การฟังเพลงหรือฟังดนตรี นอกจากจะได้ความบันเทิงและความเพลิดเพลินแล้ว บางครั้งมันส่งผลต่ออารมณ์ของเราให้ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราได้ฟังแนวดนตรีที่เราชื่นชอบ ก็ยิ่งทำให้เรามีความสุขกับท่วงทำนองที่ได้ยินง่ายดายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ทาง Unlockmen จึงขอหยิบยกประเด็นนี้มาเล่าให้ทุก ๆ คนได้ทราบกันว่าดนตรีส่งผลต่อเราได้แบบไหนกันบ้าง ดนตรีส่งผลต่อความเครียด ความเครียดไม่มีใครอยากเจอ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในชีวิตมนุษย์จริง ๆ ดังนั้นเราทุกคนจึงต้องคอยหาวิธีรับมือกับความเครียด เพื่อไม่ให้มันย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราจนป่วยทั้งกายและใจ ซึ่งดนตรีก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี แถมยังใกล้ตัวที่สุด ส่วนแนวเพลงที่เหมาะกับการฟังให้รู้สึกผ่อนคลาย เช่น เพลงคลาสสิก ที่จะช่วยปรับอารมณ์ของคุณให้สงบมากยิ่งขึ้น หรือจะลองฟังเป็นแนวเพลงดรีมป๊อป ก็น่าจะช่วยให้คุณเคลิบเคลิ้มไปกับเมโลดี้ได้เช่นกัน แต่หากคุณเป็นคอเพลงหนักกระโหลกอย่างเฮฟวี่เมทัล แม้ตัวเพลงจะรุนแรง แต่หากมันคือสิ่งที่คุณชอบแถมยังตรงจริต ก็เปิดฟังในช่วงเครียด ๆ รับรองว่าช่วยได้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นแล้วเพลงที่มีเนื้อหาให้กำลังใจก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่จะทำให้คุณรู้สึกเข้มแข็งได้มากยิ่งขึ้นเช่นกัน ดนตรีส่งผลต่อการกระตุ้นความทรงจำ เชื่อว่าหลาย ๆ คนต้องเคยผ่านพบเจอเหตุการณ์แบบนี้ คุณเคยรู้สึกใช่ไหมหากเราได้ยินเพลงเก่า ๆ ที่เราเคยฟังในวัยเด็ก สิ่งที่ตามมาคือภาพความทรงจำในช่วงเวลานั้น ๆ จะย้อนกลับมาให้เรานึกถึงราวกับฉากในภาพยนตร์เลยทีเดียว ตัวเพลงเองก็เปรียบเสมือนลิ้นชักของความทรงจำของเรา บางครั้งมันก็กระตุ้นอดีตอันแสนสุข บางครั้งมันก็กระตุ้นวิถีชีวิตที่เราใช้ในช่วงเวลาเหล่านั้น แต่ในบางครั้งมันก็กระตุ้นความทรงจำเศร้าที่เราเคยพบเจอมาได้เช่นกัน ดังนั้นหากเราอยากรำลึกถึงความทรงจำไหนซักเรื่อง ลองเปิดเพลงในช่วงเวลาเหล่านั้นดู รับรองได้ว่าภาพจะแฟลชแบ็คกลับมาอย่างแน่นอน เพลงเศร้าทำให้เราหายเศร้า แม้บางคนฟังเพลงเศร้าตอนที่กำลังเศร้าอาจจะทำให้อารมณ์ดำดิ่งไปมากกว่าเดิม แต่ในขณะเดียวในบางคนมันกลับให้ผลลัพธ์ที่ออกมาตรงกันข้าม เพลงเศร้าโดยส่วนมากที่พบเจอมักจะเต็มไปด้วยเรื่องความความผิดหวัง, การสูญเสีย หรือการจากลา ถึงแม้เนื้อหาจะชวนหดหู่ขนาดไหน
ความเจ็บปวดและความโศกเศร้าเป็นสิ่งที่กระทบกับจิตใจเรา คงไม่มีใครอยากเผชิญหน้ากับมัน แต่สัจธรรมคือเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันไปไหนได้เพราะความทุกข์ย่อมมาคู่กับความสุขเสมอ แต่การสะสมความเจ็บปวดไว้ในตัวเรามากเกินไปสุดท้ายมันจะส่งผลกระทบไปสู่อาการอันไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ เช่น ความเครียด, นอนไม่หลับ, วิตกกังวล อาจจะเป็นต้นตอของการเกิดสภาวะซึมเศร้าได้เช่นกัน ทุกคนต้องเจอกับความเจ็บปวด สิ่งที่แตกต่างคือการรับมือกับมันของแต่ละคน หากเราพยายามจะหนีจากมัน ความเจ็บปวดจะยิ่งติดอยู่ในความทรงจำ เราจะไม่มีทางลืมหรือสลัดมันหลุดไปได้ แต่หากเราเลือกที่จะเผชิญหน้ากับมัน ร้องไห้ออกมา แล้วหาทางแก้ปัญหาไม่ให้เราต้องเจ็บปวดจากสาเหตุเดิม ๆ อีก เราจะเอาชนะและก้าวข้ามความเจ็บปวดนั้นไปได้อย่างถาวร เหมือนกับตอนเราเป็นเด็ก เราวิ่งหกล้มเป็นแผล เรารู้สึกเจ็บ แม้ผู้ใหญ่จะมาปลอบเราด้วยการบอกว่า ไม่เจ็บหรอกนะ เดี๋ยวก็หาย แต่เราก็รู้ดีว่ามันเจ็บ การพยายามหลอกความรู้สึกจึงเป็นเรื่องที่ไรประโยชน์ เราควรรีบไปล้างแผล ปฐมพยาบาล และพยายามไม่หกล้มแบบเดิมอีก การหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ไม่เจ็บ หรือการหาทางออกเช่นการดื่มเหล้า เล่นยา เพื่อให้ลืมความเจ็บปวดนั้นไป มีแต่จะยิ่งสร้างบาดแผลให้ตัวเองเจ็บปวดมากขึ้น ส่งผลให้เกิดผลกระทบในระยะยามตามมา ดังนั้นการเผชิญหน้าเพื่อรับมือและแปรเปลี่ยนความเจ็บปวดนั้นให้เป็นส่ิงที่มีประโยชน์ต่อตัวเราเองกันดีกว่า แปรรูปความเจ็บปวดด้วยงานศิลปะ หนึ่งในอาชีพที่สามารถเปลี่ยนความเจ็บปวดให้กลายเป็นงานศิลปะได้ดีที่สุดก็คือ “ศิลปิน” ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี, นักแต่งเพลง, นัดวาดภาพ, นักเขียนหนังสือบทกวี หรือแม้กระทั่งนักเขียนนวนิยาย พวกเขาสามารถแปรเปลี่ยนห้วงอารมณ์อันมืดมนจนกลายเป็นผลงานที่ช่วยบรรเทาจิตใจ ต่อยอดจนเกิดเป็นการสร้างรายได้ในที่สุด เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่พูดกันลอย ๆ เพราะจากบทสัมภาษณ์ในหลาย ๆ
เคยใช่ไหมที่เรารู้สึกขุ่นเคืองใจทุกครั้งกับการประชุมในที่ทำงานเพราะความคิดเราโดนตีตก หรือเคยใช่ไหมที่ทะเลาะกับแฟนเพียงเพราะต้องการเอาชนะความคิดของเขาให้ได้ ปัญหาดังกล่าวที่เกิดขึ้นสามารถแก้ได้หากคุณสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งไหนคือการอภิปรายเพื่อถกหาข้อเท็จจริง หรือสิ่งไหนถือการโต้เถียงเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เราต้องการ สำหรับความแตกต่างของทั้ง 2 แบบคือ 1.การอภิปรายถือเป็นวิธีที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ความเคารพทางความคิดซึ่งกันและกัน 2.ข้อโต้เถียงคือการพยายามที่จะทำให้อีกฝั่งยอมรับความคิดของเราว่าถูกต้องหรืออยู่เหนือกว่า ความแตกต่างของการอภิปรายและการโต้เถียงมันยังบ่งบอกได้จากน้ำเสียง เช่นการโต้เถียงมักจะมาพร้อมกับน้ำเสียงที่พร้อมจะทำลายความมั่นใจของฝั่งตรงข้าม แต่การอภิปรายจะมีความนุ่มนวล ประณีประนอม มีพยายามทำความเข้าใจกับคนที่เห็นต่าง และช่วยขยายมุมมองของแต่ละฝ่ายให้กว้างออกไปมากยิ่งขึ้นได้จากข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้รวบรวมมา นอกจากนั้นการโต้เถึยงยังนำพามาสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยกัน เพราะมันทำให้คุณรู้สึกถึงการสูญเสียอำนาจหรือความสำคัญอะไรบางอย่างไปเพียงเพราะเรารู้สึกว่าความคิดเราไม่ได้รับการสนับสนุน จนบางครั้งสมองได้ไปกระตุ้นอะดรีนาลีนทำให้รู้สึกอยากจะให้คู่โต้แย้งต้องยอมรับในความคิดเราให้ได้ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากบุคคลที่ไม่สามารถควบคุมอีโก้ของตัวเองได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นการโต้แย้งด้วยอารมณ์จะไม่มีทางได้ไอเดียหรือการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องกลับมาอย่างแน่นอน การโต้เถียงอย่างรุนแรงไม่ได้ส่งผลลบให้กับชีวิตการทำงานเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงชีวิตคู่ด้วย บ่อยครั้งการทะเลาะกันของคู่รักมักจะใช้คำพูดที่รุนแรงหรือภาษากายบางอย่างเพื่อลดทอนคุณค่าของอีกฝ่ายเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกมีอำนาจเหนือกว่า และต้องการจะเอาชนะในการโต้เถียงนี้ให้ได้ จุดนี้มันอาจจะส่งผลไปสู่ความสัมพันธ์ที่ถดถอยลงจนสุดท้ายต้องเลิกราหย่าร้างกันไป ดังนั้นเราจึงต้องยอมรับความคิดเห็นซึ่งกันและกัน ยอมรับความเห็นต่าง แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นด้วยทุกประการก็ตาม ก่อนจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องใช้การตัดสินใจที่รอบครอบ หรือมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงในวงกว้าง เราก็ควรจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ ใช้สติให้มาก เปิดใจพร้อมรับฟังความคิดเห็นคนอื่น มันก็จะช่วยให้ชีวิตของคุณมีความสุขมากขึ้นจากที่เคยเป็นมาอย่างแน่นอนครับ Source : 1
“ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน” ประโยคสั้น ๆ แต่บ่งบอกความหมายได้ชัดเจน เพราะชีวิตเราในแต่ละวันล้วนแต่ต้องเผชิญปัญหาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว, ปัญหาภายในครอบครัว, ปัญหาเรื่องหน้าที่การงาน ซึ่งมันอาจจะลามกลายมาเป็นปัญหาสุขภาพได้ในภายหลังเช่นกัน เพราะฉะนั้นเราจึงควรต้องมีวิธีรับมือและจัดการกับสิ่งเหล่านั้น เพื่อช่วยให้ชีวิตของเราสามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ที่มักแวะเข้ามาทักทายไปได้ มาทำความรู้จัก 5 วิธีงัดกับปัญหาที่จะทำให้ชีวิตของเราแข็งแกร่งมากกว่าเดิมกันครับ 1.สร้างพื้นที่ลดความเครียด การที่คนเราทำงานใด ๆ ก็ตามอยู่เพียงอย่างเดียว มักจะทำให้เราไม่เห็นทางออกการปลดปล่อยความเครียดออกมาได้ เพราะมันเปรียบเสมือนโลกใบเดียวที่คุณมีอยู่ ทั้งที่จริง ๆ แล้วตัวคุณเองสามารถสร้างโลกใบใหม่ได้อีกหลายใบตามใจต้องการ โลกที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องราวเหนือจินตนาการ แต่มันคือการหางานอดิเรกที่คุณชอบทำมันให้จริงจังเพิ่มเติมซะ ไม่ว่าจะเป็นการแคสต์เกมส์, การเล่นดนตรี หรือแม้กระทั่งการปลูกต้นไม้ เพราะสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้คุณมีความสุขทุกครั้งที่ได้ใช้เวลาอยู่กับมันนั่นเอง เมื่อศูนย์กลางของคุณไม่ได้มีเพียงที่เดียว คุณก็สามารถบรรเทาความทุกข์ ความเครียดต่าง ๆ ด้วยงานอดิเรกเหล่านี้ได้ ซึ่งไม่แน่ว่าในสถานการณ์เลวร้ายสุด ๆ อย่างเช่นต้องตกงาน สิ่งเหล่านี้อาจจะช่วยสร้างรายได้ให้กับคุณได้เช่นกัน 2.ควบคุมอารมณ์ไม่ใช่ให้อารมณ์ควบคุม บ่อยครั้งที่ความเครียดเกิดจากการพาตัวเองเข้าไปสู่อารมณ์ที่ย่ำแย่จนเราไม่สามารถรับมือกับมันได้ กลายเป็นการสร้างปัญหาที่มีผลกระทบกับตัวเราเองรวมไปถึงคนรอบข้าง เพราะฉะนั้นการควบคุมอารมณ์จึงจำเป็นอย่างมากที่คุณจะต้องเรียนรู้ วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้คุณรู้ว่าสภาวะอารมณ์ของคุณรุนแรงหรือบอบช้ำขนาดไหน เราอยากให้คุณลองหยิบสมุดขึ้นมาจดความรู้สึกเหล่านั้นลงไปในขณะที่มีอารมณ์กำลังปะทุขึ้น เพราะเมื่อเวลาผ่านไปมันจะทำให้คุณรู้ว่าอารมณ์มันได้ควบคุมคุณจนไปถึงจุดไหน และตัวคุณในตอนนั้นเป็นอย่างไร สิ่งต่าง
“ดนตรี” คือสิ่งที่อยู่คู่กับเราในทุกจังหวะชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้า, เพลงเร็ว, เพลงเศร้า, เพลงอกหัก, เพลงโลกสดใส หรืออะไรก็ตาม มันเปรียบเสมือนซาวด์แทร็กประจำตัวที่คอยบันทึกความทรงจำและความรู้สึกของช่วงเวลาต่าง ๆ ในชีวิตเอาไว้ และแน่นอนมันยังเป็นสิ่งที่มอบความบันเทิงให้กับเราได้อยู่เสมอ แต่นอกเหนือจากสิ่งที่ได้เกริ่นมา ดนตรียังสามารถใช้ในการจัดการอารมณ์และสภาวะจิตใจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตัวเราได้อีกด้วย มาลองทำความเข้าใจและใช้ดนตรีให้เกิดประโยชน์ในรูปแบบใหม่ ๆ กันดีกว่าครับ ใช้ดนตรีปรับสภาวะอารมณ์ หากไม่ใช่แนวเพลงที่ชอบคุณอาจจะรู้สึกรำคาญใจในการฝืนฟังมันต่อไปเรื่อย ๆ นอกจากนั้นแล้วมันยังส่งผลให้มีอารมณ์ด้านลบและความเครียดเกิดขึ้นมาได้ ซึ่งแน่นอนว่ามันจะส่งต่อไปกระทบต่อสภาพจิตใจโดยตรง แต่ในทางกลับกันถ้าเมื่อไหร่ที่ได้ฟังเพลงที่กระตุ้นให้คุณรู้สึกอารมณ์ดี นั่นหมายความว่าคุณกำลังเจอแนวเพลงที่ใช่และเหมาะกับคุณแล้ว ตัวอย่างเช่น หากคุณชื่นชอบเพลงเมทัลและเข้าใจบริบทของมันเป็นอย่างดี มันก็จะช่วยให้คุณสามารถฟังเพลงไปแบบชิล ๆ พร้อมกับสร้างบรรยากาศที่เราเอนจอยกับกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ได้ ณ ขณะนั้น ทั้งนี้องค์ประกอบของแนวเพลงที่แตกต่างกันออกไปก็มีผลต่อสมองในรูปแบบที่แตกต่างออกไปเช่นกัน คุณก็ควรเลือกแนวเพลงให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่คุณต้องการจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด ใช้ดนตรีสร้างความผ่อนคลาย ดนตรีถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการพาตัวเองเข้าสู่โหมดความผ่อนคลายสลายความเครียดที่ต้องเผชิญมา เรื่องดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่เรารู้สึกไปเอง เพราะมีนักวิจัยได้ทดลองและพบว่าดนตรีเป็นสิ่งที่ช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลายได้ในระยะเวลาอันสั้น พวกเขาได้ทดลองใช้การมิกซ์เสียงที่หลากหลาย, ทดลองใช้คลื่นความถี่ และทดลองใช้แอมพลิจูด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ว่าดนตรีประเภทไหนสามารถทำให้ผู้ทดสอบรู้สึกสงบลงและผ่อนคลายไปในเวลาเดียวกัน และก็เป็นแนวเพลงคลาสสิคเช่นผลงานของโชแปง ที่ได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนน่าจะพอคาดเดากันได้ ใช้ดนตรีสร้างสมาธิ หลาย ๆ คนอาจจะเคยเผชิญอาการหลุดสมาธิในระหว่างการทำงาน สิ่งเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการฟังเพลงเช่นกัน นักวิจัยได้ค้นพบว่าบทเพลงของโมสาร์ทหรือแนวดนตรีที่ใกล้เคียงกันสามารถช่วยเพิ่มสมาธิให้กับเราได้ เนื่องจากดนตรีเหล่านี้จะส่งอิทธิพลไปยังพื้นที่สมองที่รับผิดชอบในเรื่องของการจดจำได้โดยตรง
พอโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว หลายคนต้องออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว และห่างเหินกับคนรอบตัวมากขึ้น ทำให้พอเจอปัญหารุมเร้าแล้วเครียด ก็ไม่สามารถรับมือกับมันได้เหมือนเดิม จะมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นใครที่จะขอคำปรึกษาได้ ถ้าใครกำลังมีช่วงเวลาแบบนี้ เราอยากแนะนำให้ทุกคนเริ่มให้กำลังใจตัวเองกัน ซึ่งวิธีเหล่านี้จะช่วยให้เราดีขึ้นได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องพึ่งพาใคร ให้เวลากับตัวเอง ในแต่ละวันเราอาจวุ่นอยู่กับการทำตามใจคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น เจ้านาย คนในครอบครัว หรือ เพื่อน จนลืมที่จะทำอะไรเพื่อตัวเองไป นาน ๆ เข้าก็อาจรู้สึกเหมือนหลงทาง ดังนั้น เพื่อให้เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความหมายดังเดิม เราควรหาเวลาว่างอย่างน้อย 10 – 15 นาทีในการอยู่กับตัวเอง ซึ่งเราสามารถใช้เวลาตรงนั้นทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น นอน นั่งสมาธิ หรือ เดินไปรอบห้อง แต่จำไว้ว่าพอยซ์ของกิจกรรมนี้ คือ การทำให้เราหันมาสนใจและตอบสนองความต้องการของตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดแรงจูงใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นได้ อย่าคิดว่ากำลังแข่งกับคนอื่นอยู่ นิสัยอย่างหนึ่งที่หลายคนมักชอบทำ คือ การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เช่น เห็นคนอื่นก้าวหน้ากว่า แล้วเกิดอาการดูถูกตัวเอง เป็นต้น ซึ่งปัญหานี้ทำให้เกิดผลเสียต่อตัวเรา คือ มันบั่นทอนกำลังใจ และทำให้เรามองข้ามสิ่งสำคัญที่เราต้องทำอยู่เสมอ ดังนั้น เราควรโฟกัสที่ตัวเองมากกว่าคู่แข่ง และหาทางว่าจะทำให้ผลงานของตัวเองดียิ่งขึ้นอย่างไรจะดีกว่า เปลี่ยนความคิดเรื่องความล้มเหลวใหม่ เพราะความสิ้นหวังมักทำให้เราไม่กล้าลงมือทำอะไรใหม่ ๆ
มีหลายสาเหตุที่ความสัมพันธ์ทำให้เรารู้สึกแย่ อึดอัด และไม่มีความสุข สาเหตุนั้นอาจเกิดขึ้นจากตัวของเราเอง สาเหตุนั้นอาจเกิดขึ้นจากอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากสาเหตุใด ปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวเราเอง ก็เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ง่ายกว่าเสมอ ในบทความนี้เราเลยอยากจะโฟกัสไปที่ปัญหาในส่วนของตัวเราเอง คือ การไม่มีความยืดหยุ่นทางจิตใจ (psychological inflexibility) ซึ่งมันอาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสุขในการใช้ชีวิตคู่อย่างมาก และเรามีคำแนะนำเรื่องวิธีการพัฒนาตัวเองให้มีความยืดหยุ่นทางจิตใจมากขึ้นมาฝากทุกคนด้วย What is psychological flexibility ? เวลาเราต้องเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราแต่ละคนรับมือกับปัญหาเหล่านั้นได้แตกต่างกัน คือ ความยืดหยุ่นทางจิตวิทยา (psychological flexibility) คนที่มีความยืดหยุ่นต่ำอาจเกิดความเครียดสูงเวลาเจอกับปัญหา และไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ดี ในขณะที่ คนที่มีความยืดหยุ่นสูงอาจจะตั้งสติและคิดแก้ปัญหาได้ดีกว่า เมื่อเจอปัญหาเดียวกัน ความยืดหยุ่นทางจิตวิทยา (psychological flexibility) คือ ทักษะในการรับมือกับความคิด ความรู้สึก อารมณ์ รวมถึงประสบการณ์ที่ยากลำบากและมีความท้าทาย ลักษณะของความยืดหยุ่นทางจิตวิทยาก็เช่น เปิดรับและยอมรับทุกประสบการณ์ไม่ว่าจะดีหรือร้าย มีสติรู้ตัวและอยู่กับปัจจุบันได้ตลอดทั้งวัน รับมือกับความคิดและความรู้สึกแย่ ๆ ได้โดยไม่ยึดติดกับมัน สามารถมองปัญหาแบบรอบด้านแม้จะอยู่ในความคิดแย่ ๆ หรือความรู้สึกที่เลวร้าย ยึดมั่นในคุณค่าของตัวเองแม้จะเจอกับความเครียดหรือความวุ่นวาย รวมถึง ไม่ล้มเลิกที่จะทำตามเป้าหมายแม้จะเจอกับอุปสรรค์และความยากลำบาก ในทางกลับกัน หากเราไม่มีทักษะนี้ เราอาจใช้ชีวิตได้อย่างไม่มีความสุข