ความรัก–ความสัมพันธ์ตัดสินได้ง่ายเสมอเมื่อเป็นเรื่องของคนอื่น แต่เมื่อใดก็ตามที่เรากระโจนเข้าใส่มันด้วยตัวเองแล้ว ร้อยทั้งร้อยมักไม่อาจใช้มาตรวัดเดิม ๆ ที่เคยใช้ชี้วัดตัดสินคนอื่นมาใช้กับความรู้สึกของตัวเองได้ เพราะความรักมักเป็นเช่นนั้น เช่นที่ซับซ้อน เพ้อคลั่ง ชวนให้ดำดิ่งลงไปสู่บางห้วงแห่งชีวิตที่เราจินตนาการไม่ออกว่าจะต้องมาพบเจอ บางครั้งรักหวาน แต่บางคราวรักก็ขมแสนขมและเรายังเลือกดื่มกินมันต่อไป ความรัก–ความสัมพันธ์จึงซับซ้อนเสมอ และง่ายที่จะบอกว่าผิดจากมุมของคนข้างนอก แม้หลายครั้งสถานการณ์ความรักสุดซับซ้อนจะปวดเจ็บยิ่งกว่านิยาย แต่ในฐานะผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่เคยสัมผัสรสชาติหวานหอมแห่งความรัก เราจึงอยากชวนทุกคนมาดำดิ่งลงไปในรสชาติขมขื่นกับหนังสือ 6 เล่มที่ว่าด้วยความสัมพันธ์สุดซับซ้อนที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งขม แต่ก็ยิ่งเข้าใจและอาจยิ่งต้องบอกตัวเองให้หนัก ๆ ว่าโปรดจงอย่าพาตัวเองและคนที่เรารักไปสู่จุดขมแสนขมนั้นของความสัมพันธ์ จากดวงจันทร์ จากดวงจันทร์ แปลจากหนังสือ: Mal di pietre ผู้เขียน: Milena Agus ผู้แปล: นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ สำนักพิมพ์: อ่านอิตาลี เรื่องราวของหญิงสาวผู้เพ้อคลั่งกับความรักจนได้รับการขนานนามว่ามาจากที่สักแห่งไกลแสนไกลอย่างดวงจันทร์ ถึงอย่างนั้นเมื่อมีชายผู้ยินยอมมอบความรักให้เธอ เรื่องกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ใช่ เพราะความรักไม่เคยเป็นเรื่องง่าย นี่จึงเป็นเรื่องราวของหญิงสาวผู้อยากถูกรักและได้รับรักจากผู้ชายคนหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันเธอกลับหลงใหลเพ้อคลั่งถึงความรักกับคนอื่นที่ไม่อาจครอบครอง เนื้อเรื่องเรียบเรื่อยล่องลอย ไม่ใช่การคบซ้อนที่หวือหวา แต่ซับซ้อนด้วยอารมณ์ ความรู้สึกและจินตนาการของหญิงสาว ที่เราไม่อาจตัดสินได้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด หรือแม้แต่สิ่งใดกันแน่ที่จริง ? เพราะความรักเป็นแบบนั้น มันง่ายที่จะตัดสินจากมุมอื่น แต่เมื่อมันอยู่ตรงหน้าเรา กลับพร่าเลือนวูบไหวราวกับทะเลคลั่งในคืนที่แสงจันทร์ไม่เป็นใจ ด้วยรัก ความตาย และหัวใจสลาย
วินาทีแห่งความเป็นความตาย สร้างความระทึกให้เราได้เสมอ ความเจ็บปวดของชีวิตที่ต้องแขวนอยู่บนเส้นยาแดงผ่าแปด ความหวังของคนรอ และความกดดันของทีมแพทย์ ทุกฝ่ายต่างแบกรับความรู้สึกหนักอึ้งบนไหล่ตัวเองกันทั้งนั้น หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเรื่องราวของชีวิต ร่างกาย โรคภัย และความตาย เราขอชวนมาดู 5 ซีรีส์การแพทย์หลากหลายแนว ทั้งพีเรียด ดราม่า คอมเมดี้ หรือแม้แต่โรแมนติก ให้เราได้เลือกตามสไตล์ที่ใช่ แต่ยังคงดำเนินเรื่องด้วยวงการแพทย์อยู่ The Alienist (2018) เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเอเลี่ยน สิ่งมีชีวิตในอีกกาแล็กซี่แต่อย่างใด แต่หมายถึงผู้เชี่ยวชาญที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยทางจิตซึ่งในยุคสมัยหนึ่งถูกมองว่าเป็นเรื่องแปลกแยกและเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวของความหมายนั้น เรื่องราวของ Dr.Kreizler (Daniel Brühl) ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น Alienist กับคู่หูนักวาดภาพประกอบฝีมือเยี่ยมอย่าง John Moore (Luke Evans) ที่มาช่วยเขาไขความลับของคดีฆาตกรรมเด็กชายขายบริการ แม้จะฟังดูเหมือนเรื่องราวการสืบสวนทั่วไป แต่บรรยากาศ ความสมจริงของศพ ความเลือดสาดที่โผล่ออกมาให้ชวนอ้วกเป็นระยะ ยิ่งบีบให้เรื่องนี้ตึงเครียดมากกว่าเดิม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการแพทย์ในโรงพยาบาลโดยตรง แต่การไขปริศนาของเรื่องยังใช้ความรู้ทางการแพทย์แบบเต็มเปี่ยม บอกเลยว่าเป็นอีกเรื่องที่โปรดักชั่นสวยงามคุ้มค่าการอดนอนเสียจริง House M.D. สารพัดเคสผู้ป่วยอาการประหลาด ที่ทุกแผนกไม่สามารถรับมือได้ไหว หรือหาสาเหตุไม่เจอ จะตกมาอยู่ภายใต้การดูแลของ Dr. Gregory House (Hugh Laurie) หมอที่จะทำให้เราโยนภาพของหมอแบบเดิม ๆ ทิ้งไป
นอกจากภาพลักษณ์และผลงานเพลงที่แสนดุดันของ Corey Taylor แล้ว ฝีปากของเขาก็ดุเด็ดเผ็ดมันไม่แพ้กัน สังเกตได้จากบทสัมภาษณ์เวลาพาดพิงบุคคลที่สาม ไม่ว่าจะโดนพาดพิงมาก่อน หรืออยากจะลองพาดพิงคนอื่นพอให้เจ็บ ๆ คัน ๆ ก็สร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการได้ทั้งนั้น ครั้งนี้เป็นคราวของ Imagine Dragons ที่โดนแซวอย่างเจ็บแสบไม่แพ้คนอื่น มาดูกันว่าดราม่าครั้งนี้พวกเขาโดนอะไรกันบ้าง คอเพลงเป็นอันรู้กันว่า Nickelback เป็นวงดนตรีที่มักจะถูกแซวเรื่องความนิยมอยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าพวกเขาเป็นวงที่ห่วย ไร้ความสามารถ แต่เป็นวงที่ถูกเกลียดมากที่สุดในวงการเพลงร็อกต่างหาก คนที่แซวบ่อยที่สุดก็ไม่พ้น Corey Taylor แห่ง Slipknot นั่นแหละ จน Nickelback กลายเป็น Meme บนโลกอินเทอร์เน็ตไปแล้ว คดีแสบที่สุดก็คงจะเป็นที่กล่าวหาว่า Kroeger มีความละม้ายคล้ายกับ “Shaggy from Scooby-Doo” นี่แหละ แต่ช่วงเวลาแห่งความซวยของ Nickelback จบลงแล้ว เมื่อ Corey ตัวจี๊ดแแห่งวงการ ได้เปลี่ยนเป้าหมาย มาลงที่ Imagine Dragons แทน เมื่อในรายการ Jonesy’s Jukebox ของมือกีต้าร์แห่ง Sex
Summer: I said I love The Smiths. You have good taste in music. Tom: You like The Smiths? Summer: ‘To die by your side is such a heavenly way to die’. Love it. ไดอะล็อกจากฉากลิฟต์ในตำนาน ของภาพยนตร์คนช้ำรัก “(500) DAYS OF SUMMER” เรื่องราวของการถูกผลักไสไปอยู่ในฐานะของ “เพื่อน” แม้จะแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าอยากจะควงแขนเธอในฐานะ “คนรัก” แค่ไหนก็ตาม จนเรื่องนี้กลายเป็นหนังช้ำรักอันดับต้น ๆ ที่คอหนังแนะนำ เหล่าแฟนหนังต่างก็เสียงแตกออกเป็นสองฝั่ง ว่าความเจ็บช้ำในครั้งนี้ มันผิดที่ใครกันแน่ ถึงอย่างนั้น เราไม่ได้จะมาถกเถียงกันว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือผิดกันแน่ แต่เราจะชวนมาฟัง 20 เพลงเจ๋ง ๆ
ในช่วงปีที่ผ่านมา ซีนอินดี้บ้านเราได้เห็นปกอัลบั้มแรกของ Zweed n’ Roll แม้จะได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของวงหรือ Single ของพวกเขามาสักพักแล้ว แม้เพลงจะฮิตติดชาร์ตขนาดไหน เชื่อไหมว่าพวกเขายังไม่มีอัลบั้มแรกกันเลยด้วยซ้ำ (เพิ่งมามีกันเมื่อปีที่แล้วนี่แหละ) อัลบั้มแรกของพวกเขามาในปกที่แสนสะดุดตากับภาพที่ “พัด” นักร้องนำของวง ทอดแผ่นหลังอยู่บนกระโปรงรถ พร้อมสีหน้าพริ้ม ที่พอจะเดาออกว่ามันมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์สีทองในมือ ในอัลบั้มบรรจุไปด้วยเพลง Mood หม่น ๆ จนเสียน้ำตากันไปบ้าง เราอาจมองเพลงของพวกเขาเป็นเพลงเศร้าหนึ่งเพลง เป็นเพลงอกหัก ที่มันทิ่มแทงความรู้สึก ไม่ของคนแต่งก็ของคนฟังอย่างเราเองนี่แหละ ทว่าทุกเพลงที่ร้อยเรียงขึ้นมา ไม่ได้เป็นแค่ผลงานที่พวกเขาภูมิใจในความสามารถทางดนตรีเท่านั้น แต่ความภูมิใจของพวกเขามันอยู่ที่ผลงานเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เยียวยาทั้งตัวเขาและคนฟัง จนเป็นเพลงที่มีค่าในตัวเอง มาฟังเรื่องราวของพวกเขา ในการเรียงร้อยเรื่องราวออกมาให้ Impact กับคนฟัง สมาชิกในวงได้แก่ พัด นักร้องนำ, ปูน กีต้าร์, มิน กีต้าร์, นิว เบส และ แทน กลอง นั่งเตรียมความพร้อมกันที่สวนชั้นล่างของร้าน ด้วยการอัดบุหรี่ตัวแล้วตัวเล่า พ่นควันขาวฟุ้งขึ้นไปในอากาศ ราวกลับต้องการปลดปล่อยความประหม่าทั้งหมดทิ้งไป เพื่อเตรียมตัวเล่น Live Session ให้กับรายการ Garage
หากใครเคยดู The Great Gatsby คงพอจะจำได้ว่ามหาเศรษฐีอย่าง Gatsby ไปไม่เป็นขนาดไหน เมื่อ Nick เพื่อนบ้านตัวจ้อยของเขา รับปากที่จะช่วยเป็นพ่อสื่อ แบบไม่หวังผลตอบแทนอะไร ช่วยเพราะต้องการที่จะช่วยแค่นั้นเอง อาจเพราะ Gatsby อยู่ในแวดวงธุรกิจ เรื่องของการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์จึงแฝงอยู่ในทุกสิ่ง แม้จะมองเรื่องราวในชีวิตจริง มิตรภาพที่จริงใจก็ไม่ใช่สิ่งที่หาจากใครได้ง่าย ๆ และเราเองก็ไม่ได้มีให้ใครง่าย ๆ เช่นกัน UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาเรียนรู้บทเรียนมิตรภาพลูกผู้ชาย จาก 5 หนังหลากรส หลากเหตุการณ์ ที่ให้ข้อคิดในเรื่องของความสัมพันธ์ ความจริงใจ และมิตรภาพ เหมือนทุกครั้งที่เราอยากบอกเสมอว่า นี่ไม่ใช่การจัดอันดับหนังดี เราไม่ได้แนะนำด้วยคะแนนวิจารณ์ หรือตัดสินด้วยอะไรทั้งนั้น นี่เป็นเพียงลิสต์หนังที่เราอยากบอกต่อเหมือนเพื่อนแชร์หนังหรือชวนกันดู อย่าได้หัวเสียถ้าหากไม่มีหนังที่ตรงใจคุณในลิสต์นี้ Forrest Gump (1994) Director: Robert Zemeckis เรื่องราวชีวิตแสนพิเศษจากหนุ่มอัจฉริยะปัญญานิ่ม (ตามชื่อเรื่องไทย ไม่ได้เป็นการใช้ Hate Speech แต่อย่างใด) Forrest Gump (Tom Hanks) ที่เราจะได้เห็นชีวิตของเขาตั้งแต่เป็นเด็กน้อยในอ้อมอกของแม่ผู้คอยปกป้องเขาจากทุกอย่าง เขาถูกหล่อหลอมให้มีทัศนคติเชิงบวกอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ใช่แค่คิดบวกแล้วจะกลายเป็นคนโง่
“Don’t F*ck With Peaky Blinders” ประโยคยอดฮิตในเรื่องนี้ ซีรีย์ที่แจก F*ck เยอะที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง Peaky Blinders ว่าด้วยเรื่องราว Gangster ยิปซีเมืองเบอมิงแฮมในอังกฤษที่ทำธุรกิจสีเทา ขับเคลื่อนธุรกิจด้วยอำนาจของกระบอกปืน ฉากหลังของเรื่องจะดำเนินไปในช่วงยุค 20’s ทำให้มู้ดแอนด์โทนของเรื่อง เสื้อผ้าหน้าผม รถ บ้านเมือง ผู้คน ถูกถ่ายทอดออกมาแบบโคตรเท่ ดำเนินเรื่องราวสุดเข้มข้นมาถึงซีซั่น 4 และตอนนี้ซีซั่น 5 กำลังจ่อคิวรอฉายแล้ว UNLOCKMEN จะพามาติวเข้มเรื่องราวสำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูหรืออาจลืมเลือนเนื้อเรื่องไปบ้าง พร้อมรวมข่าวเกี่ยวกับซีซั่น 5 ทั้งหมดไว้ในม้วนเดียว ทำความรู้จักกับ Peaky Blinders เรื่องราวของ Gangster ในอังกฤษที่ทำธุรกิจสีเทาสารพัดอย่างที่เราพอจะนึกออก แต่หลัก ๆ คือการแทงม้า ธุรกิจนี้ขับเคลื่อนด้วยระบบคล้ายกับระบบกงสี โดยครอบครัว Shelby ที่แต่ละคนนั้นเป็นตัวจี๊ดมี DNA ของความดิบ เถื่อนอยู่ในตัวกันทุกคน แต่อย่าคิดว่าทุกคนจะเป็นนักเลงหัวไม้ เก่งแต่เรื่องต่อยตีเท่านั้น พวกเขายังไหวพริบเป็นเลิศ ต่อรองเก่ง อยู่เป็นกันแทบทุกคน เรียกง่าย ๆ คือเก่งทั้งบู๊และบุ๋น นอกจากเรื่องยกพวกต่อยตีแล้ว พวกเขายังมีแฟชั่นที่ทำให้ดูเนี้ยบราวกับเป็น Upper Class
ช่วงเวลาที่กลิ่นอายของความรักจะลอยฟุ้งอยู่ในอากาศอย่างกลางเดือนกุมภาพันธ์ เดินไปทางไหนก็มีแต่ดอกไม้ ช็อกโกแลต และคู่รัก อย่างเลี่ยงไม่ได้ มาสร้างบรรยากาศแสนเหงาที่เคยมีให้ละมุนยิ่งขึ้น จะได้ไม่ต้องผ่านคืนอันเดียวดายไปเพียงคนเดียว หรือคนมีคู่อยากได้บรรยากาศหวานแต่ไม่เลี่ยน ต้อง Playlist นี้ของเรา ที่รวมเอา 30 แทร็ก Chillwave เกือบสองชั่วโมงเต็มอิ่ม ปล่อยตัวปล่อยใจให้ลอยเคว้งไปกับบีทนุ่มลึก เหมือนกำลังล่องลอยไปในอวกาศที่แสนเงียบงัน สำหรับใครที่สะดวกฟังบน Spotify สามารถตามไป Follow Playlist นี้กันได้ ฟังครบ 30 เพลงแล้วยังไม่จุใจ จะวนซ้ำกันอีกสักรอบก็ยังได้ หรือจะตามไป Playlist Lo-Fi อื่น ๆ เรามีให้เลือกอีกเพียบ
ใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง “Constantine คนพิฆาตผี” คงต้องยอมให้กับความเท่ระเบิดระเบ้อของ Keanu Reeves ที่เจิดจรัสออกมาตลอดทั้งเรื่อง จนกลบเสียงวิจารณ์เนื้อหาที่ฉีกไปจากคอมมิกอย่างไม่มีชิ้นดี นอกจากความเท่ที่มันเตะตาคนดูอย่างเราแล้ว หลายคนคงจำรอยสักปริศนาที่แขนของ John Constantine ตัวเอกของเรื่องกันได้ดี โดยเฉพาะฉากยกแขนมาแนบกันเพื่อปราบเจ้าเด็กแสบ รอยสักนั้นไม่ได้ถูกดีไซน์ขึ้นมาใหม่ ให้มันเท่เข้ากับคาแรกเตอร์เฉย ๆ อย่างตัวละครในเรื่องอื่น แต่มันเป็นสัญลักษณ์ที่มีความหมายและมีมานานอีกแล้วอีกต่างหาก UNLOCKMEN จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสัญลักษณ์นั้น ที่กลายมาเป็นรอยสักแสนสะดุดตาบนแขนของเขากัน ทำความรู้จักเรื่อง Constantine ก่อนจะไปทำความรู้จักกับสัญลักษณ์นั้น ลองมาทบทวนเนื้อเรื่อง “Constantine คนพิฆาตผี” กันหน่อย เผื่อมีบางคนที่ดูนานแล้วจนลืมเลือนเนื้อเรื่องไป หรือบางคนที่อาจจะยังไม่เคยดูเรื่องนี้มาก่อน ความเท่ของการปราบผีระดับตำนาน เรื่องราวของ John Constantine (Keanu Reeves) เขาไม่ได้เป็นนักบุญ แต่เขาคือผู้ที่เคยผ่านความตาย และมีพรสวรรค์ในการเห็นสิ่งใด ๆ ที่ไม่ใช่มนุษย์ เขาใช้ชีวิตเพื่อกำจัดพวกเกเรกลับนรกไม่ให้เหลือซาก จนเขาได้ไปเจอกับตำรวจสาวที่ขอร้องให้เขาช่วยสืบเกี่ยวกับคดีการฆ่าตัวตายของน้องสาวฝาแฝดของเธอ แต่เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้น เมื่อความตายของสาวคนนั้นเป็นเพียงปมเล็ก ๆ ของเรื่องราวอันยุ่งเหยิงระหว่างปีศาจ ลูกตัวแสบของลูซิเฟอร์ที่อยากจะขึ้นมาป่วนโลกนี้แบบเต็มที ใครที่ชื่นชอบปีศาจแบบตามศาสนา ไม่ใช่ผีแบบ Ghost ล่ะก็ แนะนำเรื่องนี้เป็นอันดับต้น ๆ เพราะเรื่องนี้จะเต็มไปด้วย ปีศาจ ศาสนา
Spoil Alert! บทความนี้มีการพูดถึงเนื้อหาสำคัญของอนิเมะบางเรื่อง ‘อนิเมะ’ หรือ ‘การ์ตูนญี่ปุ่น’ มักจะถูกตีค่าว่าเป็นสื่อเพื่อความบันเทิง เน้นความสนุกสนาน ตลกโปกฮา หรือตื่นเต้นเร้าใจเป็นหลัก แต่ถ้าใครเสพอนิเมะเป็นประจำแล้วละก็ คงรู้ดีว่าอนิเมะญี่ปุ่นไปไกลกว่านั้นมาก บางเรื่องเนื้อหาเข้มข้นตึงเครียดยิ่งกว่าภาพยนตร์คนแสดงเสียอีก อย่างที่เราเคยเห็นใน Akira (1988) ที่นำเสนอโลกดิสโทเปียผสมความ Cyberpunk ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพยนตร์เรื่อง Blade Runner ของผู้กำกับ Ridley Scott หรือเรื่อง Perfect Blue (1997) ที่พาคนดูดำดิ่งสู่จิตใจมนุษย์ ภายใต้บรรยากาศหลอนประสาท ไม่ต่างอะไรจากภาพยนตร์เรื่อง Black Swan หรือ Suspiria แต่อนิเมะที่เราจะพูดถึงในวันนี้ไม่ได้หนักหน่วงขนาดนั้น เพียงแต่ทุกเรื่องฉาบไปด้วยความเศร้าที่แม้แต่ลูกผู้ชายอกสามศอกยังกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ The Tale of the Princess Kaguya (2013) ไม่เฉพาะแค่อนิเมะ แต่นี่คือภาพยนตร์ที่ทำให้เราร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต ถึงแม้หน้าหนังของ The Tale of the Princess Kaguya ที่หยิบยกเรื่องราวนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น เจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่ มาเล่าจะดูเข้าถึงยาก เนื่องจากเนื้อเรื่องที่ดูโบราณ นอกจากนั้นยังเลือกวิธีการเล่าเรื่องผ่านแอนิเมชันสีน้ำที่คนส่วนใหญ่ไม่คุ้นชิน แต่ในเมื่อ The Tale of the Princess Kaguya กำกับโดย อิซาโอะ