แม้จะเป็นเจ้าของบทบาท Jack Reacher มาแล้วถึงสองภาค และหนังแอ็กชั่นที่ดีกรีความระห่ำไม่แพ้ใครมาหลายต่อหลายเรื่อง ก็ไม่ได้ทำให้ Tom Cruise ถูกเลือกให้ไปต่อใน Jack Reacher ภาค TV Reboot เหตุเพราะความสูงของเขาที่ถูกวิจารณ์มาตลอด UNLOCKMEN จะพามาดูกันว่า ทั้ง ๆ ที่เคยแสดงเรื่องนี้มาแล้วถึงสองภาคแท้ ๆ ทำไมเขาส่วนสูงของเขาถึงเพิ่งมีปัญหาเอาตอนนี้ ก่อนอื่นอยากให้ทำความเข้าใจว่า ภาพยนตร์เรื่อง Jack Reacher เนี่ย มันสร้างมาจากหนังสือในชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นผลงานเขียนของ Lee Child พอมันมาจากหนังสือปุ๊บ เราก็คงคุ้นเคยกันอยู่แล้วว่านักเขียนเจ้าของลิขสิทธิ์เนี่ย ก็มักจะออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับหนังที่สร้างจากตัวหนังสือที่เขาเรียบเรียงเป็นปกติ เรื่อง Jack Reacher เองก็เช่นกัน Lee Child ออกโรงเองเลยว่า ต้องการให้แฟน ๆ ช่วยกันเลือกนักแสดงให้ตรงใจที่สุดในเวอร์ชั่น TV Reboot “เพราะ Tom Cruise นั้นเตี้ยเกินไปทำหรับบทนี้” นั่นหมายความว่าเขาที่เคยรับบทนี้ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ในสองภาคที่ผ่านมา อย่าง Jack Reacher (2012) และ Jack Reacher:
นักแสดงคือคนที่มารับบทเป็นตัวละครนั้น ๆ ถ่ายทอดตัวตนของตัวละครให้ออกมาใกล้เคียงกับภาพในหัวของผู้กำกับที่สุด เราจึงมักซูฮกนักแสดงที่สามารถเปลี่ยนบทบาทของตัวเองไปได้หลากหลายตามตัวละครที่ตัวเองได้รับบท ซึ่งนักแสดงมากฝีมืออย่าง JOHNNY DEPP ก็คงเป็นชื่ออันดับต้น ๆ ที่ใครหลายคนนึกถึง บทที่โด่งดังที่สุดของเขาคงไม่พ้นกัปตันสุดเพี้ยนจาก Pirates of the Caribbean ที่ทำให้ใครหลายคนติดภาพการแสดงเพี้ยน ๆ ของเขาในเรื่องอื่นไปด้วย แต่ถ้าย้อนไปดูผลงานของเขาจะพบว่า เขาเป็นนักแสดงอีกคนที่ได้บทที่ท้าทาย เพราะมีความหลากหลายในคาแร็กเตอร์มาก ๆ ตั้งแต่นักเขียนประสาทหลอน ช่างตัดผมสุดอำมหิต แวมไพร์สุดเพี้ยน หรือแม้แต่ตัวประหลาดที่มีมือเป็นกรรไกร UNLOCKMEN เลยขอเลือกหนังเจ๋ง ๆ ที่นำแสดงโดย JOHNNY DEPP ให้เราได้เสพบทบาทของเขาในรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน (โดยไม่ได้เป็นการจัดอันดับหนังดีแต่อย่างใด เลือกเอาตามความชอบเหมือนเพื่อนแลกหนังกันดู) Cry-Baby (1990) Director : John Waters เราจะได้เห็น Depp วัยละอ่อนที่ความหล่อกำลังเปล่งประกาย เช่นเดียวกับตัวละครในเรื่องนี้ Cry-Baby หนุ่มสุดฮอตของโรงเรียน ที่เสน่ห์ของเขามีตั้งแต่หน้าตา คารม บุคลิก ซึ่งเขาสามารถเอาชนะใจ Allison Vernon-Williams สาวหัวโบราณที่เหมือนหลุดมาจากสังคมชั้นสูง เรื่องนี้จะได้เห็นเขาเล่นเป็นคาสโนว่า ซึ่งเหมาะกับเขามากกว่าบทเพี้ยน ๆ เสียอีก และเรื่องนี้เองที่ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงนั้น เนื้อเรื่องก็เป็นหนังวัยรุ่นธรรมดา ไม่ได้หวือหวาอะไรมากนัก
หนังสืบสวนยังคงรั้งอันดับเป็นหมวดแรก ๆ ของลิสต์หนังที่ชื่นชอบของใครหลายคน เพราะมันทำให้เราได้สวมวิญญาณนักสืบผู้ปราดเปรื่อง เฝ้าจับผิดดูพิรุธ หาผู้ต้องสงสัย แกะรอยไปตามคำใบ้ที่คนร้ายทิ้งไว้ และเรื่องราวการสืบสวนแบบนี้ จะขาดฆาตกรต่อเนื่องไปไม่ได้เลย UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาดูหนัง SERIAL KILLER ที่เราแนะนำให้รีบหาตัวฆาตกรให้เจอก่อนใคร ก่อนที่เหยื่อรายต่อไปจะเป็นคุณ! Taxi Driver (1976) Director: Martin Scorsese พลิกไปดูอีกด้านของมหานครนิวยอร์ก เมืองที่ไม่เคยหลับไหลเช่นเดียวกับ Travis (Robert De Niro) ทหารผ่านศึกผู้ได้รับผลกระทบจากสงคราม จนมีปัญหาสุขภาพอย่างอาการนอนไม่หลับ รวมไปถึงบาดแผลในจิตใจที่ทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่อาจเข้ากับคนอื่นได้ง่ายนัก เมื่อยามค่ำคืนไม่เคยขับกล่อมให้เขาล้มตัวลงนอนได้ จึงหันมาขับแท็กซี่แก้เซ็งไปพลาง ๆ แถมได้เงินอีกต่างหาก และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เห็นอีกด้านของเมืองที่แสนศิวิไลซ์ว่าส่วนที่ดำมืดของมันนั้นช่างเน่าเฟะแค่ไหน โสเภณี ยาเสพติด และอาชญากรรมสารพัดรูปแบบ ที่ค่อย ๆ กลืนกินจิตใจของเขาไปเรื่อย ๆ จนเขาเองเริ่มเป็นส่วนหนึ่งของความดำมืดในมหานครแห่งนี้ เป็นหนังเชิงเสียดสีสังคม บ้านเมือง ที่มีดีที่ไดอะล็อกเฉียบคมบวกกับการแสดงโคตรเฉียบแหลมของนักแสดงนำ ยิ่งขับให้เรารู้สึกสะใจไปกับทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งที่มันจะเป็นเรื่องไม่ถูกต้องในชีวิตจริงก็ตาม Se7en (1995) Director : David Fincher ยังคงติดในลิสต์หนังของเรากันอย่างต่อเนื่อง กับหนังสืบสวนตามหาฆาตกรต่อเนื่องแห่งยุค
นอนดูหนังที่บ้านยาม Weekend คงจะเป็นกิจกรรมในใจของผู้ชายหลายคน ที่เบื่อกับการออกไปพริ้วไหวนอกบ้านแล้ว จอกี่นิ้วก็ดูเหมือนจะสนอง Need เราได้ไม่พอ อยากจะได้ใหญ่ขึ้นอีกเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่ว่าของเล่นทุกชิ้น ราคามันจะอยู่ในหลักที่เราเอื้อมได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะทีวีจอยักษ์ที่รุ่นท็อปหน่อยก็ไปแตะที่หกหลักกันแล้ว ลองเปลี่ยนมู้ดจากจอใหญ่ยักษ์มาเป็น Feel แบบโรงหนังด้วย Home Projector กันดูบ้าง ได้ยินอย่างนี้บางคนรีบส่ายหน้าหนีให้กับความเทอะทะของกล่องโปรเจ็กต์เตอร์สี่เหลี่ยม ดีไซน์เชยระเบิด UNLOCKMEN อยากให้ลืมโปรเจ็กต์เตอร์แสนเชยแบบนั้นไป แล้วมาทำความรู้จักกับ Home Projector ของ “PHOS” ที่มาในดีไซน์สวยล้ำ ตั้งตรงไหนก็ช่วยให้ดูเท่ขึ้นเป็นกอง ผลงานการออกแบบจาก Jacopo Mauro ผู้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการดื่มด่ำช่วงเวลาอันมีค่าของการดูภาพยนตร์ที่บ้าน ว่าควรได้รับประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกที่ดีไม่แพ้การไปดูที่โรงภาพยนตร์ เลยได้มาเป็นเจ้าตัวนี้ ที่ออกแบบมาเน้นทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่นให้ไปควบคู่กัน ดีไซน์ที่สวยล้ำจนเราแทบเดาไม่ออกว่านี่คือโปรเจ็กต์เตอร์อย่างที่เราเคยรู้จัก ทุกอย่างออกมาในรูปแบบที่เรียบง่าย สะอาดตา ไม่มีปุ่มหรือพอร์ตเสียบสายอะไรให้เกะกะตา เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน หรือเมื่อใช้งานเสร็จก็สามารถวางไว้เป็น Gadget ล้ำ ๆ ไม่ต้องคอยยกเก็บ ยกเข้ายกออกอย่างเคย วัสดุจากโลหะพ่นทรายให้ผิวสัมผัสแบบด้าน พร้อมฐานวางหินอ่อน ยิ่งทำให้ดูเป็นของตกแต่งบ้านเข้าไปใหญ่ ด้วยทรงกระบอกที่สามารถหมุนใช้งาน 180 องศา เราจึงสามารถควบคุมองศาของการฉายภาพได้แบบตามใจเราที่แท้จริง พร้อมการใช้งานที่รองรับ Wireless
“การเมืองไม่ใช่เรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง” เพราะมันเกี่ยวพันถึงสวัสดิภาพ ความเป็นอยู่ของเรา มันเลยอาจทำให้เราติดภาพว่าเรื่องของการเมืองเป็นเรื่องที่จริงจัง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้มันจำกัดอยู่แค่ในรูปแบบของข่าวที่จริงจังบนหน้าหนังสือพิมพ์ หรือข่าวออนไลน์เท่านั้น การเมืองและศิลปะยังคงเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกันมาตลอดหลายยุคหลายสมัย UNLOCKMEN อยากพาทุกคนมาลิ้มรสเข้ม ๆ ของการเมืองในรูปแบบม้วนฟิล์มกันดูบ้างกับหนังการเมือง 5 เรื่องหลากหลายแนว ที่ไม่ได้เป็นแค่หนังไดอะล็อกนั่งคุยเครียด ๆ เสมอไป The Ides of March Director : George Clooney หนังการเมืองขนานแท้ที่เส้นเรื่องจะอยู่ที่ Stephen Meyers (Ryan Gosling) ผู้มีหน้าที่จัดการทุกอย่างเกี่ยวกับการหาเสียงให้กับนักการเมือง ตั้งแต่ภาพลักษณ์ เทคนิคการปราศัย การเล่นเกมการเมือง และนั่นทำให้เขามีโอกาสได้เห็นเบื้องหลังของวงการนี้อย่างแท้จริงและยิ่งทำให้รู้ว่าการเมืองก็ไม่ต่างจากการเล่นละครฉากหนึ่ง เมื่อเขาที่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญของนักการเมือง เป็นไม้ตายของการเลือกตั้ง กลายเป็นเพียงหมากเบี้ยตัวเล็ก ๆ ที่จะถูกเขี่ยออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ การแสดงของ George Clooney และ Ryan Gosling ที่ว่าเฉียบคมแล้ว ยังไม่สู้บทของเรื่องนี้เขาก็มีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าเหมาทุกอย่างอยู่ในกำมือตั้งแต่กำกับ เขียนบท แสดงนำและเขาก็ทำมันออกมาได้โคตรเจ๋ง Argo Director : Ben Affleck หากรู้สึกว่าเรื่องแรกออกจะเครียดไปหน่อย ลองให้เรื่องนี้เป็นตัวเลือกของคุณ เรื่องราวสถานการณ์คุกรุ่นในอิหร่าน จนเกิดเหตุการณ์บุกสถานทูตอเมริกาในอิหร่าน กักขังเจ้าหน้าที่เอาไว้ข้างในแต่มี
“เรื่องราวของวิญญาณดวงหนึ่ง ที่ผู้คุมบอกว่าเขาได้รับรางวัลจากสวรรค์ให้มาอยู่ในร่างโฮมสเตย์ของเด็กหนุ่มชื่อ มิน แลกกับต้องสืบหาเรื่องการตายของมินให้ได้ ภายใน 100 วัน ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ได้เกิดอีกเลย” Homestay คือภาพยนตร์ไทยโรแมนติกดราม่าธริลเลอร์ ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมญี่ปุ่น ‘Colorful’ ของ เอโตะ โมริ และได้ถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่นญี่ปุ่น Colorful (2010) รวมถึงการแปลเป็นนิยายฉบับแปลไทยในชื่อ ‘เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม’ ถือเป็นงานเขียนที่สะท้อนมุมมองของคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาชีวิต อาการโรคซึมเศร้า และสะท้อนให้เห็นถึงเหตุผลที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ได้อย่างดีเยี่ยม ตัวหนังนำเสนอเรื่องราวของ ‘มิน’ เด็กผู้ชายคนหนึ่ง ผ่านมุมมองของดวงวิญญาณที่ไม่เคยรู้จักกับเด็กคนนี้มาก่อน เพียงแค่มาอาศัยอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มชั่วคราว จึงจำต้องเริ่มทำความรู้จักตัวตนใหม่ที่เขาใช้เป็นโฮมสเตย์ เขาต้องสัมผัสกับปัญหาที่มินเจอโดยไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เด็กผู้ชายคนนี้คิดอะไร รักอะไร หรือเกลียดอะไร และค้นหาว่าเพราะเหตุใดถึงทำให้มินต้องตาย ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบเกี่ยวกับการมีชีวิตของมินคนใหม่นั้นแตกต่างจากมินคนก่อน เพราะแต่ละคนมองและจัดการกับปัญหาที่เจอไม่เหมือนกัน โดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของหนังไม่ใช่การค้นหาว่าทำไมมินถึงตาย แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่ามุมมองความคิดที่ต่างไปจากเดิมนั้นสามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้ตลอดกาล สักครั้งหนึ่งในชีวิตทุกคนต้องเคยเจอปัญหาที่แก้ไม่ตก บางเรื่องที่ทำให้บรรยากาศรอบตัวดูแย่ไปหมด ส่งผลให้อารมณ์แปรปรวน เผลอตัดพ้อชีวิตว่าแต่ละวันมันช่างหดหู่เฮงซวย เฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งคิดไปถึงว่าถ้าตายเสียน่าจะยังดีกว่า ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มักเกิดจากความผิดปกติทางเคมีในร่างกายที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ และสุดท้ายความตายที่คิดว่าเป็นทางออกที่ดีก็ไม่สามารถไขแก้ปัญหาอะไรได้เลย ซ้ำร้ายยังสร้างความเสียใจให้คนอื่นในครอบครัวและรอบข้างอีกด้วย เรื่องวุ่นวายทุกอย่างไม่ได้จบดังที่หวัง ซ้ำยังมีผลกระทบถึงคนรอบตัวมากมายกว่าที่คิด เพราะทุกการกระทำย่อมมีผลตามมาเสมอ ดังนั้นขอจงอย่าเสียความเป็นตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ควรให้โอกาสตัวเองได้เห็นมุมมองของปัญหาจากผู้อื่นบ้าง และที่สุดแล้วความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้คือเราทุกคนล้วนมีหนึ่งชีวิตเท่านั้น การให้โอกาสกับตัวเองจึงไม่เคยเป็นเรื่องไร้ค่า เช่นเดียวกันว่า คำตอบของการใช้ชีวิตก็ไม่ได้มีเพียงคำตอบเดียวเสมอไป
ตัวละครหลักในหนังหลายเรื่องที่เราเคยได้ดูมาอาจจะเป็นนักสืบหนุ่มสุดสมาร์ต ไหวพริบเป็นเลิศ หรือจะเป็นนักธุรกิจหนุ่ม รูปหล่อพ่อรวย ชีวิตสุดแสนเพอร์เฟ็กต์ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร แต่พวกนั้นช่างโชคดี มีต้นทุน หรือเป็นคนเก่ง คนเจ๋งซะจนรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขานั้นแสนจะน่าอิจฉา UNLOCKMEN ชวนให้หนุ่ม ๆ ลองเปลี่ยนมาดูหนังที่ตัวละครมีชีวิตใกล้เคียงความเป็นจริง เป็นแค่ผู้ชายทั่วไป ที่มีชีวิตแสนจืดชืดไปจนชีวิตสุด Fucked Up ที่เห็นแล้วได้แต่ปวดหัวแทน แถมยังเป็นหนัง Underrated ที่ได้รับกระแสตอบรับไม่ดีเท่าที่ควรอีกด้วย ซึ่งเราไม่อยากให้คุณพลาดไปสักเรื่องเดียว The Hitman’s Bodyguard (2017) Director : Patrick Hughes เรื่องนี้รับประกันความฮาและความกวนตีนระดับสิบ ตั้งแต่เห็นชื่อนักแสดงนำอย่าง Ryan Reynolds มารับบทบอดี้การ์ดมือดีที่ต้องพานักฆ่าระดับพระกาฬอย่าง Samuel L. Jackson ไปถึงที่หมายภายในเวลา 24 ชั่วโมงให้ทันให้ได้ นอกจากจะต้องปวดหัวกับคนนอกที่หวังจะสอย Samuel ให้ร่วงแล้ว ยังต้องมาปวดหัวกับความไม่ลงรอยของทั้งคู่ เมื่ออีกคนคือนักฆ่าอีกคนคือผู้ปกป้อง แต่ดันต้องมาร่วมมือกันให้ถึงที่หมาย ความวายป่วงจึงเกิดขึ้นตั้งแต่สองคนนี้เจอหน้ากันแล้ว The Nice Guys (2016) Director :
หากเรามีวลีที่ว่าอย่าเลือกหนังสือที่ปก อย่าคบคนที่หน้าตา เราก็อยากแนะนำให้ชาว UNLOCKMEN อย่าเลือกหนังจากโปสเตอร์เช่นกัน เพราะมีหลายเรื่องเหลือเกินที่เราเป็นอันต้องส่ายหน้าหรือเบือนหน้าหนีไปเลย เพราะโปสเตอร์ของมันช่างเห่ยเสียจนไม่กล้าสละเวลาสองชั่วโมงของเราไปกับหนังเรื่องนั้น อย่าได้ดูแคลนหนังที่ใบปิดไม่เข้าตา เราอยากแนะนำ 5 หนังที่แม้ใบปิดจะแสนเห่ย แต่เนื้อเรื่องมันส์ระเบิดระเบ้อ ดูได้ไม่เบื่อ ชนิดที่ว่า รู้งี้ดูมานานแล้วดีกว่า Stardust (2007) Director : Matthew Vaughn หนุ่มน้อยคนซื่ออย่าง Tristan Thorn ผู้มีใจรักให้กับสาวตระกูลร่ำรวยคนหนึ่ง เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่อาจคู่ควรเลยอยากจะเสาะแสวงหาทุกสิ่งที่เธอต้องการ เผื่อเธอจะมีใจหันมามองเขาบ้าง แต่สาวนั่นต้องการอะไรรู้มั้ย ? เธอต้องการดาวตก! ไอ้หนุ่มน้อยของเราก็บ้าจี้ออกไปตามหาดาวตกจริง ๆ แต่เรื่องราวกลับชุลมุนเข้าไปใหญ่ เมื่อดาวตกที่ว่านั่นไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ต้องการ มีทั้งเหล่าโอรสของพระราชาที่สิ้นไป แม่มดร้ายที่ต้องการความสาวกลับคืนมาให้ตัวเอง และไหนจะกองโจรสลัด อีกสารพัดความแฟนตาซีในเรื่องนี้ แต่พอเส้นเรื่องมันมาบรรจบกันเราจะรู้สึกโอ้โหขึ้นมานิดหน่อย ว่าที่ผ่านมามันไม่ได้หลอกให้เราดูไปฟรี ๆ The Golden Compass (2007) Director : Chris Weitz โปสเตอร์ที่ว่าเชยระเบิดแล้ว มาเจอชื่อไทยอย่าง “อภินิหารเข็มทิศทองคำ” เข้าไป โปสเตอร์นี่ชิดซ้ายไปเลย ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่สนุกเอาเรื่องจนได้มาฉายในช่องฟรีทีวีอยู่บ่อย
หนังเอาชีวิตรอดยังคงเป็นสิ่งที่กระตุ้นอะดรีนาลีนของเราได้เป็นอย่างดี เหมือนเป็นการไปสะกิดต่อมสัญชาตญาณเอาตัวรอดของคนเรา ที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า จนเหมือนตัวเองไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นซะเอง แต่การเอาตัวรอดบนพื้นโลกดูจะน่าเบื่อไปแล้ว UNLOCKMEN ชวนหนุ่ม ๆ มาเอาใจช่วยตัวละครให้รอดชีวิตในอวกาศ หาทางกลับโลกกับ 5 หนังผจญภัยในอวกาศที่เราคัดมาให้ เหมือนทุกครั้งที่เราอยากบอกเสมอว่า นี่ไม่ใช่การจัดอันดับหนังดี เราไม่ได้แนะนำด้วยคะแนนวิจารณ์ หรือตัดสินด้วยอะไรทั้งนั้น นี่เป็นเพียงลิสต์หนังที่เราอยากบอกต่อเหมือนเพื่อนแชร์หนังหรือชวนกันดู อย่าได้หัวเสียถ้าหากไม่มีหนังที่ตรงใจคุณในลิสต์นี้ Interstellar (2014) Director : Christopher Nolan เมื่อโนแลนมาจับงานอวกาศทั้งทีจะเป็นเนื้อเรื่องธรรมดาได้ที่ไหน เมื่อโลกเข้าสู่ยุคที่ขาดแคลนอาหาร ภัยธรรมชาติคุกคามอย่างไม่ลดละ จนเหมือนโลกใบนี้ไม่อาจให้เราอาศัยต่อไปได้ มนุษยชาติจึงไม่อาจนิ่งนอนใจ เมื่อปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตเริ่มสั่นคลอนไปถึงสองอย่าง ทั้งอาหารและที่อยู่อาศัย จึงต้องดิ้นรนหาทางออกให้กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้รำรงอยู่ต่อไป แต่การเยียวยาโลกใบนี้ดูจะเป็นงานหนักเกินไปที่จะทำได้ ภารกิจหาที่อยู่ใหม่อันไกลโพ้นจึงเกิดขึ้น คุณพ่อลูกสองอย่าง “Cooper” จำเป็นต้องเข้าร่วมภารกิจนี้ เพื่ออนาคตของลูก ๆ และมนุษยชาติ แม้เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าภารกิจนี้มันจะยาวนานแค่ไหนก็ตาม Gravity (2013) Director : Alfonso Cuarón Ryan Stone และ Matt Kowalski ต้องไปเอากล้องที่เสีย ระหว่างทางก็โดนวัตถุพุ่งชนยานจนเกิดความเสียหาย ทำให้พวกเขาต้องหาทางกลับโลกกันเอาเอง
ผู้ชายสามศอกเป็นอันต้องหดเหลือสามเซ็นฯ (อก) เมื่อต้องดูหนังสยองขวัญ ที่มักจะปล่อย Jump Scare ออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลยมักจะหลีกเลี่ยงหนังประเภทนี้ตอนไปกับสาว เพราะอายเหลือเกินที่จะมานั่งปิดตาไปครึ่งเรื่อง เลยแอบมาดูเองที่บ้านอย่างเงียบ ๆ ปิดไฟสร้างบรรยากาศให้ชวนขนหัวลุกเข้าไปอีกหน่อย ไม่ว่าจะผีไทยผีเทศก็ไม่เกี่ยง ถึงจะกลัวหัวหดขนาดไหน ก็ยังจะสรรหาหนัง Horror แบบนี้มาสะกิดขนหัวให้ลุกซู่อยู่เสมอ UNLOCKMEN จะพาหนุ่ม ๆ มาหาคำตอบว่าทำไมคนเราถึงยังอยากจะดูหนังสยองขวัญ ทั้งที่เราเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าเรากลัวแค่ไหน กลัวนักแล้วดูไปทำไม ? เรื่องนี้ Dr. Glenn Walters เคยพูดถึงไว้ใน Journal of Media Psychology ว่า “คนเราดูหนังสยองขวัญเนี่ยเพราะเราอยากที่จะรู้สึกกลัว ตื่นเต้น ตกใจ พอได้ตกใจอย่างที่หวังไว้แล้ว เราจะไม่อยากดูเรื่องเดิมซ้ำอีกครั้ง เพราะดูอีกครั้งมันก็ไม่ตกใจแล้ว เราเลือกดูหนังสยองขวัญส่วนมากก็เพราะอยากได้ความตระหนกตกใจเป็นผลลัพธ์ แล้วทีนี้ในเรื่อง แม้จะน่ากลัวขนาดไหน เราจะเอาชนะภูติผีพวกนั้นได้ในที่สุด เหมือนเราได้ชนะความน่ากลัวของพวกมันไงล่ะ เราเองก็อยากเอาชนะความของตัวเองด้วยการบังคับตัวเองให้ดูหนังพวกนี้ แม้จะดูจริง ๆ แค่นิดเดียวก็ตาม” ทีนี้คงพอเห็นภาพมากขึ้นว่าเรามีเหตุผลอะไรที่เลือกดูหนังชวนขนหัวลุกพวกนี้ คือ เราต้องการให้เกิดผลลัพธ์ทางอารมณ์กับตัวเราเอง สมมติว่าในวันนี้เครียดมาก อยากได้อะไรเบาสมองดูซะหน่อย เราก็เลือกหนัง Comedy หรือพวก Romance เพื่อให้เราไม่ต้องไปเจอกับเรื่องเครียด ๆ