อยู่คนเดียวมากี่วันแล้ว? โดดเดี่ยวแค่ไหน? รู้สึกเดียวดายบ้างหรือเปล่า? สถานการณ์ COVID-19 บีบคั้นให้ใครหลายคนต้องเก็บตัวอยู่ในที่พักอาศัยอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางลมหายใจลำพังนั้นบางครั้งเราเผลอพูดกับตัวเอง บางทีหัวเราะท้องแข็งกับโพสต์จากเฟซบุ๊กแล้วจะหันไปแชร์กับใครสักคน แต่ตรงนั้นกลับมีเพียงอากาศว่างเปล่า หรืออย่างร้ายวินาทีที่เครียด กดดัน ไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าคืออะไร น้ำอุ่น ๆ เอ่อไหลออกจากตา อยากหาไหล่ใครสักคนไว้ซับความเศร้า ก็กลับพบเพียงตัวเองกับหมอนใบเดิม เราเลยตั้งใจเอา ‘6 หนังมนุษย์เดียวดาย’ มาอยู่เป็นเพื่อน ใช่ มันไม่ได้ทำให้โดดเดี่ยวน้อยลง (บางเรื่องอาจเข้าถึงแก่นความโดดเดี่ยวเป็นเท่าทวี) แต่ในทุกเรื่องนี้จะพาเราทุกคนไปสำรวจความหมายของลมหายใจลำพัง ชีวิตโดดเดี่ยว และแต่ละวันอันเดียวดาย ในรูปแบบที่อาจทำให้เรามองความเดียวดายรายวันของเราในอีกมุมหนึ่ง ก็เป็นได้… Moon ความโดดเดี่ยวของใครหลายคนในวันนี้อาจชวนให้อึดอัด เพราะเราไม่รู้แน่ชัดว่าเราจะต้องกักตัวเดียวดายไปถึงเมื่อไร? มีจุดสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหน? ในทางกลับกัน ถ้าเรารู้ว่าเราต้องโดดเดี่ยวเป็นเวลาเท่าไร และจะได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของทุกคนที่เรารักอย่างปกติ มันจะดีกว่ากันจริงหรือเปล่า? Moon คือหนังที่ว่าด้วยนักบินอวกาศที่ได้รับภารกิจสำรวจดวงจันทร์ หน้าที่ของเขาก็คือภารกิจ 3 ปีเต็มบนดวงจันทร์ตะปุ่มตะป่ำ แม้จะเดียวดาย แต่ก็รู้แน่ชัดว่าหลังจาก 3 ปี เขาจะได้คืนกลับมาตุภูมิ แต่ความลึกซึ้งของ Moon ไม่ได้พาเราไปสำรวจชีวิตประจำวันของนักบินอวกาศที่ต้องอาศัยอยู่คนเดียวเป็นเวลานานเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เราตะลึงพรึงเพริด และชวนให้ขบคิดเรื่องชีวิตของเรา ความเป็นมนุษย์ เทคโนโลยี
“จน เครียด กินเหล้า” แท็กไลน์คุ้นหูจากองค์กรหนึ่งที่แม้ผ่านมานานหลายปี คนก็ยังท่องกันได้เหมือนเป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนว่าความจนไม่ได้เป็นตัวแปรหลักในสมการนี้ ทุกฐานะ ทุกอาชีพ ทุกการศึกษาล้วนดื่มแอลกอฮอล์เพื่ออะไรบางอย่างทั้งสิ้น โดยเฉพาะเมื่อ COVID-19 ลุกลามไปทั่วโลก แม้หลาย ๆ เมือง หลาย ๆ ประเทศผับบาร์ถูกสั่งปิด และบางแห่งห้ามขายแอลกอฮอล์เพื่อลดการแพร่ระบาด แต่ผู้คนกลับดื่มกินกันมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ไม่ใช่แค่ที่ไทยเท่านั้น ผู้คนทั่วโลกต่างก็ดื่มมากขึ้นในห้วงเวลาอันยากลำบากเช่นนี้ แม้จะเป็นการดื่มอย่างเดียวดายก็ตามที ทำไมยิ่งกักตัวโดดเดี่ยว เรายิ่งดื่ม? ห้ามขายเหล้า ผับบาร์ก็ประกาศปิด แล้วทำไมคนถึงยังดื่มกิน? กิจกรรมผ่อนคลายมีหลากหลายประเภท แต่ทันทีที่กิจกรรมผ่อนคลายหลัก ๆ ถูกปิดประตูตายเป็นอาทิตย์ ๆ หรือเป็นเดือน จากที่เคยไปดูหนังเรื่องโปรดระบบเสียงสะใจที่โรงหนังใกล้บ้านเมื่อใดก็ได้ ก็ต้องหยุด จากที่เคยไปวิ่งออกกำลังกายในสวนหรือเสียเหงื่อเกือบลิตรตามฟิตเนสก็ต้องงด ห้างสรรพสินค้า พิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี ทุกอย่างปิด จึงไม่แปลกที่คนจะหันมาหนทางผ่อนคลายที่ทำได้แม้อยู่ที่บ้านคนเดียว ไม่เพียงเท่านั้นการดื่มนอกบ้านนั้นเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ เช่น เราอาจต้องคอยดูแลคนอื่นระหว่างดื่มกิน หรือเราต้องขับรถกลับบ้าน ไปจนถึงเวลาที่สถานบริการปิดให้บริการ แต่การดื่มเองที่บ้านนั้นผู้คนไม่ต้องกังวลเรื่องเวลากลับบ้าน ไม่ต้องห่วงเรื่องการขับขี่ยานพาหนะ ปริมาณการดื่มและช่วงเวลาแห่งการเมามายจึงยืดขยายตามไปด้วย เพราะเมาก็แค่คลานเข้านอนไม่เดือดร้อนใคร “ใคร ๆ ก็ดื่มในช่วงเวลานี้ นี่คือเรื่องปกติ”
บอกเลยว่าการเว้นระยะห่างจากสังคม (Social Distancing) นั้นดูเด็กไปเลยถ้าเทียบกับการห้ามเดินทางเข้า-ออกและปิดเมือง (Lockdown) แม้มาตรการนี้จะสร้างขึ้นเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ช่วยชีวิตผู้ป่วยมหาศาล และลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อีกด้านหนึ่งมาตรการดังกล่าวก็ทำให้หนุ่ม ๆ หลายคนต้องจมปลักอยู่ที่บ้าน ไม่ได้พบปะสังสรรค์กับผู้คน และขาดการปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพอย่างชัดเจน ซ้ำร้ายเมื่อผู้นำประเทศประกาศปิดเมืองอย่างจริงจัง ยิ่งทำให้มวลความเหงาแทรกซึมไปทั่วทุกพื้นที่แบบไร้อาณาเขต จนผู้ชายบางคนถูกความเหงากัดกินและรันโรมโจมตีจิตใจเข้าอย่างจัง ความเหงาเป็นเหมือนช่องว่างตรงกลางระหว่างสิ่งที่เราต้องการจากคนอื่นกับสิ่งที่เราได้รับจากคนอื่น เมื่อเราต้องการบางสิ่งบางอย่างจากเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก แต่กลับไม่ได้รับสิ่งนั้นมักจะทำให้เรารู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อ ๆ แต่ระหว่าง ‘ความเหงา’ กับ ‘สภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม’ มีเส้นบาง ๆ กั้นอยู่ ขณะที่ความเหงานิยามถึงความรู้สึกฟุ้งซ่านอันเนื่องมาจากการอยู่คนเดียวและไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้อื่น สภาวะโดดเดี่ยวทางสังคมกลับเกิดขึ้นต่อเมื่อเราขาดการติดต่อจากผู้อื่นเป็นระยะเวลานาน ซึ่งนั่นไม่ได้แปลว่าเราต้องรู้สึกเหงาเสมอไป แต่น่าแปลกที่มาตรการเว้นระยะห่างจากสังคม (Social Distancing) รวมทั้งมาตรการปิดเมือง (Lockdown) เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส COVID-19 กลับทำให้ใครหลายคนรู้สึกเหงาได้เหมือนกัน เพราะ ‘ความเหงา’ ไม่ใช่เรื่องเล็ก เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่รวมกัน เมื่อต้องแยกห่างจากกันเป็นระยะเวลานานแล้วทำให้รู้สึกเหงาก็คงไม่แปลกอะไร แต่มวลความเหงาที่ก่อตัวขึ้นในช่วงนี้นั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก ถึงขั้นที่รัฐบาลอังกฤษต้องแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความเหงา (Minister for Loneliness) อย่างเป็นทางการ เพื่อจัดทำกลยุทธ์บรรเทาความเหงาของประชาชนและสนับสนุนโครงการที่สร้างการเชื่อมต่อระหว่างประชาชนในช่วงที่ไวรัส COVID-19
เมื่อโบกมือลาเดือนพฤศจิกายนที่เพิ่งจากไปหมาด ๆ ลมหนาวแห่งเดือนธันวาคมก็พัดมาทักทายเป็นระลอก แม้อุณหภูมิเย็นยะเยือกจะมีให้เราสัมผัสได้เพียงไม่กี่วัน แต่ก็เป็นสัญญาณให้รู้ว่าเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงสิ้นปีกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่พาสาวคนรู้ใจไปเคานต์ดาวน์ในสถานที่โรแมนติก ในทางตรงกันข้ามกลับมีผู้ชายบางคนที่รู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อ ๆ ราวกับช่วงสิ้นเดือนธันวาคมนี้เป็นเทศกาลสุดห่วยของคนขี้เหงาอย่างไรอย่างนั้น ยิ่งบรรยากาศโดยรอบครึกครื้นและผู้คนคึกคักมากเท่าไร มวลความเหงาก็ยิ่งถาโถมมากเท่านั้น และ 7 วันอันตรายตั้งแต่คริสต์มาสไปจนถึงปีใหม่ ก็เป็นฤกษ์งามยามดีที่ความเหงาในใจใครหลาย ๆ คนกำเริบ วันนี้ UNLOCKMEN เลยอยากมาบอกวิธีกำจัดความเหงาทิ้งไป ป้องกันไม่ให้ตัวเองรู้สึกแย่ และเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ชายคนใหม่ที่เลิกเหงา (หรือเหงาน้อยลงกว่าเดิม) กำจัดความคิดเชิงลบทิ้งไป ด้วยหน้าที่การงานที่แตกต่างกัน อาจต้องยอมรับว่าการอยู่คนเดียวในช่วงเทศกาลเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับผู้ชายบางคน แต่ถ้าคุณไม่ได้รู้สึกว่าการฉลองอยู่ที่ห้องคนเดียวเป็นเรื่องผิดปกติ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง จริงอยู่ที่การอยู่คนเดียวทำให้รู้สึกเหงา แต่นั่นไม่ได้แปลว่าคุณจะอยู่คนเดียวไปตลอดทั้งปี ถ้าหนุ่ม ๆ สามารถกำจัดความคิดเชิงลบที่เรียกว่า ‘ความเหงา’ ทิ้งไปได้ คุณจะรู้ว่าบางครั้งการอยู่คนเดียวก็มีข้อดีเหมือนกัน เพราะมันอาจทำให้คุณตกผลึกทางความคิดกับบางเรื่องหรือเข้าใจตัวเองมากขึ้น พาตัวเองออกไปข้างนอก ถ้าอยู่ที่ห้องคนเดียวแล้วมันยิ่งเหงาหรือจิตใจฟุ้งซ่าน เราแนะนำให้หนุ่ม ๆ ออกไปพบปะสังสรรค์เพื่อนฝูง ไปดูดอกไม้ไฟ หรือเดินชมต้นคริสต์มาสที่ถูกประดับตกแต่งตามสถานที่ต่าง ๆ การออกไปเจอผู้คนมากหน้าหลายตาอาจช่วยทุเลาความเหงาในใจผู้ชายหลายคนได้ หรือถ้าใครอยากหลีกหนีจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ก็พาตัวเองไปท่องเที่ยวต่างจังหวัดหรือพักค้างแรมในสถานที่สงบ ๆ สักคืน เพื่อให้สมอง ร่างกาย และจิตใจได้พักผ่อน และชาร์จพลังกายพลังใจให้เต็มที่ก่อนกลับไปทำงาน (ที่เรารัก)
‘ความเหงา’ เป็นความรู้สึกปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกคน ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะเหงาตอนที่ต้องอยู่คนเดียว บ้างเหงาตอนที่สายฝนโหมกระหน่ำยามค่ำคืน แต่ผู้ชายบางคนกลับรู้สึกเหงาขึ้นมาดื้อ ๆ ในที่ทำงาน แม้ตลอด 8 ชั่วโมงที่วุ่นวายดูจะไม่มีเวลาว่างให้ความเหงาเข้าแทรกได้ แต่ผลสำรวจของเว็บไซต์ CV-Library เผยว่ามีพนักงานกว่าครึ่งกำลังรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว และเปล่าเปลี่ยวในที่ทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นไอ้ความเหงาที่แสนธรรมดานี้ดันส่งผลเสียต่อการทำงานของพวกเขาอย่างไม่น่าเชื่อ CV-Library หนึ่งในเว็บไซต์จัดหางานของอังกฤษได้สำรวจพนักงาน 2,000 คน เรื่องความรู้สึกเหงาในที่ทำงาน แม้พนักงานที่มีอายุระหว่าง 35-44 ปี จะเป็นช่วงวัยที่เหงามากที่สุด แต่ก็มีพนักงานกว่าครึ่งในบริษัทที่กำลังเผชิญปัญหาเช่นเดียวกันนี้ ปัจจัยที่ทำให้พนักงานรู้สึกเหงา เป็นเพราะพวกเขาต้องนั่งทำงานท่ามกลางหนุ่มสาวหน้าใหม่ไฟแรง เลยอดคิดไม่ได้ว่าตนแตกต่างจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ จึงเลือกจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับตัวเองมากกว่าเข้าไปทักทายหรือพูดคุย นานเข้าชีวิตที่ไร้บทสนทนากับเพื่อนร่วมงานจึงก่อตัวเป็นความเหงาโดยที่พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังรู้สึก ‘เหงา’ ในที่ทำงาน ไม่ว่าจะด้วยความต่างของช่วงวัย ลักษณะนิสัยส่วนตัว หรือบรรยากาศในออฟฟิศ นี่คือ 5 วิธีที่จะช่วยกำจัดความเหงาและทำให้คุณกลับมามีความสุขกับการทำงานอีกครั้ง! เริ่มบทสนทนากับเพื่อนร่วมงาน ออฟฟิศของคุณมีบรรยากาศเงียบเหงาหรือตัวคุณเองที่เงียบกันแน่? ถ้าไม่อยากรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดายในที่ทำงาน หนุ่ม ๆ อาจต้องพยายามสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ให้มากขึ้น เริ่มจากคำทักทายสั้น ๆ “อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนเป็นไงบ้าง” หรือประโยคบอกลาง่าย ๆ
บ่อยครั้งที่เรารู้สึกเหงา แปลกแยก และแสนเดียวดายบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินแสนอ้างว้างใบนี้ ไม่ว่ารอบกายจะมีคนรายล้อมหรือไม่ ความเหงาจู่โจมเราไม่เลือกสถานที่ งอกงามในหัวใจไม่เลือกเวลา จนเราอดสงสัยไม่ได้ว่ามีแค่เราหรือเปล่านะที่เหงาถึงเพียงนี้? คำตอบคือ ไม่ เราไม่ได้เหงาอยู่เพียงลำพัง เพราะโลกใบนี้เต็มไปด้วยคนเหงา และคนบางคนเขียนหนังสือที่ว่าด้วยความเหงา คนเหงา ความแปลกแยก ความโดดเดี่ยวเอาไว้ให้เราได้พินิจพิจารณาโดยละเอียด บางความเหงาอาจตรงกับสิ่งที่เรารู้สึก บางความเดียวดายอาจใกล้เคียงกับที่เราเคยคิด แต่ไม่มีความเหงาไหนที่เหมือนกัน และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่เราควรหาหนังสือ 6 เล่มนี้มาอ่าน เพื่อเข้าใจความเหงาในสารพัดมิติและรับมือกับมันให้ดีกว่าที่เคย ยอดมนุษย์ดาวเศร้า: องอาจ ชัยชาญชีพ “คุณเคยได้ยินเรื่อง 52Hz มั้ย? มันเป็นวาฬสีน้ำเงินที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในมหาสมุทรแปซิฟิคมาเป็นเวลานานถึงยี่สิบปี มันไม่อาจสื่อสารไปถึงวาฬตัวอื่นๆ ได้ เพราะคลื่นความถี่ 52Hz ของมัน ดันเป็นความถี่ที่ไม่เหมือนกับวาฬตัวใดในโลก มันจึงต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาตลอด…” เราเหงาที่สุดตอนไหน? ความเหงานั้นหน้าตาเป็นอย่างไร? ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่อ่านย่อหน้าข้างต้นจาก “ยอดมนุษย์ดาวเศร้า” แล้วรู้สึกว่าเจ้าวาฬ 52Hz คือเรื่องของคุณ เล่มนี้คือเล่มที่คุณไม่ควรพลาด แต่ไม่ต้องห่วงว่าหนังสือจะพาเราจมดิ่งไปในความเหงาเปลี่ยวดายจนไม่อาจย้อนคืน ตรงกันข้าม องอาจ ชัยชาญชีพ จะพาเราไปสำรวจความรู้สึกดิ่งลึกของเราในแง่มุมที่ชวนให้เข้าใจและยอมรับมันมากขึ้น พร้อมกับข้อความจาง ๆ ที่กระซิบบอกคนเหงาอย่างเราทุกคนว่า “อย่างน้อยคุณก็ไม่ได้เหงาอยู่เพียงลำพัง” และจำนวนพิมพ์ 14
กระแสของเรื่องราวของดาราศาสตร์ อวกาศกับดวงดาว เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงอยู่เป็นระยะ แถมในช่วงนี้องค์การอวกาศชื่อดังอย่าง NASA ก็กลับมามีบทบาทในสื่ออีกครั้งกับการครบรอบ 50 ปี ของการขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกของมนุษยชาติ และเมื่อพูดถึงอวกาศ ก็จะต้องนึกถึงบรรยากาศไร้แรงโน้มถ่วงนอกโลกกับสีดำสุดลูกหูลูกตาที่ยิ่งทำให้เคว้งคว้างกว่าเดิม ด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้ UNLOCKMEN เลือกหนังเกี่ยวกับอวกาศ 5 เรื่อง ที่ทั้งเศร้า เหงา หว่อง ไปจนถึงงุนงงมาให้ทุกคนได้ดูกันว่าชีวิตของเราในตอนนี้กับตัวละครในหนังใครจะเหงากว่ากัน The Martian (2015) ในขณะที่กลุ่มนักบินอวกาศกำลังสำรวจบนดาวอังคาร แต่กลับต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างพายุที่อาจสร้างความเสียหายให้กับยานจึงต้องยกเลิกภารกิจ ระหว่างการอพยพ Mark ถูกชิ้นส่วนของยานกระแทกจนกระเด็นออกห่างจากคนอื่นและทางยานก็ไม่พบสัญญาณชีพของเขา จึงต้องยกเลิกการค้นหาตัวเขาพร้อมนำยานออกจากดาวอังคาร แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ Mark ยังไม่ตาย Mark พาตัวเองไปยังศูนย์อาศัยไร้คนบนดาวอังคาร เขาตรวจสอบข้อมูลและพบว่ามนุษย์จะกลับมาที่ดาวอีกครั้งในอีก 4 ปี แต่เขามีอาหารที่จะประทังชีพเพียงแค่ 300 วัน ทำให้เขาต้องดึงความรู้เรื่องของพฤกษศาสตร์มาใช้ดำรงชีพพร้อมกับความรู้ทางวิศวกรรมเพื่อดัดแปลงรถ เครื่องยนต์ต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดได้นานที่สุด ในขณะที่โลกก็ทราบถึงการมีชีวิตของเขาและหาทางช่วยเหลือให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ The Martian (2015) เป็นผลงานกำกับของ Ridley Scott นำแสดงโดย Matt Damon และเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง
แม้เราจะเป็นผู้ชายที่เติบโตมาในยุคที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกทั้งใบได้แค่ปลายนิ้วคลิ้ก แต่ดูเหมือนปัญหาางความรู้สึกอย่าง “ความเหงา”จะทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน กลับกลายเป็นว่าการอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่รถราขวักไขว่และผู้คนมากมาย กลับทำให้เราเหงาลึก ๆ ในใจเข้าไปอีก แต่ความเหงาไม่ได้เท่ากับความอ่อนแอและมั่นใจเถอะว่า เราไม่ได้เหงาเพียงลำพัง อย่างน้อย ๆ ชาว UNLOCKMEN ก็เคยมีห้วงเวลาเหงา ๆ กับเขาเหมือนกัน แต่เวลาไหนที่จะเหงาจับขั้วหัวใจที่สุด และเราเลือกวิธีละลายความเหงาไปจากชีวิตยังไง ? มาตามอ่านแล้วเลือกไปใช้ ให้ครั้งหน้าไม่ต้องเหงายาว ๆ จนหดหู่อีกต่อไป เมื่อเช้าวันอาทิตย์คือความเหงา ตอนตื่นนอนวันอาทิตย์ วันหยุดสุดท้ายของสัปดาห์ ใจนึงก็อยากพัก อีกใจก็อยากไปเที่ยว – ทอฟฟี่ AE UNLOCKMEN เชื่อว่าหลาย ๆ คนเป็นไม่ต่างจากทอฟฟี่ เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันอาทิตย์แล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงอย่างเคว้งคว้าง เลือกไม่ถูกว่าจะนอนต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อพักผ่อนให้ฉ่ำใจ หรือจะพาตัวเองออกไปเที่ยวเล่นหาความสนุกดี แล้วจู่ ๆ ความรู้สึกว่าวันพักผ่อนกำลังจะหมดไปก็ทำให้ความเหงาปนเศร้าเกาะกุมหัวใจขึ้นมาทันที วิธีคลายเหงา: “คลายเหงาด้วยการทำงานบ้าน จัดตู้เสื้อผ้า คิดว่าจะใส่อะไรในอาทิตย์หน้าดี” ถึงจะไม่หายเหงาหมดจรด แต่การมีอะไรให้ตัวเองทำ ไม่จมอยู่แค่บนเตียง จัดห้องหรือบ้านให้น่าอยู่ รวมถึงคิดอะไรสนุก ๆ ที่รอเราอยู่ในวันจันทร์อย่างเรื่องแฟชั่นและการแต่งตัว ก็เป็นการกระชากเราออกจากอารมณ์โดดเดี่ยวได้ดีไม่น้อย
ใช้ชีวิตตอนกลางวันมันก็ไม่เป็นอะไร ยังรู้สึกใช้ชีวิตได้แบบปกติ แต่พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อไหร่ อาการแพ้กลางคืนคืบคลานเข้ามาหาทุกที ในคืนที่เหงา ๆ หันไปไม่เจอใครแบบนี้ อะไรจะดีไปกว่ามีเพลงที่เข้ากับบรรยากาศมาอยู่เป็นเพื่อน UNLOCKMEN ชวนมาฟัง 20 เพลงในคืนเหงาที่จะไม่ปล่อยให้เราเหงาเพียงคนเดียวอีกต่อไป แม้จะเหงามากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบไขว่คว้าใคร เอาไว้เราพร้อมที่จะมีใครสักคนจริง ๆ จะดีกว่าเลือกใครเข้ามาในชีวิตเพื่อคลายเหงา ให้เพลงอยู่เป็นเพื่อนเราดีกว่า เพราะอีกไม่นานก็จะเช้าแล้ว idealism – Wanna know มาเริ่มต้นกันด้วย Lo-Fi ลอย ๆ ที่ชวนให้เรารู้สึก Relax ไปกับเพลงนี้ ที่มีเนื้อเพลงมาจาก Do I Wanna Know – Arctic Monkeys ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง ซึ่งความพิเศษของเพลงนี้คือ Ambient เสียงจากธรรมชาติ ที่ยิ่งทำให้เพลงนี้ชวนให้ Relax เข้าไปใหญ่ Bon Iver – Watch อีกผลงานดี ๆ จาก Bon Iver ที่จะอัลบั้มไหน ๆ ก็ยังแฝงความเหงาเอาไว้ในน้ำเสียงแทบทุกเพลง โดยเฉพาะเพลงนี้ที่ยิ่งทวีความเหงาให้เราได้ด้วย
ถ้าแต่ละประเทศมีกระทรวงและรัฐมนตรีดูแลสิ่งที่โคตรจะสำคัญสำหรับประเทศตัวเอง ไม่ว่าจะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือจะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แล้วทำไมจะมี “รัฐมนตรีความเหงา” (Minister for loneliness) ด้วยไม่ได้ โดยรัฐมนตรีกำกับดูแลปัญหาความเหงาของประชาชน เป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลอังกฤษ เชื่อว่าผู้ชายสายหว่องสายเหงาชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายคงกึ่งดีใจกึ่งขำ ๆ ว่า WHAT THE F*** ความเหงามันต้องสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอวะ? จะสำคัญขนาดไหน UNLOCKMEN จะมาไขปริศนาให้ Tracey Crouch คือรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของความเหงา (อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในนิยายมุราคามิอย่างไรอย่างนั้น) โดยรัฐบาลอังกฤษเขาก็ไม่ได้แต่งตั้งรัฐมนตรีกำกับดูแลปัญหาความเหงาขึ้นมาเพื่อความคูล ๆ เท่ ๆ ให้เป็นข่าวดังไปทั่วโลกเล่น ๆ เท่านั้น เพราะความเหงากลายเป็นปัญหาสุดจริงจังในสหราชอาณาจักรเลยทีเดียว ปัญหาความเหงาส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 9 ล้านคนในสหราชอาณาจักร ผู้สูงอายุราว ๆ 2 แสนคนไม่ได้คุยกับญาติหรือเพื่อนตัวเองมากกว่า 1 เดือน! และคาดว่าครึ่งหนึ่งของคนที่อายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไปประมาณ 2 ล้านคนต้องอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ปัญหาความเหงาแพร่ระบาดไม่ได้จบแค่เพียงผู้สูงอายุเท่านั้น เพราะ 85% ของวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ต่างอยู่อย่างโดดเดี่ยว บางคนไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเลยเป็นวัน