COVID-19 เปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของมนุษย์เกือบทุกชีวิตบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้ ทั้งวิธีการทำงาน วิธีการกิน วิธีการจับจ่ายใช้สอย ไปจนถึงวิธีการที่เราปฏิสัมพันธ์กับผู้คนรอบตัว แต่ใครจะรู้ว่า COVID-19 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่โลกอันเป็นรูปธรรมที่เราจับต้องได้เท่านั้น แม้แต่ “โลกความฝัน” ก็ถูก COVID-19 เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงได้เช่นกัน บิดเบี้ยวและหงิกงอ: เมื่อความจริงตามไปหลอกหลอนถึงความฝัน นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เราเริ่มฝันแปลก ๆ (แปลกออกไปแบบที่ปกติไม่ค่อยได้ฝัน) ทีแรกคิดว่าเป็นอยู่คนเดียว จนเริ่มถามคนรอบตัว เราเริ่มฝันถึงซอมบี้ที่ตามไล่ล่าเรามากขึ้น เราฝันถึงวันสิ้นโลกบ่อยขึ้น บางคนฝันถึงโลกดิสโทเปียที่ล่มสลาย และสถานที่ที่ผู้คนกำลังจะตาย แต่ดูเหมือนว่าไม่ใช่แค่ในหมู่คนไทยเท่านั้นที่ความฝันเริ่มพิลึกพิลั่นไปทุกที ๆ ในโซเชียลมีเดียเริ่มมีการตั้งคำถามลอย ๆ ว่ามีใครคิดว่าตัวเองฝันผิดเพี้ยนไปช่วงนี้บ้าง? และคำตอบทำให้เรารู้ว่า COVID-19 ได้แพร่ไปในความฝันของคนทั่วโลกแล้วจริง ๆ Gus Jacobson คุณครูสอนโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในประเทศแคนาดาเล่าว่าในฝันโรงเรียนที่เขาสอนอยู่นั้นแปลกไป มันดูลึกลับและคล้ายว่าจะมีสิ่งน่าสะพรึงกลัว ผนัง โต๊ะเรียน ดูผุพังและส่งกลิ่นเน่าเหม็น “มันเหมือนเวลาคุณเดินเข้าไปในป่า และเจอเข้ากับตอไม้เหม็นเน่าที่ดูเละย้วย จนคุณสามารถทำให้มันลงไปกองแฉะได้แค่ใช้แรงเพียงนิดเดียว” เขาอธิบาย ไม่มีใครอยู่ในบริเวณโรงเรียนเลย และเขาสัมผัสได้ว่าตัวเขาก็ไม่ควรมาป้วนเปี้ยนอยู่ที่นั่น วินาทีที่ Jacobson ลืมตาตื่น เขารู้ว่ามันเป็นความฝัน แต่ที่แย่คือเขาฝันแบบนี้ซ้ำ ๆ ตั้งแต่การเริ่มระบาดของ
ความฝันถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ ไม่ว่าใครก็เคยฝันมาแล้วทั้งนั้น แต่จะต่างตรงที่พวกเขาเหล่านั้นฝันดีหรือฝันร้ายมากกว่ากัน บางคนบอกว่าฝันคือการสร้างสมดุลทางจิต โดยปลดปล่อยความเครียดหรือกุเรื่องไร้สาระขึ้นมาในหัว บ้างว่าฝันถูกจิตสำนึกลึก ๆ ผลักออกมาและปรุงแต่งจนเป็นเรื่องราว สะท้อนถึงความปรารถนาที่ไม่ได้ถูกตอบสนองในชีวิตจริง แต่ความปรารถนานั้นไม่ได้หายไป หากเก็บไว้เบื้องลึกในจิตใจและระบายออกมาผ่านความฝัน แต่ไม่ว่าความฝันจะเกิดขึ้นจากอะไร ใคร ๆ ก็คงอยากฝันดีมากกว่าฝันร้ายกันทั้งนั้น นั่นให้เราอยากรู้ว่าทำไมคนถึงเกลียดฝันร้าย และฝันร้ายของพวกเขาเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรมากที่สุด? งานวิจัยชิ้นหนึ่งของ Amerisleep ที่รวบรวมเรื่องราวฝันร้ายของชาวอเมริกัน 2,000 คน เผยว่าฝันร้ายที่พบบ่อยที่สุดคือการฝันว่าตัวเองหกล้ม (65%) ตามมาด้วยฝันที่ถูกไล่ล่าเอาชีวิต (63%) ฝันว่าตัวเองตาย (55%) ฝันว่าคนรักตายจากไป (54%) และฝันว่าถูกจับยึดจนไม่สามารถขยับไปไหนได้ (52%) นี่แสดงให้เห็นว่าฝันร้ายแต่ละเรื่องนั้นค่อนข้างรุนแรงและกระทบกระเทือนต่อจิตใจคน อีกทั้งขณะที่อยู่ในฝันเราก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามันคือเรื่องจริงหรือความฝันกันแน่ ถ้าต้องเจอเรื่องราวเลวร้ายที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าใครก็คงทุกข์ใจไม่ต่างกัน ทำไมถึงฝันร้าย? มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้เราฝันร้าย ตั้งแต่การกินของว่างตอนดึก ผลข้างเคียงจากยา หรือแม้แต่การนอนตะแคงซ้ายขวา แต่นอกจากยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่พิสูจน์ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเราก็มีอิทธิพลต่อความฝันด้วย เนื่องจากเนื้อหาในฝันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงขณะตื่น หากคุณเป็นคนสบาย ๆ ไม่ค่อยเครียด และค่อนข้างพอใจกับชีวิต เป็นไปได้ว่าฝันของคุณจะเป็นเรื่องบวก ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณทุกข์ใจหรือวิตกกังวลบ่อย ๆ ก็อาจทำให้คุณฝันร้ายได้ในเวลาเดียวกัน ฝันร้ายบอกอะไรเรา? กว่า 70%
ในยุคโลกาภิวัตน์ที่การเชื่อมต่อและข้อมูลข่าวสารผูกโยงกันทั่วโลกอย่างไร้พรมแดน เศรษฐกิจ สังคม การเมือง หรือแม้แต่เทคโนโลยีก็เปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วแทบทุกมิติ ในขณะที่มนุษยชาติกำลังก้าวหน้าและชาญฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ สภาพสังคมและวิถีชีวิตในตอนนี้ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความคิด ความอ่าน และความฝันของเยาวชนรั้วของชาติผันแปรไปจากเดิม เชื่อว่าในวัยเด็กความคิดที่อยากเป็นหมอ ทหาร ตำรวจ หรือแม้แต่นักบินอวกาศคงแวบเข้ามาในหัวผู้ชายเราอยู่บ่อย ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันที่โตขึ้น ได้รู้จักโลกกว้างขึ้น และค้นพบอะไรใหม่ ๆ ที่ไม่เคยผ่านตาในวัยเยาว์ ก็ทำให้ความฝันในอาชีพและเป้าหมายในชีวิตของใครหลายคนเริ่มทิ้งห่างจากความคิดตอนเด็ก ๆ ที่เคยวาดไว้ เด็กไม่ได้อยากท่องอวกาศเหมือนดั่งวีรบุรุษ บริษัทผลิตของเล่น LEGO ได้สำรวจเด็ก 3,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 5 ถึง 12 ปี ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ผลปรากฏว่าเด็ก ๆ อยากเป็นยูทูบเบอร์มากกว่านักบินอวกาศถึง 3 เท่า ขณะที่มีเด็กเพียง 11% เท่านั้นที่อยากเดินทางไปยังพื้นที่ไร้แรงโน้มถ่วงในฐานะนักบินอวกาศ เด็กชาวอเมริกันและอังกฤษใฝ่ฝันอยากเป็นวล็อกเกอร์และยูทูบเบอร์ ครู นักกีฬาอาชีพ และนักดนตรีตามลำดับ ส่วนที่อยากเป็นนักบินอวกาศมีเพียง 10% เท่านั้น แต่ความฝันที่ได้ล่องลอยในอวกาศอันไกลโพ้นยังไม่เลือนราง อย่างไรก็ตามเด็ก ๆ ทั่วโลกล้วนมีความคิดความอ่านและให้ผลการสำรวจต่างกันอย่างสิ้นเชิง เนื่องด้วยภูมิลำเนา
ความฝันเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน หาได้เป็นเรื่องพิเศษพิสดารอะไร เพราะผู้ชายบางคนก็ฝันกันแทบทุกคืนอยู่แล้ว แต่กับบางหนุ่มแทบไม่เคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระอินทร์อย่างลึกซึ้งเลยสักครั้ง ทำเอาหลงลืมไปแล้วว่า “ความฝัน” ยังมีตัวตนอยู่ในชีวิต ว่ากันว่าความรู้สึกนึกคิดและจิตใต้สำนึกขับเรื่องราวออกมาปรุงแต่งจนเกิดเป็นความฝัน เปรียบดั่งน้ำมันที่เพิ่มไฟฝันให้ลุกโชนขึ้นมากลางดึก แล้วสำหรับผู้ชายอย่างเราคุณว่าจะมีสักกี่เรื่องที่เราหมกมุ่นจนเก็บไปฝันได้? ‘เซ็กซ์’ คงเป็นอีกเรื่องที่เดินจงกรมและเวียนวนอยู่ในหัวเราเกือบตลอดเวลา บ่อยครั้งที่เรามักจะเก็บเรื่องพวกนี้ไปฝันเป็นตุเป็นตะ แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะรู้ความหมายของเซ็กซ์แต่ละแบบที่เราฝันถึง วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ มาถอดรหัสความฝันเกี่ยวกับเซ็กซ์ ว่าแท้ที่จริงแล้วจิตใต้สำนึกกำลังบอกอะไรเรากันแน่ เซ็กซ์เร้าใจกับสาวในอดีต Lauri Loewenberg นักวิเคราะห์ผู้สืบค้นความหมายของความฝันมาแล้วกว่า 75,000 เคสทั่วโลก อธิบายว่าเมื่อหนุ่ม ๆ ฝันถึงการมีเซ็กซ์กับคนรักเก่า ไม่ได้แปลว่าพวกคุณลืมเธอไม่ลงหรือมิอาจสลัดเธอออกไปจากใจ หากสะท้อนว่าพวกเธอเป็นมากกว่าความรักครั้งแรก มากกว่าความหลงใหล ความตื่นเต้นเร้าใจ หรือความปรารถนาบนเตียง การที่หนุ่ม ๆ ใส่ใจกับสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตนั้นเป็นเรื่องดี แต่ถ้าพวกคุณให้ค่ากับความสัมพันธ์รักโรแมนติกในอดีตมากจนเก็บไปฝัน อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่บอกว่าสักวันคุณจะเดินดุ่มกลับไปหาสาวคนเก่าอย่างหน้ามืดตามัว เพราะลึกไปในจิตใต้สำนึกกำลังบอกว่าคุณโหยหา อยากเอาเนื้อชนเนื้อ และเสพสมเซ็กซ์กับสาวเด็ดในอดีต และด้วยความใคร่อยากอันแรงกล้าทำให้คุณเก็บเรื่องราวสุดสยิวมาเติมแต่งเป็นความฝัน เซ็กซ์ท้าทายกับสาวที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน คงไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่ชอบมีเซ็กซ์กับคนแปลกหน้า แต่เราเชื่อว่าคงมีไม่น้อยที่หลงรักความตื่นเต้นเมื่อได้ร่วมเตียงกับสาวใหม่ไม่ซ้ำหน้า ถึงประสบการณ์เซ็กซ์ในครั้งนี้จะทรงพลังจนคุณเก็บไปฝัน ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณปรารถนาจะทำตามความฝัน หรืออยากเพิ่มความเร้าใจทางเพศให้ชีวิตแต่อย่างใด ความฝันที่ได้มีเซ็กซ์กับคนแปลกหน้ากลับบ่งบอกเป็นนัยว่าหนุ่ม ๆ มีความทะเยอทะยาน กล้าได้กล้าเสีย
ความฝันเป็นเหมือนภาพสะท้อนจิตใต้สำนึก ความคิดในช่วงเวลานั้นของเราไม่ต่างจากดินแดนพิศวงที่ต่างคนต่างมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน บางคนเห็นเป็นภาพสี บางคนเห็นเป็นขาวดำเลือนราง บางคนเห็นเป็นมุมมองบุคคลที่ 1 ก็คือมุมมองของเราเอง เหมือนเราเห็นเหตุการณ์ด้วยตาของเราเอง แต่บางคนกลับเห็นในมุมมองของบุคคลที่ 3 นั่นหมายความว่าเราจะเห็นตัวเองกำลังดำเนินเรื่องราวนั้นอยู่ เรื่องราวในความฝันนั้นเราอาจจะจำได้แค่บางช่วงบ้าง เป็นเรื่องเป็นราวบ้าง แต่เราไม่เคยรู้เลยว่าเราใช้เวลาในโลกความจริงไปกับความฝันนานเท่าไหร่กันแน่น UNLOCKMEN จะพามาหาคำตอบนี้กัน ปกติเรามักจะจดจำความฝันของเราได้เป็นฉาก ๆ แม้จะพอคลำทางให้เป็นเนื้อเรื่องเดียวกันได้ แต่ก็ไม่ค่อยปะติดปะต่อกันนัก แถมส่วนมากก็ยัง Surreal เสียจนอยากจะเอาไปทำหนัง บางครั้งเป็นเพียงความรู้สึกราง ๆ ที่ไม่ชัดเจนทางการจำภาพ เสียง แต่เราจดจำความรู้สึกนั้นได้แม่นยำ ครั้งไหนที่ฝันเป็นเรื่องเป็นราว เราอาจคิดว่าเราใช้เวลากับมันไปทั้งคืนแน่นอน ฝันเป็นมหากาพย์ขนาดนี้ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เรามีความเครียด ความกังวล หรือเรื่องเล็กน้อยกวนใจที่เราอาจจะลืมไป มันมีโอกาสแสดงออกผ่านทางความฝัน ความฝันเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับสุขภาพของเราโดยตรง เพราะมันคือการทำงานของสมองในขณะที่ร่างกายของเราหลับไปแล้ว เกิดขึ้นในช่วง REM คือช่วงที่เรากลอกตาไปมาอย่างรวดเร็วในขณะที่ตายังปิดอยู่ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นช่วงสั้น ๆ ตลอดคืน กินเวลาประมาณ 20% ของทั้งคืนที่เราหลับไป เรามักจะคิดว่าเรามีความฝันเพียงเรื่องสองเรื่อง หรือเท่าที่จำได้เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ในคืนนึงที่เราหลับไป เราฝันไม่ต่ำกว่า 12 ครั้ง เพียงแค่เราจำมันไม่ได้ทั้งหมดนั่นเอง (หรือบางคนก็จำไม่ได้เลย)
วันนี้ UNLOCKMEN จะมาพูดถึงเรื่องความฝันกันอีกครั้ง หลังจากเคยพูดถึงมาแล้วครั้งหนึ่งในคอนเทนต์นี้ ฝันก็มีความหมาย ‘จิตวิทยาแห่งความฝัน’อยากรู้ไหมว่าสิ่งที่เราฝันซ้ำ ๆ บอกอะไรเรา? แต่จริง ๆ แล้วความฝันของคนเรายังมีอีกมากมายหลายรูปแบบ วันนี้จึงขอมาพูดถึงเรื่องความฝันอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฎให้เราเห็นแทบทุกค่ำคืนนั้นกำลังบอกอะไรเรากันแน่ ทำไมเราถึงฝันถึงสิ่งที่ไม่เคยนึกถึงในชีวิตประจำวันเลย มีอะไรซ่อนอยู่ในจิตใจเรางั้นหรือ ไปหาคำตอบพร้อมกันเลย เอเลี่ยนหรือยาน UFO เป็นความฝันที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่ถ้าเคยฝันแล้วครั้งหนึ่งละก็จำได้ไม่ลืมแน่นอน เพราะมันแปลกประหลาดเหลือเกิน ส่วนความหมายของความฝันนี้คือ ถ้าคุณฝันว่าโดนเอเลี่ยนหรือยาน UFO จับตัวไปแปลว่าคุณกำลังกลัวจะสูญเสียที่อยู่อาศัย หรือต้องพรากจากบ้านเกิดเมืองนอน แต่ถ้าในฝันคุณกำลังพูดคุยอยู่กับเอเลี่ยนนั่นอาจจะหมายความว่าคุณกำลังพยายามเริ่มต้นสิ่งใหม่หรือกำลังต้องพบเจอผู้คนใหม่ ๆ ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากให้มนุษย์ต่างดาวหน้าตาประหลาดมาเยือนคุณในฝันก็อย่าพยายามหมกมุ่นกับเรื่องนี้มากเกินไป คิดในแง่บวกกับสิ่งใหม่ ๆ เข้าไว้ รถไฟเหาะ เป็นความฝันที่หวาดเสียวน่าดู แต่ความหมายของมันคืออะไรกันนะ? ถ้าในความฝันคุณกำลังเล่นรถไฟเหาะอยู่แล้วล่ะก็หมายความว่าชีวิตของคุณกำลังเผชิญกับความเสี่ยงในการเดินทางหรือการเริ่มต้นเผชิญสิ่งใหม่ ๆ เช่นกำลังตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองเป็นต้น ถ้าไม่อยากเจอความน่าหวาดเสียวแบบนี้แล้วล่ะก็ลองมองความเสี่ยงในการเริ่มต้นใหม่เป็นเรื่องตื่นเต้นท้าทายในชีวิตดูสิ เป็นราชาหรือราชินี คงเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่และรู้สึกดีน่าดู แต่ความหมายของมันอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้น เพราะการที่ในฝันคุณกลายเป็นพระราชาหรือราชินีทรงอำนาจ สามารถชี้นิ้วสั่งทุกอย่างได้ตามบัญชา แปลว่าในชีวิตจริงคุณอาจจะบกพร่องเรื่องความรับผิดชอบหรือหัวหน้างานอาจไม่ให้อำนาจที่เหมาะสมกับคุณในที่ทำงาน ดังนั้นจงปรับปรุงพัฒนาตัวเองซะถ้าไม่อยากยิ่งใหญ่แค่ในฝัน! ตกรถหรือเครื่องบิน เป็นความฝันที่ความหมายค่อนข้างตรงตัวเลยล่ะ ถ้าในฝันคุณไปขึ้นรถหรือเครื่องบินไม่ทัน ในเรื่องจริงคุณก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ชีวิตคุณกำลังยุ่งเหยิง ขาดระเบียบวินัยในตัวเอง และมักจะไปทำงานหรือไปตามนัดสายเป็นประจำ เพราะฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่ากำลังเป็นแบบนี้อยู่รีบพัฒนาตัวเองโดยด่วน จะได้ไม่สายทั้งตอนฝันหรือตอนตื่น
ความจริงกับความฝันบางทีมันก็ห่างไกลกันเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะเรื่องหน้าที่การงานที่เราฝันมาตั้งแต่เด็กว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” แต่พอโตไป ๆ จริง ๆ ความฝันก็ยิ่งดูห่างไกลมากขึ้น ๆ เท่านั้น การทำงานเลยเป็นไปด้วยความหดหู่ห่อเหี่ยว ตื่นมาแต่ละเช้าเหมือนจะหมดพลัง UNLOCKMEN อยากจะกระซิบบอกว่า เฮ้ย มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกว่ะ ลองใช้วิธีพวกนี้ดูหน่อยไหม? แบ่งเวลาไปทำสิ่งที่ชอบ บางทีความรับผิดชอบก็ไม่ได้มาพร้อมความฝันและความสนุกเสมอไป การแบ่งเวลาไปทำในสิ่งที่เราชอบจึงเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ เมื่อเครียดกับเวลางานจนปวดสมองไปหมด หลังจากหมดเวลางานก็ไม่ควรเก็บมาคิดเล็กคิดน้อยว่า โธ่ ผมไม่ได้ทำงานที่ผมรักแล้วจมปลักกับมันอยู่อย่างนั้น ให้เอาเวลาไปเติมพลังชีวิตกับสิ่งที่รักที่ชอบดีกว่า เรารับรองว่าช่วยคุณได้ หาอะไรที่เกลียดให้เจอ งานที่ไม่ใช่งานในฝันเพราะมันมีอะไรที่เราไม่อินกับมัน ไม่ชอบกับมันอยู่ แต่ไอ้ “สิ่งที่ไม่ชอบ” มันคืออะไรล่ะ? มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเกลียดทุกภาคส่วนของงาน ดังนั้นจงหาจุดที่เราเกลียดที่สุดให้เจอ เพื่อที่เราจะได้จัดการมันได้ตรงจุด อาจจะดีลกับมันอย่างตรงไปตรงมา หรือเลี่ยงมันให้ไกลที่สุด หรือตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่าทำไมเราไม่ชอบมัน ทำไมเราเกลียดมัน เรียกได้ว่าเผชิญหน้ากับจุดที่เราเกลียดที่สุดเพื่อที่จะเข้าใจว่าเราจะรับมือกับมันได้อย่างไร? ตั้งเป้าหมาย ถ้าเราไม่ได้ทำงานที่ฝัน แปลว่าเรายังมี “งานที่ฝัน” อยู่ ดังนั้นอย่าปล่อยให้ความฝันเป็นแค่ความฝัน ตั้งเป้าหมายเป็นข้อ ๆ ไว้แล้วค่อย ๆ มุ่งไปทีละขั้น ๆ ยิ่งเราทำสำเร็จทีละข้อทีละขั้นก็แปลว่าเราใกล้ฝันเข้าไปเรื่อย ๆ โดยอาจไม่จำเป็นต้องรบกวนเวลาทำงาน
“โตไปไม่โกง” อาจเป็นหนึ่งในคาแรคเตอร์ที่สังคมตามหา แต่พวกเราชาว UNLOCKMEN ล่ะ ? เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่าโตไปอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อยากเป็นอะไร หรืองานที่กำลังทำอยู่ทุกวันนี้ใช่ความฝันของเราแล้วหรือยัง ? ท่ามกลางสถานการณ์ที่ทุกคนหันมาให้ความสำคัญกับการเป็นตัวเอง เราอยากให้ทุกคนที่อาจกำลังสับสนได้มีโอกาสใช้ชีวิตแบบ YOLO ในสิ่งที่ตัวเองต้องการกับเขาสักครั้ง จากการเริ่มต้นถามตัวเองตาม 6 วิธีนี้ 1. ปลุกความขี้อิจฉาในตัว อ่านแล้วอย่างเพิ่งร้องว่าไร้สาระ บางครั้งผู้ชายอย่างเรามองว่าความขี้อิจฉามันเป็นเรื่องหยุมหยิม ดูไม่แมนและเป็น loser เลยพยายามมองข้าม แต่มันอาจจะเป็นหนึ่งเหตุผลให้นั่งแน่นิ่งหาคำตอบของความชอบไม่เจอ เบื่อ ๆ เซ็ง ๆ อย่างตอนนี้ ทดลองใช้สัญชาติญาณดิบด้านมืดมาค้นหาตัวตนกันบ้าง ตัวอย่างคำถามกระตุ้นความทรงจำ : “เฮ้ย! แม่งกูอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง ทำไมโชคดีจังวะ ?” “ทำบุญด้วยอะไรวะ แฟนมันโคตรสวยเลย” ถ้าปลายทางคำตอบคือดารานักแสดงรวย ๆ เป็นทนาย เป็นทหาร เป็นนักการเมือง หรืออาชีพอะไรก็ตามที่เห็นแล้วรู้ทันทีว่าเราไม่มีวันจะอยากเป็นแบบนั้น ขุดมันให้ลึกลงไปอีกหน่อยเพราะคำตอบบางทีมันก็ไม่ได้อยู่แค่ผิว ๆ แต่อาจต่อยอดไปเจอต้นตออย่างอื่น เช่น อิจฉาช่วงเวลาทำงานยืดหยุ่นของมัน อิจฉาที่ได้ใกล้ชิดสาว ๆ ตลอด อิจฉาที่มันได้ไปเที่ยวตลอด
การเปรียบเทียบความรักกับอะไรสักอย่าง เป็นเรื่องฮิตที่ผู้ชายหลายคนยังคงอินอยู่เสมอ เช่น “ความรักมักทำให้ตาบอด” เพลงบ่งบอกอารมณ์เคล้าน้ำตาฉบับพี่ตูน หรือ “ความรักสีดำ” เพลงของเทียรี่ ที่เปรียบเทียบความรักสีต่าง ๆ กับความรู้สึกผิดหวังสมหวัง ทว่าไม่เพียงวงการเพลงเท่านั้นที่ออกมาเล่าเรื่องราวด้านความรักผ่านมุมมองของตัวเอง เพราะหนนี้นักจิตวิทยาเขาก็ออกมาเล่นด้วยกับงานวิจัยรับวาเลนไทน์ที่ได้ผลสรุปว่า “ความรักมักทำให้ฝันแปลก” ซึ่งมีเหตุผลมาจากสารสื่อประสาท dopamine ที่ออกมากำกับฝันเมื่อเกิดความรัก ผลวิจัยชิ้นโบแดงนี้ถือเป็นโอกาสดีของหนุ่มโสดชาว UNLOCKMEN ที่ยังไม่รู้ใจตัวเองว่ามีใครแอบมาจับจองพื้นที่ความรู้สึกเข้าให้แล้ว และยังหาคนไปเดทวันวาเลนไทน์ไม่ได้ เพราะเมื่อสัญญาณฝันก่อตัว แสดงว่าเธอคนนั้นน่าจะปรากฏตัวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลคุณ เช็กฝันให้ดีแล้วรีบออกตามหาเธอเลยดีกว่า ฝันร้ายกลายเป็นดี หนุ่ม ๆ ที่เจออาการเครียดจากฝันร้ายมาหลายวัน อยู่ ๆ ช่วงนี้เกิดไม่ฝันมันขึ้นมาเฉย ๆ อาจแปลว่าความรักกำลังก่อตัว เหตุเพราะสาร oxytocin หรือสารแห่งรักมันเป็นสารที่ช่วยเรื่องซึมเศร้ากับอาการนอนไม่หลับ ซึ่งถ้ามันไม่ได้เกิดจากการกินยาช่วยเพราะคุณไปหาหมอ มันก็ต้องเกิดจากสาวรอบข้างสักคนที่มากระตุ้น Oxytocin ให้หลั่ง แต่อย่าประมาทถ้าคุณกำลังอกหัก แล้วรวม ๆ ก็แค่ไม่ฝันระยะนี้เฉย ๆ เพราะถ้าทั้งหมด 4 ข้อคุณมีแค่ข้อนี้เพียงข้อเดียวนักวิจัยจาก Northwestern Medicine เขาฝากมาบอกว่าสมองคุณกำลังสร้างกลไกเข้าไปอยู่ในโหมด Shut down
บ่อยครั้งที่ผู้ชายอย่างเราหวังว่าโชคจะเข้าข้างเราบ้าง หรือตัดพ้อน้อยใจว่าทำไมฟ้าถึงไม่มีตาเห็นเรา แล้วมอบสิ่งดี ๆ ให้ แต่ UNLOCKMEN อยากจะบอกว่าเลิกขอจากโชคชะตาฟ้าลิขิตเถอะ! เพราะความสำเร็จไม่ใช่เรื่องโชคชะตา แต่คือเรื่องสองมือสองขาของเราเอง และ UNLOCKMEN เชื่อว่า 5 นิสัยต่อไปนี้จะทำให้คุณได้ไปต่อในหนทางแห่งความสำเร็จแน่นอน 1.เป้าหมายต้องชัด อย่าให้อะไรพัดความฝันเราได้ นิสัยอย่างแรกที่จะทำให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จในชีวิตคือการมีเป้าหมายที่ชัดเจน อย่าปล่อยให้ความคลุมเครือไม่ชัดเจนพัดพาคุณออกจากหนทางแห่งความสำเร็จไปไหนไกล ดังนั้นจะทำอะไรอย่าลืมแปะป้ายในสมองตัวโต ๆ ว่าเราต้องการอะไรที่สุด? และพุ่งชนมันให้สุดชีวิต 2.ลำดับความชัดเจนของชีวิต เอาให้เครื่องติดสุดพลัง บ่อยครั้งที่เป้าหมายเราไม่ได้มีเป้าหมายเดียว โดยเฉพาะการเป็นผู้ชายที่ Work Hard Play Hard ด้วยแล้ว ความสนใจเรามีล้นมือเต็มไปหมด แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะไปด้วยกันไม่ได้ ลองลิสต์ดูว่าในความสนใจ 10 อย่าง อะไรคือ 3 อย่างที่เราชอบที่สุดและมันไปในทิศทางเดียวกันอย่างไรได้บ้าง แล้วก็มุ่งทำมันควบคู่กันไปในทิศทางเดียวกันให้ได้ดี 3.ความล้มเหลวคือบทเรียน เราอาจจะกลัวความล้มเหลวจนไม่ได้ทำอะไรเลยก็เป็นได้ จริงไหม? ดังนั้นอย่ากลัวที่จะทดลองทำอะไรใหม่ ๆ แค่เพราะกลัวความล้มเหลว อย่าลืมว่าความล้มเหลวคือบทเรียนหนึ่งที่จะสอนให้เรารู้ว่าจะไม่เดินกลับไปผิดพลาดในทางเดิม ๆ อีก ดังนั้นรู้ไว้เลยว่าอย่าไปกลัวมัน สิ่งสำคัญคือการได้เรียนรู้ต่างหาก 4.ทักษะต้องรอบด้าน เพื่อผลงานที่เราหวัง แม้ความฝันจะมีเพียงหนึ่ง