Pro-Keds แบรนด์รองเท้าผ้าใบเจ้าแรก ๆ ที่เลือกหยิบยาง rubber มาทำเป็นพื้นรองเท้า แถมเป็นรองเท้าคู่ใจของ Geoge Lehman นักบาสเก็ตบอลในตำนานของยุค 70 ที่สวมใส่ Pro-Kids ชู้ตลูกลงห่วงกว่าสองร้อยลูกโดยไม่พลาดสักครั้ง ครั้งนี้แบรนด์รองเท้าที่มีเรื่องราวยาวนานก็กลับมาอีกครั้งพร้อมสีสันใหม่ ๆ ของฤดูใบไม้ผลิ สำหรับคอลเลกชัน Spring 2019 ของ Pro-Keds ไม่ได้มีแค่รองเท้าทรงคลาสสิกเท่านั้น แบรนด์ยังนำรองเท้ารุ่นไฮไลต์อย่าง Royal ที่สร้างสรรค์ออกมาเพื่อนักกีฬาบาสเก็ตบอลโดยเฉพาะ พร้อมรูปทรงดั้งเดิมของแบรนด์มาปรับแต่งใหม่เพื่อผสมผสานความวินเทจและแฟชั่นแบบปัจจุบันเข้าด้วยกัน Pro-Keds เลือกใช้เฉดสีมาแรงของฤดูใบไม้ผลิ 2019 อย่างสีชมพูกุหลาบที่เต็มไปด้วยความโรแมนติก สีเขียวมะนาวให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาและเย็นสบาย สีดำที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่เคยตกยุค รวมถึงลายพรางของทหารที่ขนกันมาต้อนรับอากาศร้อนที่ใกล้เข้ามาทุกที ส่วนรองเท้าผ้าใบรุ่น Royal Plus ที่ต่อยอดจากรุ่น Royal โดยพัฒนาเรื่องวัสดุและความนิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับเท้าของนักกีฬาเมื่อสวมใส่รองเท้าลงสนามได้มากขึ้น พร้อมกับสีเท่ ๆ อย่างสีน้ำเงินโคบอลต์ คาดด้วยแถบสีเหลืองทองคล้ายกับมะม่วงสุก สัมผัสได้ถึงความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และสีชมพูกุหลาบคาดแถบสีขาวให้ความรู้สึกสบายตาตามสไตล์สีพาสเทล รองเท้าผ้าใบสุดคลาสสิกที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานของ Pro-Keds วางจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว โดย Royal Plus Suede สี Cobalt
Nike และ Paul George นักบาสเกตบอลซูเปอร์สตาร์จากทีม Oklahoma City Thunder ร่วมกันสร้างสรรค์สนีกเกอร์สุดเท่ที่มีชื่อเรียกว่า Nike PG ครั้งนี้เพิ่มความพิเศษขึ้นไปอีกขั้นด้วยการ collaboration กับองค์การ NASA เพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จจากการส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรกเมื่อ 50 ปีที่แล้ว แบรนด์เครื่องกีฬากับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือ NASA ไม่ได้เพิ่งร่วมงานกันเป็นครั้งแรก เพราะผลงานปีก่อนของ Paul George ก็ได้ใช้เรื่องราวจากอวกาศมาสร้างสรรค์เป็นสนีกเกอร์สีส้มสะดุดตารุ่น Nike PG3 “NASA” ถึงจะเคยนำคอนเซปต์ของ NASA มาเล่าไปแล้ว แต่ครั้งนี้ Nike เลือกเรื่องราวความสำเร็จของ Apollo Missions ที่สั่นสะเทือนวงการวิทยาศาสตร์และสร้างปรากฎการณ์ครั้งใหญ่ให้กับโลก โดยเฉพาะโครงการ Apollo 11 ที่สามารถส่งนักบินอวกาศขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ได้สำเร็จในปี 1969 โดยมนุษย์ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้เหยียบพื้นผิวของดวงจันทร์เป็นคนแรกคือ Neil Alden Armstrong โดยรองเท้า Nike PG3 “Apllo Missions” จะร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของการเหยียบดวงจันทร์ครั้งนี้ สนีกเกอร์
ตัวตนของผู้ชายไม่ได้มาจากลักษณะนิสัยและความคิดภายในเท่านั้น แต่การเลือกข้าวของเครื่องใช้สามารถนิยามตัวตนของเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะ “นาฬิกา” ที่อยู่บนข้อมือของเรา ไม่ว่าจะไปติดต่องานหรืองานเลี้ยงสังสรรค์ที่ไหนก็เป็นปราการด่านแรกที่ทุกคนมองเห็น การเลือกนาฬิกาที่เหมาะสมจึงไม่ได้เป็นเพียงการเลือกเครื่องบอกเวลาเท่านั้น แต่นาฬิกาสามารถบอกตัวตนของผู้สวมใส่ได้อีกด้วย จึงไม่แปลกที่ในภาพยนตร์แต่ละเรื่อง ตัวละครแต่ละตัวจะมีนาฬิกาคู่ใจเพื่อใช้บ่งบอกคาแรกเตอร์อันโดดเด่นที่ผู้กำกับหรือผู้สร้างต้องการสื่อให้ผู้ชมเห็น ดังนั้นนาฬิกาใดที่จะถูกนำมาใส่จึงต้องมีความสมจริงกับคาแรกเตอร์ในภาพยนตร์ และตัวนักแสดงต้องโอเคกับนาฬิกาเรือนนั้นด้วย ไม่ใช่แค่มีเงินแล้วจะเข้ามาปรากฎตัวในหนังระดับโลกได้ง่าย ๆ Hamilton จึงถือเป็นอีกแบรนด์นาฬิกาที่มีหลากรุ่น หลายซีรีส์ มีเรื่องราวและประวัติอันยาวนาน เดินทางผ่านหน้าประวัติศาสตร์มากว่า 127 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งแบรนด์ขึ้นที่เมืองแลงคาสเตอร์ รัฐเพนซิลวาเนีย ในปี 1892 ด้วยความคลาสสิกและเต็มไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Hamilton ทำให้ตั้งแต่ปี 1932 เป็นต้นมามีนาฬิกา Hamilton สารพัดรุ่นถูกนำไปปรากฏโฉมอยู่บนจอเงินในภาพยนตร์มากถึง 500 เรื่อง เพราะนอกจากการเป็นอุปกรณ์บอกเวลาแล้ว นาฬิกา Hamilton แต่ละรุ่นยังเป็นเครื่องบ่งบอกตัวตนของผู้สวมใส่อย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ฟังก์ชันความเที่ยงตรง แต่ยังเต็มไปด้วยอารมณ์ร่วมและเรื่องราวมากมาย เสริมคาแรกเตอร์ตัวละครในภาพยนตร์แต่ละเรื่องให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ที่สำคัญแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของ Hamilton ที่ Hollywood อุตสาหกรรมความบันเทิงระดับโลกไว้วางใจ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือยังไง แต่ภาพยนตร์จำนวนมากที่มี Hamilton อยู่บนข้อมือตัวแสดง มักจะประสบความสำเร็จอย่างมากเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นระดับ Oscar Nominations หรือกระทั่งคว้ารางวัล Oscar
Virgil Abloh ผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของห้องเสื้อสุภาพบุรุษของ Louis Vuitton พาย้อนเวลาสู่ช่วง Boyhood ผ่านคอลเลกชันสุภาพบุรุษ Fall-Winter 2019 Pre Collection ที่ครั้งนี้ดีไซเนอร์หนุ่มได้หยิบเรื่องราวของวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาสร้างสรรค์ไอเทมแฟชั่นเท่ ๆ โดยแรงบันดาลใจจากกรุงโตเกียวก็ส่งตรงมาถึงกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว คอนเซปต์แฟชั่นไอเทม Fall-Winter 2019 Pre Collection ของ Virgil Abloh เน้นแนวคิดเกี่ยวกับการไม่จำกัดกรอบทางแฟชั่น โดยดีไซเนอร์หนุ่มมองว่าเสื้อผ้าที่ถูกเรียกว่า “ชิ้นหลัก” ที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าของทุกคนต่างก็มีสไตล์เป็นของตัวเองและมีเรื่องราวที่แตกต่างกัน ซึ่งเสื้อผ้าชิ้นหลักของแต่ละคนไม่ควรไม่ถูกจำกัดด้วยเทรนด์หรือกระแสสังคม เรื่องราวที่เขาหยิบมาเล่าบนแฟชั่นไอเทมในคอลเลกชันนี้คือเรื่องราวของกรุงโตเกียว เมืองแห่งแฟชั่นที่หลอมรวมวัฒนธรรมที่หลากหลายที่ถึงแม้กระแสเครื่องแต่งกายของยุคสมัยใหม่เวียนเข้ามาแต่สไตล์แฟชั่นแบบเดิมของญี่ปุ่นก็ไม่เคยถูกกลืนหายไป จุดเด่นของกรุงโตเกียวทั้งระบบขนส่งสาธารณะ กิจกรรมกลางแจ้ง ลายกราฟิกแบบญี่ปุ่น แฟชั่นของชาวโตเกียว รวมถึงทุกอย่างที่ Virgil ชื่นชอบในญี่ปุ่นจะถูกสร้างสรรค์ลงบนไอเทมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Bomber Jacket กับกระเป๋าหนังสีขาวแปะข้อความหลากสีคล้ายกับป้ายโฆษณาที่มีอยู่ทั่วโตเกียว พร้อมกับฟอนต์ตัวอักษรแบบภาษาญี่ปุ่นที่จะเน้นเรื่องราวที่ชัดเจนของเมืองแห่งแฟชั่นของฝั่งตะวันออก เป็นเสื้อเชิ้ตที่แต่งแต้มสัญลักษณ์ที่เห็นแล้วจะรู้ทันทีว่านี่คือญี่ปุ่น และ Louis Vuitton ถ้าเซ็ตแฟชั่นไอเทมสีขาวเล่าถึงโตเกียวตอนกลางวัน ไอเทมสีดำของ Louis Vuitton ก็จะบอกเล่าเรื่องราวช่วงค่ำคืน ด้วยคอลเลกชันหนังสีดำไม่ว่าจะเป็นหมวกแก๊ป หมวกบักเก็ต
ในอดีตแฟชั่นถูกแบ่งอย่างชัดเจนว่าสตรีตก็คือสตรีต แฟชั่นผู้หญิง แฟชั่นผู้ชาย หรือแฟชั่นสำหรับชนชั้นสูง สไตล์แต่ละประเภทมักถูกแยกออกจากกันเด็ดขาด แต่เมื่อเวลาผ่านไปเส้นแบ่งเขตแดนของแฟชั่นเริ่มจางลงเรื่อย ๆ และวันนี้โลกแฟชั่นก็ได้รับข่าวที่น่าจับตามอง เพราะแบรนด์สตรีตน้องใหม่ชื่อดังอย่าง Supreme ได้เจ้าพ่อดีไซเนอร์อย่าง Jean Paul Gaultier ที่โด่งดังเรื่องแฟชั่นแบบ Unisex มาร่วมงานเป็นที่เรียบร้อย Jean Paul Gaultier (ฌอง ปอล โกลติเยร์) ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสระดับตำนานที่คร่ำหวอดในวงการมากว่า 4 ทศวรรษ ผู้สร้างสรรค์น้ำหอม Jean Paul Gaultier และขึ้นชื่อเรื่องแฟชั่นล้ำสมัยอันโดดเด่นเฉพาะตัว ผลงานของเขามักรับแรงบันดาลใจจากการเสียดสีสังคม เพศ และวัฒนธรรมที่แตกต่าง จากนั้นนำเรื่องราวมาบอกเล่าผ่านแฟชั่น โดยเฉพาะคอลเลกชัน And God Created Men ในปี 1985 ผลงานแฟชั่นปี 1985 ของ Jean Paul ทำลายเส้นแบ่งเพศของแฟชั่นลงด้วยการให้นายแบบชายสวมเครื่องแต่งกายคล้ายกระโปรงขึ้นเดินบนรันเวย์ สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเขาเองรวมถึงสร้างค่านิยมใหม่ทางแฟชั่นไปพร้อมกัน และเขาคือชายที่ราชินีแห่งเพลงป็อบอย่าง Madonna เอ่ยปากขอให้ออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับ World Tour ของเธอด้วย ส่วน Supreme
Zavvi ร้านสินค้าหลากประเภทที่มักเกี่ยวข้องกับ Pop culture อย่างเสื้อผ้าเก๋ ๆ ไปจนถึงซีดีและแผ่นเกม จับมือกับ Universal Pictures บริษัทสร้างภาพยนตร์ชื่อดังของอเมริกา ร่วมกันออกไอเทมแฟชั่นคอลเลกชันพิเศษเอาใจสายสตรีต ด้วยการยกคอนเซปต์ภาพยนตร์สุดคลาสสิก 2 เรื่องมารวมกันไว้ในคอลเลกชั่นนี้ทั้งหมด 15 ชิ้นด้วยกัน โดยใช้ชื่อว่า Global Legazy ภาพยนตร์สองเรื่องที่เข้าตา Zavvi คือ Jaws หนังดังที่ทำให้ผู้กำกับสตีเวน สปิลเบิร์ก โด่งดังเป็นพลุแตกและได้ฉายาพ่อมดแห่งวงการฮอลลีวูด โดย Jaws ออกสู่สายตาชาวโลกเมื่อปี 1975 ถือเป็นหนัง Thriller ภัยร้ายใต้ทะเลสุดคลาสสิกที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าหยิบมาดูเมื่อไหร่ก็สนุกตื่นเต้นได้ทุกครั้ง Back to the future ที่มีชื่อไทยสุดเก๋ว่า’เจาะเวลาหาอดีต’คืออีกหนึ่งเรื่องที่มาอยู่บนไอเทมในคอลเลกชัน Global Legazy ออกฉายครั้งแรกปี 1985 เป็นหนังแนวผจญภัยแฟนตาซีที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีวิทยาศาสตร์ กำกับโดยสตีเวน สปิลบิร์ก เช่นเดียวกับเรื่อง Jaws และประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน จนทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ไตรภาคที่สร้างรายได้ทั่วโลกไปถึง 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไอเทมในคอลเลกชัน Global Legacy
ฤดูร้อนแสนระอุในเมืองไทยนอกจากทำให้นึกถึงวันหยุดพักผ่อน ชายหาดสีขาวสุดลูกหูลูกตา แสงแดดจ้าและสาว ๆ ในเสื้อผ้าน้อยชิ้นแล้ว แฟชั่นสีสันสดใสต้อนรับฤดูร้อนก็เป็นอีกสิ่งที่ผู้ชายอย่างเราตั้งตารอคอย โดยเฉพาะคอกเลกชันที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งฤดูร้อนแต่ก็ไม่ทิ้งความเท่แบบสตรีตยิ่งเป็นสิ่งที่ผู้ชายไม่ยอมพลาด JASPAL ไลน์เสื้อผ้าที่ประสบความสำเร็จและเต็มไปด้วยสไตล์เองก็ไม่พลาดมี HELLO SUMMER คอลเลกชันใหม่รับฤดูร้อนที่ได้ มร. อังเดร ซาไลวา (Mr. Andre Saraiva) ศิลปินกราฟฟิตี้ระดับโลกมารังสรรค์ผลงานสุดชิคที่น่าจับตามอง วิเศษ สิงห์สัจจเทศ ผู้ช่วยกรรมการบริษัท ยัสปาล จำกัด เปิดตัวคอลเลกชันใหม่จาก JASPAL ที่โดดเด่นกว่าใครด้วยคอนเซ็ปต์คัดสรรศิลปินชื่อดังระดับโลกทั้งในประเทศและต่างประเทศ มาร่วมออกแบบคอลเลกชั่นโดยเลือกถ่ายทอดการผสมผสานระหว่างศิลปะกับเทรนด์แฟชั่นในปัจจุบันเพื่อไม่ให้สามารถดื่มด่ำกับความงามของศิลปะ แต่ก็ไม่ตกเทรนด์ด้วยแฟชั่นสุดล้ำ แต่ซัมเมอร์นี้นอกจากมวลอากาศร้อนแล้วยังระอุไปด้วยความเท่ เพราะ JASPAL ได้ศิลปินกราฟฟิตี้ชาวสวีเดนที่ชาวโลกจับตามองอย่าง มร. อังเดร ซาไลวา (Mr. Andre Saraiva) มาร่วมออกแบบคอลเลกชัน มร. อังเดร ซาไลวา คือเจ้าของคาแรกเตอร์การ์ตูนสุดร่าเริงอย่าง Mr. A ด้วยใบหน้าวงกลมและรอยยิ้มขนาดใหญ่ พร้อมดวงตารูปตัวอักษร O และ X ซึ่งครั้งนี้ มร. อังเดร ซาไลวา ร่วมรังสรรค์ผลงานสุดชิคผ่านคอลเลกชันใหม่ในสไตล์สตรีตแฟชั่นต้อนรับฤดูร้อนด้วยคอนเซ็ปต์ HELLO SUMMER ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชายหาดชื่อดังในไทยที่ครองใจนักท่องเที่ยวทั่วโลก ไอเทมหลักที่ทุกคนตั้งตารอก็คือเสื้อผ้าที่มีสีสันสดใสซึ่งคอนเซ็ปต์ HELLO SUMMER
หลังจากที่แบรนด์ FTP หรือในชื่อเต็มสุดห่าม “Fuck The Population” ปล่อยโปรเจกต์รองเท้าสุดพิเศษที่ร่วมทำกับ DC Shoes แบรนด์แฟชั่นสตรีตที่โด่งดังเรื่องการทำรองเท้าสเกตบอร์ดจนประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ FTP และ DC Shoes ก็ไม่รอช้าจับมือกันเพื่อร่วมสร้างสรรค์ผลงานอีกครั้ง ทั้ง FTP และ DC Shoes เคยร่วมมือกันออกรองเท้าผ้าใบสำหรับเล่นสเกตบอร์ดไปเมื่อเดือนกันยายน 2018 มาในปี 2019 ทั้งสองตัดสินใจ Collaboration กันอีกครั้ง ถือว่าเป็นการเจอกันครั้งที่สามแล้ว พวกเขาหยิบสนีกเกอร์วินเทจสุดเก๋าอย่าง Lynx OG กลับมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง สนีกเกอร์ Lynx OG จะยังคงคลาสสิกไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการคง OG เอาไว้ที่ยิ่งเพิ่มความพิเศษซึ่ง OG ที่เห็นกันบ่อย ๆ ย่อมาจาก Originals Colorway แสดงให้เห็นว่ารองเท้ารุ่น Lynx ที่ทั้งสองแบรนด์ตัดสินใจนำมากลับมาก็จะใช้สีสันแบบรุ่นแรกที่เปิดตัว ซึ่งสร้างมูลค่าและทำให้รองเท้ากลายเป็นรุ่นหายากกว่าสีอื่น ๆ ที่จะออกมาทีหลัง Lynx OG รองเท้าหนังกลับสีเทาแบบดั้งเดิมจะผสมผสานเรื่องราวของยุคสมัยใหม่ พร้อมกับสีสันความสนุกที่ได้จากการ
ทุกวันนี้เรารู้กันดีว่าตลาดสนีกเกอร์เป็นตลาดโหด ที่ไม่มีผู้เล่นหน้าใหม่ค่ายไหนอยากจะบุกเข้าไปเสี่ยงสู้กับแบรนด์ดังเจ้าถิ่นเดิม เพราะภาพมวยรองที่ติดตาเมื่อเทียบกับแบรนด์ขาใหญ่จากต่างประเทศกับความกังวลว่าถ้าลงทุนไปยังไงก็เจ็บตัวแน่นอน “แบรนด์ใหญ่เราไม่ได้คิดจะไปสู้กับเขาอยู่แล้ว เพราะเราก็ยังซื้อแบรนด์ใหญ่อยู่ แต่คนเราหลากหลายมาก มันไม่จำเป็นว่าต้องไปซื้อรองเท้ายี่ห้อเดียว” – DUST OFF SHOES แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา มีแบรนด์สนีกเกอร์ไทยอย่าง “Dust Off” หาญกล้าลุกขึ้นมาผ่าเหล่า โยนความกลัวทิ้งไปแล้วสร้างความคึกคักให้วงการสนีกเกอร์ ทยอยส่งโมเดลใหม่จัดจ้านทั้งสีสัน ดีไซน์ และคุณภาพจนสายแคนวาสต้องตามเก็บ พวกเขาใช้ธีมสนีกเกอร์ยุค 70 นำมาพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้น เข้ากับยุคสมัย จนจุดประกายกระแสสนีกเกอร์คลาสสิกทางเลือกในวงการรองเท้า ต้นตอของแรงบันดาลและความแตกต่างของจุดยืนที่มั่นใจว่าไม่ได้เปิดฉากมันเพราะอยากข้ามหัวแบรนด์ใหญ่แบรนด์ไหน แต่แค่ทำขึ้นเพื่อคนคอเดียวกัน ไม่ว่าคุณจะเป็น Sneaker Head สายไหน ก็สามารถเลือกซื้อ เลือกใส่ ซบแบรนด์ที่ชอบได้ อยากเลือกมันส์แบบไหนก็ตามสบาย แม้ฟังดูเป็นความคิดธุรกิจที่ออกจะห่ามและโคตรฟุ้งของพวกเขา เบิร์ด – สิทธิอาจ อมศิริ, เบิร์ด – รุ่งเรือง กุฎมหาราช, โอ้ต – ชิดชนก บุญเกษม และอาร์ท – เอกสิทธิ์ โขมมัย 4
ยิ่งการแข่งขันบาสเกตบอล NBA ใกล้รอบตัดเชือกมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ Jordan Brand ยิ่งทำให้คนตื่นเต้นด้วยการปล่อยรองเท้ารุ่น Air Jordan 33 สีสันใหม่ที่เรียบเท่และล้ำสมัยด้วยลายพรางกับดีไซน์ของรองเท้าอวกาศ ชุดอวกาศส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเห็นจากข่าว สารคดี หรือในภาพยนตร์ก็มักเป็นชุดสีขาวล้วนเสมอ นั่นเป็นเพราะสีขาวสะท้อนอุณหภูมิความร้อนของดวงอาทิตย์ได้ดีกว่าสีอื่น ๆ ทำให้สนีกเกอร์ Air Joudan 33 ที่หยิบแรงบันดาลใจจากชุดอวกาศแต่งแต้มสีขาวลงไปบนรองเท้าแล้วตัดความเรียบด้วยลายพรางสีเทาและผ้าตาข่ายสีดำ ดีไซน์ของ Air Jordan 33 จะรวมสไตล์คลาสสิกย้อนยุคกับความล้ำสมัยของคอนเซปต์ชุดอวกาศเข้าด้วยกัน เสริมด้วยลายพรางสีเทาบริเวณด้านหน้า แซมสีแดงเล็กน้อยตรงขอบรองเท้า จากนั้นแต้มสีทองลงบนส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นรองเท้า โลโก้ Jumpman อันเป็นเอกลักษณ์บนลิ้นรองเท้า และสัญลักษณ์ Nike Air สีทองตรง new tap ส่งให้สนีกเกอร์นี้แตกต่างโดดเด่นจากรองเท้าคู่อื่น ๆ Air Jordan 33 นอกจากจะมีดีไซน์สวยงามเฉพาะตัว ยังมาพร้อมระบบ FastFit นวัตกรรมล้ำสมัยเสมือนเป็นเข็มขัดนิรภัยให้กับเท้า ที่ทาง Nike ได้พัฒนาร่วม 3 ปี เพื่อการก้าวเดินที่ไม่สะดุดและให้รองเท้ากระชับเข้ากับรูปเท้ามากที่สุด นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี FlightSpeed