏเป็นสีทอง ภายใต้แสงที่ต่างกัน การผสมผสานของสีเหล่านี้ได้ผ่านการออกแบบขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน โดยสีแดงนั้นมีความหมายเชื่อมโยงถึงพลังเชิงบวกและความมีชีวิตชีวา ความโชคดีและสนุกสนาน ที่มากไปกว่านั้น ก็ยังเชื่อว่าจะสามารถเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้อีกด้วย ด้วยบุคลิกที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างกายในทุกไลฟ์สไตล์ท่ามกลางการผจญภัยของชีวิตเมือง ! เหลือบสีทองของนาฬิกายังเชื่อมโยงถึงพลังและความรุ่มรวย ที่ทำให้มั่นใจได้ว่า ไอคอน เวนเชอเรอร์ เบอร์กันดี เอเชีย ลิมิเต็ด เอดิชั่นนี้จะสร้างความโดดเด่นได้ในทุก ๆ ที่เสมอ หน้าปัดสีเบอร์กันดีถ่ายทอดความเรืองรองของแสงสะท้อนด้วยลวดลาย sunray ขณะที่เข็มชี้ เครื่องหมายขีดหรืออินเด็กซ์ และช่องหน้าต่างแสดงวันที่ยังนำเสนอด้วยโทนสีทองหรูหรา โดยทั้งเข็มชี้และเครื่องหมายอินเด็กซ์ ตกแต่งไว้บนเส้นสายด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์-ลูมิโนวา (Super-LumiNova)
การร่วมงานกันครั้งแรกของสองแบรนด์นาฬิกาสุดหรู ผลงานศาสตร์และศิลป์สุดซับซ้อน ความแหวกแนวเริ่มต้นจากหน้าปัดแบบ double-faced chronograph front / back หน้าปัดด้านบนเป็นกระจก sapphire โชว์ movement มีโลโก้ Akrivia โดยตัว V ถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์ LV emblem ซึ่งถือเป็นจุดที่น่าสนใจและเป็นเรื่องใหญ่มากเพราะ LV ไม่เคยถูกนำไปรวมเป็นส่วนนึงของโลโก้ใดมาก่อน เมื่อพลิกด้านหลังจะพบกับหน้าปัด White Grnad Feu enamel เน้นความคลาสสิคสะท้อนจุดเริ่มต้นของเรือนเวลาจาก Louis Vuitton การดีไซน์หน้าปัดแบบ double-faced chronograph นั้นเป็นงานที่ยากมาก ๆ กลไกขับเคลื่อนด้วย tourbillon movement ที่สร้างขึ้นใหม่โดย Rexhep Rexhepi และยังเป็นครั้งแรกที่ออกแบบให้มีเสียง Sonnerie หรือระฆังบอกเวลา ซึ่งเป็นเสียงจากกลไก chronograph function ที่จะดัง “gong” ทุกครั้งที่จับเวลาครบ 1 นาที เรียกว่าซับซ้อนบนซับซ้อนไปอีกขั้น LVRR-01 นอกจากที่สุดของ
สายสตรีทเตรียมว้าวุ่น กับว่าที่ Rare Item ชิ้นใหม่ 𝗖𝗟𝗢𝗧 𝘅 𝗦𝗘𝗜𝗞𝗢 𝟱 𝗦𝗣𝗢𝗥𝗧𝗦 𝗪𝗔𝗧𝗖𝗛 การร่วมมือระหว่าง CLOT แบรนด์สตรีทแวร์สัญชาติฮ่องกง และ SEIKO ที่นำเสนอโมเดล SEIKO 5 SPORTS ขนาด 42.5 มม. ในภาพลักษณ์เท่จัด ด้วยความคอนทราสต์จากสีดำของสาย, ตัวเรือนสเตนเลส รวมถึงหน้าปัด sun-brushed สีดำ ซึ่งตัดกันกับสีแดงของหลักชั่วโมง / นาที บนขอบตัวเรือนแบบหมุนได้, เข็มวินาที และโลโก้ CLOT ซึ่งประดับอยู่บริเวณตำแหน่ง 6 นาฬิกา และฝาหลังแบบใส เสริมด้วยกระจกครอบหน้าปัด Hardlex ที่ผ่านกระบวนการ half-mirror coating เคลือบสีแดงใส เล่นกับแสงไฟยามที่ขยับข้อมือ นอกจากนี้หน้าต่างแสดงวันที่บริเวณตำแหน่ง 3 นาฬิกา ยังมีลูกเล่นให้เลือกแสดงผลได้ทั้งภาษาจีน และภาษาอังกฤษ สำหรับ 𝗖𝗟𝗢𝗧 𝘅
“ผมว่า Lambretta มันเป็นรถที่เท่ และมีสีสันความสนุกอยู่ในตัวเอง ย้อนไปตั้งแต่แลมตัววินเทจที่มีเสน่ห์ในเรื่องของการใช้โทนสีจัดจ้านสนุกสนาน ทำให้สีของรถที่เด่น ๆ ในแต่ละรุ่นแต่ละปี มันถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของคนขี่แลม เป็นเหมือน Colors of Time เป็นสีสันที่ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน” นี่คือมุมมองที่มีต่อ Lambretta ของ ‘จเด็จ คาลายานนท์’ หรือที่หลายคนรู้จักเขาในชื่อ ‘JDED FEDFE’ ผู้ที่หลงใหลในรถแลมวินเทจ ด้วยเสน่ห์ของสีสันและงานดีไซน์ที่เท่จับใจ จนต้องหามาครอบครองเป็นของตัวเองสักคัน “รักแรกที่มีให้กับ Lambretta เป็นเรื่องของรูปลักษณ์และสีสันที่คลาสสิกโดนใจผมมาก พอได้มาเจอแลมสีม่วงคันนี้จอดอยู่หลังร้านของเพื่อน ก็คุยกันว่าอยากได้ เพื่อนเองก็จอดอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ เลยส่งต่อให้ในราคามิตรภาพ จากนั้นผมก็เอาไปทำต่อจนกลายเป็นรถที่ใช้จริงในชีวิตประจำวัน” “อย่างที่รู้กันสำหรับคนเล่นรถวินเทจว่าได้รถมาแล้วก็ต้องให้เวลา ใช้เวลาเรียนรู้กับมัน เพราะว่ารถพวกนี้มันจุกจิก ถ้าเจอปัญหาก็ต้องรีบคอยซ่อมรีบแก้ไขถ้าแบบปล่อยทิ้งไว้มันก็จะบานปลาย ต้องแบบค่อย ๆ เรียนรู้ไปกับมันครับ ใช้งานไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะรู้จักมันเองมากขึ้นว่าเวลาเกิดปัญหาต่าง ๆ จะต้องรับมือยังไง และที่สำคัญคือต้องอินกับการดูแลรักษามันด้วยครับถึงจะมีความสุข เหมือนอย่าง Lambretta คันที่ผมใช้อยู่ก็ต้องใช้เวลาปรับแต่งกับมันพอสมควร กว่าจะกลายเป็นรถคู่ใจตั้งแต่ช่วงโควิดใหม่ ๆ ผมไปไหนไปกันกับคันม่วงนี้ตลอด ขี่เดินสายตัดผม