หลายคนอาจจะเคยเห็นผลงานของ MSCHF แต่ไม่เคยรู้จักแบรนด์นี้มากนัก เป็นแบรนด์ที่มี Business model แปลกประหลาดจนเจ้าของบริษัทเองก็ไม่รู้จะนิยามตัวเองว่าอะไรดี แต่สรุปง่าย ๆ คือเป็นบริษัทใน Brooklyn, NY ที่เน้นผลิต Content ไอเดียสุดแปลกผ่านทั้งสินค้าและเนื้อหาใน Online ที่เท่และใช้งานได้จริง เช่น Chicken Bong และ Jesus Shoes เป็นต้น เดี๋ยวเราจะเจาะลึกเรื่องแบรนด์นี้กันอีกครั้ง ผลงานล่าสุดของ MSCHF (อ่านว่า mischief) ‘Birkinstock‘ ชื่อที่ทุกคนรู้จักและสร้างสรรค์ออกมาตรงตัวแต่ไม่ธรรมดา ด้วยการเอารองเท้าแตะ Birkenstock บ้าน ๆ ที่เราใส่กันทุกวี่วัน มาอัพเกรดให้กลายเป็นผลงานสุดหรูขั้นเทพด้วยการเปลี่ยนหนังรองเท้า แทนที่ด้วยหนังจากกระเป๋า Hermes Birkin และตั้งราคาที่บ้าคลั่งตามภาษาของสะสม เริ่มต้นที่ $34,000 – $76,000 USD (1- 3 ล้านบาท) ขึ้นอยู่กับรุ่นหนังว่ามาจาก Hermes Birkin ใบไหน ซึ่งที่แพงสุด ๆ
Camper ภูมิใจนำเสนอโปรเจกต์ใหม่ที่แสดงถึงความยั่งยืนของสินค้าและทำให้สามารถกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง กับ Speical Collection ‘Recrafted’ เป็นคอลเล็กชั่นพิเศษที่นำรองเท้าที่ทั้งผ่านการใช้แล้ว ที่ถูกนำมาคืน หรือคู่ที่มีตำหนิมารวมเข้ากับวัสดุเหลือใช้ เพื่อรังสรรค์เป็นรองเท้าแคมเปอร์คู่ที่ไม่เหมือนใคร (one-of-a-kind) โดยนำเทคโนโลยีและความยั่งยืนมาสร้างให้เป็นรองเท้าที่มีความทนทาน ตามเจตนารมณ์ของแบรนด์ที่จะเปลี่ยน วัฏจักรชีวิตของรองเท้าให้ยืนยาวยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังร่วมพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นแม้เพียงเล็กน้อย และไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบ สำหรับโปรเจกต์นี้เกิดขึ้นที่ Camper Workshop สำนักงานใหญ่ในเมืองมายอร์กา (Mallorca) ประเทศสเปน ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตรองเท้าของแบรนด์แคมเปอร์มากว่า 4 ทศวรรษ ที่นี่มีทีมนักออกแบบรุ่นเยาว์และเหล่าช่างฝีมือที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสรรค์สไตล์ใหม่ ๆ พร้อมพัฒนารองเท้าที่มีอยู่ให้ดียิ่งขึ้นควบคู่กันไป ด้วยการผสานเทคโนโลยีล่าสุดและวัสดุในการผลิตจากเทคนิคการทำรองเท้าที่ใช้มาอย่างยาวนานนับตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 1877 ของครอบครัวผู้ก่อตั้ง การนำรองเท้าแคมเปอร์ที่ใช้แล้วมาดัดแปลง ไม่เพียงแต่ได้ต่อยอดวัฏจักรชีวิตรองเท้าคู่นั้นๆ แต่ยังช่วยส่งเสริมให้ผู้คนตระหนักถึงแนวทางในการบริโภคสินค้าและยังเป็นไอเดียในการเชิญชวนให้ลูกค้าร่วมสร้างสรรค์ รูปแบบของการดำเนินธุรกิจที่ดียิ่งขึ้นไปด้วยกัน ราวกับว่าเมื่อคนหนึ่งตัดสินใจที่จะไม่ทิ้งรองเท้าไปอย่าง สูญเปล่าและส่งต่อรองเท้าให้ถูกนำไปใช้ใหม่อีกครั้ง เราเชื่อในความซื่อสัตย์และจริงใจในทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำในฐานะแบรนด์ ตามปรัชญาที่ครอบคลุมทั้งฝั่งดำเนินการและพาร์ทเนอร์ของเราที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งเริ่มต้นที่เมืองอินคา (Inca) ชนบทอันห่างไกล ตั้งอยู่ใจกลางของเกาะมายอร์กา ที่ซึ่งรองเท้าทั้งหมดของเราถูกออกแบบและพัฒนาโดยทีมนักออกแบบรุ่นเยาว์ที่ทำงานร่วมกับเหล่าช่างฝีมือที่เปี่ยมไปด้วยทักษะเพื่อสร้างสรรค์รองเท้าที่มีคุณค่าเดียวกันกับที่ธุรกิจของเราดำเนินมาโดยตลอดทั้งเรื่องคุณภาพ, ความสมบูรณ์ และการออกแบบ การริเริ่มในระยะยาวช่วยให้เราเข้าใกล้วัฏจักรของรองเท้าและโปรเจกต์อื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนในสังคมโดยการให้เรานำรองเท้าแคมเปอร์มาใช้อีกครั้ง ซึ่งผู้บริโภคจะช่วยเราสร้างสรรค์วัฏจักรในการดำเนินธุรกิจที่ดียิ่งขึ้นไปด้วยกัน เมื่อคนหนึ่งตัดสินใจที่จะไม่ทิ้งรองเท้าไปอย่างสูญเปล่า และทำให้รองเท้านั้น
Maison Kitsune’ (เมซง คิทสึเนะ) แบรนด์แฟชั่นลูกครึ่งสองสัญชาติจากฝรั่งเศสและญี่ปุ่น โดย Gildas Loaec (จิลดาส์ โลแอ็ค) และ Masaya Kuroki (มาซายะ คุโรกิ) เผยโฉมคอลเลคชั่นใหม่ประจำฤดูกาล Spring / Summer 2021 ที่ถูกออกแบบ และพัฒนาจาก Maison Kitsune’ Studio (เมซง คิทสึเนะ สตูดิโอ) ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ Maison Kitsuné ได้เชิญชวนดีไซเนอร์ฝีมือดี และมีชื่อเสียง เข้ามาร่วมสร้างสรรค์ผลงานผ่านการตีความจากเอกลักษณ์ของแบรนด์ ประเดิมซีซั่นนี้ด้วย Marcus Clayton (มาร์คัส เคลย์ตัน) ครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์มากความสามารถจากปารีส ผู้ได้มาเป็นดีไซเนอร์ประจำฤดูกาลนี้ คอลเลคชั่น Spring / Summer 2021 นี้ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการถ่ายทอดเรื่องราว และเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไประหว่างเมืองโตเกียว (Tokyo) และปารีส (Paris)
Omega Speedmaster ถือเป็นนาฬิกาสามัญประจำบ้านที่นักสะสมทุกคนต้องมีไว้ใน Collection มันคือนาฬิกาที่ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทั่วโลก เป็นนาฬิกาที่ NASA เลือกให้นักบินอวกาศใส่ทำภารกิจนอกโลก ซึ่ง นีล อาร์มสตรอง และ บัซ อัลดริน สวมใส่ Speedmaster ref. 105.012 และ 145.012 ติดข้อมือไปสู่ดวงจันทร์ในวันที่ 22 กรกฎาคม 1969 จนได้รับการขนานนามว่า “รุ่นเหยียบดวงจันทร์” ซึ่งมีการพัฒนาต่อยอดในหลายรุ่นพิเศษ ด้วยความล้ำหน้าและควาสสิคของ Omega ตัวเครื่อง caliber 1861 Moonwatch สามารถทำหน้าที่ได้ดีเป็นเวลานานกว่า 50 ปี และก็ถึงเวลาแล้วที่มันจะถูกแทนที่ด้วยกลไกตัวใหม่ “co-axial Master Chronometer-certified caliber 3861” ใน Speedmaster ซึ่งตัวกลไกใหม่ล่าสุดนี้เคยถูกใช้ใน Omega เพียง 3 รุ่นพิเศษคือ Apollo 11 Anniversary Limited Edition
MB&F คือหนึ่งในชื่อของแบรนด์ Independent watch maker ซึ่งเป็นที่ต้องการของนักสะสม เป็นที่รู้จักในเรื่องของความสร้างสรรค์ในการนำเสนอเรือนเวลาที่หรูหราและฉีกกรอบดีไซน์อยู่เสมอ และหนึ่งในนาฬิกาของ MB&F ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นต้นแบบแรงบันดาลใจในงานดีไซน์แนว retro-futuristic มาจนถึงปัจจุบันก็คือ 2010 MB&F HM4 Thunderbolt ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 100 เรือน แน่นอนว่าถูกจองจนหมดภายในเวลาแค่ชั่วพริบตา MB&F HM4 Kittyhawk เกิดขึ้นเพื่อฉลองอายุ 10 ปี MB&F ได้เปิดตัวนาฬิกาซีรีส์ Horological Machine 4 ออกมาอีกครั้งในชื่อรหัส “Kittyhawk” นำเอา prot0type เดิมมาดัดแปลงรายละเอียดที่ได้ต้นแบบจากเครื่องบินรบ Curtiss P-40 Kittyhawk ที่โด่งดังในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะ iconic graphics สุดโหดของเครื่องบินที่ทำให้หลายคนจดจำมันได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับ MB&F HM4 Thunderbolt ตัวเรือน titanium case
Balenciaga เปิดตัวแคปซูลคอลเลคชั่นเพื่อสนับสนุนบริการช่วยเหลือสัตว์ที่มีชื่อว่า I Love Pets ประกอบด้วยเสื้อยืด เสื้อฮู้ด กระเป๋า และเครื่องประดับ โดยรายได้ 10 เปอร์เซ็นต์จากการขายสินค้า I Love Pets ในครั้งนี้จะนำไปบริจาคให้กับ La SPA องค์กรการกุศลด้านการคุ้มครองสัตว์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศส จี้ประดับ ตุ้มหู กระเป๋าผ้า และเสื้อผ้าบางส่วนของ I Love Pets มีการพิมพ์ภาพถ่ายที่ใกล้ชิดของสัตว์เลี้ยงที่ได้รับการช่วยเหลือโดยพนักงาน Balenciaga เป็นเจ้าของ และวลีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น I Love Cats, I Love Dogs, Meow และ Woof Woof นอกจากนี้ยังมีหมายเลขโทรศัพท์ที่จะนำผู้โทรไปยังสายด่วน Balenciaga ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับสัตว์เลี้ยงจากศูนย์พักพิง และเว็บไซต์ซึ่งพิมพ์อยู่บนสินค้าที่จะนำไปสู่หน้าแรกของเว็บในสไตล์ย้อนยุคที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความตระหนักถึงชะตากรรมของสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งและตัวเลือกสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่มีความหวัง เสื้อผ้าและกระเป๋ามีหลากหลายสีและหลากหลายไซส์ สำหรับผู้ชายและผู้หญิง แหวนโลหะสีทองและสีเงิน สร้อยคอ และจี้ประดับที่รูปกระดูก มีประทับโลโก้ Balenciaga ไว้ด้วย
Balenciaga กับ Football culture สองความ Hype ที่เข้าใกล้กันมาตั้งแต่ยุคของ Creative Director ‘Demna Gvasalia’ เราได้เห็นการนำ Football jerseys และรองเท้าสตั๊ดถูกนำมาใช้นอกสนามแข่ง กลายเป็น Street Fashion สุดเท่ที่ได้รับความนิยมมากในยุโรป และใน collection FW20 เราก็ได้พบกับ “Soccer” sneaker อีกครั้งในโทนสี “Fluo Yellow” Balenciaga “Soccer” sneaker สี Fluo Yellow ผลิตจากวัสดุโพลียูรีเทน น้ำหนักเบาเพียงข้างละ 220 กรัม รูปทรงทุกอย่างถอดจากรองเท้าสตั๊ดที่กระชับเข้าเท้า และ outsole ที่มีปุ่มยึดเกาะมากถึงข้างละ 13 จุด ลิ้นรองเท้าทำจากหนังพิมพ์โลโก้ Balaenciaga ให้เห็นว่านี่คือของดี และบริเวณส้นเท้าโค้งกระชับ พร้อมปักสัญลักษณ์ BB สีดำ ตัดกับรองเท้าสีเหลืองได้อย่างลงตัว มีการโชว์ตะเข็บด้ายที่เย็บเป็นลวดลายทั่วรองเท้า เสริมอารมณ์สปอร์ตให้ Balenciaga
แจ็คเก็ตเดนิมเป็นหนึ่งในไอเท็มยอดนิยมของลูกผู้ชาย หลายคนน่าจะมีไอเท็มแฟชั่นชิ้นนี้เก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าที่บ้านกัน แต่ถึงแม้มันจะเป็นไอเท็มที่ได้รับความนิยมจากคนหลายวัย แต่วิธีการจะใส่มันให้ดูดีนั้น ถ้าไม่รู้หลักการ ก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเลย UNLOCKMEN เลยอยากจะมาพูดถึงสิ่งที่ควรทำเวลาจะใส่แจ็คเก็ตเดนิม เพื่อให้ทุกคนสามารถดึงความเท่และความมีสไตล์ของแจ็คเก็ตเดนิมออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แจ็คเก็ตต้องมีขนาดพอดีตัว และมีสไตล์เหมาะกับเรา ก่อนจะเลือกซื้อเสิ้อแจ็คเก็ตเดนิมสักตัว สิ่งที่เราควรเลือกก่อนเลย คือ ดีไซน์ของมัน เพราะเสื้อแจ็คเก็ตเดนิมที่วางขายตามร้านทั่วไป นั่นมีหลากหลายไซส์และหลากหลายสไตล์ให้เราเลือก ซึ่งแต่ละอันก็ให้ลุคที่แตกต่างกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น แบบหลวมและโอเวอร์ไซส์ จะให้ลุคที่ดูผ่อนคลายสบาย ๆ หรือ แบบฟิตและครอป จะให้ลุคที่ดูคมเข้มมากกว่า เป็นต้น และเมื่อเลือกดีไซน์ที่เหมาะสมได้แล้ว สิ่งที่ควรดูต่อมา คือ ความฟิตของเสิ้อแจ็คเก็ตของเรา ซึ่งเสื้อแจ็คเก็ตของเราต้องไม่โป่งหรือรัดมากเกินไป เลือกสีแจ็คเก็ตให้เหมาะกับสถานการณ์ นอกจากเรื่องดีไซน์แล้ว สีของแจ็คเก็ตก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เสื้อแจ็คเก็ตเดนิมก็ในปัจจุบันมีหลายเฉดสีให้เลือก ไม่ว่าจะเป็น สีฟ้า สีน้ำเงิน สีดำ สีเทาอ่อน สีขาว ฯลฯ ซึ่งแต่ละสีก็จะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น สีฟ้าจะให้ลุคที่ดูสบาย ๆ มากกว่า สีน้ำเงินซึ่งจะให้ลุคที่ดูสมาร์ทมากกว่า ดังนั้น เราควรใส่ใจเลือกการเลือกเฉดสีด้วย ซึ่งเฉดสีที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนลองดู คือ Medium Wash ซึ่งได้รับความนิยม
เข้าสู่ช่วงเวลาของปลายฤดูฝนต้นฤดูหนาว เชื่อว่าผู้ชายหลายคนคงมีแผนพาตัวเองออกจากบ้านไปต้อนรับมวลความเย็นที่เข้ามาทักทาย ซึ่งอากาศที่เปลี่ยนไปก็ทำให้เราหันมาใส่ใจในเรื่องเครื่องแต่งกายกันมากขึ้น และรองเท้าคือหนึ่งในไอเทมสำคัญที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ ไม่ควรมองข้าม นอกจากคุณสมบัติพื้นฐานของรองเท้าที่ต้องสวมใส่สบาย ตอบสนองการเคลื่อนไหวได้ดี อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือดีไซน์สวยงาม สามารถหยิบมาจับคู่กับเสื้อผ้าสไตล์ต่าง ๆ ได้อย่างลงตัว เพราะต่อให้มีท่อนบนที่ดูดีแค่ไหน ถ้ารองเท้าไม่แมตช์ก็ทำให้ทั้งลุคเสียความมั่นใจไปได้เลย ด้วยเหตุนี้เราจึงอยากแนะนำให้ชาว UNLOCKMEN ทุกคนได้รู้จักกับรองเท้าในเฉดสีเอิร์ธโทน สีที่กำลังได้รับความนิยม และเป็นสีที่วงการแฟชั่นทั่วโลกต่างยกให้เป็นสีที่เข้ากับช่วง Winter มากที่สุด พร้อม Style Guide แนะนำข้อมูลและวิธีเลือกซื้อรองเท้าคู่ใหม่รับลมหนาวที่กำลังมาเยือน ปิดท้ายด้วยการชี้เป้า “Earthy Transitions” คอลเลกชันใหม่ล่าสุดจากแบรนด์รองเท้า Camper (แคมเปอร์) ที่ต้องบอกเลยว่าสีสัน ดีไซน์ วัสดุและคุณภาพนั้นเหมาะสำหรับแต่งหล่อเดินสบายในสไตล์ Winter Look อย่างแน่นอน เอิร์ธโทน (Earth Tone) หมายถึงโทนสีที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ ประกอบไปด้วยโทนสีหลักคือสีน้ำตาล, สีเขียว, สีเทาอ่อน และสีฟ้า ที่เราสามารถพบเห็นได้จากท้องฟ้า ก้อนหิน พื้นดิน โดยมีการแบ่งออกเป็นเฉดสีที่หลากหลาย ยกตัวอย่างเช่นสีน้ำตาล ซึ่งมีทั้งสีน้ำตาล Burnt Umber, สีน้ำตาล
เข้าสู่ช่วงสิ้นปีที่ลมหนาวเข้ามาทักทายแบบนี้ ถือเป็นโอกาสดีสำหรับหนุ่ม ๆ ผู้ชื่นชอบการแต่งตัวทุกคน โดยเฉพาะคนนี้กำลังวางแผนไปเดินทางไปต้อนรับลมหนาวถึงที่ด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นที่ไหน แต่สิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ เครื่องแต่งกายที่โดดเด่นทั้งในเรื่องของสไตล์และฟังก์ชันการใช้งาน และสำหรับหนุ่ม ๆ ที่กำลังมองหาเสื้อตัวใหม่มาสวมใส่ในช่วงเวลานี้ Flannel Shirt คือเสื้ออีกชนิดที่เราอยากแนะนำให้ทุกคนหยิบออกจากตู้มาสวมใส่กันอีกครั้งหนึ่ง แต่จะเป็นเพราะเหตุผลอะไรและมีเทคนิคการสวมใส่ยังไงบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อม ๆ กันได้เลยครับ ทำความรู้จัก Flannel Shirt Flannel Shirt คือเสื้อเชิ้ตผ้าสักหลาดที่ถักทอมาจากขนสัตว์ (Wool) ฝ้าย (Cotton) รวมถึงผ้าใยสังเคราะห์ (Synthetic Fabric) ที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศเวลส์ในศตวรรษที่ 17 พร้อมคุณสมบัติเฉพาะตัวของการเป็นผ้าที่มีเนื้อเบาสบายที่สามารถรักษาความอบอุ่นได้ดี โดยนอกจากจะเหมาะสมกับการนำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าแล้ว ผ้า Flannel ยังถูกนำมาใช้ตัดเย็บเป็นผ้าห่มและผ้าปูที่นอนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมามักมีคนที่เข้าใจผิดและคิดว่า Flannel Shirt คือเสื้อเชิ้ตลายสก็อตซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะเสื้อลายสก็อตเป็นเพียงชนิดย่อยของ Flannel Shirt ที่ถูกเรียกว่า Flannel Plaid หรือ Plaid เท่านั้น โดยความหมายถูกต้องของ Flannel Shirt