‘การเดินทาง’ และ ‘การผจญภัย’ คือส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่ผู้ชายอย่างเราจะขาดไม่ได้ ถือเป็นบทเรียนล้ำค่าที่สอนให้รู้จักชีวิตมากขึ้น แต่การออกเดินทางโดยปราศจากอุปกรณ์เอาตัวรอดก็เหมือนการออกรบโดยปราศจากอาวุธ ใช่ เรากำลังหมายถึง ‘มีดพก’ อุปกรณ์สำคัญสำหรับนักเดินทางที่ถึงจะดูเรียบง่ายแต่ก็มากด้วยประโยชน์ และไม่ว่าอยู่สถานการณ์ใดมันคือสิ่งที่จะช่วยชีวิตเราได้ในยามคับขัน แค่เห็นรูปลักษณ์ภายนอกก็น่าจะรู้แล้วว่า ‘The Quickie Karambit’ มีดพกเอนกประสงค์ขนาดจิ๋วที่เรานำมาเสนอในวันนี้แตกต่างจากมีดพกทั่วไปโดยสิ้นเชิง ด้วยการออกแบบของ TOPS Knives ที่เปลี่ยนแปลงด้ามจับและใบมีดขนาดใหญ่ให้กลายเป็นความแหลมคมขนาดจิ๋ว มาพร้อมกับรูสำหรับสอดใส่นิ้วมือเพื่อการจับที่กระชับยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังสบายมือกว่ามีดพกทั่วไป เพราะผู้ออกแบบตั้งใจให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนกำลังสวมแหวนอยู่ ‘จิ๋วแต่แจ๋ว’ คือนิยามของ The Quickie Karambit และถึงมันจะกะทัดรัดแต่ก็มีครบทุกอย่างที่ผู้ชายสายลุยอย่างเราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นใบมีดแหลมคมทั้ง 2 ด้าน ความสะดวกในการพกพา รูปทรงแปลกประหลาดที่สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย จึงทำให้ The Quickie Karambit คือมีดพกที่ควรมีติดตัวก่อนเริ่มออกเดินทาง มีดทรง Karambit ถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกในสุมาตราตะวันตก โดยได้รับแรงบันดาลใจจากกรงเล็บของเสือ เช่นเดียวกับอุปกรณ์ส่วนใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในตอนแรกมันถูกออกแบบขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการปลูกและนวดข้าว ก่อนที่ต่อมาจะถูกประยุกต์ให้กลายเป็นอาวุธป้องกันตัวจากสัตว์ป่านักล่าหรือผู้ไม่หวังดี Karambit สมัยใหม่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่อุปกรณ์แบบ EDC ซึ่งเน้นประโยชน์ในการตัดหรือหั่นสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง แน่นอนว่า Quickie Karambit ก็เช่นเดียวกัน มันเหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งทุกรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ นอกจากนั้นยังมีปลอกหนังไว้ห่อหุ้มเมื่อไม่ใช้งาน ด้วยราคาเพียง 70 เหรียญหรือประมาณ 2,000 บาท ไม่แพงเกินไปเลยสำหรับอุปกรณ์สารพัดประโยชน์เช่นนี้ รับรองว่าทุกทริปทุกการผจญภัยของคุณจะสะดวกและสนุกยิ่งขึ้นแน่นอน
ต่อให้ไม่ติดเชื้อ I Hate Monday ทุกวันนี้การขุดตัวเองขึ้นจากที่นอนก็เป็นเรื่องยากอยู่ดี ภาวะเตียงดูดแบบนี้ส่วนใหญ่เรามักใช้วิธีแก้อาการง่วงงุน ให้ตื่นตัวเต็มที่ด้วยการชงกาแฟเข้ม ๆ ดื่มสักแก้ว แต่ Morning Call เจ๋ง ๆ แบบลืมตาแล้วมีเครื่องดื่มร้อน ๆ รอพร้อมจิบอยู่ข้างเตียงมักจะเป็นอภิสิทธิ์ของคนมีคู่เสียเป็นส่วนใหญ่ เราเคยตื่นมาพร้อมภาวะแบบนั้นอยู่ช่วงหนึ่ง พอจะเข้าว่าเสียงช้อนโลหะกระทบแก้ว Mug มันชวนดีดให้ลุกจากเตียงแค่ไหน แต่ถ้าวันนี้ต้องกลายมาเป็นหนุ่มโสดที่อาศัยร้านกาแฟริมทางชงให้ดื่มแทนแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าอาจจะมีบางวันที่เราอดดื่มกาแฟหอม ๆ เพราะดันเผลอกด Snooze นาฬิกาไปหลายครั้ง กว่าจะลุกมาอาบน้ำอาบท่าออกจากบ้านได้ก็เกือบสายหวุดหวิด ไม่ต้องไปคิดถึงการซื้อกาแฟให้ทัน แล้วหันไปนั่งสัปหงกที่ออฟฟิศแทน Barisieur คือนวัตกรรมที่เกิดมาเพื่อเอาใจคอกาแฟชายโสด ออกแบบโดย Joshua Renouf ใช้งานง่ายแค่ใส่เมล็ดกาแฟที่ชอบลงไปในช่องที่เตรียมไว้พร้อมตั้งเวลาที่อยากตื่น พอถึงเวลา Coffee Brewer จะเริ่มทำงานสัมพันธ์กับตัวนาฬิกา ปลุกเราด้วยเสียงลูกโลหะสั่นกระทบกันจากการต้มน้ำ จากนั้นกลิ่นกาแฟสดที่ระเหยออกมาผ่านการดรอปน้ำร้อน ๆ ดริ๊ฟกาแฟจะช่วยปลุกให้เราตื่นขึ้น พร้อมความรู้สึกกระหายคาเฟอีน ถ้าใครอยากได้นม คอฟฟี่เมต น้ำตาล ด้านล่างข้างหน้าปัดดิจิทัลมีช่องสำหรับให้เปิดตักชง เพื่อสร้างสรรค์เครื่องดื่มแก้วที่ชอบได้ทันที ผ่อนคลายสุด ๆ เมื่อดื่มหมดแก้วปุ๊ป อยากจะหยิบไปลางก็แค่ดึงชิ้นส่วนต่าง ๆ แยกออกไปจากแท่นเพื่อล้างได้อย่างสะดวก พอแห้งก็นำกลับมาใส่ตามตำแหน่งเดิมเตรียมพร้อมปลุกให้ตื่นในเช้าวันถัดไป
เราคือคนหนึ่งที่เติบโตมากับ Nokia 3310 รุ่นตายยากในตำนาน เห็นการเติบโตกันตั้งแต่ยุค Analog เบิกบานก่อนจะก้าวมาถึงสมาร์ตโฟนจากหลากยี่ห้อและระบบในยุคปัจจุบัน ระบบปฏิบัติการแรกที่ใช้งาน เพื่อต่อความเป็นสาวก Nokia เพราะติดใจความทนทานเลยพาให้เรามารู้จักกับ Windows Phone ก่อนระบบปฏิบัติการอื่น สีสันสดใสกับรูปแบบ Interface คล้ายการยก PC มาขึ้นจอจึงเป็นสิ่งที่เราเข้าถึงได้ก่อนรุ่นอื่น จากที่สัมผัสเองกับมือก็ออกจะเสียดายภาวะไม่ได้ไปต่อของ Windows 10 Mobile อยู่เหมือนกัน เพราะอันที่จริงระบบของ Windows จัดว่าเสถียรและลื่นพอสมควร แถมยังได้รับการเคลมให้เป็นระบบที่ทำงานเชื่อมต่อระหว่างมือถือและ PC ได้เป็นอย่างดีด้วย ช่วงที่เปิดตัว Lumia ก็มีกล้องดี ๆ ให้ใช้ด้วย แต่เรื่องหนึ่งที่นับว่าเป็นรูโหว่ขนาดยักษ์ถมไม่มิดต่อเนื่องมาหลายปีคงหนีไม่พ้นเรื่องแอปพลิเคชั่นที่บอกได้เลยว่ารองบ่อนระบบอื่นอย่างเห็นได้ชัดเพราะขาดนักพัฒนาเข้ามาช่วย สปีดการแข่งขันจึงตกมากเมื่อเทียบกับระบบอื่น ๆ ข่าวนี้จึงถือเป็นข่าวคอนเฟิร์มที่เราไม่แปลกใจ แต่ทำให้เราใจหายมากกว่า เมื่อวันนี้มีประกาศออกมาอย่างเป็นทางการจาก Microsoft แจ้งสาวก Windows ว่าวันที่ 10 ธันวาคม 2019 พวกเขาจะหยุดอัปเดต patch ของ Windows 10 Mobile แล้ว
หนุ่มวัยเก๋าและแฟน ๆ ของเครื่องเกมคอนโซลสุดคลาสสิกอย่าง PlayStation 1 ถ้าได้ฟังข่าวนี้คงจะดีใจกันแน่นอน หลังจากล่าสุด Sony ได้วางขายเครื่องเกมคอนโซล PlayStation Classic All-In-One ซึ่งไม่ต้องพึ่งพาการใช้แผ่น รวมถึงมีขนาดที่กะทัดรัด เหมาะกับการพกพาไปเล่นกับที่ไหนก็ได้ในวันหยุดพักผ่อน ถ้าจะบอกว่า PlayStation 1 คือตำนานแห่งเครื่องเกมคอนโซลในยุค 90’s ก็คงไม่ผิดนัก เพราะนับตั้งแต่มันถูกวางขายสู่โลกครั้งแรกในปี 1994 ซึ่งในยุคแรกเริ่ม PS 1 นั้นทำให้หนุ่ม ๆ ทั่วโลกต้องใช้เวลาไปกับการเซฟเงินค่าขนมตัวเอง เพื่อนำมาจ่ายค่าแผ่นเกมของแท้ที่ราคาแสนจะแพง รวมไปถึง Memory Card สำหรับใช้เชฟเกม ส่วนคนที่มีเงินถุงเงินถังก็หิ้วมานั่งเล่นอยู่บ้านคนเดียวแบบสบายใจกันไปเลยก็มี และความสำเร็จดังกล่าวก็ส่งผลให้มีเครื่องเกมรุ่นพัฒนาตามออกมาอีกมากมาย อย่างที่เราเห็นกันมาตลอด 25 ปี โดยล่าสุด PlayStation 5 ก็กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาเพื่อรอจังหวะวางขายอย่างเหมาะสม ทำให้หลายคนต้องอดใจรอกันไปก่อน ซึ่งทางผู้ผลิตอย่าง Sony ก็เสนอทางเลือกระหว่างรอด้วยการนำรูปแบบในตำนานของ PS1 กลับมาอีกครั้งในระบบการเล่นที่ไม่ต้องพึ่งพาแผ่นเหมือนวันวาน PlayStation Classic All In One เปิดตัวพร้อมขนาดที่เล็กลงกว่ารุ่นคลาสสิกถึง 45%
เรื่องการหาหมอผ่านระบบ AI การวินิจฉัยโรคหรือการตรวจสุขภาพทั่วไปผ่านช่องทางออนไลน์เป็นกระแสที่หลายคนคงพอได้ยินมาบ้าง แต่อาจไม่ค่อยเชื่อกันว่ามันใช้งานได้จริงหรือมันจะโตได้ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่น่ายอมฝากชีวิตไว้กับเทคโนโลยีมากกว่าคนจริง ๆ ด้วยกัน แต่สำหรับประเทศที่มีจำนวนคนมากกว่าหมอหลายเท่าอย่างจีน การพัฒนาระบบสาธารณสุขให้ก้าวหน้าผ่านแอปพลิเคชั่นดูแลสุขภาพออนไลน์ได้พิสูจน์ตัวเองว่ามีความสำคัญและมีบทบาทกับชีวิตอย่างมาก Ping An Good Doctor คือแพลตฟอร์มแอปพลิเคชั่นสุขภาพที่กำลังมาแรงในจีน นับเฉพาะผู้ลงทะเบียนเข้าใช้งานระบบในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาก็มีจำนวนสูงถึง 28 ล้านรายแล้ว จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นด้านเทคโนโลยีการแพทย์ ทำให้ล่าสุดในการประชุมงานอินเทอร์เน็ตโลก (World Internet Conference) ครั้งที่ 5 Ping An Good Doctor ผู้นำด้านเทคโนโลยีการรักษาได้ประกาศแผนการสร้างคลินิกรักษาพยาบาลไร้มนุษย์ที่ทำงานด้วยระบบ AI แห่งแรกในโลกขึ้น เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นคลินิกหนึ่งนาทีของคุณหมอ AI ขึ้นโชว์ในบริเวณพื้นที่ส่วนกลางงานประชุมให้คนได้เข้าทดลองใช้งานกันจริง ๆ ถึงบอกว่าเป็นคลินิกหมอ AI แต่ก็ยังเป็นการทำงานควบคู่กับหมอที่เป็นมนุษย์จริง ๆ ด้วย โดยหมอจริงทำหน้าที่กำกับและตรวจสอบการทำงานของ AI สม่ำเสมอ ส่วนลักษณะของเจ้าคลินิกสีส้มนี้ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก คล้ายกับห้องคาราโอเกะในบ้านเรา แต่คอนเซ็ปต์ของมันค่อนข้างเนี้ยบและดีทีเดียว เนื่องจากมันสามารถให้การรักษาได้ในระยะไกล คนอยากเจอหมอเก่ง ๆ ก็ไม่ต้องไปต่อคิวที่โรงพยาบาลให้เสียเวลาเหมาะกับคนกรุงที่มีไลฟ์สไตล์รีบเร่ง และหลังรักษาสามารถจ่ายยาให้ได้ตามต้องการทันทีด้วย ส่วนยาไหนที่ไม่มีในสต๊อกระบบก็ให้ซื้อได้ผ่านแอปฯ และจัดส่งให้ถึงบ้านภายใน
กินกาแฟตอนน้ีจะดีดตอนไหน เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาธรรมเพราะส่วนมากจะบอกเฉพาะตัวเลขคร่าว ๆ ไม่เจาะจงเท่านั้น แต่ก็ไม่ได้เป็นเงื่อนไขที่ทำให้ผู้ชายเราหยุดเสพกลิ่นหอมของคาเฟอีน กับรสขมคั่ว อมเปรี้ยวตัดปลายในบางพันธ์ุของเมล็ดกาแฟได้ ล่าสุดมีคนอยากแก้ปริศนาให้กระจ่างยิ่งกว่าโคนัน เลยสร้างเว็บฯ เอาใจคอกาแฟทุกคน ไม่ว่าคุณจะกินเพื่อตื่น กิ่นเพื่อดื่มด่ำ ทุกหยดที่กินของมันมีประสิทธิภาพกันแบบเป็นรูปธรรมอย่างแน่นอน โดยเว็บนี้จะทำการคำนวณช่วงเวลาที่คุณดื่ม ว่ามันจะทำให้คุณดีดตอนไหน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่นับเวลาแบบส่ง ๆ แต่นับกับแบบลงลึกเพื่อตัวคุณคนเดียว เพราะคุณต้องกรอกข้อมูลทั้งเรื่องการนอน จำนวนช็อตกาแฟ ฯลฯ ของตัวเอง Coffee Kick Calculator วิธีคำนวณ 1. ระบุตัวเลขการพักผ่อนของคุณ นอนหลับสนิทตลอดคืนไหม หรือนอนแล้วผวาตื่นงัวเงีย 2. เลือกสิ่งที่เราต้องการดูจากกราฟ ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาตื่นตัวเต็มที่ เวลาตอบสนอง ช่วงที่รู้สึกผ่อนคลาย ความแผ่วจากการดื่ม และการตอบสนองอื่น ๆ ซึ่งแน่นอนว่ากราฟจะมันจะมีทั้งขาขึ้นและขาลง 3. ใส่ช่วงเวลาที่คุณตื่นขึ้นมา 4. อธิบายลักษณะกาแฟที่ดื่ม ทั้งปริมาณและเวลาที่ใช้ดื่มหรือคุณจะ custom ละเอียดกว่านั้นถ้าสามารถป้อนลงไปได้ในระดับมิลลิกรัม ยิ่งละเอียดยิบแค่ไหนก็วัดได้แม่นขึ้นเท่านั้น 5. ทุกครั้งที่เรากรอกข้อมูลลงไป ไม่ว่าจะเป็นวันไหน แต่ช่องอื่นก็จะได้รับการประมวลผลให้ปรากฏขึ้นมาด้วย 6. กราฟด้านล่างสุดจะแสดงประสิทธิภาพทั้งช่วงที่ดีและช่วงที่ลดลง ใครลองไปเล่นแล้วลองมาพิสูจน์กันว่าตรงจริงอย่างที่เว็บมันคำนวณไหม เราเองก็ว่าอยู่ระหว่างทดลองเช่นกันเพราะจะได้
นอนดูหนังที่บ้านยาม Weekend คงจะเป็นกิจกรรมในใจของผู้ชายหลายคน ที่เบื่อกับการออกไปพริ้วไหวนอกบ้านแล้ว จอกี่นิ้วก็ดูเหมือนจะสนอง Need เราได้ไม่พอ อยากจะได้ใหญ่ขึ้นอีกเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่ว่าของเล่นทุกชิ้น ราคามันจะอยู่ในหลักที่เราเอื้อมได้ทุกอย่าง โดยเฉพาะทีวีจอยักษ์ที่รุ่นท็อปหน่อยก็ไปแตะที่หกหลักกันแล้ว ลองเปลี่ยนมู้ดจากจอใหญ่ยักษ์มาเป็น Feel แบบโรงหนังด้วย Home Projector กันดูบ้าง ได้ยินอย่างนี้บางคนรีบส่ายหน้าหนีให้กับความเทอะทะของกล่องโปรเจ็กต์เตอร์สี่เหลี่ยม ดีไซน์เชยระเบิด UNLOCKMEN อยากให้ลืมโปรเจ็กต์เตอร์แสนเชยแบบนั้นไป แล้วมาทำความรู้จักกับ Home Projector ของ “PHOS” ที่มาในดีไซน์สวยล้ำ ตั้งตรงไหนก็ช่วยให้ดูเท่ขึ้นเป็นกอง ผลงานการออกแบบจาก Jacopo Mauro ผู้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการดื่มด่ำช่วงเวลาอันมีค่าของการดูภาพยนตร์ที่บ้าน ว่าควรได้รับประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกที่ดีไม่แพ้การไปดูที่โรงภาพยนตร์ เลยได้มาเป็นเจ้าตัวนี้ ที่ออกแบบมาเน้นทั้งดีไซน์และฟังก์ชั่นให้ไปควบคู่กัน ดีไซน์ที่สวยล้ำจนเราแทบเดาไม่ออกว่านี่คือโปรเจ็กต์เตอร์อย่างที่เราเคยรู้จัก ทุกอย่างออกมาในรูปแบบที่เรียบง่าย สะอาดตา ไม่มีปุ่มหรือพอร์ตเสียบสายอะไรให้เกะกะตา เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน หรือเมื่อใช้งานเสร็จก็สามารถวางไว้เป็น Gadget ล้ำ ๆ ไม่ต้องคอยยกเก็บ ยกเข้ายกออกอย่างเคย วัสดุจากโลหะพ่นทรายให้ผิวสัมผัสแบบด้าน พร้อมฐานวางหินอ่อน ยิ่งทำให้ดูเป็นของตกแต่งบ้านเข้าไปใหญ่ ด้วยทรงกระบอกที่สามารถหมุนใช้งาน 180 องศา เราจึงสามารถควบคุมองศาของการฉายภาพได้แบบตามใจเราที่แท้จริง พร้อมการใช้งานที่รองรับ Wireless
สำหรับผู้ชายเรา การเลือกเบียร์ที่รสชาติถูกใจ ก็เหมือนได้เจอสาวสวยที่ถูกสเปก ซึ่งสเปกของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป เวลาจะสั่งเบียร์แต่ละคนจึงสั่งไม่เหมือนกัน บางคนไม่ชอบเบียร์ขมเข้ม บางคนขอแอลกอฮอล์แรง บางคนเน้นกลิ่นหอมของมอลต์ ซึ่งคงจะยากถ้าจะตอบโจทย์ให้ถูกปากโดนใจได้ทั้งหมด ทำให้เรื่องการคราฟต์เบียร์เพื่อให้ได้รสชาติที่ใช่ที่สุดสำหรับเรจึงเป็นมิชชั่นในฝันของผู้ชายเราทุกคน BEERMKR เป็นเครื่องคราฟต์เบียร์สำหรับใช้ในบ้าน แม้ขนาดจะเล็กแต่ความสามารถนับว่าครบวงจรตอบโจทย์ของชาว UNLOCKMEN ที่อยากจะเป็น Brewer เต็มตัวแบบไม่ต้องไปเรียนก็เซียนได้ เพราะมันสามารถทำได้หมดตั้งแต่ บ่ม ต้ม กลั่น ปรับสูตรได้ตามใจ จนถึงการกดออกมาดื่มจากหัวจ่ายได้ในเครื่องเดียว ควบคุมมาตรฐานการบ่มด้วยระบบเทคโนโลยีที่การันตีได้ว่าวิธีการของเราจะไม่ผิดพลาด และไม่ต้องกังวลเรื่องเชื้อโรค ในเรื่องของเวลาการติดตั้งหรือเริ่มต้นคราฟต์เบียร์ด้วยตัวเอง ผู้ผลิตเขาออกมาคอนเฟิร์มว่าเริ่มต้นไม่ยากใช้แค่ 5 นาทีก็พอ แค่ใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงในถังเบียร์ตามสัดส่วนที่ต้องการในถุง เติมน้ำ จากนั้นกดสั่งให้เครื่องเริ่มทำงานผ่านแอปพลิเคชั่นเท่านั้นแล้วปล่อยไว้เฉย ๆ ให้เป็นหน้าที่แอปฯ คอยเป็นพี่เลี้ยงดูแลและแจ้งเตือนเราก็พอ ทั้งนี้ แอปฯ จะประเมินระยะเวลาที่เหมาะสมและเตือนเราว่าช่วงไหนต้องใส่อะไรเข้าไป หรือต้องเอาอะไรออกมา ที่สำคัญยังควบคุมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และอุณหภูมิการบ่มที่เป็นกุญแจสำคัญเรื่องรสชาติให้แม่นยำไม่คลาดเคลื่อน ชาว UNLOCKMEN ที่เริ่มรู้สึกกระหายอยากคราฟต์เบียร์เป็นของตัวเองสามารถเข้าไปดูรายละเอียดการสั่งซื้อได้ในเว็บไซต์ สนนราคาที่ $349.00 หรือ 11,506 บาทเท่านั้น (กำลังลดราคา) ที่สำคัญไม่ต้องกังวลเรื่องวิ่งหาซื้อวัตถุดิบเพราะเขาขาย MKR KITs ซึ่งเป็นวัตถุดิบการผลิตให้เราส่ังซื้อตามสูตรที่ต้องการอีกด้วย CHEERS!
ถ้าจะยกให้ใครเป็นเจ้าแห่งการประดิษฐ์และเทคโนโลยีแล้วล่ะก็ หนึ่งประเทศมหาอำนาจตะวันออกที่ทั่วโลกห้ามมองข้ามเด็ดขาดคงหนีไม่พ้นประเทศจีนอย่างแน่นอน เพราะเขาประดิษฐ์ “เก่ง” ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ ซึ่งล่าสุดเก่งกาจขนาดประดิษฐ์ดวงจันทร์เพื่อยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นของตัวเองแล้ว พระจันทร์เทียมดวงใหม่นี้สร้างขึ้นจากดาวเทียม มีกำหนดการจะแตะท้องฟ้าเหนือเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ประเทศจีน ด้วยการยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าและปล่อยให้มันลอยค้างอยู่บนชั้นบรรยากาศ ส่องแสงลงมายังเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเฉิงตูในปี 2020 People’s Daily สื่อท้องถิ่นของจีนได้ระบุเหตุผลในการออกแบบพระจันทร์เทียมครั้งนี้ว่า “ออกแบบขึ้นเพื่อเติมเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืน” ซึ่งนักพัฒนากับศูนย์วิทยาศาสตร์และสถาบันเทคโนโลยีการบินและอวกาศของเฉิงตูอ้างว่ามันน่าจะให้แสงที่สว่างกว่าพระจันทร์ธรรมชาติถึง 8 เท่า กล่าวคือการเรืองแสงของพระจันทร์เทียมนี้จะสามารถส่องสว่างทั่วพื้นได้ในระยะเส้นผ่าศูนย์กลาง 1080 กิโลเมตรและสามารถควบคุมความแม่นยำของแสงได้ในระยะ 10 เมตรเพื่อทดแทนดวงไฟบนท้องถนนเลยทีเดียว ไอเดียสร้างพระจันทร์ยักษ์เป็นของตัวเองครั้งนี้ People’s Daily เผยว่าได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปินฝรั่งเศสที่จินตนาการการแขวนสร้อยคอกระจกทรงกลมเหนือโลกที่ทำให้มันสามารถสะท้อนแสงจากพระอาทิตย์สาดลงสู่ถนนทุกสายในปารีสตลอดทั้งปี แม้นี่จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งประดิษฐ์มหัศจรรย์ที่ทำให้หลายประเทศเห็นข่าวแล้วต้องร้องว้าว! แต่ท่ามกลางความก้าวหน้าด้านสิ่งประดิษฐ์ครั้งใหญ่ของจีนที่มีต่อการเอาชนะธรรมชาติในครั้งนี้ บางคนได้ออกมาให้ความเห็นในเชิงลบมากกว่าบวก โดยพวกเขามองว่าแสงเทียมเหล่านี้น่าจะสร้างผลกระทบใหญ่หลวงต่อระบบนิเวศ เช่นเดียวกับฟากของนักดาราศาสตร์เองก็อาจจะไม่ค่อยปลื้มนักเพราะเป็นการสร้างมลภาวะทางแสง (Light Pollution) ทุกวันนี้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็วไม่เพียงทำให้เราสะดวกสบายขึ้น แต่ก็สร้างความกังวลเพิ่มขึ้นไม่แพ้กัน สุดท้ายสิ่งที่เราทุกคนต้องตั้งคำถามคงไม่ใช่การหยุดพัฒนาหากเป็นการสร้างขอบเขตของการนำสิ่งที่พัฒนามาใช้งานให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ในองค์รวม เราจะจับจองดวงดาว หรือเป็นเจ้าของท้องฟ้าทำไม ถ้าปลายทางของมันคือการทำร้ายซึ่งกันและกัน SOURCE: 1 / 2 / 3
เดี่ยวนี้เราทำงานนอกบ้านตามคาเฟ่หรือ co-working space กันเยอะ กระทั่งออฟฟิศรุ่นใหม่ทุกวันนี้ก็ออกแบบให้มีความชิลขึ้นกว่าเก่า ดังนั้นเราเลยมองเห็นภาพทุกอย่างได้เต็มสายตา สภาพแวดล้อมที่รายล้อม เพื่อนโต๊ะนั้นเล่นเกม หัวหน้าจีบสาว ฯลฯ เก็บได้หมดครบทุกเม็ดแม้ว่าเราจะไม่ต้องการก็ตาม ด้วยสายตาที่เราบังคับมันไม่ได้ดั่งใจ เผลอมองโน่นนี่จนเป็นอุปสรรคกับการใช้ชีวิตเหลือเกิน ทาง Panasonic’s design studio หรือโรงงานดีไซน์รูปแบบไลฟ์สไตล์อนาคต จึงได้จับมือกับ Kunihiko Morinaga ดีไซน์เนอร์ชาวญี่ปุ่นประดิษฐ์อุปกรณ์สวมสร้างพื้นที่ที่ช่วยลดการรบกวนที่ชื่อว่า WEAR SPACE ขึ้น คุณสมบัติของมันแม้จะดู “เล่นง่าย” แต่ก็ใช้งานได้ดีทีเดียว เพราะมันสามารถลดการรบกวนได้ถึง 60% คราวนี้เราจะสามารถโฟกัสกับการทำงานเต็มที่ เพราะเราจะมองไม่เห็นสิ่งแวดล้อมรอบข้าง มองเห็นแค่จอหรือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น เว้นแต่เรามองขึ้นด้านบนไว้รับแสง หรือมองด้านล่างเวลาทำของตกจะได้เก็บสะดวกเดินไม่สะดุด ที่สำคัญคือเขาฝังอุปกรณ์เสริมเป็นหูฟังตัดเสียงรอบข้างไว้ให้ด้วย ดังนั้น เวลาเราเอาใช้ที่ไหนก็พร้อมสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับเราทันทีที่สวมใส่ ลักษณะหน้าตาของเจ้าอุปกรณ์ไฮเทคชิ้นนี้ก็เป็นแบบที่เห็น คือเป็นแผงคล้ายผ้าปิดตาที่โค้งบดบังทุกทิศทาง เพรียวบางไม่เทอะทะ เหลือช่องว่างแค่บริเวณสายตาด้านหน้าเท่านั้น สำหรับตัวที่เห็นนี่ยังเป็นชิ้นต้นแบบที่คนทดลองใช้งานกันในงานนิทรรศการ Panasonic’s SXSW เท่านั้น ยังไม่ได้วางจำหน่าย เห็น Gadget นี้ชาว UNLOCKMEN คิดอย่างไรกันบ้าง อยากใช้กันบ้างไหม แต่เราคิดหากออกมาวางขายตอนนี้คงใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่ เพราะคงใส่ออกไปเดินกลางแจ้งไม่ได้