ข้อดีของระบบออนไลน์คือการที่เราสามารถเก็บข้อมูลมาประมวลผลในรูปแบบของตัวเลขได้ ซึ่งน่าจะทำให้เป็นเรื่องการสำหรับนักจดสถิติต่าง ๆ อย่างเช่นเรื่องที่เรากำลังจะนำมาเสนอนี้ เมื่อ Instagram โชว์สถิติตัวเลขของการ Hashtag # รองเท้าสนีกเกอร์ที่ได้รับความสนใจและถูกโพสต์มากที่สุดบนแพลตฟอร์ม Instagram แม้ว่าจะดูเหมือนในรอบปีที่ผ่านรองเท้าจากค่ายดังอย่าง Nike จะได้รับความนิยมมากกว่า แต่ทว่ากลับมีเรื่องน่าประหลาดใจอย่างมากเมื่อไม่มีรองเท้าจากแบรนด์ Swoosh ติดอันดับ 1 ถึง 5 ด้วยซ้ำ ซึ่ง UNLOCKMEN ต้องของบอก่อนว่าลิสต์ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดและส่งผลถึงความนิยม เพราะการโพสต์แล้วติด Hashtag # นั้นอาจจะเป็นการโพสต์ขายสินค้าหรือแคมเปญโฆษณาก็เป็นได้ #1 adidas NMD แม้ว่าในปัจจุบันรองเท้า NMD จะไม่ได้การเป็นแรร์ไอเทมชนิดต้องไปต่อแถวแย่งกันซื้ออีกเหมือนสมัยก่อน แต่ทว่าบนโลกออนไลน์ รองเท้ารุ่นดังกล่าวก็ยังฮอตฮิต โดยมีการติด Hashtag รวมกันมากกว่า 5,709,871 ครั้งในปีที่ผ่านมา #2 adidas Yeezy 350 ตอนแรก UNLOCKMEN คิดว่ารองเท้าโมเดล Yeezy 350 จะต้องเข้าวินมาเป็นอันดับ 1 แต่ยังดีที่ไม่พลิกโผไปไกล เพราะด้วยจำนวนครั้งที่ถูกติดแท็กมากกว่า 4,198,238 ครั้ง ก็ถือว่าเป็นตัวเลขความนิยมที่ค่อนข้างยอดเยี่ยมสำหรับรองเท้าจากฝีมือของ
ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าในปัจจุบันพฤติกรรมของหนุ่ม ๆ ที่เริ่มหันมาให้ความสนใจเกี่ยวกับเรือนเวลาบนข้อมือกันมากขึ้น โดยเฉพาะนาฬิกาข้อมือประเภท Smartwatch ที่เข้ามามีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับชีวิตคนยุคใหม่ ซึ่งมีกิจกรรมแสนยุ่งเหยิงในแต่ละวัน มาลองดูกันว่าในวันนี้ UNLOCKMEN จะมีนาฬิกาอัจฉริยะอะไรเจ๋ง ๆ มาแนะนำกัน HUBLOT BIG BANG REFERENCE FIFA WORLD CUP RUSSIA เรือนเวลารุ่นล่าสุดที่เพิ่งจะเปิดตัวในงาน Basel World 2018 ซึ่งนับเป็นรุ่นที่สามเพื่อต้อนรับมหกรรมฟุตบอลโลกโดยเฉพาะ ความพิเศษของนาฬิกา HUBLOT BIG BANG REFERENCE FIFA WORLD CUP RUSSIA คือจำนวนจำกัดที่มีเพียง 2018 เรือนเท่านั้น แถมออกแบบหน้าปัดเพื่อเอาใจแฟนคลับ พร้อมกล่องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแต่ละชาติที่ได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลกอีกด้วย สำหรับตัวเรือนทำมาจากไทเทเนียมขนาด 49.0 มิลลิเมตร พร้อมระบบดิจิทัลด้วยจอภาพเทคโนโลยี AMOLED ความละเอียด 400 x 400 พิกเซล และระบบปฎิบัติการ OS จาก Google แถมการเปลี่ยนสายที่เด่นด้วยระบบ One
เรียกได้ว่าอีเว้นท์เดียว BAPE เล่นสะจนพรุน ตั้งแต่ออกคอลเลคชั่นพิเศษกับ adidas ก่อนหน้านี้ในชื่อ “Winning Collection” ซึ่งมีทีเด็ดอยู่ที่รองเท้า Gazelle สีแดงสวยงาม แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่หนำใจ เพราะล่าสุด Bape ได้ปล่อยรวดเดียว 3 คอลเลคชั่น โดยทั้งหมดล้วนสอดคล้องกับช่วงเทศกาลบอลโลก มาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง เริ่มกันที่ Capsule คอลเลคชั่นตัวแรกคือการทำเสื้อยืดสุดพิเศษสองสี สองลายกราฟิค และลูกบอลที่ผลิตขึ้นมาเพื่อคอลเลคชั่นนี้โดยเฉพา สำหรับจุดเด่นจะอยู่ที่ลวดลาย Camo ที่ถูกนำมามาเลือกใช้เพื่อสามารถสื่อสารกับ Tagline ที่ชื่อว่า A Bathing Ape Performance โดยนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นการปูทางไปสู่การเปิดไลน์เสื้อผ้าใหม่ในอนาคตหรือเปล่า แต่รับรองว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ซึ่งสนนราคาของเสื้อยืดกราฟิคอยู่ที่ $62 (2,0xx บาท) และราคาลูกบอล $80 (2,7xx บาท) สามารถสั่งเสื้อได้ทาง BAPE ออนไลน์ และ Retailer ชั้นนำ มาต่อกันที่คอลเลคชั่นที่สอง ซึ่งทำออกมาต้อนรับมหกรรมบอลโลกอีกเช่นกัน โดยจะเน้นหนักไปที่ความเป็นสปอร์ตแวร์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อบอล Jersey, เสื้อ High
พอล สมิธ ร่วมมือกับ นิวบาลานซ์ เพื่อสร้างสรรค์แคปซูล คอลเลคชั่น ในรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น สำหรับรองเท้าสตั๊ด รองเท้ากีฬา และลูกฟุตบอล ในช่วงฤดูกาลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 ฟีฟ่า เวิลด์ คัพ ณ ประเทศรัสเซีย การร่วมมือกันในครั้งนี้ ได้นำเอาดีไซเนอร์ที่มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ ร่วมมือกับบริษัทรองเท้าสัญชาติอเมริกัน เพื่อสร้างสรรค์สินค้าคอลเลคชั่นพิเศษ ที่รวบรวมเอาความเป็นต้นแบบและความทันสมัยไว้ด้วยกัน ด้วยเทคนิคการผลิตอันก้าวล้ำจากนิวบาลานซ์ จับคู่กับความโดดเด่นในการใช้สีและกราฟฟิคลายทางของ พอล สมิธ ดาวเด่นของการร่วมมือกันในครั้งนี้ อยู่ที่รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่นของรองเท้าสตั๊ด New Balance x Paul Smith MiUK-One ที่ด้านบนของรองเท้าทำจากหนังจิงโจ้ เนื้อนุ่ม พร้อมลายทางอันเป็นเอกลักษณ์ของ พอล สมิธ บนพื้นด้านในของรองเท้า ลิ้นรองเท้า และส่วนที่ป้องกันส้นรองเท้า รองเท้าสตั๊ดรุ่น MiUK-One ถือเป็นรองเท้าสตั๊ดรุ่นแรกของนิวบาลานซ์ ที่ผลิตขึ้นที่โรงงาน ของบริษัทในเมืองฟลิมบี มณฑลคัมเบรีย จึงยิ่งทำให้เป็นไอเท็มชิ้นเด่นสำหรับนักสะสม รองเท้าสตั๊ดรุ่น MiUK-One ได้รับการขนานนามจากนิวบาลานซ์ ว่าเป็นรองเท้าสตั๊ดคลาสสิกที่มาพร้อมความทันสมัย
หากพูดแบรนด์ที่กำลังมาแรงสุด ๆ ในขณะนี้ ต้องยอมรับว่า Burberry ถือมีขวบปีที่ยอดเยี่ยมเสียเหลือเกิน จนเราเองก็ยังประหลาด เพราะไม่ว่าจะมองไปยัง Reference ต่างประเทศ ต่างเห็นลวดลาย Check อันเป็นซิกเนเจอร์ของพวกเขากลับมาโลดแล่นตามสื่ออีกครั้ง ซึ่ง UNLOCKMEN เคยได้วิเคราะห์ถึงการกลับมาผงาดอีกครั้ง (link) หลังการเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของดีไซน์เนอร์มือฉมังอย่าง ริคคาร์โด ทิชชี่ (Ricarrdo Tisci) พร้อมปฎิวัติแบรนด์ให้มีความเป็นสตรีทแวร์และเข้าถึงกับไลฟ์สไตล์ได้มากขึ้น ดังนั้นวันนี้เราจะลองนำ Style Guide การแต่งตัวแบบ Check ของ Burberry อย่างไรให้ออกมาเข้ากับประเทศไทย #Look1 ลุคแรกถือว่าเป็นการผนวกสตรีทแฟชั่นเข้าไป โดยได้แรงบันดาลใจมากจากเสื้อผ้าของ โกชา รุบชินสกี้ (Gosha Rubchinskiey) ที่มาทำไอเทมกางเกงขาสั้นลาย Check จับคู่กับเสื้อเชิ้ตแขนสั้น ดูเป็นลุคที่แตกต่างจากแนวทางของ Burberry ที่ผ่านมา ซึ่งจะเน้นไปถึงอารมณ์คลาสสิคเป็นหลัก โดยสามารถจบลุคนี้ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการนำสร้อยมาใส่เป็นเครื่องประดับ พร้อมหมวก Bucket Hat หรือ Duckbill Cap #Look2 สำหรับลุคที่ 2
ย้อนกลับไปเมื่อสักประมาณ 5-6 ปี ก่อนนี้ หากเรากำลังพูดถึงแบรนด์ชื่อว่า Burberry ภาพจำในอดีตคือความไอคอนิกพร้อมซิกเนเจอร์ของตัวเองที่ชัดเจน ไม่ต่างจากแบรนด์ไฮเอนด์อื่น ๆ ทว่าในขณะที่คู่แข่งกำลังรุดหน้าวิ่งลงมาจับตลาดสตรีทแวร์ พร้อมขยายฐานตัวเองลงมาสู่ E-commerce แต่ Burberry ยังคงทำทุกอย่างเหมือนเดิมยึดมั่นในความคลาสสิคจนดูไม่ร่วมสมัย เกิดช่องระหว่างวัยของผู้บริโภค เมื่อเด็กรุ่นใหม่ ๆ ไม่รู้จัก Burberry อีกต่อไป ส่งผลให้ยอดขายของแบรนด์ตกลงพอสมควร ซึ่งเมื่อพวกเขาเริ่มขยับตัวในตลาด E-commerce ช้ากว่าแบรนด์อื่น ๆ จึงเหมือนกับการเดินตามคู่แข่งคนอื่น ๆ ในตลาด แต่ที่แย่ที่สุดคือยอดขายในสหรัฐอเมริกา ตามบรรดาห้างร้านค้าต่าง ๆ ก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก แม้ว่าจะพยายามออกคอลเลคชั่นพิเศษออกมากระตุ้นช่วยแล้วก็ตาม ทำให้ Burberry ต้องมานั่งขบคิดปรับกลยุทธ์กันอย่างจริงจังขยายฐานลูกค้าตัวเองไปสู่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา แต่มีกำลังซื้อสูงมาก โดยการเพิ่มพันธมิตรที่ชำนาญในเรื่องออนไลน์โดยตรง จากนั้น Burberry ค่อย ๆ ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ที่ดูจะเน้นกับตลาดในประเทศจีนเสียเหลือเกิน ถึงขนาดเปิดโอกาสให้ คริส วู (Kris Wu) นักแสดงชาวจีนมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ พร้อมกับร่วมออกแบบคอลเลคชั่นเสื้อผ้าเป็นของตนเอง จนสามารถตีตลาดในเอเชียได้อย่างดีเยี่ยม
หากพูดถึงร้านสนีกเกอร์และสตรีทแวร์ที่มาแรงสุด ๆ ในบ้านเรา คงจะไม่มีใครกล้าปฎิเสธอีกแล้วว่า Carnival Store คือเบอร์หนึ่งในปัจจุบัน เนื่องจากช่วงขวบปีที่ผ่านมา การได้ Nike Tier Zero และ adidas consortium ล้วนเป็นเครื่องตอกย้ำชั้นดี โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จเหล่านี้ คงจะหนีไม่พ้นหัวเรือใหญ่ คุณปิ๊น-อนุพงศ์ คุตติกุล ที่ปลุกปั้นแบรนด์ขึ้นมาเมื่อ 8 ปีก่อน จนกลายมาเป็นร้าน Multi-Fashion แถวหน้าของเอเชีย ซึ่งวันนี้ UNLOCKMEN ได้รับเกียรติจากคุณปิ๊นให้เดินทางไปพูดคุยเกี่ยวกับแง่คิด พร้อมทั้งประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเป็นนักสะสมรวมถึงหลักการณ์บริหาร ถึงออฟฟิศของ Carnival ที่ตั้งอยู่ใจกลางศูนย์การค้า สยามสแควร์ เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจถึงผู้อ่านทุกคน A PART OF COLLECTOR อยากทราบเรื่องราวของคุณปิ๊นก่อนที่จะมาเริ่มทำ Carnival ปิ๊น Carnival : คือในวัยเด็กก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เหมือนกับเรารู้ตัวว่าชอบที่จะค้าขาย บางทีก็ซื้อโน่นนี่มาขายบ้าง เวลาบ้าอะไรก็จะบ้าเป็นพัก ๆ ไม่ได้จริงจังอะไร จนจุดเริ่มต้นคือตอนที่ผมได้ไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษกับเพื่อนอีก 2 คน พอเราไปอยู่ที่นั่นปุ๊ป มันเป็นการเปิดโลก จนรู้ตัวเองว่าสนใจเรื่องของรองเท้า ชอบรองเท้า
แม้ว่าจะดูเงียบเหงาเสียเหลือเกินสำหรับมหกรรมฟุตบอลโลกหนนี้ และแม้กำลังจะเดินทางมาถึงช่วงโค้งสุดท้าย แต่ดูเหมือนว่าหลาย ๆ คนจะเลิกสนใจมันไปแล้วด้วยซ้ำว่าใครจะได้เป็นแชมป์โลก ต้องยอมรับตามตรงว่าฟุตบอลที่รัสเซียถือว่าค่อนข้างกร่อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแบรนด์กีฬาดังอย่าง adidas ยังคงเกาะกระแสด้วยการออกสินค้าใหม่ ๆ มายั่วน้ำลายผู้ชายที่หลงใหลในเรื่องของฟุตบอล แถมปัจจุบันยังเพิ่มทางเลือกทำดีไซน์ให้มีความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น อย่างเช่นคอลเลคชั่นพิเศษล่าสุดที่เป็นการย้อนอดีตด้วยการนำรองเท้าสตั้ดในตำนานอย่าง Predator Accelerator สุดคลาสสิคสี Solar Yellow ซึ่งเคยผลิตขึ้นเมื่อปี 1998 นำกลับมาจำหน่ายอีกครั้ง โดยความพิเศษคือจะมีเพียง 999 คู่ทั่วโลกเท่านั้น แถมพวกเขาได้นำไอคอนฟุตบอลแห่งยุคอย่าง Zinedine Zidane และ David Beckham สองอดีตดาวดังมาถ่ายโฆษณาเพื่อให้แฟนบอลรุ่นเก่า ๆ ได้หายคิดถึงกันอีกด้วย นอกเหนือจากนี้ Predator Accelerator ที่ทาง adidas ได้นำกลับมาผลิตอีกครั้ง ยังเพิ่มไลน์สินค้าเป็นเวอร์ชั่นรองเท้าเทรนนิ่งเอาใจหนุ่ม ๆ สายแฟชั่น สามารถใส่ลำลองเท่ ๆ ได้อีกด้วย โดยยังคงใช้วัสดุหนังแท้บริเวณหน้าผ้าเพื่อความพรีเมี่ยม พร้อมใส่เทคโนโลยี BOOST ลงไปในส่วนของพื้นกลาง จนออกมาเป็นรองเท้าที่มีลักษณะหน้าตาเรโทรย้อนยุค แต่อัดแน่นไปด้วยความสะดวกสบายแบบสมัยใหม่ สำหรับรองเท้าฟุตบอล Predator Accelerator ราคาถือว่าเอาเรื่องทีเดียว โดยจะอยู่ที่ 13,000 บาท
ใครจะไปคิดว่าเราเดินทางมาถึงยุคที่ตุ๊กตาตัวหนึ่งมีมูลค่ามากกว่า 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 130 ล้านบาท (ในมุมมองของคนขาย) สำหรับงานคอลแลบพิเศษจากศิลปินสตรีทอาร์ต Kaws ที่ได้รับเกียรติจาก Kim Jones ครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์ คนล่าสุดของ Dior Homme ให้มาร่วมแสดงผลงานพร้อมทิ้งปริศนาด้วยกันในงาน Paris Fashion Week ที่ผ่านมา ปัจจุบันราคาของเจ้าตุ๊กตาตัวดังกล่าวกำลังถูกประมูล (Bid) กันอย่างเข้มข้มบนเว็บไซต์ StockX โดยคาดว่าราคาน่าจะจบไม่ต่ำกว่าหลักล้านบาทอย่างแน่นอน สำหรับตุ๊กตาหน้าขนสีชมพูจริง ๆ แล้ว มีชื่อเรียกว่า BFF “Best Friend Forever เป็นผลงานตัวคาแรกเตอร์ล่าสุดของ Brain Donnelly หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในนาม Kaws โดยเขาจัดเป็นศิลปินทรงอิทธิพลแห่งยุคและเป็นผู้บุกเบิกศิลปะในแนวสตรีทอาร์ตให้กลายเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก แต่หลายคนอาจสงสัย ทำไมตุ๊กตาหน้าตาพิลึกสีชมพูนี้อยู่ดี ๆ ถึงได้มีราคาค่างวดแพงระดับที่สามารถดาวน์บ้านหรือรถได้เลยทีเดียว ซึ่งเราต้องเกริ่นท้าวความก่อนสักเล็กน้อยว่าเหตุผลง่าย ๆ ที่ทำให้เจ้าตุ๊กตา Pink ‘BFF’ Plush ตัวนี้แพงแบบไร้เหตุผล เพราะมันคือผลงานของ Kaws ศิลปินสตรีทอาร์ตที่กำลังร้อนแรงที่สุดในขณะนี้ Kaws ถือเป็นคนแรก ๆ ที่นำผลงานศิลปะของตัวเองไปเชื่อมต่อกับศาสตร์แขนงอื่น ๆ
ทุกเช้าระหว่างเดินทาง ขณะที่นิ้วเราขยับปัด feed ยิก ๆ บนสมาร์ตโฟน เชื่อว่าสุภาพบุรุษในมหานครใหญ่อย่างเราคงต้องเหลือมืออีกข้างเอาไว้รับหนังสือพิมพ์ฉบับฟรีก๊อปปี้ที่มีคนยืนแจกตามรถไฟฟ้าหรือสะพานลอยเพื่ออ่านรับข้อมูลเพิ่มอย่างแน่นอน แต่รู้หรือเปล่าว่าแต่ละฉบับที่เราหยิบติดมือมานั้นมีใครบ้างอยู่เบื้องหลัง ? หรือนำเสนอเรื่องราวแนวไหนกันบ้าง ? ทำไมบางทีวันนี้เดินมาแล้วเจอแต่บางครั้งกลับไม่เจอซะอย่างนั้น ในฐานะที่ UNLOCKMEN เป็น Online Publisher ที่สนใจติดตามการนำเสนอข้อมูลดี ๆ เหมือนกัน เราจึงอยากส่งต่อเรื่องเล่าของ Publisher แขนงอื่นกันบ้าง และวันนี้ขอเริ่มที่ TABLOID ที่ใกล้ชิดกันผู้ชายอย่างเรากันก่อน WHAT’S TABLIOD ? ฟรีก๊อปปี้อาจจะมีมากมายหลายฉบับ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะใช้คำว่า “แท็บลอยด์” หนุ่ม ๆ อย่าเผลอไปเรียกรวมกัน เพราะคำว่าแท็บลอยด์เขาเอาไว้ใช้เรียกหนังสือพิมพ์ขนาดย่อมที่มีจำนวนหน้าน้อยกว่าหนังสือพิมพ์ปกติทั่วไป หากเราลองสังเกตให้ดีจะเห็นว่าจุดแตกต่างระหว่างแท็บลอยด์กับฟรีก๊อปปี้ประเภทอื่นมีอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่การนำเสนอเนื้อหาที่เป็นเรื่องข่าวมากกว่าไลฟ์สไตล์ ความถี่ของการออกแต่ละฉบับที่มีมากกว่าเมื่อเทียบกับฟรีก๊อปปี้ประเภทอื่น (ถ้าไม่นับโปรโมชั่น) ที่สำคัญคือช่วงเวลาแจกมักแจกช่วงเช้า ดังนั้น อย่าไปหวังเห็นมันตอนเย็นเพราะเขาไม่แจกกันช่วงนั้น อ่านแท็บลอยด์ฉบับไหนดี ? ในขณะที่นิตยสารเริ่มล้มหายตายจากไปจากแผง แต่สำหรับปีนี้ถือว่าแท็บลอยด์สวนกระแสมีมากขึ้น เพราะจากที่เราพบตอนนี้มีถึง 3 หัวหลัก ๆ ที่ออกมาแจกให้เห็นเป็นประจำ ลองมาเช็กกันดูว่าคุณได้มันครบถ้วนทุกฉบับไหม M2F ฉบับนี้พวกเราน่าจะได้เห็นถี่ที่สุดเมื่อเทียบกับทุกฉบับเพราะแจกฟรีแบบ