บรรดาคู่รักที่มีอยู่มากมายบนโลกทั้งคู่รักดารา คู่รักนักการเมือง คู่รักที่เป็นชาวบ้านธรรมดากับสายลับที่ชีวิตจริงเข้าตาใครหลายคนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่คงไม่มีเรื่องราวของคู่รักไหนจะแสบ เต็มไปด้วยความวุ่นวายเคล้าความโรแมนติกและจัดจ้านด้านแฟชั่นได้มากไปกว่า Bonnie และ Clyde อีกแล้ว ด้วยความเท่เปี่ยมด้วยสไตล์ของ Bonnie กับ Clyde คู่รักนักปล้นอันแสนโด่งดังแห่งอเมริกาที่โดดเด่นสะดุดใจทั้งเรื่องเล่าสะดุดตาทั้งเครื่องแต่งกาย UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกเขาตั้งแต่วัยเด็ก เห็นแนวคิด ชีวิต และแฟชั่นระหว่างการหลบหนีตำรวจ ที่หลอมรวมให้ทั้งคู่มีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้ ก่อนการพบกันของ BONNIE และ CLYDE Bonnie Parker และ Clyde Barrow ก่ออาชญากรรมราวสองปีตั้งแต่ 1932-1934 ช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะพบกันต่างชีวิตไม่ต่างจากเด็กทั่วไปในอเมริกา Clyde Barrow เด็กชายชีวิตแสนธรรมดาจากรัฐ Texas ลาออกจากโรงเรียนเพื่อทำตามความฝันของเองในวัย 16 ปี เขาชื่นชอบการเล่นแซ็กโซโฟนและกีตาร์ ใฝ่ฝันถึงการเป็นนักดนตรี แต่บ้านจนจึงต้องพับความฝันทางดนตรีเปลี่ยนมาลักเล็กขโมยน้อยร่วมกับพี่ชายแทน ส่วนของที่ขโมยก็ค่อนข้างสะเปะสะปะ เพราะขโมยเงิน ขโมยรถ หรือแม้กระทั่งขโมยไก่แถวบ้านมาเต็มคันรถ ส่วน Bonnie Parker เป็นเด็กสาวจากรัฐ Texas เช่นเดียวกับ Clyde เธอเติบโตในครอบครัวที่มีฐานะทางการเงินดี จนวันหนึ่งชีวิตดันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อพ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัวเสียชีวิตลง
สำหรับผู้ชายที่เติบโตมากับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่คงไม่มีใครไม่รู้จักตัวละครจาก X-Men ที่ชื่อว่า Logan และมีฉายาว่า Wolverine อย่างแน่นอน เพราะเราเห็น Hugh Jackman สวมบทเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ผู้มีพลังพิเศษสามารถเยียวยาบาดแผลได้รวดเร็ว จมูกไว หูดี มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า รวมถึงกรงเล็บเหล็กทำจาก Adamantium ที่ได้มาจากการทดลองเถื่อน บุคลิกห่าม ๆ ของตัวละครและคาริสม่าของ Hugh Jackman ทำให้ใครหลายคนจดจำตัวละครตัวนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะตัวละครนี้ถือเป็นฮีโร่ที่เติบโตมาพร้อมกับใครหลายคน รวมถึงแฟชั่นหลายยุคสมัยตั้งแต่หนุ่มจนถึงวาระสุดท้ายของเขาที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ จึงทำให้ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับสไตล์ของชายคนนี้ไปพร้อมกัน การปรากฏตัวของ Logan ในโลกภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2000 ในภาพยนตร์รวมทีมฮีโร่มนุษย์กลายพันธุ์ X-Men (2000) พาเราไปทำความรู้จักกับนักสู้ใต้ดินไร้ความทรงจำ แต่จับพลัดจับผลูมาเป็นคนที่มีส่วนช่วยโลกให้พ้นภัย หลายคนคาดเดาว่า Logan ฉบับหนังอาจเกิดปี 1837 เพราะภาค X-Men Origins: Wolverine (2009) เขาเป็นทหารร่วมรบอยู่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ราวปี 1914 ต่อมาได้ช่วยชีวิตทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่นไว้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองนางาซากิ ในปี 1945
ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการคิดไอเดียและการทำ DIY ที่มีสไตล์เด่นชัดเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องแฟชั่นที่เราจะได้เห็นแนวคิดและการแต่งตัวโดดเด่นไม่เหมือนใครจากคนญี่ปุ่นอยู่เสมอ ครั้งนี้แบรนด์รองเท้าสุดเก๋าอย่าง Converse Japan ก็เกิดไอเดียง่าย ๆ แต่น่าสนใจที่จะทำให้รองเท้าผ้าใบพิเศษมากยิ่งขึ้น Converse Japan ตัดสินใจหยิบสนีกเกอร์สุดคลาสสิกในตำนานอย่าง Chuck Taylor All Star จุดเริ่มต้นของรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อรุ่นออริจินัลมาเล่าเรื่องใหม่อีกครั้ง ซึ่งการหยิบเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ครั้งนี้จะทำให้ตัวแบรนด์กับผู้บริโภครู้สึกใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น เพราะผู้สวมใส่จะได้มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์รองเท้าผ้าใบร่วมกับ Converse ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ชื่อว่า Nurie (ぬりえ) Nurie ในภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่าระบายสี ดังนั้น Converse Chuck Taylor All Star จึงมีรูปแบบตามชื่อรุ่น เริ่มจากรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีขาวล้วน ประทับลายตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ “CONVERSE” เรียงต่อกันจนทั่วรองเท้า ตราสัญลักษณ์ All Star ตรงบริเวณส้นรองเท้าที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นก็เป็นสีขาวล้วน และมีสีดำเข้มอยู่ที่เดียวคือรูปดาวตรงด้านข้างของสนีกเกอร์ มองเผิน ๆ จะเห็นว่าสนีกเกอร์คอลเลกชัน Nurie ก็เป็นรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อธรรมดาไม่ต่างจากรุ่นอื่น ๆ แต่ความสนุกของรองเท้าจะเริ่มต้นหลังจากซื้อรองเท้า เพราะ Converse จะแถมปากกา markers ชนิดกันน้ำมาให้สามแท่ง โดยมีทั้งหมดสามสีคือ
หลังจากที่ลือกันมาพักใหญ่ว่าแบรนด์เครื่องกีฬาชื่อดังอย่าง Adidas เตรียมออกรองเท้าผ้าใบคอลเลกชันสุดพิเศษที่ได้ฟรอนต์แมนในตำนานอย่าง Liam Gallagher มาร่วมดีไซน์ด้วย หลายคนต่างคาดเดาไปทางเดียวกันว่าสนีกเกอร์คู่นี้จะต้องเต็มไปด้วยความวินเทจสุดคลาสสิกตามแบบฉบับป๋าเลียมอย่างแน่นอน และตอนนี้ก็ไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวังเมื่อได้เห็น Adidas Spezial สีครีมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและสไตล์ยอดศิลปินจากเกาะอังกฤษ Adidas Spezial เดิมทีเป็นรองเท้ากีฬาสำหรับลงสนาม แต่ด้วยดีไซน์ที่เข้ากันได้ดีกับกางเกงหลากประเภททั้งกางเกงยีนส์ กางเกงวอร์ม กางเกงสแลค รวมถึงความทนทานบวกกับวัสดุหนังกลับสุดเท่ และพื้นยางที่ยืดเกาะทุกพื้นถนนทำให้รองเท้ากีฬากลายเป็นสนีกเกอร์แฟชั่นที่ใคร ๆ ต่างก็อยากมีไว้ครอบครอง ความโดดเด่นคือสไตล์สุดวินเทจของเหล่าชายหนุ่มจากยุค 80 หลายคนหลายวงการที่ต่างก็สวมใส่กันทั้งวงการกีฬาฟุตบอล หรือเหล่าชาวสตรีตในนิวยอร์กที่ใส่ Spezial เพราะเห็นสมาชิกวง Hiphop ชื่อดังอย่างวง Run DMC ใส่รองเท้ารุ่น Spezial รวมถึงกลุ่มคนผู้ชื่นชอบดนตรีแนว Britpop ในอังกฤษที่เห็น Nole Gallagher วง Oasis สวมใส่ Spezial ก็เลยพากันหาซื้อรองเท้าแบบเดียวคนที่ตัวเองชื่นชอบมาใส่ตาม ถึงแม้จะอยู่คนละมุมโลกและมีความชอบที่แตกต่าง แต่แฟชั่นสามารถร้อยเรียงกลุ่มคนหลากหลายให้มีจุดร่วมเดียวกันได้ สำหรับสนีกเกอร์ Spezial ที่ทาง Adidas ออกแบบร่วมกับ Liam Gallagher จะใช้สีครีมโทนเข้มและอ่อนแต่งแต้มลงบนวัสดุหนังกลับตั้งแต่บริเวณ unper เชือกรองเท้าไปจนถึงพื้นยาง
ดูเหมือนทาง Adidas และศิลปินอย่าง Pharrell Williams จะตั้งใจให้รองเท้ารุ่น Pharrell x adidas Solar Hu Glide ทำออกมาให้ครบทุกโทนสี CMYK เพราะล่าสุดพวกเขาเตรียมส่งรองเท้า 4 คู่ใหม่ออกมาแล้วในชื่อ Rainbow Pack ก่อนหน้านี้ค่ายสามขีดเพิ่งประกาศเปิดตัว Pharrell x adidas Solar Hu Glide “Grayscale Pack” ออกมาแบบสด ๆ ร้อน ๆ ด้วย Solar Hu Glide 4 คู่ในโทนสีพื้นไม่ว่าจะเป็น White ( ขาว), Off White (ขาวครีม), Grey (เทา) และ Core Black (ดำ) เรียกว่าตั้งใจปล่อยออกมาเรียกเงินในกระเป๋าหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบรองเท้าโทนสีพื้นโดยเฉพาะ แต่เพื่อตอบโจทย์ให้ครบทุกรสนิยมทุกโทนสี พวกเขาก็ตัดสินใจปล่อยรองเท้าในโมเดลเดียวกันออกมาอีก 4
หนุ่ม ๆ ทั้งหลายคงไม่พลาดดูซีรีส์ตีแผ่วงการหนังผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นยุค 80 กับเรื่อง The Naked Director จากช่อง Netflix เพื่อล้วงลึกและเข้าใจถึงโลกของการทำหนัง AV ที่เหนือจินตนาการ ทว่าในวันนี้ UNLOCKMEN จะไม่ได้มาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง AV แต่จะพูดถึงแฟชั่นแสนสะดุดตาของ Muranishi Toru พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาดังกล่าวของญี่ปุ่นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แฟชั่นยอดนิยมของชายหนุ่มช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร คนญี่ปุ่นมีแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งตัวแบบไหน รับวัฒนธรรมการแต่งตัวมาจากใคร เพื่อเผยให้เห็นว่าอะไรบ้างที่มีส่วนทำให้สไตล์การแต่งตัวของราชาหนังเอวีโดดเด่นไม่แพ้ใครในเรื่อง ความเนี้ยบและลุคสุดทางการตั้งแต่หัวจรดเท้าคือสิ่งสำคัญของผู้ชายญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถือเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาคิดเสมอว่าการก้าวออกจากบ้านจะต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย ดังนั้นเสื้อผ้า หน้า ผม ทุกอย่างจะต้องเนี้ยบและพร้อมเสมอสำหรับทุกสถานการณ์ จึงทำให้ผู้ชายญี่ปุ่นวัยทำงานส่วนใหญ่จะแต่งตัวเคร่งเครียดคล้ายกันไปเสียหมด หลายครั้งที่มีคนพยายามหาคำตอบเรื่องความเนี้ยบที่ทำกันจนเคยชินของคนญี่ปุ่นว่ามันมีจุดเริ่มต้นมาจากไหน คำตอบที่ได้ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังกันมานาน หรือค่านิยมของการให้เกียรติตัวเองและผู้อื่น ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คำนึงถึงการแต่งตัวให้เหมาะสมเวลาจะออกจากบ้าน ว่ากันว่าแฟชั่นจะเติบโตพร้อมกับเศรษฐกิจ หลังจากปี 1945 ที่ประเทศญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สูญเสียทั้งประชากร เมือง เงิน เป็นหนี้จำนวนมหาศาล ช่วงหลังสงครามโลกญี่ปุ่นแทบไม่เหลืออะไรเหลือเลยนอกจากซากปรักหักพัง ตอนนั้นคงไม่มีใครหน้าไหนในประเทศสนใจการแต่งตัวก่อนเรื่องปากท้องอย่างแน่นอน เหล่าผู้คนที่อยู่รอดจะต้องเอาตัวรอดให้ได้พร้อมกับขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวต่อไป และกว่าญี่ปุ่นจะฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างทุกวันนี้ก็ปาเข้าไปช่วงปลายโชวะ ระหว่างรอยต่อของต้นยุคเฮเซ (1986-1991) กว่าหลายสิบปีญี่ปุ่นเปลี่ยนฐานะจากประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เขยิบขึ้นมาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดีอันดับต้น ๆ
สนีกเกอร์สีขาวถือเป็นสิ่งที่ไม่เคยตกยุคไปไหน ไม่ว่าเมื่อไหร่เรามักจะเห็นผู้คนจำนวนไม่น้อยสวมใส่สนีกเกอร์สีขาวกันเต็มไปหมด เพราะสีขาวคือความคลาสสิก ส่วนลวดลายสุดเฉพาะตัวอย่างหนังงูคือตัวแทนความหรูหรา ก็ยิ่งทำให้สนักเกอร์เรียบหรูและโดดเด่นไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ Nike ปล่อยสนีกเกอร์สุดวินเทจที่นำสีขาวและหนังงูมาเจอกัน แรงบันดาลใจจากความหรูหราที่ห่างหายกันไปพักใหญ่กับ Nike Blazer Mid Vintage หยิบแรงบันดาลใจจากรองเท้าของเหล่านักบาสเกตบอลจากยุค 70 ให้สนีกเกอร์เต็มไปด้วยดีไซน์สุดวินเทจที่เห็นเมื่อไหร่ก็ชวนให้ย้อนกลับไปสัมผัสความเท่ในวันเก่าก่อน แต่ตัดเย็บโดยคำนึกถึงความต้องการของนักบาสเกตบอลยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ Nike Blazer Mid Vintage ไม่ได้เป็นเพียงแค่สนีกเกอร์สำหรับใส่เล่นบาสเกตบอลแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ยังสามารถใส่ไปเล่นสเกตหรือใส่ไปเดินเที่ยวก็ได้ทั้งนั้น เพราะพื้นโฟมถูกออกแบบมาเพื่อรองรับแรงกระแทก แถมยังมีน้ำหนักเบา คงไว้ด้วยสไตล์วินเทจแต่ก็ทันสมัยมีสไตล์ไปพร้อมกัน ในตอนนี้ Nike Blazer Mid Vintage ก็กลับมาอีกครั้งให้หายคิดถึงพร้อมกับลายงูสุดเท่ สัตว์ร้ายที่เต็มไปด้วยพิษสงที่จะส่งให้ลุคดูดีเรียบหรูเมื่อสวมใส่ สไตล์วินเทจและหนังงูมีเสน่ห์ดึงดูดด้วยการใช้สีขาวเป็นหลัก โดดเด่นจากหนังงูที่บริเวณ swoosh สัญลักษณ์อันแสนคุ้นตาของแบรนด์ ประกอบกับลายหนังงูที่พาดผ่านสนีกเกอร์มายังบริเวณส้นรองเท้าเสริมภาพลักษณ์ให้ดูดีมีระดับ ที่เด็ดอยู่ที่คู่นี้เล่นสีเอิร์ธโทนของหนังงูที่นำมาวางบนพื้นสีขาวเพราะตามปกติหนังงูที่เราเคยเห็นมีหลายแนวหลายสี แต่ Nike ตั้งใจเลือกสีเอิร์ธโทน น้ำตาลอ่อน และน้ำตาลเข้ม เข้ากันได้ดีกับหนังสีขาวของบริเวณลิ้นรองเท้าที่แต้มสัญลักษณ์ swoosh ด้วยสีแดงสด ดีเทลจัดจ้านนี้มีส่วนทำให้เราเห็นรองเท้าคู่นี้มาแต่ไกล จากความใส่ใจที่น้อยแต่มาก คู่สีลงตัวทุกสัดส่วนอย่างนี้ ทำให้การหาเสื้อผ้ามาสวมเข้าชุดกันก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ชายเรา NIKE BLAZER MID VINTAGE
ผู้ชายอย่างเราแต่ละคนต่างมีมุมมองในการเลือกซื้อรองเท้าแรงแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นตัวรุ่นหรืองานดีไซน์ รวมถึงสีสันบนรองเท้าแต่ละคู่ที่ดึงดูดให้เราเป็นเจ้าของ ขณะเดียวกันกระแสความนิยมของสนีกเกอร์ทั่วโลกทำให้แบรนด์จำนวนมากดีไซน์ออกมาหลากหลายสีสัน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในโทนทีมาแรงที่สุดในปีคือ “โทนสีเขียว” ทั้งโทนเข้ม โทนสว่างเรืองแสง ด้วยความนิยมที่กำลังเพิ่มมากขึ้น วันนี้ UNLOCKMEN อยากแนะนำรองเท้า สายเขียว ที่น่าครอบครองในปีนี้ซึ่งจะมีจากค่ายไหนรุ่นอะไรกันบ้าง มาดูกันเลย Nike ZoomX Vaporfly NEXT% “Volt” เริ่มคู่แรกกันกับรองเท้าสายวิ่งจากค่าย Swoosh กับ Nike ZoomX Vaporfly NEXT% “Volt” สีเขียวเรืองแสง อาวุธคู่กายคู่ใหม่ของหนุ่ม ๆ ผู้รักการออกกำลัง พร้อมความนุ่มสบายที่มากกว่าเพราะเพิ่มการใช้โฟม ZoomX ขึ้นถึง 15 เปอร์เซ็นต์ มาพร้อมอัปเปอร์แบบ Flyknit ที่ระบายอากาศได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะใส่เดินหรือวิ่งก็ตอบโจทย์ความสบายในการใช้งานทั้งสองแบบ ค่าครอบครองโดยประมาณ : 11,000 บาท Pharrell x Adidas NMD Hu Gum “Solar Yellow” ต่อยอดรองเท้าตระกูล
ทุกครั้งที่เรานั่งดูรูปทรงผมเท่ ๆ จากดารานายแบบ พร้อมความรู้สึกชื่นชมว่าทรงผมแบบนี้สไตล์นี้ก็น่าจะเหมาะสมกับเราดี ว่าแล้วก็ยกหูโทรไปนัดคิวตัดผมกับร้านทำผมชื่อดังเจ้าประจำ “วันนี้คุณอยากตัดทรงอะไรครับ?” ช่างทำผมสุดเท่ถามพร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม เราก็ควักรูป Reference ทรงผมที่เราต้องการเปิดให้ช่างดู “ไม่มีปัญหาครับ” ช่างกล่าวพร้อมลงมือตัดผมจนเสร็จสิ้น จากนั้นก็เริ่ม Set ผมด้วยกรรมวิธีมากมายที่เราพยายามตั้งสติจำพร้อมสอบถามกรรมวิธีการเซ็ทผม ซึ่งช่างก็ค่อย ๆ อธิบายอย่างใจเย็น “เรียบร้อยครับ” ช่างทำผมกล่าวพร้อมกับสีหน้าของเราที่ยิ้มแย้มด้วยความภาคภูมิใจในทรงผมใหม่สุดคูล แต่เวลาแห่งความสุขภายใต้ทรงผมที่เซ็ทอย่างสวยงามมักจะอยู่ได้เพียงชั่วข้ามคืน เมื่อถึงเวลาเช้าวันสำคัญที่เราอยากพกพาผมทรงใหม่ในความทรงจำล่าสุดไปอวดใครต่อใคร กลับต้องประหลาดใจที่เราทำทุกอย่างเหมือนที่ช่างอธิบายเป๊ะ แต่ผลที่ได้กลับต่างกันราวฟ้ากับเหว มันไม่ได้ดั่งใจ มันไม่เนี้ยบเท่าไหร่ มันไม่ใช่ทรงผมเมื่อวาน ไม่ว่าจะเป็นทรง Slick Back หรือ Side Part ที่ดูว่าทำง่าย กลับกลายเป็นทรงอะไรก็ไม่รู้ไปเมื่อเราลงมือทำเอง ที่ผ่านมาหลายคนได้แต่สงสัยแล้วก็ลืมมันไป วนลูปความดีใจปนผิดหวังในข้ามคืนแบบนี้ใหม่อย่างไม่รู้จบและไม่เข้าใจว่า “สาเหตุคืออะไร” เรามาตอบให้เลยครับว่าหัวใจสำคัญอยู่ที่ “วอลลุ่ม” เราอาจจะเคยสงสัยว่าทำผมตัดผมทรงเดียวกับเพื่อนเป๊ะ แต่เพื่อนเรากลับเซ็ทออกมาได้เท่อย่างง่ายดายเพียงเป่า ๆ เสย ๆ ในขณะที่เรานั่งบรรจงม้วนทีละช่อ ใช้อุปกรณ์จัดแต่งทรงผมประโคมจนหนักศีรษะก็ยังเละไม่เป็นทรงอยู่วันยังค่ำ นั่นอาจจะเป็นเพราะลักษณะเส้นผมที่แตกต่างกันไปของผู้ชายไทย ส่วนใหญ่ชายไทยจะมีเส้นผมที่เล็ก ตรง และแบน ไม่มีวอลลุ่ม ทำให้จัดทรงผมให้เปลี่ยนทิศทางหรือยกตัวได้ยากมาก (แต่ก็มีข้อดีเรื่องสุขภาพเส้นผมที่มักจะดี เงางาม)
B Series คอลเลกชันสุดลิมิเต็ดจากแบรนด์ดัง Burberry กลับมาอีกครั้งพร้อมกับไอเทมที่หลากหลายที่สร้างสรรค์ผลงานโดย Riccardo Tisci ครีเอเทฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ ที่มีทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า ไปจนถึงผ้าขนหนู แต่สิ่งที่ดึงความสนใจเหล่าคนรักหมาที่ชื่นชอบลายโมโนแกรมของแบรนด์ได้อย่างอยู่หมัดคือไอเทมสุดเท่สำหรับสุนัขที่อยู่ในคอลเลกชัน B Series Monogram Print Cotton Dog Hoodie หรือเสื้อฮู้ดสำหรับสุนัข ถือเป็นดาวเด่นที่คนรักเจ้าตูบให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื้อผ้าให้สัมผัสนิ่มสบายทำจากผ้าฝ้าย เก็บรายละเอียดด้วยการเย็บขอบยางอย่างพิถีพิถัน มีสามขนาดให้เลือก ได้แก่ S M และ L เสื้อสำหรับสุนัขคอลเลกชัน B Series โดดเด่นด้วยลาย monogram อันใหม่ของแบรนด์อย่าง TB ตัวอักษรย่อมาของชื่อของผู้ก่อตั้ง Thomas Burberry ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ที่น่าจดจำ ประทับความเป็น DNA ของแบรนด์ไปโดยปริยาย เพื่อให้เสื้อตัวดังกล่าวทั้งรักษาขนนุ่มของน้องหมาและนำเสนอดีไซน์สุดเท่ทันสมัยไปพร้อมกันในราคา 210 ดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยราว 6,500 บาท ปลอกคอ Monogram Stripe E-canvas Dog Collar และสายจูงสุนัข