นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่คู่ชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการใหญ่ที่สุดของโลกต่างใส่ชุดแข่งของไนกี้ และนี่ยังเป็นบทสรุปอันน่าประทับใจของไนกี้ตลอดการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติรายการสำคัญที่สุดที่มีการทำสถิติใหม่ๆ มากมาย ในโอกาสนี้ เอลเลียต ฮิลล์ ประธานฝ่ายผู้บริโภคและช่องทางจัดจำหน่าย (President of Consumer and Marketplace) ของไนกี้ กล่าวว่า “ในการแข่งขันครั้งนี้ ทีมที่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ 3 ใน 4 ทีม ใส่ชุดแข่งของไนกี้ และทีมที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศทั้ง 2 ทีม ต่างสวมชุดแข่งของไนกี้ เราผลิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ สำหรับกีฬาฟุตบอลมาแล้วกว่า 2 ทศวรรษ และการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่คู่ชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการใหญ่ที่สุดของโลกต่างใส่ชุดแข่งของไนกี้” ในการแข่งขันฟุตบอลระดับนานาชาติรายการสำคัญที่แฟนบอลเฝ้ารอชมนี้ ทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย 10 จาก 32 ทีม เลือกใช้ชุดแข่งของไนกี้ ซึ่งรวมถึง 3 จาก 4 ทีมที่ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ (ได้แก่ ฝรั่งเศส โครเอเชีย และอังกฤษ) และชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของทีมชาติฝรั่งเศสในนัดชิงชนะเลิศส่งผลให้ทีมชาติฝรั่งเศสสามารถปักดาวแชมป์โลกดวงที่ 2 ลงบนเสื้อแข่งของพวกเขาได้สำเร็จ ฮิลล์กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกเหนือไปจากชุดแข่งแล้ว ไนกี้ยังเป็นแบรนด์ที่ชนะใจนักฟุตบอลมากมาย เพราะนักฟุตบอลระดับชั้นนำหลายต่อหลายคนเลือกใช้รองเท้าฟุตบอลของไนกี้ เวลารวมของการลงเล่นในสนามโดยนักฟุตบอลที่สวมใส่รองเท้าฟุตบอลไนกี้นั้นสูงถึงร้อยละ 65
หลังจากใช้เวลาถึง 9 ปีอยู่กับ Real Madrid ซึ่งเราเคยคิดว่ามันจะเป็นสโมสรสุดท้ายก่อนแขวนสตั๊ดด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่าในบั้นปลายอาชีพค้าแข้งของ Christiano Ronaldo นักเตะเจ้าของรางวัล Ballon d’Or 5 สมัย วัย 33 ปี จะยังสามารถย้ายทีมไปอยู่เมือง Turin กับสโมสรโลโก้เท่ Juventus Football Club หรือที่เราเรียกกันสบายปากว่า Juve ด้วยค่าตัวมโหฬารบานตะไท มี Transfer fee 100 ล้านยูโร เงินเดือนปีละ 30 ล้านยูโร รวมสัญญา 4 ปี 120 ล้านยูโร สัปดาห์ละ 22 ล้านบาท เฉลี่ยวินาทีละ 40 บาท ประเด็นคือหลายคนยังไม่รู้ว่าตัวเลขดีลที่หลายคนพูดถึงนั้น ยังไม่รวมโบนัสและภาษีที่ Andrea Agnelli ผู้บริหารสโมสร Juventus ต้องจ่ายภาษีในจำนวนเงินเท่ากันเข้าหลวงอีก เบ็ดเสร็จปิดดีลเขย่าโลกครั้งนี้คาดว่า Juve ต้องควักไม่ต่ำกว่า 340 ล้านยูโร
หลังออกกำลังกายเสร็จหมาด ๆ จนเหงื่อโชก อะไรจะเรียกความสดชื่นของผู้ชายอย่างเราได้ดีกว่าเกลือแร่แช่เย็นเจี๊ยบดับกระหาย พวกเราคงเคยคิดแบบนี้ใช่ไหม แต่มันอาจเป็นเพราะบ้านเราไม่มีใครลองกินเบียร์ไร้แอลกอฮอล์มากกว่า เพราะเมืองเบียร์เขาออกมายืนยันตอนช่วงโอลิมปิกหน้าหนาวว่า “กินเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ คือที่สุดของการฟื้นฟูร่างกายนักกีฬาจริง ๆ ไม่ได้โม้” ไม่รู้ว่าเพราะเป็นประเทศที่กินเบียร์ต่างน้ำกันเป็นปกติหรือเปล่า ทำให้การสรรหาเครื่องดื่มให้นักกีฬาของชาตินี้ต่างจากชาติอื่น ถ้ายังจำกันได้โอลิมปิกที่จัดที่เมือง Pyeongchang ประเทศเกาหลีใต้ช่วงต้นปี 2018 ที่ผ่านมา ประเทศเยอรมนีใช้วิธีดูแลนักกีฬาด้วยเครื่องดื่มประจำชาติอย่าง “เบียร์” แต่เลือกที่เป็นแบบไร้แอลกอฮอล์มาให้ดื่มกันทั้งระหว่างการฝึกและหลังการแข่งสิ้นสุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้กลับมาน่าทึ่ง เนื่องจากประเทศเยอรมนีไม่เพียงได้ที่ 2 จากการกวาดคะแนนรวมการแข่งขัน ที่สำคัญยังได้รับเหรียญทองเทียบเท่ากับแชมป์อย่างนอร์เวย์ถึง 14 เหรียญทองเชียว Johannes Scherr แพทย์ประจำทีมสกีในโอลิมปิกนำวิธีนี้มาใช้โดยได้แรงบันดาลใจมาจากข้อมูลผลการศึกษาของบริษัทกลั่นเบียร์ที่จัดทำขึ้นเพื่อพิสูจน์ในรูปแบบ Double-blind หรือการพิสูจน์โดยไม่บอกผู้ทดลอง โดยนำเบียร์ให้นักวิ่งมาราธอนดื่มทุกวันต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ก่อนการแข่งและ 2 สัปดาห์หลังการแข่งขัน ผลปรากฎว่านักวิ่งที่ดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ มีอาการอักเสบน้อยกว่านักวิ่งที่ได้รับยาหลอก (ยาที่ทำจากแป้งแต่ไม่ได้มีสรรพคุณทางจริง คนนิยมใช้เพื่อทดสอบกระตุ้นให้ผู้กินรู้สึกว่าได้รับการรักษา) นอกจากผลการศึกษานี้แล้วยังมีผลวิจัยของ Chilean หนึ่งในนักวิจัยที่ศึกษาด้านโภชนาการช่วยการันตีถึงประโยชน์ของมัน เพราะเขาว่าการดื่มเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ ก่อนการออกกำลังกายช่วยให้นักกีฬาฟุตบอลช่วยรักษาความชุ่มชื้นในร่างกายได้ด้วย ถอดรหัสทำไมในเบียร์ไร้แอลกอฮอล์ถึงดีกับร่างกาย เมื่อติดตามผลกันให้ลึกซึ้งแล้วมันมีเหตุผลมากกว่าการสุ่มกินสุ่มทดสอบหรือหลักการตลาดที่เผยออกมาเพื่อเรียกแขกเท่านั้น เนื่องจากเบียร์ประกอบขึ้นจากวัตถุดิบสำคัญที่มีประโยชน์กับร่างกาย ตั้งแต่ Hops ดอกไม้ที่เป็นต้นทางของรสชาติขมที่มีสรรพคุณช่วยรักษาโรควิตกกังวล นอนไม่หลับ อาหารไม่ย่อย
ถึงแม้ว่าเกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายระหว่างทีมชาติโครเอเชียกับทีมชาติเดนมาร์กจะจบลงด้วยชัยชนะของทีมตราหมากรุกจากการดวลจุดโทษ แต่ถ้าพูดถึงผู้เล่นที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในเกมดังกล่าวกลับเป็นผู้รักษาประตูของทีมปราชัยอย่าง ‘Kasper Schmeichel’ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมนามสกุลดูคุ้นตา เพราะ Kasper คือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ Peter Schmeichel ผู้รักษาประตูระดับตำนานของทีมชาติเดนมาร์กและทีมปีศาจแดง Manchester United ไฮไลต์ในเกมดังกล่าวเกิดขึ้นในนาทีที่ 116 ของการแข่งขัน ขณะที่สกอร์เสมอกันอยู่ 1-1 เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อ Ante Rebic โดน Mathias Joergensen กองหลังทีมชาติเดนมาร์กเสียบสกัดในเขตโทษ ผู้ตัดสินไม่ลังเลเป่าให้เป็นจุดโทษทันที โครเอเชียส่งเพชฌฆาตอย่าง Luka Modric หนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลกมาเป็นคนสังหาร เป็นการดวลกันตัวต่อตัวโดยมีประเทศชาติเป็นเดิมพัน ซึ่งผู้ชนะในการดวลครั้งนี้คือ Kasper Schmeichel ที่สามารถโชว์ซูเปอร์เซฟได้อย่างงดงาม ฉุดทีมชาติเดนมาร์กที่เหมือนตกรอบไปแล้วครึ่งตัวกลับขึ้นมาอีกครั้ง และทันทีที่ Kasper Schmeichel สามารถป้องกันประตูไว้ได้ กล้องในสนามก็จับไปที่ Peter Schmeichel ซึ่งในตอนนั้นอยู่ในอารมณ์สะใจ ดีใจ ภูมิใจผสมปนเปกันไปพร้อมตะโกนไปรอบ ๆ ถ้าให้เดาคงกำลังพูดว่า “นี่ลูกผม ๆ” เป็นภาพที่คนดูอย่างเราเห็นแล้วเกือบน้ำตาซึม พ่อลูกคู่นี้คงมีสายสัมพันธ์กันเหนียวแน่นมาก แต่เชื่อว่าคงมีอีกหลายแง่มุมที่เราไม่เคยรู้ เช่นการเป็นลูกชายผู้รักษาประตูระดับตำนานและตัวเองก็เล่นในตำแหน่งเดียวกันต้องแบกรับความกดดันไว้มากขนาดไหน หนูน้อย Kasper
เป็นตำนานมีชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันความคลั่งตลอดเวลา สำหรับ Diego Maradona ศูนย์หน้าคลาสสิคขึ้นหิ้งชุดแชมป์โลกปี 1986 ทีมชาติ Argentina แม้จะแขวนสตั๊ดไว้หลังบ้านนานหลายปีหลังตระเวณผ่านสโมสรระดับโลกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Boca Juniors, Barcelona หรือ Napoli แต่เราก็ได้เห็นข่าวคราวดีบ้าง ร้ายบ้างมาโดยตลอด ทั้งเรื่องหนีภาษี เรื่องสุขภาพ มาโผล่อีกทีใน Box นั่งเชียร์ Argentina ใน World Cup 2018 แม้จะมีเตะเพียงไม่กี่นัด แต่ดูเหมือนโฉมหน้าและท่าทางกวน ๆ ของ Maradona จะปรากฏในข่าวทั่วทั้งโลกไม่แพ้ตัวนักเตะอย่าง Messi หรือ Ronaldo เลยด้วยซ้ำ นอกจากการนั่งสูบซิการ์ตรงป้ายห้ามสูบ หรือการชูดับเบิ้ลนิ้วกลางใส่นักเตะทีมตรงข้ามด้วยความมันส์ อีกสิ่งนึงที่หลายคนสังเกตเห็นคือ Maradona ใส่นาฬิการุ่นเดียวกันบน 2 ข้อมือพร้อมกัน ซึ่งใครเป็นแฟนบอลหรือติดตาม Maradona อยู่แล้ว อาจจะเห็นอาการนี้มานานตั้งแต่ปี 2004 แล้ว แต่อาจจะไม่รู้ว่า “ทำไม?” นี่คือสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร หรือนี่คือการอวยรวยตามประสา Superstar ระดับโลกที่ชอบทำอะไรพิลึก ๆ
เมื่อการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่มในศึกฟุตบอลโลก 2018 หนนี้ผ่านพ้นไปแล้ว นักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น Luka Modric, Harry Kane , Diego Godin แต่พวกเขาเหล่านี้กลับไม่ใช่นักเตะที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด เพราะนักเตะที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดเป็นนักเตะของทีมชาติอาร์เจนตินา และคน ๆ นั้นก็ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์อย่าง Lionel Messi ด้วย แต่เป็นนักเตะที่ใครหลายคนคงเพิ่งเคยได้ยินชื่อเป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลกครั้งนี้ เขาคนนั้นคือ ‘Maximiliano Meza’ Who is Maximiliano Meza? Maximiliano Meza ปัจจุบันอายุ 26 ปี สัญชาติอาร์เจนตินา ตำแหน่งถนัดคือมิดฟิลด์ด้านข้าง แต่ในบางครั้งก็สามารถขยับขึ้นสูงไปเล่นเป็นปีกได้ สมัยยังเด็กเขาเป็นเด็กฝึกของสโมสร Gimnasia y Esgrima ทีมในลีกประเทศบ้านเกิด และสามารถพัฒนาตนเองขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ โดยลงเล่นในลีกไปทั้งหมด 100 นัดพอดิบพอดี ยิงไป 12 ประตู ซึ่งถือเป็นฟอร์มการเล่นที่ดีจนเตะตาสโมสรยักษ์ใหญ่ในลีกอย่างทีม Independiente และสามารถคว้าตัว Meza ไปร่วมทีมได้สำเร็จในปี 2016 นับตั้งแต่ตอนนั้น Meza ลงเล่นในลีกให้กับ Independiente ไปทั้งหมด 44
ถ้าเราบอกคุณว่า “อีกไม่กี่ปีข้างหน้าพวกเราอาจต้องเป็นทาส AI” คุณจะเชื่อมันไหม จะรู้สึกยังไง โกรธที่เราพูดแบบนี้ ท้อแท้ใจ หรือบ่นงึมงำในลำคอว่า UNLOCKMEN เชียร์ AI เก่งเหลือเกิน แต่ไม่ว่าคุณจะคิดแบบไหนก็ตามความก้าวหน้าที่กำลังจะได้เห็นต่อจากนี้มันคงไม่มีวันถอยหลังอย่างแน่นอน ทีนี้มันก็อยู่ที่ว่าพวกเราจะยอมแพ้ให้กับสิ่งที่เห็นไหม หรือฮึดลุกขึ้นมองหาลู่ทางอื่น และพยายามหาทางหวดคืนเพื่อก้าวเหนือมันให้ได้ Why AI might takes all? “จะเก่งแค่ไหนกันเชียว มันก็เป็นแค่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น?” อย่าเพิ่งพูดประโยคนี้ถ้าคุณไม่รู้ว่าวันนี้บรรดาสมองกลทั้งหลายทำอะไรได้บ้าง เรื่องแรก AI ไม่ได้เป็นแค่โค้ดลาย ๆ ในจอคอมพิวเตอร์ที่คอยดูดข้อมูลเราไปประมวลผลหรือแข่งขันเรื่องคำนวณเท่านั้น หลังตัดสายสะดือจากจอปุ๊ป มันจะกลายเป็นรูปแบบไหนก็ได้ชนิดที่เราคาดไม่ถึงทันที เรื่องที่สองเมื่อ AI โดดออกมาจากจอมันไม่ใช่หุ่นกระป๋องต๊อกต๋อยรูปทรงสี่เหลี่ยมอีกต่อไป และเรื่องที่สามอย่าประเมินต่ำว่า AI จะไม่มีวันเลื่อยขาเก้าอี้ของเราได้ เพราะเราไม่ได้ทำงานในอุตสาหกรรมประเภทโรงงาน แล้ววันนี้อาชีพที่ AI จะเข้าไป take over ได้เพิ่มเติมจากอาชีพที่เราเคยรู้คืออะไรกันบ้างมาเช็กดู HELLO INFLUENCER, HELLO STRANGER เชื่อว่าผู้ชายทุกคนต้องมีคนดังในใจที่เราคอยตาม follow กัน แต่แน่ใจได้จริงเหรอว่าคนในหน้าจอที่เราเห็นคือมนุษย์ตัวจริง ไม่ใช่กราฟฟิกสวมวิญญาณจากสิ่งแปลกปลอมอื่น เมื่อล่าสุดผลงานของ Hakuhodo Tokyo
ความซวยเวลามันพุ่งเข้ามาหา มันจะวิ่งเข้ามาแบบถี่ ๆ แต่สำหรับปีหมาปีนี้ ถือว่าเป็นปีมหาโหด “หมาดุไล่กัดนางเงือก” เพราะร้านเจ้าดังอย่างสตาร์บัคที่มีลูกค้าทั่วโลก เจอตบหน้าขวาซ้ายด้วยข่าวเสีย ๆ หาย ๆ ด้วยสารพัดเรื่องใหญ่หลายประเด็น จนต้องเร่งออกมาแก้ปัญหา เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาชนิดมือเป็นระวิง และเพื่อให้การจิบกาแฟของหนุ่ม ๆ เข้มข้นขึ้นกว่าที่เคย เราขอ RECAP เรื่องชง ๆ ขม ๆ ที่สาวก Starbucks ต้องรู้กันดังต่อไปนี้ เดือน 3 เป็นมะเร็ง เดือน 4 เหยียดผิว เดือน 6 หุ้นดิ่ง MARCH : STARBUCK VS CANCER สตาร์บัคเริ่มต้นปีชงล็อตใหญ่ตั้งแต่มีนาคมที่ผ่านมา เพราะจู่ ๆ สภาศึกษาและวิจัยสารพิษ (CERT) ก็ลุกมาฟ้องศาลลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯ แจ้งข้อหาเรื่องการแปะฉลากเตือนโรคมะเร็ง ถ้าคิดไม่ออกให้คิดว่าเป็นแบบไหนให้คิดถึงซองบุหรี่ที่มีภาพชวนเศร้าทั้งหลาย แต่อันนี้พี่จะให้แปะไว้บนแก้วกาแฟที่ลูกค้ากิน ความกระอักกระอ่วนที่จะต้องบอกใครว่าตัวเองเป็นผู้ร้ายสร้างมะเร็งว่าหนักแล้ว แต่นั่นก็ยังไม่แย่เท่ากับค่าปรับมหาโหดที่โดนฟ้อง 2,500 ดอลลาร์
การ์ตูนมักถูกมองว่าเป็นสื่อให้ความบันเทิงสำหรับเด็กมาโดยตลอด แต่จริง ๆ แล้วนั่นคือความเข้าใจผิดอย่างมาก เพราะการ์ตูนหลายเรื่องมีเนื้อเรื่องเข้มข้น จริงจัง มืดมนยิ่งกว่าภาพยนตร์รางวัลแนวดราม่าเสียอีก และมีการ์ตูนจำนวนไม่น้อยที่แฝงเรื่องการเมืองเอาไว้ โดยเฉพาะการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ ที่อ่านแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้เขียนได้มาเก็บข้อมูลจากโลกนอกการ์ตูนแน่นอน ดังนั้นวันนี้ UNLOCKMEN นำเอา 5 การ์ตูนเกี่ยวกับเผด็จการเรื่องเยี่ยมที่อยากให้ทุกคนรีบไปหาอ่านกัน ก่อนที่อาจจะหาอ่านไม่ได้ในอนาคต One Piece Written by Eiichiro Oda เนื้อเรื่องหลักอาจจะดูเหมือนการ์ตูนแอ็กชั่นพลังมิตรภาพตามสไตล์โชเน็นทั่วไป ว่าด้วยการเดินทางผจญภัยในท้องทะเลของโจรสลัดหมวกฟาง มังกี้ ดี ลูฟี่ และผองเพื่อนโดยมีเป้าหมายคือการเป็นจ้าวแห่งโจรสลัด แต่แท้จริงแล้ว One Piece เป็นการ์ตูนที่แฝงเรื่องการเมืองไว้เยอะมาก ชัดเจนที่สุดเลยคือประเด็นเรื่อง ‘เผ่ามังกรฟ้า’ เผ่ามังกรฟ้าคือมนุษย์ชนชั้นสูงที่สุดในโลก One Piece ลักษณะเด่นของเผ่านี้คือจะสวมหน้ากากใส ๆ เอาไว้ตลอดเวลาเพราะไม่อยากหายใจร่วมกับมนุษย์ที่ต่ำต้อยกว่า มีสัตว์เลี้ยงเป็นมนุษย์ด้วยกัน ฆ่ามนุษย์ชั้นต่ำเหมือนมดปลวกโดยไม่มีความผิด ส่วนสถานที่อยู่อาศัยของพวกเขาก็อยู่บนนครศักดิ์สิทธิ์ลอยฟ้านามว่า ‘แมรี่จัวร์’ ไม่ได้อาศัยร่วมกับมนุษย์ธรรมดาบนพื้นโลก สาเหตุที่เผ่ามังกรฟ้าสามารถทำได้ขนาดนี้เนื่องจากมีรัฐบาลโลกซึ่งควบคุมกำลังรบ คอยให้การสนับสนุนอยู่ พวกเขาสามารถสั่งการรัฐบาลโลกให้หันซ้ายหันขวาได้ตามใจ เรียกว่าควบคุมโลกทั้งใบไว้ในกำมือก็ว่าได้ ต่อให้เป็นโจรสลัดที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งขนาดไหนเมื่ออยู่ต่อหน้าเผ่ามังกรฟ้าก็ยังต้องยอมสยบ ยกเว้นอยู่คนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลูฟี่พระเอกของเรานี่เอง ที่ครั้งหนึ่งเคยโชว์วีรกรรมสุดห้าวปล่อยหมัดซัดใส่เผ่ามังกรฟ้าเต็มหน้าจนกระเด็นไปไกล สร้างชื่อให้โจรสลัดหมวกฟางเลื่องลือถึงรัฐบาลโลก
ฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คงไม่มีใครเหมาะกับวลี ‘From Zero to Hero’ มากไปกว่า Gabriel Jesus กองหน้าดาวโรจน์ของทีมชาติบราซิลอีกแล้ว เพราะถ้าย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ Gabriel Jesus ในวัย 17 ปี ขณะนั้นเขาเป็นเพียงนักเตะฝึกหัดของสโมสร Palmeiras แน่นอนว่ารายได้ย่อมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นเขาจึงรับจ็อบพิเศษด้วยการเป็นช่างทาสีตามกำแพงหรือพื้นถนนต้อนรับฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึง แต่เพชรยังไงก็คือเพชร หลังจากจบศึกฟุตบอลโลก 2014 Gabriel Jesus ก็เริ่มโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมจนได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ Palmeiras และเขาก็ไม่ทำให้โค้ชและเพื่อนร่วมทีมผิดหวัง กระหน่ำประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนเป็นที่หมายปองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป และก็เป็นทีมเรือใบสีฟ้า Manchester City ที่คว้าตัวเขาไปครองได้สำเร็จด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์ ซึ่งนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น Gabriel Jesus ไม่หยุดการพัฒนาตัวเองไว้เท่านี้ เขาพิสูจน์ตัวเองว่าฝีเท้าเป็นของจริง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม และสุดท้ายก็สามารถพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ Premier League ได้สำเร็จ เมื่อฟอร์มดีขนาดนี้ การมีชื่อติดทีมชาติบราซิลมาลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 จึงไม่ใช่เรื่องแปลก จากวันที่เขานั่งทาสีอยู่ข้างสนามฟุตบอล ถึงวันที่เขาเป็นซูเปอร์สตาร์พาทีมบ้านเกิดลุยฟุตบอลโลกใช้เวลาเพียง 4