หมุนเข็มวินาทีตีเวลากลับไปตอน ปี 1949 ความงาม มนต์เสน่ห์ ความหลงใหล คือคำนิยามที่ใช้เรียกถึงเรือนเวลารุ่นหนึ่งของ OMEGA ที่มีชื่อว่า ‘Trésor’ เรือนเวลาซึ่งถูกให้ความหมายเอาไว้ว่า ‘ขุมสมบัติ’ ที่ซ่อนอยู่ในตัวนาฬิกา เวลาล่วงเลยผ่านไปจากช่วงเวลาข้างต้นหลายร้อยชั่วโมงต่อมา ชื่อของ Trésor มีความหมายเปลี่ยนไปอีกครั้ง ด้วยการใช้อธิบายถึงรูปทรงอันสง่างามของเรือนเวลาในรุ่นต่อจากโมเดลแรก มีการประดับด้วยเพชร ดีไซน์ด้วยตัวเลขโรมัน วางให้มีไซส์เล็กกระทัดรัดลง ตกแต่งด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมาย และแล้ววันแห่งความรักปี 2024 นี้ ชื่อของ Trésor จะสะกดให้ทุกสายตาให้ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง กับเรือนเวลารุ่นล่าสุด OMEGA Mini Trésor ที่มีทั้งหมดถึง 5 รุ่น ประกอบขึ้นจากวัสดุสุดเลิศหรู ซึ่งจะนิยามคำว่า ‘มนต์เสน่ห์’ ใหม่อีกครั้งนึง OMEGA Mini Trésor มาด้วยขนาดกระทัดรัด 26 มม. ซึ่งเป็นไซส์ที่ถูกวางมาแล้วว่าเมื่ออยู่บนข้อมือจะทำให้ทั้งคนสวมใส่และคนที่มองรู้สึกถึงความละเอียดอ่อนอันแบบบางของรุ่นนี้ หน้าปัดถูกประดับอย่างแววาวด้วยเพชรโอบร้อมลอบเรียงเม็ดเป็นรูปทรงเว้าโค้ง (Diamon Curves) เข้าคู่กันไปอย่างดีกับตัวเลขหลักโรมัน พลิกดูที่ฝาหลังของทุกรุ่นจะเห็นงานดีไซน์ดอกไม้ ‘Her Time’
ไม่ว่าเทรนด์แฟชั่นจะหมุนไวขนาดไหน แต่คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ‘ความคลาสสิก’ ยังคงเป็นเทรนด์ที่อยู่ในกระแสมาอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่หวือหวา แต่ทว่าเรายังพบเจอกับกลุ่มคนที่ชื่นชอบการแต่งตัวแบบคลาสสิกสไตล์อยู่เสมอมา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือนาฬิกาที่สวมใส่ และในปี 2024 นี้ SEIKO 5 SPORTS ยังคงตอบโจทย์ชาวคลาสสิกอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเล่าเรื่องผ่านความคลาสสิกระดับตำนานผ่าน 2 รุ่นใหม่อย่าง SEIKO 5 SPORTS “Retro Color” Special Edition ที่มาพร้อมสีหน้าปัดสุดเรโทร และขอบหน้าปัดลวดลาย Rally จากยุค 60s-70s มาให้สาวกทั้งหลายได้หายคิดถึง เพราะแฟนพันธุ์แท้ Seiko 5 Sports คงจะทราบกันดีว่า ขอบ Rally นี้ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นดังในอดีตอย่าง Seiko 5 Sports Rally Diver 70 ที่ขึ้นหิ้งเป็นหนึ่งใน Rare item ที่หลายคนตามหา เรียกได้ว่าการมาของ SEIKO 5 SPORTS “Retro Color” Special
เปิดตัวในงาน LVMH Watch Week 2024 จักรกลระดับ Grand Complication เรือนล่าสุดจาก Hublot มาพร้อมชื่อที่ยาวไม่แพ้ป้ายราคา MP-10 Tourbillon Weight Energy System เป็นอีกครั้งที่ Hublot เลือกฉีกคำนิยามของนาฬิกาแบบเก่า ๆ ใช้ความกล้าหาญและสร้างสรรค์ในการดีไซน์ กลไก HUB9013 movement บอกเวลาผ่าน rolling cylinders time display คล้ายใน MP-05 LaFerrari โดยมีแหล่งพลังงานจาก sliding weights ที่ขยับขึ้นลงทุกครั้งที่เราขยับมือไปมา ควบคุมเวลาผ่าน inclined flying tourbillon ซึ่งมีการเพิ่ม seconds scale ลงไป เป็นครั้งแรกที่สามารถรวมสุดยอดกลไกระดับ grand-complication level ที่ซับซ้อนที่สุดมาไว้ในเรือนเดียวกันได้สำเร็จ วิธีดูเวลาของ MP-10 คือหลักชั่วโมงจะอยู่ที่ cylinders ด้านบนสุด ตามด้วยหลักนาทีด้านล่าง ลงมาจาก
ปีนี้ถือเป็นปีที่สำคัญมากสำหรับ Longines เนื่องจากเป็นปีที่ “Conquest” คอลเลคชั่นมีอายุครบ 70 ปี ตำนานที่เริ่มต้นขึ้นในปี 1954 และยังเป็นปีที่ชื่อ Conquest ถูกจดลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสสุดพิเศษให้กับคอลเลคชันนี้ Longines จึงออกแบบนาฬิการุ่นคลาสสิกนี้ขึ้นใหม่ภายใต้ชื่อ Conquest Heritage Central Power Reserve ที่ได้แรงบันดาลใจจาก Conquest Power Reserve ลำดับที่ 2 ในปี 1959 กับจุดเด่นที่สะเทือนโลกนาฬิกาด้วยจากดิสเพลย์พลังงานสำรองบนจานหมุน (rotating disc) ที่ตั้งอยู่กลางหน้าปัด บ่งบอกระดับพลังงานสำรองที่เหลืออยู่ ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ที่คิดค้นและจะพบได้เฉพาะที่ Longines เท่านั้น เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับ 70 ปีแห่งนวัตกรรมและความสง่างามของ Longines Conquest collection เราจะพาทุกท่านย้อนเวลาไปทำความรู้จักกับ Conquest ให้ดีขึ้นตั้งแต่เรือนแรกในปี 1954 จนถึงเรือนล่าสุดเพื่อพิสูจน์ความสง่างามเหนือกาลเวลาของนาฬิการุ่นนี้กันครับ 1954 – LONGINES CONQUEST REF. 9001 ; ตัวเรือนขนาด
ผ่านเวลามา 50 ปี ความคลาสสิกจากงานดีไซน์เรือนเวลารูปทรง TV ที่ผสานรูปร่างสี่เหลี่ยมเข้าไว้กับความโค้งมนได้อย่างกลมกล่อม พร้อมคืนชีพอีกครั้งกับ MIDO Multifort TV Big Date ตัวแทนความเก๋าด้านงานออกแบบที่พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน หลังจากที่ Mido เคยเผยโฉมนาฬิกาทรง TV สุดคลาสสิกมาแล้วเมื่อปี 1973, 1980 และ 2000 ล่าสุดตำนานเรือนเวลาหน้า TV ได้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งบน MIDO Multifort TV Big Date ซึ่งโดดเด่นด้วยการออกแบบที่คลาสสิกร่วมสมัย เต็มไปด้วยเสน่ห์ของหน้าปัดสะท้อนแสงโชว์เอฟเฟกต์การไล่เฉดแสงสีที่น่าหลงใหลจากโทนสีหลักกลางหน้าปัดไปจนสุดขอบสีดำ ตัวเรือนสเตนเลสของ MIDO Multifort TV Big Date ดูลงตัวมีมิติด้วยการขัดเงาแนวนอนอย่างเด่นชัด ขาดไม่ได้กับความโดดเด่นของ ‘BIG DATE’ หน้าต่างวันที่ขนาดใหญ่ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา นอกจากนี้ภายใต้กระจกแซฟไฟร์ด้านหลังตัวเรือนยังเผยให้เห็นความงามของกลไก Caliber 80 สุดแม่นยำ พร้อมรองรับการสำรองพลังงานได้สูงสุด 80 ชั่วโมง เหมาะมากสำหรับเป็น Every Day
Sartory-Billard เปิดตัวซีรีส์ SB06 ก้าวทะยานไปข้างหน้าด้วยนาฬิกา Flying Tourbillon แบบสั่งทำพิเศษ ประเดิมความลำหน้าด้วยกลไก SBTV01 ที่เป็นเอกสิทธิ์ของ Sartory-Billard ถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยความแม่นยำอย่างพิถีพิถันโดย Comblemine นาฬิกาเหล่านี้ไม่เพียงแสดงถึงความก้าวหน้าในด้านความซับซ้อนเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นต่อค่านิยมหลักของแบรนด์ในด้านความพิเศษเฉพาะตัวและความเป็นปัจเจกในแต่ละบุคคลอีกด้วย ในฤดูร้อนปี 2021 Sartory-Billard เริ่มต้นการเดินทางครั้งสำคัญในการผลิตนาฬิกาเมื่อ Cronotempvs Watch Club ติดต่อเข้ามาเพื่อขอให้แบรนด์ผลิตนาฬิกา Flying Tourbillon ที่รวบรวม DNA อันเป็นเอกลักษณ์ของ Sartory-Billard สิ่งที่ดูเหมือนเป็นการเลือกกลไกมาตรฐานอย่างตรงไปตรงมาในครั้งนั้นได้กลายมาเป็นหัวใจในการพัฒนากลไกของตนเองครั้งแรกของแบรนด์อย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสองปีกว่าทำให้ Armand Billard ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดกับกลุ่ม Cronotempvs เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ ออกแบบ และพัฒนากลไกร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคและช่างทำนาฬิกาที่ Comblemine เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดด้วยคุณสมบัติที่เป็นนวัตกรรมใหม่ เช่น sapphire bridges และรายละเอียดที่ซับซ้อนอีกมากมาย กระบวนการเหล่านี้สร้างความท้าทายให้กับ Comblemine และซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนจำนวนมากให้ตระหนักถึงการออกแบบที่ทะเยอทะยานและมีรายละเอียดที่ประณีต Sartory-Billard รุ่นใหม่นี้มีจำหน่ายทั้งในรูปแบบ 12 ชั่วโมงและ 24 ชั่วโมง โดยแต่ละรูปแบบจะมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร รุ่น
Cartier แบรนด์เครื่องประดับและนาฬิกาสัญชาติฝรั่งเศส เปิดตัว แทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ แบงค็อก อิดิชั่น (Tank Louis Cartier Bangkok Edition) เรือนเวลาที่รังสรรค์ขึ้นเป็นพิเศษสำหรับประเทศไทย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากสมญานามของประเทศไทย “The Golden Kingdom” โดยได้เลือกใช้โทนสีทองที่สื่อถึงวัฒนธรรมไทย ขณะที่ยังคงเอกลักษณ์ความสมดุลด้านดีไซน์และความสง่างามไร้กาลเวลาของเรือนเวลาตระกูลแทงก์ (Tank) ไว้อย่างครบครัน พร้อมตอกย้ำความพิเศษของเรือนเวลารุ่นนี้ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 67 เรือนเท่านั้น เรือนเวลาตระกูลแทงก์ (Tank) เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นไอคอนิคของคาร์เทียร์มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1917 ซึ่งเป็นปีที่หลุยส์ คาร์เทียร์ (Louis Cartier) ได้รังสรรค์เรือนเวลาทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึ้นจากความประทับใจในรูปทรงของรถถังฝรั่งเศสด้วยรูปทรงเรขาคณิตของหน้าปัดและกรอบคู่แนวตั้งขนาบตัวเรือน ที่ดูคล้ายภาพจำลองของรถถังเมื่อมองจากมุมสูง ทำให้ดีไซน์ของแทงก์มีความโดดเด่นล้ำสมัย ต่างกับนาฬิกาส่วนใหญ่ในยุคนั้นที่มีหน้าปัดทรงกลม ต่อมาในปี 1922 คาร์เทียร์ได้รังสรรค์เรือนเวลา แทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ (Tank Louis Cartier) ที่ยังคงเอกลักษณ์ดีไซน์เรขาคณิตของแทงก์ แต่แตกต่างที่กรอบข้างตัวเรือนมีความโค้งมนมากขึ้น สร้างความสมดุลจนพิชิตใจคนรักนาฬิกาทั่วโลก ไล่เรียงตั้งแต่สมาชิกราชวงศ์ ไปจนถึงบุคคลชั้นนำ และหลุยส์ คาร์เทียร์ ผู้สวมใส่นาฬิการุ่นนี้เป็นประจำจนเป็นที่มาของชื่อรุ่น ความสำเร็จของแทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ รุ่นแรกเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการปรับเปลี่ยนและตีความใหม่อีกหลายครั้ง แทงก์ หลุยส์ คาร์เทียร์ แบงค็อก คือผลลัพธ์จากการตีความครั้งล่าสุดที่โดดเด่นสะดุดตาแต่แรกเห็น ด้วยตัวเรือนขนาด 33.7 x 25.5 มม. เพรียวบางเพียง 6.6 มม.
Swatch Group เปิดตัวปีใหม่อย่างดุดันด้วย Scuba Fifty Collection ล่าสุด เป็น Blancpain X Swatch รุ่นที่ 6 “Ocean of Storms” ในโทนสีดำ ตัวเรือน black bioceramic case ผิว satin-finished ขนาด 42.3mm x 14.4mm x 48mm (lug-to-lug) หน้าปัดดำตัดกับ markers และ hands สีขาว รวมถึงเส้นนาทีบนขอบได้อย่างลงตัว เพิ่มรายละเอียดด้วยตัวเลขกันน้ำลึก 91 เมตรสีส้ม และยังคงใช้สาย NATO-style เช่นเดียวกับรุ่นอื่น ๆ ใน collection เดียวกัน ถือว่าเป็นการเปิดตัวที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจ เพราะเดิมเราเข้าใจว่า Scuba Fifty น่าจะมีแค่ 5 รุ่นตามชื่อ Ocean ซึ่งมีเพียง
“Dream Project #2” Ref. G-D001 ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธีมการพัฒนาที่มีชื่อว่า “BREAK THE BOUNDARY” โปรเจ็กต์ใหม่นี้เดินตามรอย Dream Project ก่อนหน้านี้ที่เป็นที่ระลึกการครบรอบ 35 ปีของ G-SHOCK ออกแบบโดยใช้ AI เข้ามาช่วยปรับแต่งดีไซน์ภายนอก ตัวเรือน กรอบ และสายใช้วัสดุทอง 18K ผ่านการขัดเงาด้วยมืออย่างละเอียดและพิถีถันโดยช่างฝีมือชั้นเลิศ ซึ่งลงลึกไปถึงจุดที่ยากต่อการเข้าถึงทำให้ส่วนประกอบมีความเงางามอย่างน่าเหลือเชื่อ การออกแบบดีไซน์แบบ Generative ที่ใช้ประโยชน์จาก AI ถูกนำมาใช้กับกระบวนการออกแบบภายนอก ข้อมูลที่สะสมมานานกว่า 40 ของการพัฒนา G-SHOCK ที่อ้างอิงตามกรอบการออกแบบที่สร้างสรรค์โดยมนุษย์ ได้รับการป้อนเข้าสู่ระบบ AI เพื่อสร้างโมเดล 3 มิติที่เหมาะสำหรับปัจจัยต่างๆ รวมถึงความแข็งแรงของโครงสร้าง ลักษณะของวัสดุ และวิธีการที่จะใช้ มีการแก้ไขซ้ำด้วยมนุษย์เพิ่มเติมหลังจากที่ได้คำแนะนำจาก AI เพื่อสร้างส่วนประกอบภายนอกที่ให้สัมผัสของการออกแบบที่สร้างสรรค์และเป็นต้นฉบับรวมถึงการใช้งานที่เหนือกว่า ในฐานะที่เป็นวัสดุสำหรับส่วนประกอบภายนอกที่สำคัญ ทองคำ 18k ได้รับการนำมาใช้เพื่อให้ความแวววาวที่ลึกซึ้งและสวยงาม รูปแบบที่ซับซ้อน ดั้งเดิม และแม่นยำของกรอบและสายสร้างขึ้นด้วยกระบวนการหล่อแบบ Lost-wax ที่มักจะใช้ในการทำเครื่องประดับและเครื่องใช้ชั้นดีอื่นๆ
คงยากจะปฏิเสธว่าความเป็นปัจเจกคือคุณค่าที่มีราคาเฉพาะตัว และราคาที่ว่านั้นคือสิ่งที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ รวมถึงใครอีกหลายคนยอมควักกระเป๋าจ่ายหากพอใจ ยืนยันได้จากไอเทม Limited Edition มากมายในโลกหล้า ซึ่งถูกซื้อขายส่งต่อไปด้วยราคาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานความพึงพอใจและความภาคภูมิใจของผู้ครอบครองล้วน ๆ โดยไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลใด ๆ ทั้งสิ้น และสำหรับวงการเรือนเวลา เหล่าผู้หลงใหลจักรกลบอกเวลาทั้งหลายคงรู้กันดีว่าเป็นอีกวงการที่นอกจากจะให้คุณค่ากับคุณภาพการผลิต, เทคโนโลยีบอกเวลาอันแม่นยำซับซ้อน รวมถึงชื่อชั้นประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแบรนด์ และเรื่องราวอันเป็นที่กล่าวขานของคอลเลคชันต่าง ๆ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งถือเป็นปัจจัยสร้างคุณค่าให้กับนาฬิกาแต่ละรุ่นแต่ละเรือน คงหนีไม่พ้นโมเดลพิเศษ Limited Edition ต่าง ๆ ที่จำกัดสิทธิ์การครอบครองไว้สำหรับไม่กี่คนในโลก แต่ถ้าคิดว่าการได้ครอบครองรุ่น Limited คือที่สุดแล้ว วงการนี้ยังไปได้สุดทางยิ่งกว่า เพราะยังมีอีกทางเลือกสำหรับสาย Customized ที่ช่วยสร้างความเป็นปัจเจกเสริมเอกลักษณ์ให้นาฬิกาหรูเรือนโปรดของพวกเรา ให้กลายเป็นไอเทมพิเศษไม่เหมือนใครในฐานะ ‘เรือนเดียวในโลก’ เราเชื่อว่าใครที่เล่นนาฬิกาน่าจะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของ BLAKEN สำนักแต่งเรือนเวลาจากประเทศเยอรมันกันมาบ้างพอสมควร กับเรื่องราวงานปรับแต่งนาฬิกาแบรนด์หรูหลากรุ่นเพื่อสร้างคุณค่าด้วยเอกลักษณ์ที่แตกต่างให้เรือนเวลารุ่นนั้น ๆ มีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของ BLAKEN โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในส่วนกลไกบอกเวลา เพื่อเคารพและยังคงไว้ซึ่งความคลาสสิกของเทคโนโลยีที่แบรนด์ต้นกำเนิดภาคภูมิใจ โดยการ Customized ขั้นสูงที่ทำให้ BLAKEN โดดเด่นและแตกต่าง ทำให้ซีรีส์พิเศษจาก BLAKEN ที่ผลิตมาเพียงไม่กี่เรือนในโลกนั้นต่างเป็นที่ต้องการของนักสะสม อีกทั้งยังเป็นที่ไว้วางใจในการสั่งผลิตแบบ Personalized เรือนเดียวในโลก