วงการโฆษณาต้องการสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ตลอดเวลา นอกจากไอเดียของคนคิดงานแล้ว ตำแหน่งสื่อการวางโฆษณาก็ต้องคอยหาอะไรใหม่ ๆ มานำเสนอตลอดเวลาเช่นกัน และสื่อที่สร้างสรรค์ชนะใจจนเราต้องอุทานว่า “แม่งคิดได้ไงวะเนี่ย” เป็นผลงานของ Wakino Ad Company ประเทศญี่ปุ่น ที่มองเห็นโอกาสในจุดที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายส่วนใหญ่ต่างแช่สายตาจ้องกันเป็นประจำอยู่แล้ว นั่นคือ “Woman’s Armpit หรือสื่อโฆษณารักแร้สาว” นั่นเอง ใช่แล้วครับ อ่านไม่ผิดแน่นอน Wakino Ad Company เลือกใช้รักแร้สาวเป็น Advertising Space ซึ่งแม้จะดูเป็นไอเดียที่ดูหลุดโลก แต่ถ้าลองคิดดูดี ๆ จะเห็นว่าตำแหน่งนี้ก็มีศักยภาพมากมายไม่น้อย จับได้ทั้ง Target ชายและหญิง เพราะปกติผู้ชายก็มองอยู่แล้ว ส่วนผู้หญิงก็นิยมสังเกตกันเองอยู่ตลอดเวลา เป็น Prime Position ที่สวยงาม ดังนั้นกลุ่มลูกค้าที่เหมาะจะซื้อ Ads ตำแหน่งนี้ได้จึงมีหลากหลาย ถ้านับลูกค้าตรงก็กลุ่ม Beauty Product โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ขจัดขนรักแร้ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเนียนขาว หรืออะไรก็ตามที่ต้องการอารมณ์เบา ๆ สนุก ๆ ถือว่าเข้าได้ทั้งนั้น จากรายงานคอนเฟิร์มว่าปัจจุบันมีลูกค้าสนใจอยู่มากพอสมควร
เคยสงสัยไหมว่าความหลงใหลในสิ่งตัวเองรักของคนเรามันจะไปได้สุดทางมากแค่ไหน เราจะทำให้ความชอบของเราอยู่กับเราไปได้นานแค่ไหน นานมากพอจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตหรือเปล่า โลกใบนี้ของเรามีคน ๆ นั้นแล้ว คนที่เก็บเอาความชอบของเขาติดตัวไปจนวันสุดท้ายของชีวิตได้อย่าง “Zombie Boy” แต่น่าเสียดายที่ความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เขาเลือกที่จะบอกลาโลกใบนี้ไป UNLOCKMEN อยากจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น มากกว่าผู้ชายที่เต็มไปด้วยรอบสัก มากกว่าการเป็นนายแบบ หรือพระเอก MV มาดูกันว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เขาต้องเดินทางผ่านอะไรมาบ้าง When I Was A Little Zombie พอจะเดากันได้บ้างแล้วว่า “Zombie Boy” เป็นเพียงนิกเนมตามรูปลักษณ์ของเขา ชื่อจริง ๆ ของเขาคือ Rick Genest เติบโตที่ Montreal, Canada ชีวิตส่วนตัวของเขาในตอนวัยรุ่นนั้นไปได้ไม่สวยสักเท่าไหร่ เขาเลือกที่จะออกจากบ้านมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง นอนตามพื้นที่สาธารณะ เดินทางไปไหนมาไหนด้วย Hitchhiking หรือเรียกง่าย ๆ ว่าติดรถคนอื่นเขาไปนั่นแหละ จนกระทั่งอายุ 16 เขาเริ่มสักเป็นครั้งแรก และเหมือนคนที่รักในรอยสักคนอื่น ๆ เมื่อมีรอยแรกแล้ว รอยอื่น ๆ จะตามมาเสมอ จนกระทั่งขยายไปถึงใบหน้าและทั้งศีรษะ
เชื่อว่าผู้ชายทุกคนคงเป็นแฟนการ์ตูนไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่งในสมัยวัยเด็ก จนทุกวันนี้หนังสือการ์ตูนได้กลายมาเป็น 1 ในป๊อปคัลเจอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่การ์ตูน ได้แพร่หลายไปสู่ศิลปะ วัฒนธรรม และสื่อกระแสหลักทั่วทุกแห่ง จากที่พักน่าทึ่งหลากหลายประเภทจาก Booking.com ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านการเชื่อมโยงผู้เดินทาง จากที่สำรวจที่พักกว่า 28 ล้านรายการจากจุดหมายกว่า 130,000 แห่งทั่วโลก UNLOCKMEN ได้คัดสรร 8 ที่พักแปลกใหม่ที่ตกแต่งโดยอิงตัวละครโปรดจากการ์ตูนชื่อดังที่เติบโตมาพร้อมกันกับเรามาให้ได้ลองไปสำรวจกัน Eden Exoticism Planet เกาสง ไต้หวัน Eden Exoticism Planet เป็นโมเทลที่อยู่ไม่ไกลจากตลาดกลางคืนรุ่ยเฟิงและสามารถเดินไปถึงได้ในเวลาไม่นานจากตลาด ที่พักที่มีเอกลักษณ์แห่งนี้โดดเด่นด้วยห้องพักที่ตกแต่งตามธีม รวมถึงห้องสวีทที่ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากหนึ่งในซูเปอร์ฮีโร่สุดฮิตจากการ์ตูนค่ายดีซีคอมมิคส์ สัมผัสความรู้สึกที่เหมือนได้เป็นบรูซ เวย์น ในห้องสุดหรูที่ตกแต่งโทนสีมืดดูลึกลับ และยังมีทั้งโปสเตอร์ โลโก้ และสัญลักษณ์ของตัวการ์ตูนชื่อดังให้คุณได้ตื่นตาตื่นใจ Universal’s Loews Portofino Bay Hotel ออร์ลันโด สหรัฐอเมริกา อายุไม่ใช่อุปสรรคในการเพลิดเพลินกับตัวการ์ตูน ตัวอย่างง่าย ๆ ก็คือห้องสวีทสำหรับเด็กในธีมมิสเตอร์แสบ ร้ายเกินพิกัด (Despicable Me) ที่ Universal’s Loews
“เบียร์มันขม พวกมึงกินกันไปได้ยังไงวะ” คือประโยคหนึ่งในวงเหล้าที่เป็นที่มาของการควานหาเรื่องเล่าเกี่ยวกับเบียร์มาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้ อันที่จริงผู้เขียนไม่เคยตั้งข้อสงสัยกับรสชาติขมที่มีในเบียร์ เพราะชื่นชอบรสขมกับระดับความเมาที่น้อยกว่าการกินเหล้าเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งริน ยิ่งคุย ยิ่งเฮ แต่พอมาคิดตามคำที่เพื่อนหรือสาว ๆ พูดก็น่าสนใจ เมื่อเบียร์มันเกิดขึ้นมานานกว่าหลายพันปี รสชาติ “ขมเข้ม” คนโบราณเขาควรจะคิดว่ามันเป็นยาพิษมากกว่าเป็นของที่นำมาดื่มกินได้หรือเปล่า สุดท้ายคำถามนี้มันนำมาสู่คำตอบที่บอกได้เลยว่า น่าทึ่ง เพราะเราเองก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนหลายเรื่อง และหวังว่าเรื่องนี้จะสามารถไขข้อกระจ่างให้เอาไปเล่าต่อหรือตอบคำถามในวงเบียร์ได้ว่า “ทำไมพวกเราถึงกินเบียร์” “เบียร์แก้วแรกของโลกมันไม่ขม” เชิญพูดใส่หน้าเพื่อนรักของเราที่หันมาถามว่าคนเขากินไปได้ยังไงได้ทันที เพราะที่มาของความขมในเบียร์มันมาจาก “ดอกฮอปส์” ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการคิดค้นเบียร์มาแล้วราว 2,000 ปี ดังนั้น เบียร์แก้วแรกที่อุบัติขึ้นในโลกใบนี้มันเลยไม่ขม คนเขาก็เลยกินกัน แล้วเรายังสามารถต่อยอดด้วยการหันไปบอกเพื่อนได้ว่าเบียร์ไม่ขมมันก็มีให้เลือกดื่ม ลองดูก่อนแล้วจะติดใจ เบียร์จัดเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทแรกของโลกที่คิดค้นขึ้นโดยชาวบาบิโลเนียน อายุขัยของการคิดค้นเบียร์เล่าแบบหลวม ๆ เรื่องตัวเลขว่าเกิดขึ้นมาเป็นหลักพันปีแล้วจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งตามข้อมูลที่สืบค้นมาหลายแหล่งระบุตัวเลขไว้แตกต่างกันตั้งแต่ 3,000 ปีไปจนถึง 8,000 ปีเลยทีเดียว เบื้องหลังของเบียร์ขวดแรกว่ากันว่าเกิดขึ้นจากชาวนาคนหนึ่งที่บังเอิญไปชิมน้ำที่ทำขนมปังตกใส่สักระยะ (เหมือนบ่มโดยบังเอิญ) แล้ว…บูม! เกิดเป็นเบียร์โบราณขึ้นตอนนั้น เบียร์ไม่ใช่เรื่องของผู้ชาย ไม่ใช่แค่เรื่องการเกิดที่เกิดจากการกินอะไรแผลง ๆ ของคนโบราณอย่างเดียวที่น่าสนใจ แต่ประวัติศาสตร์ยังบันทึกไว้ด้วยว่าที่มาของรสชาติขมเฉพาะตัวของเบียร์มันเกิดจากผู้หญิง แถมสาวคนที่ใส่ดอกฮอปส์ลงในเบียร์ครั้งแรกยังเป็นแม่ชีอีกต่างหาก โดยแม่ชีท่านนี้บันทึกการสนับสนุนให้ไส่ดอกฮอปส์ลงในเบียร์ไว้ในหนังสือด้านสุขภาพของเธอตั้งแต่ราว ค.ศ.
มีคนจำนวนหลายล้านคนทั่วโลกได้ดูคลิป Bruce Lee ที่สุดของตำนานแห่งกังฟูจีนฝึกซ้อมด้วยการใช้กระบองสองท่อน Nunchucks วาดลวดลายสุดเทพจนเราต้องอ้าปากค้าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้กระบองสองท่อนตีปิงปองอย่างเหนือชั้น เอาชนะนักปิงปองที่แม้จะใช้จำนวน 2 คนก็ยังต่อกรกับ Bruce Lee ไม่ได้ ต่อด้วยการให้คนโยนไม้ขีดใส่ โดย Bruce Lee สามารถใช้กระบองสองท่อนหวดอย่างแม่นยำจนไฟติดไม้ขีดทุกดอกได้ ในภาพฟิลม์ที่ดูเก่าแก่ เสียงและท่าทางที่ดูเป็นธรรมชาติ บวกกับชื่อเสียงตำนานความยิ่งใหญ่ของ Bruce Lee ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูน่าเชื่อถือจนไม่มีข้อสงสัย เผื่อใครยังนึกไม่ออก เรากำลังดูถึงคลิปด้านล่างนี้อยู่ตั้งแต่นาทีที่ 0:55 เป็นต้นไป เชื่อว่าถึงตอนนี้ หลายคนก็ยังคงดูสกิลการตีปิงปองและหวดไม่ขีดไฟที่น่าอัศจรรย์ของ Bruce Lee วนไปวนมาด้วยความตะลึง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่เราคิดว่าน่าจะดีกว่าถ้าเราจะรู้ข้อเท็จจริงของคลิปที่ว่านี้เอาไว้ด้วย เพราะที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่คลิปการฝึกของ Bruce Lee ที่แท้จริง แต่เป็นคลิป Viral Video ที่ยอดเยี่ยมสำหรับโฆษณาโทรศัพท์มือถือ Nokia N96 Limited Edition Bruce Lee ผลงานของบริษัทโฆษณา JWT Beijing ตั้งแต่ปี 2008 หรือเป็นเวลามากกว่า 40
เจอรถติดใช่มั้ย ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ใช่ปัญหาของ taxi คันนี้ (ที่จริงต้องใช้คำว่าลำนี้) ท่ามกลางความเดือดของการแข่งขันด้าน Flying Taxi หรือรถบินได้ ที่มีทั้งบริษัทใน Dubai และทาง Uber ดูจะเป็นผู้นำหน้าเทคโนโลยีอยู่ในขณะนี้ ทางด้าน Rolls-Royce Holdings plc บริษัทผู้ผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินชั้นนำของโลกที่เรานั่งโดยสารกันอยู่ในปัจจุบัน (เครือเดียวกับ Rolls-Royce Motor Cars ผู้ผลิตยนตรกรรมสุดหรูราคาแพงระยับจากอังกฤษ) ได้ทำการประกาศศักดาลุยธุรกิจสายใหม่ เปิดตัว Hybrid Flying Taxi ในงาน Farnborough International Airshow 2018 Flying Taxi ลำนี้มีรหัสเรียกขานว่า Electric Vertical Take-off and Landing (EVTOL) หรือ “อากาศยานพลังงานไฟฟ้าที่บินขึ้นลงได้ในแนวดิ่ง” สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 4-5 คน ทำความเร็วได้ประมาณ 400 กม. ต่อชั่วโมง ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้งสามารถบินได้ไกลราว 800
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คู่ชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการใหญ่ที่สุดของโลกต่างใส่ชุดแข่งของไนกี้ และนี่ยังเป็นบทสรุปอันน่าประทับใจของไนกี้ตลอดการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติรายการสำคัญที่สุดที่มีการทำสถิติใหม่ๆ มากมาย ในโอกาสนี้ เอลเลียต ฮิลล์ ประธานฝ่ายผู้บริโภคและช่องทางจัดจำหน่าย (President of Consumer and Marketplace) ของไนกี้ กล่าวว่า “ในการแข่งขันครั้งนี้ ทีมที่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ 3 ใน 4 ทีม ใส่ชุดแข่งของไนกี้ และทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศทั้ง 2 ทีม ต่างสวมชุดแข่งของไนกี้ เราผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ สำหรับกีฬาฟุตบอลมาแล้วกว่า 2 ทศวรรษ และการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่คู่ชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการใหญ่ที่สุดของโลกต่างใส่ชุดแข่งของไนกี้” ในการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติรายการสำคัญที่แฟนบอลเฝ้ารอชมนี้ ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย 10 จาก 32 ทีม เลือกใช้ชุดแข่งของไนกี้ ซึ่งรวมถึง 3 จาก 4 ทีมที่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ (ได้แก่ ฝรั่งเศส โครเอเชีย และอังกฤษ) และชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของทีมชาติฝรั่งเศสในนัดชิงชนะเลิศส่งผลให้ทีมชาติฝรั่งเศสสามารถปักดาวแชมป์โลกดวงที่ 2 ลงบนเสื้อแข่งของพวกเขาได้สำเร็จ ฮิลล์กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกเหนือไปจากชุดแข่งแล้ว ไนกี้ยังเป็นแบรนด์ที่ชนะใจนักฟุตบอลมากมาย เพราะนักฟุตบอลระดับชั้นนำหลายต่อหลายคนเลือกใช้รองเท้าฟุตบอลของไนกี้ เวลารวมของการลงเล่นในสนามโดยนักฟุตบอลที่สวมใส่รองเท้าฟุตบอลไนกี้นั้นสูงถึงร้อยละ 65
หลังจากใช้เวลาถึง 9 ปีอยู่กับ Real Madrid ซึ่งเราเคยคิดว่ามันจะเป็นสโมสรสุดท้ายก่อนแขวนสตั๊ดด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่าในบั้นปลายอาชีพค้าแข้งของ Christiano Ronaldo นักเตะเจ้าของรางวัล Ballon d’Or 5 สมัย วัย 33 ปี จะยังสามารถย้ายทีมไปอยู่เมือง Turin กับสโมสรโลโก้เท่ Juventus Football Club หรือที่เราเรียกกันสบายปากว่า Juve ด้วยค่าตัวมโหฬารบานตะไท มี Transfer fee 100 ล้านยูโร เงินเดือนปีละ 30 ล้านยูโร รวมสัญญา 4 ปี 120 ล้านยูโร สัปดาห์ละ 22 ล้านบาท เฉลี่ยวินาทีละ 40 บาท ประเด็นคือหลายคนยังไม่รู้ว่าตัวเลขดีลที่หลายคนพูดถึงนั้น ยังไม่รวมโบนัสและภาษีที่ Andrea Agnelli ผู้บริหารสโมสร Juventus ต้องจ่ายภาษีในจำนวนเงินเท่ากันเข้าหลวงอีก เบ็ดเสร็จปิดดีลเขย่าโลกครั้งนี้คาดว่า Juve ต้องควักไม่ต่ำกว่า 340 ล้านยูโร
หลังออกกำลังกายเสร็จหมาด ๆ จนเหงื่อโชก อะไรจะเรียกความสดชื่นของผู้ชายอย่างเราได้ดีกว่าเกลือแร่แช่เย็นเจี๊ยบดับกระหาย พวกเราคงเคยคิดแบบนี้ใช่ไหม แต่มันอาจเป็นเพราะบ้านเราไม่มีใครลองกินเบียร์ไร้แอลกอฮอล์มากกว่า เพราะเมืองเบียร์เขาออกมายืนยันตอนช่วงโอลิมปิกหน้าหนาวว่า “กินเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ คือที่สุดของการฟื้นฟูร่างกายนักกีฬาจริง ๆ ไม่ได้โม้” ไม่รู้ว่าเพราะเป็นประเทศที่กินเบียร์ต่างน้ำกันเป็นปกติหรือเปล่า ทำให้การสรรหาเครื่องดื่มให้นักกีฬาของชาตินี้ต่างจากชาติอื่น ถ้ายังจำกันได้โอลิมปิกที่จัดที่เมือง Pyeongchang ประเทศเกาหลีใต้ช่วงต้นปี 2018 ที่ผ่านมา ประเทศเยอรมนีใช้วิธีดูแลนักกีฬาด้วยเครื่องดื่มประจำชาติอย่าง “เบียร์” แต่เลือกที่เป็นแบบไร้แอลกอฮอล์มาให้ดื่มกันทั้งระหว่างการฝึกและหลังการแข่งสิ้นสุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้กลับมาน่าทึ่ง เนื่องจากประเทศเยอรมนีไม่เพียงได้ที่ 2 จากการกวาดคะแนนรวมการแข่งขัน ที่สำคัญยังได้รับเหรียญทองเทียบเท่ากับแชมป์อย่างนอร์เวย์ถึง 14 เหรียญทองเชียว Johannes Scherr แพทย์ประจำทีมสกีในโอลิมปิกนำวิธีนี้มาใช้โดยได้แรงบันดาลใจมาจากข้อมูลผลการศึกษาของบริษัทกลั่นเบียร์ที่จัดทำขึ้นเพื่อพิสูจน์ในรูปแบบ Double-blind หรือการพิสูจน์โดยไม่บอกผู้ทดลอง โดยนำเบียร์ให้นักวิ่งมาราธอนดื่มทุกวันต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ก่อนการแข่งและ 2 สัปดาห์หลังการแข่งขัน ผลปรากฎว่านักวิ่งที่ดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ มีอาการอักเสบน้อยกว่านักวิ่งที่ได้รับยาหลอก (ยาที่ทำจากแป้งแต่ไม่ได้มีสรรพคุณทางจริง คนนิยมใช้เพื่อทดสอบกระตุ้นให้ผู้กินรู้สึกว่าได้รับการรักษา) นอกจากผลการศึกษานี้แล้วยังมีผลวิจัยของ Chilean หนึ่งในนักวิจัยที่ศึกษาด้านโภชนาการช่วยการันตีถึงประโยชน์ของมัน เพราะเขาว่าการดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ ก่อนการออกกำลังกายช่วยให้นักกีฬาฟุตบอลช่วยรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายได้ด้วย ถอดรหัสทำไมในเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ถึงดีกับร่างกาย เมื่อติดตามผลกันให้ลึกซึ้งแล้วมันมีเหตุผลมากกว่าการสุ่มกินสุ่มทดสอบหรือหลักการตลาดที่เผยออกมาเพื่อเรียกแขกเท่านั้น เนื่องจากเบียร์ประกอบขึ้นจากวัตถุดิบสำคัญที่มีประโยชน์กับร่างกาย ตั้งแต่ Hops ดอกไม้ที่เป็นต้นทางของรสชาติขมที่มีสรรพคุณช่วยรักษาโรควิตกกังวล นอนไม่หลับ อาหารไม่ย่อย
ถึงแม้ว่าเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายระหว่างทีมชาติโครเอเชียกับทีมชาติเดนมาร์กจะจบลงด้วยชัยชนะของทีมตราหมากรุกจากการดวลจุดโทษ แต่ถ้าพูดถึงผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในเกมดังกล่าวกลับเป็นผู้รักษาประตูของทีมปราชัยอย่าง ‘Kasper Schmeichel’ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมนามสกุลดูคุ้นตา เพราะ Kasper คือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ Peter Schmeichel ผู้รักษาประตูระดับตำนานของทีมชาติเดนมาร์กและทีมปีศาจแดง Manchester United ไฮไลต์ในเกมดังกล่าวเกิดขึ้นในนาทีที่ 116 ของการแข่งขัน ขณะที่สกอร์เสมอกันอยู่ 1-1 เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ Ante Rebic โดน Mathias Joergensen กองหลังทีมชาติเดนมาร์กเสียบสกัดในเขตโทษ ผู้ตัดสินไม่ลังเลเป่าให้เป็นจุดโทษทันที โครเอเชียส่งเพชฌฆาตอย่าง Luka Modric หนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลกมาเป็นคนสังหาร เป็นการดวลกันตัวต่อตัวโดยมีประเทศชาติเป็นเดิมพัน ซึ่งผู้ชนะในการดวลครั้งนี้คือ Kasper Schmeichel ที่สามารถโชว์ซูเปอร์เซฟได้อย่างงดงาม ฉุดทีมชาติเดนมาร์กที่เหมือนตกรอบไปแล้วครึ่งตัวกลับขึ้นมาอีกครั้ง และทันทีที่ Kasper Schmeichel สามารถป้องกันประตูไว้ได้ กล้องในสนามก็จับไปที่ Peter Schmeichel ซึ่งในตอนนั้นอยู่ในอารมณ์สะใจ ดีใจ ภูมิใจผสมปนเปกันไปพร้อมตะโกนไปรอบ ๆ ถ้าให้เดาคงกำลังพูดว่า “นี่ลูกผม ๆ” เป็นภาพที่คนดูอย่างเราเห็นแล้วเกือบน้ำตาซึม พ่อลูกคู่นี้คงมีสายสัมพันธ์กันเหนียวแน่นมาก แต่เชื่อว่าคงมีอีกหลายแง่มุมที่เราไม่เคยรู้ เช่นการเป็นลูกชายผู้รักษาประตูระดับตำนานและตัวเองก็เล่นในตำแหน่งเดียวกันต้องแบกรับความกดดันไว้มากขนาดไหน หนูน้อย Kasper