เคยรู้สึกไหมว่า ยิ่งเราโตขึ้น สมองของเรายิ่งเฉื่อยชาลงทุกวัน ? ถ้ารู้สึก มันอาจเป็นเพราะเราไม่ได้ทำกิจกรรมที่เพิ่ม ‘ความยืดหยุ่นของสมอง’ (Neuroplasticity) ส่งผลให้สมองไม่มีการสร้างเซลล์ประสาทใหม่ หรือ เรียกว่าไม่มีพัฒนาการใด ๆ และเกิดอาการเฉื่อยชาขึ้นมา UNLOCKMEN จึงอยากมาแนะนำกิจกรรมที่จะช่วยให้สมองของเรามีความยืดหยุ่นมากขึ้น และมันจะช่วยให้เราทำงานและใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่วกว่าเดิมด้วย จดจำคำศัพท์ใหม่ทุกวัน หากคุณกำลังเรียนภาษาต่างประเทศอยู่ คุณอาจมีสมองที่ดีกว่าคนอื่น เพราะงานวิจัยบอกว่าการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทำให้สมองพัฒนาขึ้นได้ อ้างอิงงานวิจัยของ Tom A F Anderson จากมหาวิทยาลัย National Central University ที่ศึกษาผลของการเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ที่มีต่อการทำงานสมอง และพบว่า การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ช่วยพัฒนาความจำเพื่อใช้ปฎิบัติงาน (Working Memory) รวมถึงความสามารถในการสื่อสารกับคนรอบตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฝึกใช้มือข้างที่ไม่ถนัด หากเราเป็นคนที่ถนัดมือขวา ลองฝึกใช้มือซ้ายในการทำสิ่งต่าง ๆ ดู ไม่ว่าจะเป็น แปรงฟัน เขียนหนังสือ หรือ จับเมาส์ การฝึกฝนมือข้างที่ไม่ถนัดจะช่วยให้สมองเกิดความยืดหยุ่นมากขึ้นได้ สามารถสร้างวิถีประสาทใหม่ (neural pathways) ได้มากขึ้น และยังช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสามทมีความแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย นั่นหมายความว่าสมองของคุณจะทรงพลังมากกว่าเก่า ฝึกโยนลูกบอลสลับมือ การฝึกโยนลูกบอลสลับมือ หรือ
ชีวิตเราอาจจะยืนยาว แต่เวลาในแต่ละวันของเราช่างแสนสั้น เผลอนิดเดียวก็หมดวันอย่างง่ายดาย ถ้าเราไม่อาจจัดสรรปันส่วนเวลาและใช้มันอย่างทรงประสิทธิภาพ แต่ละวันย่อมผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ วันเดียวที่เปล่าประโยชน์เรียงต่อเชื่อมร้อยกลายเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน ลงท้ายด้วยปีทั้งปีที่สูญเปล่า เราทำได้แค่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ หาความสุขที่อยู่กับเราชั่วคราว แต่ในระยะยาวมองรอบตัวแล้ว…เราไม่เหลืออะไรเลย ใครที่กำลังติดกับดักวันเวลาและปีที่ผ่านมาใช้ชีวิตไปอย่างสูญเปล่า ปีหน้าต้องไม่เหมือนเก่าด้วยวิธีคิดจากนักปรัชญาที่ขบคิดและมีชีวิตอยู่เมื่อสองพันกว่าปีก่อน แต่แก่นความคิดของพวกเขายังสามารถปรับใช้กับชีวิตเราในปัจจุบันได้อย่างทรงพลัง “Beware the barrenness of a busy life.” – Socrates การตื่นเช้ามาพร้อมงานที่ประเดประดังไม่หยุดหย่อน ความยุ่งเหยิงที่สะสางเท่าไหร่ก็ไม่หมด คือกลลวงที่ล่อให้ผู้ชายอย่างเราหลงเข้าใจไปว่าชีวิตที่ยุ่งเหยิงนี่แหละคือชีวิตที่ทำงานหนักหรือชีวิตที่มีประสิทธิภาพ เราคิดว่ามันดีแล้วและปล่อยให้ตัวเองยุ่งจนไม่เหลือเวลาให้ตัวเองอีกต่อไป ปีหน้าต้องไม่เป็นแบบนี้ เพราะชีวิตที่ยุ่งอยู่เสมอหมายถึงการจัดการเวลาอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ที่สำคัญการทำหลายสิ่งหลายอย่างในวันเดียวแปลว่าเราทุ่มพลังให้มันในระดับปานกลางเป็นสิบ ๆ สิ่ง แทนที่เราจะลดเหลือเพียง 3-4 อย่างที่สำคัญจริง ๆ แล้วทุ่มเทความตั้งใจไปกับมันได้มากกว่าเดิม ดังนั้นการทำอะไรเยอะ ๆ ให้ตัวเองดูยุ่ง ๆ ในหนึ่งวันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น จงระวังความยุ่งใหดี! แต่การจัดลำดับความสำคัญและทำอย่างมีประสิทธิภาพนั่นแหละคือหัวใจแห่งการจัดการเวลาและชีวิต “Better a little which is well done, than a
นอกจาก IQ (Intelligence Quotient) หรือความฉลาดทางเชาวน์ปัญญาแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่หนุ่ม ๆ จะขาดไม่ได้เพื่อเป็นบุคคลคุณภาพในสังคมคือ EQ (Emotional Quotient) หรือความฉลาดทางอารมณ์ ทั้งสองสิ่งนี้ต่างก็ช่วยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน จะขาดด้านใดด้านหนึ่งไปไม่ได้ สำหรับ IQ นั้นทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่ามันหมายถึงอะไร และก็น่าจะเคยผ่านการทดสอบเพื่อวัดระดับของตัวเองกันมาแล้ว ดังนั้นวันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักอีกด้านของความฉลาด ที่ไม่เกี่ยวกับความรู้ แต่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ให้มากขึ้น สำหรับ EQ นั้นประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้านด้วยกัน Awareness of Emotions: การตระหนักรู้ถึงอารมณ์ตัวเองและคนรอบข้าง Harnessing of Emotions: การควบคุมอารมณ์และปรับใช้อารมณ์เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างเหมาะสม Managing of Emotions: การจัดการบริหารอารมณ์ วันนี้เราจะมาพูดถึงพฤติกรรมหรือนิสัยที่ผู้มี EQ สูงพึงกระทำ เพราะสิ่งเหล่านี้จะนำมาซึ่งการประสบความสำเร็จในอนาคต รู้จักตัวเอง หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้มีความฉลาดทางอารมณ์คือการตระหนักรู้ถึงอารมณ์ตัวเอง การรับรู้ถึงอารมณ์ตัวเองจะทำให้เราสังเกตถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและรับมือมันได้อย่างถูกต้อง ก่อนจะนำไปสู่การแก้ปัญหาแบบเป็นขั้นเป็นตอน ใจเย็น มีสติ ไม่วู่วาม ทำให้ปัญหาถูกคลี่คลายในแบบที่ควรจะเป็น รับรู้ถึงอารมณ์ผู้อื่น การรับรู้แค่ตัวเองนั้นไม่เพียงพอ เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เกือบทุกช่วงเวลาของชีวิตเราคือการอยู่ร่วมกับคนอื่น ดังนั้นการที่เราสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกคนอื่นได้จะทำให้เรารู้ว่าเราควรปฏิบัติกับคน ๆ นั้นอย่างไร ควรใช้คำพูดแบบไหนกับคนแบบนี้ ควรปลอบเวลาไหน ควรกระตุ้นเวลาไหน
ถ้าคุณมองหาหนังสือพัฒนาตัวเองสักเล่ม “Eat That Frog!” ของ Brian Tracy หน้าปกกบตัวโตสีเขียวไดคัตแปะบนพื้นหลังสีส้มจะเป็นหนึ่งเล่มที่มีคนแนะนำคุณซ้ำ ๆ พอ ๆ กับเวลาเริ่มเล่นหุ้นแล้วมีคนแนะนำว่า “นายต้องไปอ่าน Rich Dad Poor Dad นะ เล่มนี้มันดีจริง ๆ” น่าสนใจว่าหลังจากเราได้ยินคำว่า “กินกบ” เป็นครั้งแรกแล้ว และคิดว่ามันค่อนข้างแปลกพอสมควร เราก็มีโอกาสได้ยินการสำนวนต้มยำทำแกงเกี่ยวกับ “กบ” ต่อไปอีกหลายรูปแบบครั้งไม่ว่าจะเป็นการ “จูบกบ” หรือการ “ต้มกบ” ซึ่งไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ตามแต่ เจ้าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประเภทนี้ก็มักจะไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการพัฒนาตัวเองเสมอ เพื่อสรุปให้จบเรื่องกบ ๆ ภายใน 10 นาทีแล้วเอาไปใช้ได้เลย UNLOCKMEN จึงตั้งใจว่าจะเล่าถึงแก่นของหลักการทฤษฎีให้เพื่อน ๆ ทำความเข้าใจกันแบบง่าย ๆ ใครที่ทำได้ในไม่กี่บรรทัดก็เป็นเรื่องดี แต่ใครที่อยากไปหาอ่านฉบับเต็มต่อให้ละเอียดเพื่อลงลึกเราก็ไม่ว่ากัน ใครที่พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้วเชิญไปพับกบ เอ้ย! พบกับ กบทั้ง 3 ตัวต่อไปนี้เลย กินกบตัวนั้นซะ! เริ่มต้นกันที่กบตัวแรกกันก่อนคือการ “กินกบ” ใครที่คิดว่าจะไปสั่งกบปิ้ง ย่าง ทอดมากินให้ลาภปากแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้หัวหน้าก็ชมเรา
ถ้าจะพูดถึงคนที่เริ่มจากศูนย์ แต่สามารถก้าวสู่การประสบความสำเร็จได้อย่างสวยงาม หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ ‘Jack Ma’ เจ้าพ่อแห่งอาณาจักร Alibaba มหาเศรษฐีอันดับอันดับ 1 ของ Asia ถ้าใครเคยอ่านชีวประวัติของผู้ชายคนนี้คงพอจะรู้ว่าเขาเกิดมาในครอบครัวยากจน เรียนไม่เก่ง ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เรียกว่าต้นทุนชีวิตติดลบสุดขั้ว แต่วันนี้เขาคือผู้ชายที่ทั่วโลกจับตามองทุกการเคลื่อนไหว การจะมาถึงจุดนี้ได้ วิธีคิดหรือทัศนคติของเขาต้องไม่ธรรมดา ซึ่งในงานสัมนาที่ Davos ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ Jack Ma พูดถึงเรื่องนี้ และมีหลายประโยคที่น่าสนใจ เราจึงอยากนำมาแบ่งปันเพื่อปลุกไฟในชีวิตให้กับทุกคน “ตอนที่ผมเริ่มก่อตั้ง Alibaba แน่นอนว่าผมกลัว และเต็มไปด้วยความไม่เชื่อมั่น แต่สิ่งที่ผมเชื่อคือ ไม่มีใครเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอนาคตหรอก ทุกคนต่างก็ต้องเรียนรู้ ลองผิดลองถูกด้วยกันทั้งนั้น” “ในโลกธุรกิจ อย่ากังวลเรื่องคู่แข่ง อย่ากลัวที่จะเผชิญความกดดัน ถ้าคุณกลัว ก็จงอย่าเป็นนักธุรกิจ… ถ้าคุณสร้างมูลค่าให้กับสิ่งใดได้ นั่นคือโอกาส ปัจจุบันนี้ทั่วโลกกำลังกังวล หมายความว่านี่คือโอกาสที่ดีมาก ๆ ของคุณ” “งานแรกคือสิ่งสำคัญที่สุด คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นกับบริษัทยักษ์ใหญ่มีชื่อเสียง แต่คุณควรจะเริ่มทำงานกับหัวหน้าที่สามารถสอนคุณได้ ทั้งแง่การเป็นมนุษย์ที่ดี คนทำงานที่ดี ดำเนินชีวิตด้วยความเหมาะสม ถ้าคุณเจอหัวหน้างานแบบนั้น ผมแนะนำให้คุณทำงานที่นั่นอย่างน้อย 3 ปี” เราจะสอนเด็ก ๆ
ในสังคมปัจจุบันที่ชุดความคิด ‘ชายเป็นใหญ่’ นั้นล้าหลังไปแล้ว คำถามที่ว่าผู้ชายอย่างเราควรจะวางตัวอย่างไรให้เหมาะสมจึงกลายเป็นคำถามสำคัญและยากที่จะหาคำตอบ เพราะเรื่องนี้ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เป็นสิ่งที่ใช้ความพึงพอใจของปัจเจกในแต่ละสังคมเป็นคำตอบ อย่างไรก็ตามวันนี้ ‘Barack Obama’ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐคนดังและ ‘Stephen Curry’ สุดยอดนักบาสเก็ตบอล NBA แห่งยุค จะมาเสนอแนวทางที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เราได้ฟังกัน เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ณ เมือง Oakland รัฐ California มีงานสัมมนาเรื่อง How to ‘Be a Man’ โดยมีวิทยากร 2 คน ซึ่งก็คือ Barack Obama และ Stephen Curry จุดมุ่งหวังคือการให้ผู้ชายรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ชายผิวสีได้หลุดพ้นจาก ‘กับดัก’ ทางสังคม “พวกเราทุกคนน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าการจะเป็นผู้ชายที่ดีได้นั้น ต้องเริ่มจากการเป็นมนุษย์ที่ดีเสียก่อน นั่นหมายความต้องมีความรับผิดชอบ ทำงานหนัก มีน้ำใจ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น” Obama เริ่มต้นบทสนทนา “ความคิดที่ว่าการจะแสดงออกถึงความเป็นชายของตัวเองนั้นคือการต้องกดคนอื่นให้ต่ำกว่าตัวเองมันล้าสมัยไปแล้ว” “เป็นเรื่องเข้าใจได้ว่าเมื่อกลุ่มวัยรุ่นรู้สึกว่าไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม พวกเขาจะทำอะไรบางอย่างเพื่อแสดงออกให้ผู้อื่นทราบ” “ถ้าคุณรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องกดคนอื่นให้ต่ำลงเพื่อลบปมดังกล่าว ลองเปลี่ยนเป็นยกย่องเชิดชูดูสิ” “ผมเห็นด้วยกับเรื่องนั้น”
“Words are more powerful than weapons.” หนึ่งในวลียอดฮิตที่ทุกคนน่าจะรู้จักเป็นอย่างดี ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือความจริง ยิ่งถ้าเราลองเปิดบันทึกประวัติศาสตร์โลกดูจะพบว่าในเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ คำพูดหรือสปีชเพียงไม่กี่นาทีกลับพลิกประวัติศาสตร์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ นอกจากจะส่งผลต่อเรื่องราวในอดีตแล้ว ต่อให้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนสปีชที่ยิ่งใหญ่นั้นก็ไม่ตกยุค ยังร่วมสมัยและสามารถนำมาปรับใช้กับชีวิตของเราได้เสมอ ครั้งที่แล้วเราได้นำเสนอสปีชที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลกให้ทุกคนได้เรียนรู้ถึงแนวคิดและสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ไปแล้วทั้งหมด 5 สปีช แต่สปีชที่ดีนั้นยังมีอีกมากมาย และเราเล็งเห็นว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกคน เราจึงคัดมาอีก 5 สปีช ให้ทุกคนได้เรียนรู้จากร่องรอยประวัติศาสตร์กันอีกครั้ง ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก สามารถย้อนตามไปอ่านได้ที่ ‘5 SPEECH ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก’เป็นข้อคิดและบทเรียนชั้นดีในการใช้ชีวิตของหนุ่ม ๆ I Have a Dream – Martin Luther King Jr. August 28, 1963, Washington, D.C. Martin Luther King Jr. คือหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุดต่อการเรียกร้องสิทธิให้กับพลเมืองผิวสีในสหรัฐอเมริกา แม้ในช่วงนั้น (ยุค 50-60) จะผ่านพ้นช่วงเลิกทาสมาแล้วนับ 100 ปี สิทธิพลเมืองผิวขาวและผิวสีเท่าเทียมกันในแง่ลายลักษณ์อักษรตามกฎหมาย แต่ในทางปฏิบัตินั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง คนผิวดำยังโดนกีดกันในการเข้าถึงสิ่งต่าง ๆ รวมถึงมีการแบ่งแยกสถานที่สำหรับคนผิวดำอย่างชัดเจน
การมาเยือนของปีใหม่มักมาพร้อมกับ ‘New Year Goal’ หรือเป้าหมายที่อยากทำให้สำเร็จในปีนั้น ๆ เสมอ เพราะการผันเปลี่ยนของตัวเลขบนปฏิทินเหมือนเป็นสัญญาณบอกเราว่า ‘ถึงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงแล้ว’ แต่ภาพซ้ำที่เราเจอจนชินชาคือ เดือนมกราคมจะเริ่มต้นด้วยความฮึกเหิม แต่อยู่ ๆ แรงฮึดก็ค่อย ๆ หมดไปตามเดือนที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่สุดท้ายเมื่อถึงวันสิ้นปี เราก็ลืมไปโดยสิ้นเชิงแล้วว่าเมื่อต้นปีเคยตั้งเป้าหมายอะไรเอาไว้ แต่ในปีนี้ต้องไม่เป็นแบบนั้น! เพราะสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เดจาวูแบบนี้ทุก ๆ ปีเป็นเพราะเป้าหมายที่เราตั้งไว้อาจจะสูงหรือทำได้ยากจนเกินไป ดังนั้นในปี 2019 ที่จะถึงนี้ ลองเปลี่ยนมาตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ แต่ทำได้ง่ายอย่างที่เรากำลังจะแนำนำดีกว่า รับรองเลยว่าหลังวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ชีวิตจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ตั้งเป้าหมาย การตั้งเป้าหมายในที่นี้หมายความถึงการเขียนเป้าหมายลงบนกระดาษจริง ๆ ไม่ใช่แค่นึกเป้าหมายไว้ในใจลอย ๆ เพียงอย่างเดียว เพราะมีผลการวิจัยเผยว่าการที่เราเขียนเป้าหมายสิ่งที่เราจะทำลงบนกระดาษจะทำให้เราเอาจริงเอาจังกับสิ่งนั้นมากขึ้น และนอกจากการเขียนแล้ว ให้เราบอกเป้าหมายที่เราตั้งใจจะทำกับคนรอบข้างให้มากที่สุด เนื่องจากเมื่อเราได้ลั่นวาจาออกไปแล้ว มันจะเป็นการกดดันตัวเองไปในตัวว่าต้องทำให้สำเร็จ แต่อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือเป้าหมายที่เราตั้งไว้นั้นต้องไม่ใหญ่จนเกินไป เป็นอะไรที่ทำได้ง่ายและไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของเราอย่างกะทันหัน ค้นหาสิ่งที่ ‘ใช่’ และ ‘ไม่ใช่’ การเริ่มต้นปีใหม่ถือเป็นสัญญาณที่ดีให้เราได้ทบทวนถึงเรื่องราวในปีเก่าตลอดทั้ง 365 วัน ว่าเรารู้สึกชื่นชอบอะไรและไม่ชอบอะไร อาจจะเริ่มต้นด้วยการค้นหาสิ่งที่ไม่ชอบ
เชื่อว่าหนุ่ม ๆ อย่างเราทุกคนต้องมีช่วงหนึ่งในชีวิตที่รู้สึกว่าตัวเองห่วย ไม่พัฒนาไปไหน ย่ำอยู่กับที่ และในช่วงเวลานั้นเปรียบเสมือนทางแยกในชีวิตที่ต้องเลือกว่าจะปลงหรือจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น แน่นอนว่าถ้ามีไฟในชีวิตหลงเหลืออยู่บ้าง ทุกคนคงเลือกพัฒนาตัวเอง แต่หลังจากที่วางแผนไว้ดิบดีว่าจะเริ่มปรับปรุงพัฒนาตัวเองเรามักโดนคลื่นแห่งชีวิตจริงซัดจนเสียศูนย์ ไม่ว่าจะเป็นการงานรัดตัว ครอบครัวที่ไม่เข้าใจ ปัญหาด้านความสัมพันธ์ ทำให้แรงฮึดที่อยากจะพัฒนาตัวเองโดนวางกองไว้ราวกับเครื่องใช้ไฟฟ้ารุ่นเก่าในห้องเก็บของ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นวนเวียนเป็นวัฏจักร การพัฒนาตัวเองที่คิดไว้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง นับวันไฟและความหวังก็ดับมอดลงไปเรื่อย ๆ หรือบางทีอาจจะถึงเวลาต้องยอมรับความจริงแล้วว่าตัวเองก็ได้แค่นี้ ? อย่าเพิ่งท้อแท้หมดหวังขนาดนั้น อย่างน้อยก็ลองอ่านวิธีพัฒนาตัวเองแบบ The Kaizen Way ก่อน Don’t Dream Too Big เพราะความรู้สึกอยากพัฒนาตัวเองมักจะมาเยือนเราอย่างกะทันหัน เป็นความที่รู้สึกที่แรงกล้าไฟลุกโชน ในสมองเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน แต่เมื่อเริ่มลงมือทำจริง ๆ ก็พบว่ากำแพงความฝันที่วาดไว้นั้นมันสูงจนยากจะปีน และในเวลาไม่นานเราก็ร่วงลงสู่พื้นตามเดิม อีกหนึ่งเส้นทางที่เป็นอันตรายต่อการพัฒนาตัวเองคือการที่เรามักจะมองหา ‘ทางลัด’ ในชีวิตตลอดเวลา เราหวังว่าจะได้ทำงานน้อยกว่าเพื่อเงินที่มากกว่า เราทุ่มเวลาในการอ่านหนังสือหรือฟัง Podcast ของผู้ประสบความสำเร็จเพื่อจะเก็บเกี่ยวความรู้และมุ่งสู่ทางลัด ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าสักวันโชคจะเข้าข้างให้เราเจอทางลัดที่จะทำให้ชีวิตสบายกว่าคนทั่วไป ความอันตรายของมันคือการที่เรามัวแต่มองหาทางลัดตลอดเวลาจนในชีวิตจริงเราไม่ได้ทำอะไรเลย ซึ่งหมายความว่าถ้าเราไม่เจอเส้นทางนั้น ชีวิตเราจะล้าหลังเสียยิ่งกว่าคนทั่วไปเสียอีก 1% Better Each Day by the Kaizen Ways ถ้าการฝันใหญ่เกินไป
ชีวิตยุ่งเหยิง คิดไอเดียดี ๆ ได้แล้วกลับลืม หาหุ้นหรือหาเหรียญ Crypto น่าสนใจพร้อมราคาในใจที่น่าเข้า บัญทึกค่าใช้จ่ายสารพัดจากทริป หรือแพลนนัดไว้ในหัวว่าจะทำนู่นนี่แต่ To Do List ดันหายไปจากความจำบ้างหรือเปล่า ลองนึกถึงว่าความยุ่งเหยิงเหล่านั้นเป็นเอกสารที่ไม่ได้จัดประเภทไว้ จะหาอะไรแต่ละครั้ง หาไม่เจอก็คงไม่แปลก แต่ถ้ามันถูกจัดระเบียบไว้เป็นอย่างดี เราจะหยิบมันขึ้นมาได้ภายในเวลาอันสั้น ลองหาทางออกให้ตัวเองด้วยวิธีง่าย ๆ กันดีกว่า ด้วยการจดโน้ต วิธีง่าย ๆ แบบนี้นี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นแบบ Manual จดบนกระดาษจริง หรือจะจดในสมาร์ทโฟนที่เป็นทุกอย่างให้เราแล้วก็ได้ทั้งนั้น UNLOCKMEN จะพาไปดูถึงข้อดีของมันและเทคนิคการจดโน้ตให้เป็นนิสัย เชื่อเถอะว่าพอได้ลองแล้ว ชีวิตเราจะง่ายและเป็นระเบียบขึ้นเยอะ การจดโน้ตไม่ใช่แค่เรื่องของการเตือนความจำ จดเบอร์โทรศัพท์ หรือข้อความที่คนอื่นฝากไว้เท่านั้น แต่มันมีประโยชน์กับเรามากกว่าที่คิด มันช่วยให้เราพัฒนาการฟัง คิด มองภาพให้ออก และสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาตามที่เราเข้าใจ เพราะว่าเราไม่อาจจดจำทุกอย่างในชีวิตไว้ในหัวของเราเพียงอย่างเดียว วันไหนแฮงก์ วันไหนทำงานจนจะร่วงหน้าคอมพ์ฯ มันคงได้เกิด Human Error กันบ้าง และเราคงไม่เสี่ยงที่จะเอาข้อมูลสำคัญไว้ในสมองที่ต้องแบกภาระเยอะแยะเป็นทุนเดิมกันอยู่แล้วใช่มั้ย ? ลองใช้การจดโน้ต มาจัดระเบียบชีวิตของเรา เรื่องสำคัญที่ต้องทำ