เป็นที่รู้กันดีสำหรับเหล่าสิงห์อมควันว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบ Vaporizer หรือแบบ Heat-Not-Burn Tobacco แต่กลับกันหลายประเทศในโลกนั้น บุหรี่เหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งปัจจุบันในบ้านเราก็ใกล้ถึงเวลาเข้าไปทุกทีแล้ว ที่บุหรี่ไฟฟ้าจะกลายเป็นสิ่งที่กฎหมายไทยยอมรับได้ (ตราบเท่าที่สามารถเก็บภาษีได้) การเกิดขึ้นของบุหรี่ไฟฟ้าเริ่มจากกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะ เพราะสังคมเริ่มรับรู้ถึงอันตรายของควันบุหรี่ที่ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง จึงเริ่มมีผู้คิดค้นบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่มีการเผาไหม้แบบบุหรี่มวน ด้วยหวังว่าจะสามารถสูบบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ที่กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ได้ รวมถึงเป็นการนำสารนิโคตินเข้าสู่ร่างกายที่สะอาดกว่าการสูบบุหรี่มวน เพราะไม่ต้องผ่านการเผาไหม้ของกระดาษมวนและใบยาสูบ ซึ่งเป็นที่มาของสารพัดสารเคมีอันตราย แถมยังส่งกลิ่นเหม็นติดตัวยากจะล้างออก หลังจากมีการเรียกร้องทั้งบนดินและใต้ดินมานาน กรมสรรพสามิตก็เตรียมเสนอเรื่องการเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้า เพราะไม่ถือว่าเป็นยาเสพติดชนิดร้ายแรง แต่ฝ่ายกฎหมายกรมสรรพสามิตมองว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้อยู่ภายใต้คำจำกัดความว่าเป็นบุหรี่ภายใต้ พ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ.2509 ทำให้กรมสรรพสามิตไม่มีอำนาจควบคุมสินค้าดังกล่าว จึงได้ยื่นเรื่องแก่รัฐมนตรีคลังคนใหม่ให้พิจารณา การพยายามผลักดันให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งถูกกฎหมายในครั้งนี้เป็นผลจากการร้องเรียนของสถานทูตหลายประเทศ จากเหตุที่นักท่องเที่ยวถูกจับกุมเพราะนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในไทย เนื่องจากระทรวงพาณิชย์ห้ามนำเข้า รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขไม่อยากให้ประชาชนใช้บุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลให้เกิดปัญหาทั้งผู้บริโภคในประเทศที่ต้องลักลอบซื้ออย่างไม่ถูกต้อง (แต่ก็หาซื้อง่าย ส่งตรงถึงมือได้ภายในวัน) และกระทบต่อเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่พกบุหรี่ไฟฟ้าติดตัวเข้ามาในไทย ซึ่งกรมสรรพสามิตมองว่าเป็นปัญหาสะสมที่ควรจะต้องแก้ไขเสียที แต่ถ้าบุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โรงงานยาสูบจะเป็นคนแรกที่คิดว่าตัวเองได้รับผลกระทบแบบเต็ม ๆ เพราะข้อกฎหมายรวมถึงข้อกำหนดเดิมที่ทำร่วมกันระหว่างโรงงานยาสูบ กรมควบคุมโรคติดต่อ และกรมการค้าต่างประเทศ ในการร่างประกาศกระทรวงเรื่องข้อห้ามบารากู่ และบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งข้อบังคับต่าง ๆ เหล่านี้สร้างรายได้มหาศาลให้แก่โรงงานยาสูบ ถ้าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องถูกกฎหมาย การแข่งขันกันอย่างเสรีจากผู้ผลิตต่างชาติที่มี Devices และสินค้าที่ทันสมัยกว่า จะมาสั่นสะเทือนโรงงานยาสูบผู้เคยยิ่งใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะถ้าจะแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างเอกชนกับรัฐวิสาหกิจ เรารู้ดีอยู่แล้วว่าผลจะเป็นยังไง ในด้านสุขภาพก็แตกออกเป็นสองเสียง
ใครทำงานแล้วรู้สึกว่าทำไมหัวหน้าชอบหาเรื่องเป็นประจำ หรือบางทีทำผลงานอะไรเจ้านายก็ไม่เคยมองเห็น บางทีอาจจะเป็นเพราะคุณหล่อมากเกินไป เพราะผลวิจัยล่าสุดจากอังกฤษและอเมริกาต่างค้นพบว่า ผู้ชายหน้าตาดีที่มีหัวหน้าเป็นผู้ชายเหมือนกัน มักจะมีปัญหา Stereotypes ไม่ชอบขี้หน้า และเจ้านายชายอาจจะรู้สึกถูกคุกคามได้ ซึ่งมีผลกับการบริหารทีมงานที่ไม่มีประสิทธิภาพในองค์กร ผลวิจัยนี้จัดทำขึ้นโดย University College London’s School of Management และ University of Maryland ได้ทำการวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับการทำงานในบริษัท โดยแบ่งการวิจัยเป็น 4 สถานการณ์ใน 4 บริษัทที่แตกต่างกัน พบว่าในกลุ่มชายล้วนนั้น ผลของการตัดสินใจคัดเลือกพนักงานว่าจะให้เข้ามาทำงานหรือไม่ มีผลโดยตรงกับความหล่อของหน้าตาผู้ชายที่เข้ามาสมัคร ยิ่งหน้าตาดี ยิ่งมีแนวโน้มที่หัวหน้าผู้ชายจะตัดสินใจไม่รับเข้าทำงาน หรือรับแต่จะถูกผลักไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะหัวหน้าชายมักจะรู้สึกว่าผู้ชายหล่อเป็นภัยชนิดนึง ซึ่งอาจจะทำให้สูญเสียความยิ่งใหญ่ของตัวเองไป หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า ไม่ชอบขี้หน้าแบบไม่มีสาเหตุนั่นเอง Professor Sun Young Lee หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า ผลเสียของการคัดเลือกพนักงานจากหน้าตาของหัวหน้านั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ มันเป็นอุปสรรคที่ทำให้บริษัทไม่ได้ร่วมงานกับตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะความลำเอียงส่วนตัวเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา ดังนั้นบริษัทและ HR จึงควรหาวิธีแก้ไขในการนำเสนอ Candidate โดยลดปัจจัยที่ทำให้เกิด Stereotypes แบบนี้ จะยิ่งทำให้การคัดเลือกคนมีประสิทธิภาพมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว เช่นการไม่ให้หัวหน้าชายลงมามีผลกับการคัดเลือกคนจนกว่าจะได้แสดงผลงานหรือเข้ารอบลึก
“คุณเข้าโซเชียลมีเดียครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และใช้เวลากับมันนานแค่ไหน” ว่ากันตามตรง ประโยคคำถามข้างต้นมันเป็นคำถามที่ส่วนตัวแล้วเราเองก็ไม่ค่อยอยากจะเอามาพูดถึงบ่อย ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่งานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันอยู่แล้วว่าถ้าใช้มากไปก็อาจมีผลเสียตามมา แต่พวกเราหนุ่มเมืองยังคงต้องใช้มันเป็นช่องทางสื่อสาร ส่งงาน แชร์ความรู้ หรือประชุมงาน ดังนั้น เวลามีเรื่องอัปเดตเกี่ยวกับข้อมูลพฤติกรรมการใช้โซเชียลที่น่าสนใจ มีผลกับเราโดยตรง เราจึงเห็นว่าตัองเอามาบอกกัน เพราะอย่างน้อยรู้ไปก็ดีกว่าไม่รู้ ส่วนจะจัดสรรเวลาให้ดีขึ้นได้ไหม เราเองก็คิดว่าต่อให้แน่นแค่ไหนก็คงยังพอมีทางออกให้ได้บ้าง IG, SNAPCHAT & FACEBOOK gonna killed US? ล่าสุดในวารสาร Journal of Social and Clinical Psychology ประจำเดือนธันวาคมตีพิมพ์ผลวิจัยที่ว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับความเหงาว่ามันติดกันมาเป็นแพ็คคู่ โดย Penn research เขาวิจัยกันจริงจังด้วยการทดลอง “ตัดขาด” คนจากโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ว่าจะ Facebook, Snapchat และ IG แล้วพบว่าสุขภาพมันดีขึ้นจริง ๆ การทดลองนี้ใช้คนเข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 143 คน (ผู้หญิง 108 คนและผู้ชาย 35 คน) จากกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ University
สำหรับหนุ่ม ๆ อย่างเราที่ในแต่ละวันใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับงาน พอฟ้ามืดลงก็มุ่งสู่ปาร์ตี้ที่ร้านประจำ Work Hard Play Hard วนเวียนเป็นวัฎจักรตามสไตล์ Urban Men จนบางครั้งอาจหลงลืมไปว่าการออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเห็นโลกกว้างก็สำคัญเช่นกัน เพราะเป็นการพักทั้งร่างกายและจิตใจ ชาร์จแบตเติมพลังให้ตัวเอง เก็บสะสมประสบการณ์ที่ซุกซ่อนรอให้ค้นพบอยู่ทั่วทุกมุมโลก แล้วจะไปไหนดี ? วันนี้ UNLOCKMEN จะมาช่วยตอบคำถามโหดหินนี้ให้เอง เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นหนุ่มสไตล์ไหน จะสุขุมหรือเฮฮา ในโลกใบนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับคุณอยู่ เพียงแต่คุณอาจจะยังไม่รู้ เอาล่ะ เตรียมจัดกระเป๋าและออกเดินทางกันเถอะ หนุ่มโรแมนติก Hanoi, Vietnam เพราะความโรแมนติกไม่ได้อยู่แค่ที่ปารีสหรือเวียนนา แค่เพียง 1 ชั่วโมงนิด ๆ จากกรุงเทพฯ ทุกคนก็สามารถสัมผัสความโรแมนติกได้เช่นกัน อาจจะไม่ใช่ความโรแมนติกในอุดมคติที่หรูหรา แต่สิ่งที่ฮานอยจะมอบให้คุณและคนรักคือความโรแมนติกแบบเรียบง่าย ที่สำคัญคือสบายกระเป๋าแน่นอน ด้วยความที่ฮานอยเป็นเมืองเก่าแก่ ดังนั้นเราจะยังได้เห็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของผู้คนโดยมีฉากหลังเป็นสถาปัตยกรรมที่เดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน มีความโรแมนติกเจือปนอยู่ อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งของฮานอยคือเมืองใหญ่ ดังนั้นวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ทริปของคุณอาจจะเริ่มต้นด้วยการเดินสำรวจเมืองอันแสนวุ่นวายแต่ก็เรียบง่ายเมืองนี้ รับประทานอาหารท้องถิ่นข้างทาง ก่อนจะเพิ่มระดับความโรแมนติกด้วยการไปเยือนทะเลสาบ Hoan Kiem ต่อด้วยล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Halong Bay เป็นทริปที่ผู้ชายสายโรแมนติกไม่ควรพลาด หนุ่มนักเข้าสังคม Sydney, Australia ถึงแม้จะไม่ใช่เมืองหลวง แต่ Sydney
สมัครยิมมันไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สุขภาพดี หนุ่มเมืองอย่างเรารู้ดี เพราะความเป็นจริงเราใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบนาทีต่อวันภายในพื้นที่จำกัดก็สามารถออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพได้ถ้าทำได้อย่างถูกหลักการ เช่นเดียวกับหลายบทความที่ UNLOCKMEN นำเสนอให้ทุกคนได้ทดลองทำกัน อีกหนึ่งหลักฐานที่ออกมายืนยันข้อมูลเรื่องนี้คือข้อมูลจาก BLUE ZONE หรือสถานที่ที่คนอายุยืนที่สุดในโลกโดยนับช่วงอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไปและสามารถเฉลิมฉลองอายุครบ 100 ปี เขาอยู่กันและคนชราเหล่านั้นล้วนเป็นคนฟิต สุขภาพดี แข็งแกร่งและมีชีวิตชีวาด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้ง 9 เรื่องนี้ ซึ่งไม่มีเรื่องไหนเป็นการโหมออกกำลังกายสักนิด แต่หลายข้อในนี้มันก็เป็นแนวเดียวกับที่เราชาว UNLOCKMEN ใช้ปลดล็อกเป็นไลฟ์สไตล์อยู่แล้ว Move Naturally : เคลื่อนไหวแบบธรรมชาติ ไม่ต้องวิ่งมาราธอน ไม่ต้องใช้เทรนเนอร์หรือเข้ายิม แค่ลุกไปทำโน่นทำนี่ด้วย 2 เท้ากันแบบดิบ ๆ ใช้แรงชายอย่างเราขยับกายไปทำโน่นทำนี่ก็พอ โดยเฉพาะกิจกรรมเข้าจังหวะถ้าเอาไปบวกในหัวข้อนี้ด้วย เราก็ว่าไม่ผิดความหมายอะไร Know your purpose: ตั้งเป้าหมายของทุกวันที่ลืมตา ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ผู้ชายเราเองถ้าอยากถึงเป้าหมายก็ต้องไปให้สุด Down Shift : คลายเครียดเพื่อสร้างสุขให้ตัวเองเป็นประจำ อะไรที่ตึงต้องผ่อนจะทำให้สุขภาพดีขึ้น แน่นอนว่าผู้ชายเราเองก็มีทางออกหลายทาง แต่คนที่อยู่ในบลูโซนอย่างชาวโอกินาวาเขาใช้วิธีระลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเขา ชาว Ikarian ใช้การนอนกลางวัน หรือชาว
ไม่รู้ว่าการซ้อมรบมันหนักเกินไป หรือเป็นเพราะคราฟต์เบียร์ท้องถิ่นมีรสชาติดีเกินคาด มีข่าวรายงานว่าเกือบทุกบาร์ภายในเมือง Reykjavik (เรคยาวิก) เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์กำลังประสบปัญหาขาดแคลนเบียร์เป็นอย่างมาก โดยเป็นผลมาจากการเข้ามาพักผ่อนของกองกำลังทหารสหรัฐอเมริกา ระหว่างการซ้อมรบที่ใหญ่ที่สุดของกองกำลัง NATO เมือง Reykjavik กำลังประสบปัญหาขาดแคลนเบียร์ภายในสัปดาห์เดียว หลังจากกองกำลังสหรัฐจำนวน 6,000 – 7,000 คน เลือกใช้เมืองนี้เป็นสถานที่พักกองกำลัง ในระหว่างการซ้อมรบรวมกับกองกำลัง NATO ที่เรียกว่า Trident Juncture 2018 แต่เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะดูเหมือนว่าเหล่านักรบจากแดนลุงแซมจะเหนื่อยจากการฝึกเป็นพิเศษ เลยชดเชยด้วยการตระเวนซดเบียร์ซะเกลี้ยงเมือง ทำให้บาร์ท้องถิ่นหลายแห่งต้องงัดเบียร์ถังสำรองมาบริการ ส่วนร้านที่มีไม่พอก็ต้องสั่งเพิ่มเข้ามาแบบไม่ขาดสาย เพราะถึงแม้ Reykjavik จะเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ แต่พวกเขามีประชากรอาศัยอยู่ภายในเมืองเพียง 128,000 คนเท่านั้น และถึงจะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีโอกาสต้อนรับนักเดินทางอยู่ตลอด แต่พวกเขาไม่คุ้นชินกับการรับรองคนจำนวนมากพร้อมกันแบบนี้ แถมทั้งหมดยังเป็นนักดื่มที่เก็บกดมาจากการซ้อมรบอีกด้วย Icelandic Magazine เปิดเผยถึงอีกสาเหตุที่ทำให้เบียร์ในเมือง Reykjavik หมดไปอยากรวดเร็ว นั่นก็คือกองกำลังสหรัฐชื่นชอบในรสชาติคราฟต์เบียร์และเครื่องดื่มท้องถิ่นของประเทศไอซ์แลนด์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะยี่ห้อ Gull และเหล้าถังท้องถิ่นที่มีส่วนผสมของ gin, rum, vodka และ Tequila ก่อนท็อปปิ้งด้วย RedBull ชื่อว่า Trash Can ทำให้พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ของการพักผ่อนไปกับการดื่ม
ถ้าพูดถึงประเทศสหรัฐอเมริกา เรามักได้ยินการนิยามว่าเป็น “ประเทศแห่งเสรี” ทำให้ครั้งหนึ่งคำว่า “American Dream” หรือการฝันอย่างอเมริกันจึงกลายเรื่องระดับโลก เป็นความฝันที่ใครก็ล้วนใฝ่หาและต้องการเดินทางไปตั้งรกราก เพราะมีทั้งความเจริญ ความเท่าเทียม และอิสระ เรียกได้ว่าเป็นดินแดนในฝันที่ใครก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นเศรษฐีได้ จึงไม่แปลกที่ล่าสุดเมื่อผลสำรวจประชากรชาว Freelancer ในสหรัฐฯ ประจำปีนี้เผยตัวเลขว่ามีคนเลือกเป็นฟรีแลนซ์จำนวนถึง 56.7 ล้านคน เราจะรู้สึกไม่ประหลาดใจ แต่ไม่ใช่แค่ตัวเลขเท่านั้นที่น่าสนใจ UNLOCKMEN ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังที่น่าสนใจเกี่ยวกับข้อมูลเหล่านี้มาแบ่งปันกันด้วย American Dream: Past & Present ใครที่ดูหนังต่างประเทศบ่อย ๆ จะได้ยินคำว่า “American Dream” กันมาบ้าง ซึ่งส่วนมากเรื่องราวจะออกแนวการเดินทางจากต่างดินแดนเข้าไปในอเมริกาเพื่อตามหาความฝัน ซึ่งความฝันเหล่านั้นมักจะผลิตซ้ำเรื่องการเป็น “Somebody” ด้านอาชีพ เช่น อยากจะเป็นนักมวยอาชีพ นักดนตรีอาชีพ ก็จะฝึกมันครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะได้เป็น หรือ Underdog เองก็มีสิทธิผันตัวเองเป็นเศรษฐีใหม่ได้เสมอ หากขยันและร่ำรวย อาชีพ Freelance หรือการรับจ้างเป็นมือปืน จึงอาจเป็นเรื่องของการหารายได้เสริมเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านไป ค่านิยมความฝันของคนเราก็เริ่มเปลี่ยน ความรู้สึกอยากเป็น “Somebody” มันเริ่มจางลง
นับตั้งแต่แคนาดาเป็นประเทศแรกในกลุ่ม G20 ที่มีการประกาศให้กัญชากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมายในการใช้เพื่อนันทนาการ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา และถึงจะมีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีในการควบคุมและจัดระเบียบให้การซื้อ-ขายให้เป็นไปตามกฎหมาย กำหนดทุกอย่างเพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาภายหลัง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมคิดถึงสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งกำลังต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ นั่นคือ ปริมาณกัญชามีไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์สาย High ในประเทศนั่นเอง เกิดปัญหาที่หลายคนไม่เคยคาดคิดมาก่อนเมื่อร้านกัญชาถูกกฎหมายทั่วประเทศแคนาดาต้องเผชิญกับปัญหาเดียวกัน คือปัญหาของขาด กัญชาภายในร้านมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนสายชีวจิต ซึ่งเกิดจากความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นสังเกตุได้จากยอดสั่งซื้อจำนวนมหาศาลหลังจากที่รัฐบาลเปิดให้สูบกันได้อย่างเสรี รวมไปถึงปัญหาการกระจายสินค้าในระบบโลจิสติกส์และไปรษณีย์ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับธุรกิจดี ที่สำคัญคือปริมาณการปลูกยังมีไม่เพียงพอต่อความต้องการถึงขนาดทำให้ร้านขายกัญชาในรัฐควิเบกต้องแก้ไขด้วยการเปิดเพียง 3 วัน/สัปดาห์ เพื่อคงปริมาณสต๊อกของในร้านให้เพียงพอ ก่อนสินค้าล็อตต่อไปจะส่งมาถึง เรียกว่าดูดกันจนแถบจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศเลยทีเดียว นอกจากนี้ในรัฐออนตาริโอซึ่งไม่มี Physical Retailers ในพื้นที่เลยสักร้านเดียว โดยประชาชนในรัฐต้องสั่งซื้อกัญชาทางไปรษณีย์ซึ่งยุ่งยากและล่าช้ากว่าการซื้อที่ร้าน ว่ากันว่าภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังจากมีการประกาศในกัญชาถูกกฎหมาย มียอดสั่งซื้อทะลักมากกว่า 100,000 รายการ แต่ทางรัฐไม่สามารถจัดส่งได้อย่างทั่วถึง แถมทั้งยังสุ่มยกเลิกคำสั่งซื้อในกรณีที่มีคนซื้อเยอะเกินไปอีกด้วย และโชคร้ายก็ไปตกกับหนุ่มนักศึกษาคนหนึ่งที่สั่งซื้อไปแถมยังถูกหักเงินในบัตรเครดิต แต่กลับไม่มีของส่งมาให้ล่องลอยที่บ้านซะงั้น ใครจะไปคิดว่า เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากกัญชาถูกทำให้เสรีแคนาดาจะต้องเจอกับวิกฤตการณ์ “ของขาด” ถึงแม้รัฐบาลจะบอกว่ามีการเตรียมตัวมาอย่างดี แต่กระแสความต้องการของมันกลับพุ่งทะยานสูงขึ้นกว่าก่อนหน้า และว่ากันว่านี่เป็นการท้าทายครั้งสำคัญของรัฐบาลแคนาดาที่จะต่อสู้แย่งชิงส่วนแบ่งจากสิ่งที่เคยมีมูลค่าอยู่ในตลาดมืดสูงถึง 5.3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ด้วยการเพิ่มจำนวนกัญชาในร้านถูกกฎหมายให้เพียงพอกับความต้องการของสายเขียวในประเทศ ก่อนที่คนเหล่านั้นจะเบือนหน้าหนีหันไปพึ่งคนขายตามหัวมุมถนนอีกครั้งเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะซื้อกับรัฐบาล ได้ของคุณภาพดี มีการตรวจสอบ แถมภาษียังถูกนำไปพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง เรียกว่าเมาช่วยชาติก็ไม่ผิดนัก ในไตรมาสต์ที่ 4 ของปี
หลังจากวุ่นวายอยู่กับการออกแบบรองเท้าประจำตัวร่วมกับ Adidas มาสักพักใหญ่ ๆ ล่าสุดศิลปินมากความสามารถ Pharrell Williams ก็เตรียมพักงานสตรีตเพื่อเตรียมตัวออกแบบคอลเลกชันใหม่ร่วมกันห้องเสื้อโอ กูตูร์สุดหรูหราอย่าง Chanel แถมยังแอบได้ยินมาว่าการร่วมงานระหว่างครั้งนี้มีแผนจะใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่เปิดตัวคอลเลกชันอีกด้วย หลายคนทราบกันดีว่าศิลปินและโปรดิวเซอร์ชื่อดังจากสหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์ที่ดีกับ Karl Lagerfeld ซึ่งเป็น Creative Director ของ Chanel มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยทำงานร่วมกันแบบจริงจังมาก่อนนอกจากรองเท้า Chanel x Pharrel Williams x Hu NMD เมื่อปี 2017 เท่านั้น แต่ข่าวลือเรื่องการคอลแลปส์ของทั้งสองก็เริ่มหนาหูขึ้นอีกครั้งหลังจากที่มีรูปถ่ายของ Pharrell Williams ในงานเปิดตัวคอลเลกชัน ChanelCruise ที่กรุงเทพมหานครในวันพุธที่ 30 ตุลาคมที่ผ่าน เขาปรากฏตัวในเสื้อฮู้ดสีเหลืองสดซึ่งคาดว่าเป็นหนึ่งในงานออกแบบของเขาเอง มีการใส่รายละเอียดของความเป็น Chanel ลงไปตัวเสื้อเช่น CC logo ตรงหน้าอกซ้ายหรือ Coco N.5 ที่ถูกวางไว้ตรงกลางเสื้อ นอกจากนี้ยังปรากฏวิดีโอใน Instagram ที่ของผู้ใช้ที่ชื่อว่า dutchesscathy ซึ่งถ่ายระหว่างที่ศิลปินหนุ่มกำลังขึ้นแสดงอยู่ โดยจะเสียงตะโกนจากลุ่มคนดูในเชิงว่าต้องการเสื้อตัวที่เขาใส่ ซึ่ง
เป็นที่ฮือฮาสั่นสะเทือนวงการ Gamer ทั่วโลกในงาน Blizzcon 2018 ที่ผ่านมาหมาด ๆ เมื่อ Blizzard ประกาศเปิดตัวความเคลื่อนไหวครั้งใหม่ของเกม Action RPG ระดับ Iconic ชื่อดัง ‘Diablo’ ที่ได้ย้ายการผจญภัยสุดมันส์มาสู่ iOS และ Android Smartphone เรียบร้อยแล้วในชื่อ Diablo Immortal ตามกระแส Smartphone Gaming ที่กำลังมาแรงแซงทุกทางโค้ง Diablo ถือเป็นอภิมหาเกมที่อยู่คู่วัยรุ่นมาทุกยุคสมัย เรียกว่าติดมาตั้งแต่ยุค PC ยังไม่แพร่หลาย ตัวเกมเกี่ยวกับการเลือกตัวละครเข้าไปต่อสู้กับปีศาจสมุนของ Lord of Terror ในดินแดน Kingdom of Khanduras ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 31 ธันวาคม 1996 และมีภาค Extension pack อย่าง Hellfire ไปจนถึงการขยับจาก PC ไปสู่ Console อย่าง PlayStation รวมถึงภาคต่ออย่าง