Nike เตรียมสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการ Sneaker อีกครั้ง หลังมีข่าวออกมาว่าพวกเขาเตรียมแต่งตั้งประธานบริษัทของ AIR JORDAN คนใหม่แทนที่ Larry Miller ซึ่งจะขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งบอร์ดบริหารและที่ปรึกษาของแบรนด์แทน โดยการรับตำแหน่งจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2019 ที่กำลังจะมาถึง และอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญขึ้นในตลาดรองเท้า Sneakers ได้อย่างแน่นอน Nike ร่วงหล่นลงมาอยู่อันดับ 2 ในตลาดรองเท้าผ้าใบ โดยเสียตำแหน่งให้กับคู่แข่งคนสำคัญอย่าง Adidas ที่มีผลงานร้อนแรงตลอดทั้งปี ส่วน Air Jordan ก็มีส่วนแบ่งตลาดอยู่เพียง 9.5% ของตลาดทั้งหมดเท่านั้น ทำให้พวกเริ่มมองหาทางออกที่สามารถทำให้การตลาดของพวกเขาแข็งแรงมากขึ้น และหวยก็มาตกที่ Craig Williams นักธุรกิจมากประสบการณ์ ที่เคยร่วมงานกับแบรนด์ดังระดับโลกมากมาย มารับไม้ต่อในการรีแบรนด์ให้สัญลักษณ์ Jump Man กลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง Craig Williams มาพร้อมโปรไฟล์ยาวเป็นหางว่าว ก่อนหน้าในปี 2005 เขาเคยรับตำแหน่งรองประธานอาวุโสของ Coca Cola และตำแหน่งประธานของ McDonald’s รับผิดชอบดูแลการเติบโตของร้านมากกว่า 37,000 สาขาในกว่า 100 ประเทศ นอกจากนี้ยังเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านพลังงานนิวเคลียร์ของ
RALPH LAUREN กลายเป็นชาวอเมริกันคนล่าสุดที่ได้รับการแต่งตั้งยศอัศวิน และเป็นดีไซเนอร์จากเมืองลุงแซมคนแรกที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์นี้ จากการสร้างมาตรฐานที่ดีเยี่ยมให้กับวงการแฟชั่นของโลกมาตลอด 50 ปี รวมไปถึงช่วยเหลือและก่อตั้งมูลนิธิเพื่อการกุศลอีกมากมายตลอดระยะเวลาที่ผลงานของเขาโลดแล่นอยู่บนรันเวย์ Ralph Lauren ปัจจุบันอายุ 79 ปี ถูกรู้จักเป็นอย่างดีในฐานะดีไซเนอร์และมหาเศรษฐีใจบุญ เจ้าของอาณาจักร Ralph Lauren Corporation ผู้มีทรัพย์สินมากถึง 7.2 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งนอกจากแง่มุมที่เราเคยเห็นเขาชีวิตแบบหรูหรา ถึงขนาดจัดงานเปิดตัวคอลเลกชันเสื้อผ้าขึ้นใน Garage ส่วนตัวซึ่งมีทั้งรถคลาสสิกและซุปเปอร์คาร์สะสมไว้กว่า 70 คัน แต่ก่อนที่เขากลายเป็นชายที่ประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ Ralph Lauren ก็เป็นคนชอบทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์เป็นอยู่เสมอ แถมเรื่องที่ทำยังช่วยเหลือคนไม่ใช่เฉพาะแค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่รวมถึงในต่างประเทศและทวีปอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ช่วงชีวิตสมัยหนุ่มก่อนหน้าที่ตัวเขาจะก่อตั้ง Ralph Lauren Corporation ขึ้นมาในปี 1967 เขาเคยใช้เวลาเป็นทหารประจำการในกองทัพนานกว่า 2 ปี ก่อนออกมาทำธุรกิจเนื่องจากรู้ตัวว่ามีความหลงใหลในแฟชั่น ซึ่งแน่นอนว่าเขาทำมันออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนเกิดเป็นแบรนด์ Luxury Clothing มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท ไม่ว่าจะเป็น Polo Ralph Lauren ,
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมากลุ่มไอดอลเกาหลีวง BTS ได้โดนถอดรายชื่อออกจากการแสดงในรายการเพลงญี่ปุ่นอย่าง Music Station โดยสถานีโทรทัศน์ชื่อดังอาซาฮี เนื่องจากภาพของสมาชิกในวงที่ใส่เสื้อ Atomic Bomb สกรีนภาพและความคิดเห็นเกี่ยวกับการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์เมืองฮิโรชิม่า ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มีผู้เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดดังกล่าวนับแสนคน รวมถึงข้อความบนเสื้อที่เขียนว่า Patriotism, Our history และ Liberation Korea เรื่องการปลดแอกชาวเกาหลีใต้ ก่อให้เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ร้อนแรงทั้งสองประเทศ ความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้นั้นมีมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่นานมานี้ ศาลเกาหลีใต้ได้ตัดสินให้บริษัทอุตสาหกรรมเหล็กของญี่ปุ่นจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ชาวเกาหลีใต้เป็นจำนวนเงิน 100 ล้านวอน หรือตีเป็นเงินไทยราว 3 ล้านบาท จากการบังคับใช้แรงงานในโรงเหล็กช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งคำตัดสินดังกล่าวก่อให้เกิดข้อพิพาทที่รุนแรงทั้งชาวเกาหลีและชาวญี่ปุ่น รวมถึงนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นอย่างนายชินโสะ อาเบะ ที่ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลเกาหลีใต้ เนื่องจากกฎหมายระหว่างประเทศและประเด็นดังกล่าวสิ้นสุดลงไปแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1965 แต่ทางเกาหลีใต้ยังคงออกมาเรียกร้องค่าเสียหายอยู่ ซึ่งประเด็นเสื้อเจ้าปัญหาของวง BTS อาจเรียกได้ว่าเป็นการโดนหางเลขไปด้วยจากเรื่องการชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว รวมถึงจังหวะที่พอดีเมื่อ BTS ได้ขึ้นแสดงในรายการเพลงของญี่ปุ่นช่วงที่ข้อพิพาทนี้ยังคงถกเถียงกันอยู่ เห็นได้จากการที่สมาชิกของวงได้สวมเสื้อดังกล่าวนานแล้ว แต่ดันพึ่งเป็นประเด็นที่นำมาถูกพูดถึงภายหลัง ไม่ใช่เพียงแค่ญี่ปุ่นกับเกาหลีเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแฟชั่นได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองนานแล้ว อย่างเช่นในสังคมอเมริกันช่วงยุค 80s ที่โด่งดังเรื่องแฟชั่นฉีกแนวที่มีไมเคิล แจ๊คสัน
การร่วมมือกันสร้างสรรค์ผลงาน คือหนึ่งในรูปแบบการทำงานยอดนิยมของวงการแฟชั่นในปัจจุบัน เพราะนอกจากการย้ายค่ายสลับขั้วเพื่อสร้างผลงานร่วมกัน จะสามารถสร้างไอเดียดี ๆ และขยายฐานลูกค้าของแบรนด์ให้เพิ่มมากขึ้นแล้ว หากมีจังหวะวางขายที่ดีพวกเขาอาจทำเงินมูลค่ามหาศาลได้ในเวลาไม่นาน เพราะมักจะเป็นผลงานแบบ Limited Edition เมื่อการคอลแลปส์เพื่อผลประโยชน์ยังดำเนินต่อไปเป็นเรื่องปกติของบริษัทแสวงหาผลกำไร แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังมีการร่วมงานกันเพื่อช่วยเหลือเหล่าเด็ก ๆ ในสังคมที่รู้จักกันในชื่อ NIKE X DOERNBECHER FREESTYLE อยู่ด้วยเช่นกัน NIKE X DOERNBECHER FREESTYLE คือการร่วมมือกันระหว่าง Nike Inc. และ Doernbecher Children Hospital ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลเด็กชั้นนำไม่กี่แห่งของประเทศสหรัฐอเมริกา ตัวโครงการเกิดขึ้นจากแนวคิดของ Michael Doherty ในเวลานั้นยังรั้งตำแหน่ง Creative Director ให้กับ Nike อยู่ โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจากคำพูดของลูกชายที่ชื่อว่าคอนเนอร์ เกี่ยวกับการหาวิธีช่วยเหลือและสนับสนุนโรงพยาบาล ซึ่งคอนเนอร์ก็เสนอไอเดียอย่างน่าสนใจว่า อยากให้ผู้ป่วยเด็กได้มีส่วนร่วมกับการออกแบบรองเท้า Nike ของตัวเอง เพื่อนำไปประมูลและนำรายได้ทั้งหมดมอบเข้ามูลนิธิ 15 ปีที่ผ่านไป DOERNBECHER FREESTYLE สามารถหาเงินช่วยเหลือให้กับโรงพยาบาลได้ถึง 20 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผู้ป่วยเด็กซึ่งกำลังรอความช่วยเหลืออีกจำนวนมาก และล่าสุดคอลเลกชัน NIKE X
เป็นที่รู้กันดีสำหรับเหล่าสิงห์อมควันว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบ Vaporizer หรือแบบ Heat-Not-Burn Tobacco แต่กลับกันหลายประเทศในโลกนั้น บุหรี่เหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งปัจจุบันในบ้านเราก็ใกล้ถึงเวลาเข้าไปทุกทีแล้ว ที่บุหรี่ไฟฟ้าจะกลายเป็นสิ่งที่กฎหมายไทยยอมรับได้ (ตราบเท่าที่สามารถเก็บภาษีได้) การเกิดขึ้นของบุหรี่ไฟฟ้าเริ่มจากกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะ เพราะสังคมเริ่มรับรู้ถึงอันตรายของควันบุหรี่ที่ส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง จึงเริ่มมีผู้คิดค้นบุหรี่ไฟฟ้าที่ไม่มีการเผาไหม้แบบบุหรี่มวน ด้วยหวังว่าจะสามารถสูบบุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่ที่กฎหมายห้ามสูบบุหรี่ได้ รวมถึงเป็นการนำสารนิโคตินเข้าสู่ร่างกายที่สะอาดกว่าการสูบบุหรี่มวน เพราะไม่ต้องผ่านการเผาไหม้ของกระดาษมวนและใบยาสูบ ซึ่งเป็นที่มาของสารพัดสารเคมีอันตราย แถมยังส่งกลิ่นเหม็นติดตัวยากจะล้างออก หลังจากมีการเรียกร้องทั้งบนดินและใต้ดินมานาน กรมสรรพสามิตก็เตรียมเสนอเรื่องการเก็บภาษีบุหรี่ไฟฟ้า เพราะไม่ถือว่าเป็นยาเสพติดชนิดร้ายแรง แต่ฝ่ายกฎหมายกรมสรรพสามิตมองว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้อยู่ภายใต้คำจำกัดความว่าเป็นบุหรี่ภายใต้ พ.ร.บ.ยาสูบ พ.ศ.2509 ทำให้กรมสรรพสามิตไม่มีอำนาจควบคุมสินค้าดังกล่าว จึงได้ยื่นเรื่องแก่รัฐมนตรีคลังคนใหม่ให้พิจารณา การพยายามผลักดันให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นสิ่งถูกกฎหมายในครั้งนี้เป็นผลจากการร้องเรียนของสถานทูตหลายประเทศ จากเหตุที่นักท่องเที่ยวถูกจับกุมเพราะนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในไทย เนื่องจากระทรวงพาณิชย์ห้ามนำเข้า รวมถึงกระทรวงสาธารณสุขไม่อยากให้ประชาชนใช้บุหรี่ไฟฟ้า ส่งผลให้เกิดปัญหาทั้งผู้บริโภคในประเทศที่ต้องลักลอบซื้ออย่างไม่ถูกต้อง (แต่ก็หาซื้อง่าย ส่งตรงถึงมือได้ภายในวัน) และกระทบต่อเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่พกบุหรี่ไฟฟ้าติดตัวเข้ามาในไทย ซึ่งกรมสรรพสามิตมองว่าเป็นปัญหาสะสมที่ควรจะต้องแก้ไขเสียที แต่ถ้าบุหรี่ไฟฟ้ากลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย โรงงานยาสูบจะเป็นคนแรกที่คิดว่าตัวเองได้รับผลกระทบแบบเต็ม ๆ เพราะข้อกฎหมายรวมถึงข้อกำหนดเดิมที่ทำร่วมกันระหว่างโรงงานยาสูบ กรมควบคุมโรคติดต่อ และกรมการค้าต่างประเทศ ในการร่างประกาศกระทรวงเรื่องข้อห้ามบารากู่ และบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งข้อบังคับต่าง ๆ เหล่านี้สร้างรายได้มหาศาลให้แก่โรงงานยาสูบ ถ้าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นเรื่องถูกกฎหมาย การแข่งขันกันอย่างเสรีจากผู้ผลิตต่างชาติที่มี Devices และสินค้าที่ทันสมัยกว่า จะมาสั่นสะเทือนโรงงานยาสูบผู้เคยยิ่งใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะถ้าจะแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างเอกชนกับรัฐวิสาหกิจ เรารู้ดีอยู่แล้วว่าผลจะเป็นยังไง ในด้านสุขภาพก็แตกออกเป็นสองเสียง
ใครทำงานแล้วรู้สึกว่าทำไมหัวหน้าชอบหาเรื่องเป็นประจำ หรือบางทีทำผลงานอะไรเจ้านายก็ไม่เคยมองเห็น บางทีอาจจะเป็นเพราะคุณหล่อมากเกินไป เพราะผลวิจัยล่าสุดจากอังกฤษและอเมริกาต่างค้นพบว่า ผู้ชายหน้าตาดีที่มีหัวหน้าเป็นผู้ชายเหมือนกัน มักจะมีปัญหา Stereotypes ไม่ชอบขี้หน้า และเจ้านายชายอาจจะรู้สึกถูกคุกคามได้ ซึ่งมีผลกับการบริหารทีมงานที่ไม่มีประสิทธิภาพในองค์กร ผลวิจัยนี้จัดทำขึ้นโดย University College London’s School of Management และ University of Maryland ได้ทำการวิจัยร่วมกันเกี่ยวกับการทำงานในบริษัท โดยแบ่งการวิจัยเป็น 4 สถานการณ์ใน 4 บริษัทที่แตกต่างกัน พบว่าในกลุ่มชายล้วนนั้น ผลของการตัดสินใจคัดเลือกพนักงานว่าจะให้เข้ามาทำงานหรือไม่ มีผลโดยตรงกับความหล่อของหน้าตาผู้ชายที่เข้ามาสมัคร ยิ่งหน้าตาดี ยิ่งมีแนวโน้มที่หัวหน้าผู้ชายจะตัดสินใจไม่รับเข้าทำงาน หรือรับแต่จะถูกผลักไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะหัวหน้าชายมักจะรู้สึกว่าผู้ชายหล่อเป็นภัยชนิดนึง ซึ่งอาจจะทำให้สูญเสียความยิ่งใหญ่ของตัวเองไป หรือที่เรียกกันง่าย ๆ ว่า ไม่ชอบขี้หน้าแบบไม่มีสาเหตุนั่นเอง Professor Sun Young Lee หนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า ผลเสียของการคัดเลือกพนักงานจากหน้าตาของหัวหน้านั้นไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ มันเป็นอุปสรรคที่ทำให้บริษัทไม่ได้ร่วมงานกับตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะความลำเอียงส่วนตัวเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา ดังนั้นบริษัทและ HR จึงควรหาวิธีแก้ไขในการนำเสนอ Candidate โดยลดปัจจัยที่ทำให้เกิด Stereotypes แบบนี้ จะยิ่งทำให้การคัดเลือกคนมีประสิทธิภาพมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว เช่นการไม่ให้หัวหน้าชายลงมามีผลกับการคัดเลือกคนจนกว่าจะได้แสดงผลงานหรือเข้ารอบลึก
“คุณเข้าโซเชียลมีเดียครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และใช้เวลากับมันนานแค่ไหน” ว่ากันตามตรง ประโยคคำถามข้างต้นมันเป็นคำถามที่ส่วนตัวแล้วเราเองก็ไม่ค่อยอยากจะเอามาพูดถึงบ่อย ๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่งานวิจัยหลายชิ้นระบุตรงกันอยู่แล้วว่าถ้าใช้มากไปก็อาจมีผลเสียตามมา แต่พวกเราหนุ่มเมืองยังคงต้องใช้มันเป็นช่องทางสื่อสาร ส่งงาน แชร์ความรู้ หรือประชุมงาน ดังนั้น เวลามีเรื่องอัปเดตเกี่ยวกับข้อมูลพฤติกรรมการใช้โซเชียลที่น่าสนใจ มีผลกับเราโดยตรง เราจึงเห็นว่าตัองเอามาบอกกัน เพราะอย่างน้อยรู้ไปก็ดีกว่าไม่รู้ ส่วนจะจัดสรรเวลาให้ดีขึ้นได้ไหม เราเองก็คิดว่าต่อให้แน่นแค่ไหนก็คงยังพอมีทางออกให้ได้บ้าง IG, SNAPCHAT & FACEBOOK gonna killed US? ล่าสุดในวารสาร Journal of Social and Clinical Psychology ประจำเดือนธันวาคมตีพิมพ์ผลวิจัยที่ว่าด้วยการเชื่อมโยงระหว่างการใช้โซเชียลมีเดียกับความเหงาว่ามันติดกันมาเป็นแพ็คคู่ โดย Penn research เขาวิจัยกันจริงจังด้วยการทดลอง “ตัดขาด” คนจากโซเชียลมีเดียทั้งหลาย ไม่ว่าจะ Facebook, Snapchat และ IG แล้วพบว่าสุขภาพมันดีขึ้นจริง ๆ การทดลองนี้ใช้คนเข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 143 คน (ผู้หญิง 108 คนและผู้ชาย 35 คน) จากกลุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ University
สำหรับหนุ่ม ๆ อย่างเราที่ในแต่ละวันใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับงาน พอฟ้ามืดลงก็มุ่งสู่ปาร์ตี้ที่ร้านประจำ Work Hard Play Hard วนเวียนเป็นวัฎจักรตามสไตล์ Urban Men จนบางครั้งอาจหลงลืมไปว่าการออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเห็นโลกกว้างก็สำคัญเช่นกัน เพราะเป็นการพักทั้งร่างกายและจิตใจ ชาร์จแบตเติมพลังให้ตัวเอง เก็บสะสมประสบการณ์ที่ซุกซ่อนรอให้ค้นพบอยู่ทั่วทุกมุมโลก แล้วจะไปไหนดี ? วันนี้ UNLOCKMEN จะมาช่วยตอบคำถามโหดหินนี้ให้เอง เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นหนุ่มสไตล์ไหน จะสุขุมหรือเฮฮา ในโลกใบนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับคุณอยู่ เพียงแต่คุณอาจจะยังไม่รู้ เอาล่ะ เตรียมจัดกระเป๋าและออกเดินทางกันเถอะ หนุ่มโรแมนติก Hanoi, Vietnam เพราะความโรแมนติกไม่ได้อยู่แค่ที่ปารีสหรือเวียนนา แค่เพียง 1 ชั่วโมงนิด ๆ จากกรุงเทพฯ ทุกคนก็สามารถสัมผัสความโรแมนติกได้เช่นกัน อาจจะไม่ใช่ความโรแมนติกในอุดมคติที่หรูหรา แต่สิ่งที่ฮานอยจะมอบให้คุณและคนรักคือความโรแมนติกแบบเรียบง่าย ที่สำคัญคือสบายกระเป๋าแน่นอน ด้วยความที่ฮานอยเป็นเมืองเก่าแก่ ดังนั้นเราจะยังได้เห็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของผู้คนโดยมีฉากหลังเป็นสถาปัตยกรรมที่เดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน มีความโรแมนติกเจือปนอยู่ อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งของฮานอยคือเมืองใหญ่ ดังนั้นวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ทริปของคุณอาจจะเริ่มต้นด้วยการเดินสำรวจเมืองอันแสนวุ่นวายแต่ก็เรียบง่ายเมืองนี้ รับประทานอาหารท้องถิ่นข้างทาง ก่อนจะเพิ่มระดับความโรแมนติกด้วยการไปเยือนทะเลสาบ Hoan Kiem ต่อด้วยล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Halong Bay เป็นทริปที่ผู้ชายสายโรแมนติกไม่ควรพลาด หนุ่มนักเข้าสังคม Sydney, Australia ถึงแม้จะไม่ใช่เมืองหลวง แต่ Sydney
สมัครยิมมันไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สุขภาพดี หนุ่มเมืองอย่างเรารู้ดี เพราะความเป็นจริงเราใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบนาทีต่อวันภายในพื้นที่จำกัดก็สามารถออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพได้ถ้าทำได้อย่างถูกหลักการ เช่นเดียวกับหลายบทความที่ UNLOCKMEN นำเสนอให้ทุกคนได้ทดลองทำกัน อีกหนึ่งหลักฐานที่ออกมายืนยันข้อมูลเรื่องนี้คือข้อมูลจาก BLUE ZONE หรือสถานที่ที่คนอายุยืนที่สุดในโลกโดยนับช่วงอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไปและสามารถเฉลิมฉลองอายุครบ 100 ปี เขาอยู่กันและคนชราเหล่านั้นล้วนเป็นคนฟิต สุขภาพดี แข็งแกร่งและมีชีวิตชีวาด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั้ง 9 เรื่องนี้ ซึ่งไม่มีเรื่องไหนเป็นการโหมออกกำลังกายสักนิด แต่หลายข้อในนี้มันก็เป็นแนวเดียวกับที่เราชาว UNLOCKMEN ใช้ปลดล็อกเป็นไลฟ์สไตล์อยู่แล้ว Move Naturally : เคลื่อนไหวแบบธรรมชาติ ไม่ต้องวิ่งมาราธอน ไม่ต้องใช้เทรนเนอร์หรือเข้ายิม แค่ลุกไปทำโน่นทำนี่ด้วย 2 เท้ากันแบบดิบ ๆ ใช้แรงชายอย่างเราขยับกายไปทำโน่นทำนี่ก็พอ โดยเฉพาะกิจกรรมเข้าจังหวะถ้าเอาไปบวกในหัวข้อนี้ด้วย เราก็ว่าไม่ผิดความหมายอะไร Know your purpose: ตั้งเป้าหมายของทุกวันที่ลืมตา ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ผู้ชายเราเองถ้าอยากถึงเป้าหมายก็ต้องไปให้สุด Down Shift : คลายเครียดเพื่อสร้างสุขให้ตัวเองเป็นประจำ อะไรที่ตึงต้องผ่อนจะทำให้สุขภาพดีขึ้น แน่นอนว่าผู้ชายเราเองก็มีทางออกหลายทาง แต่คนที่อยู่ในบลูโซนอย่างชาวโอกินาวาเขาใช้วิธีระลึกถึงบรรพบุรุษของพวกเขา ชาว Ikarian ใช้การนอนกลางวัน หรือชาว
ไม่รู้ว่าการซ้อมรบมันหนักเกินไป หรือเป็นเพราะคราฟต์เบียร์ท้องถิ่นมีรสชาติดีเกินคาด มีข่าวรายงานว่าเกือบทุกบาร์ภายในเมือง Reykjavik (เรคยาวิก) เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์กำลังประสบปัญหาขาดแคลนเบียร์เป็นอย่างมาก โดยเป็นผลมาจากการเข้ามาพักผ่อนของกองกำลังทหารสหรัฐอเมริกา ระหว่างการซ้อมรบที่ใหญ่ที่สุดของกองกำลัง NATO เมือง Reykjavik กำลังประสบปัญหาขาดแคลนเบียร์ภายในสัปดาห์เดียว หลังจากกองกำลังสหรัฐจำนวน 6,000 – 7,000 คน เลือกใช้เมืองนี้เป็นสถานที่พักกองกำลัง ในระหว่างการซ้อมรบรวมกับกองกำลัง NATO ที่เรียกว่า Trident Juncture 2018 แต่เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เพราะดูเหมือนว่าเหล่านักรบจากแดนลุงแซมจะเหนื่อยจากการฝึกเป็นพิเศษ เลยชดเชยด้วยการตระเวนซดเบียร์ซะเกลี้ยงเมือง ทำให้บาร์ท้องถิ่นหลายแห่งต้องงัดเบียร์ถังสำรองมาบริการ ส่วนร้านที่มีไม่พอก็ต้องสั่งเพิ่มเข้ามาแบบไม่ขาดสาย เพราะถึงแม้ Reykjavik จะเป็นเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์ แต่พวกเขามีประชากรอาศัยอยู่ภายในเมืองเพียง 128,000 คนเท่านั้น และถึงจะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีโอกาสต้อนรับนักเดินทางอยู่ตลอด แต่พวกเขาไม่คุ้นชินกับการรับรองคนจำนวนมากพร้อมกันแบบนี้ แถมทั้งหมดยังเป็นนักดื่มที่เก็บกดมาจากการซ้อมรบอีกด้วย Icelandic Magazine เปิดเผยถึงอีกสาเหตุที่ทำให้เบียร์ในเมือง Reykjavik หมดไปอยากรวดเร็ว นั่นก็คือกองกำลังสหรัฐชื่นชอบในรสชาติคราฟต์เบียร์และเครื่องดื่มท้องถิ่นของประเทศไอซ์แลนด์เป็นพิเศษ โดยเฉพาะยี่ห้อ Gull และเหล้าถังท้องถิ่นที่มีส่วนผสมของ gin, rum, vodka และ Tequila ก่อนท็อปปิ้งด้วย RedBull ชื่อว่า Trash Can ทำให้พวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ของการพักผ่อนไปกับการดื่ม