Entertainment

เมื่อชีวิตไม่อาจจำกัดอยู่แค่ในออฟฟิศ “THE SECRET LIFE OF WALTER MITTY” ว่าด้วยการท่องเที่ยวในหน้าที่

By: unlockmen March 7, 2019

เราคุ้นเคยกับ The Secret Life of Walter Mitty ผลงานการกำกับและแสดงเป็นตัวเอกของ Ben Stiller ในแง่ของการเป็นหนังปลุกพลัง Feel Good ให้กับเหล่ามนุษย์ออฟฟิศชีวิตจำเจ มีเหตุให้ได้ออกไปผจญภัยตามสถานที่ต่าง ๆ ที่วิวธรรมชาติโคตรสวย จนเราไม่อยากจะเชื่อว่ามีวิวแบบนี้อยู่จริง ไม่ได้เปิดหูเปิดตาแค่ตัวเอกอย่าง Mitty เท่านั้น แต่ยังทำให้เรามีไฟลุกออกไปตามหาสถานที่แสนพิเศษแบบนั้นบ้าง เอาจริง ๆ หนังก็ดูเป็นพล็อตสูตรสำเร็จ แต่ทำไมมันถึง Impact กับคนดูจนเกิดกระแสปากต่อปากได้ขนาดนี้

เราจะมาแกะรอยประเด็นต่าง ๆ ที่เจอในเรื่องนี้ (เท่าที่เก็บได้) ซึ่งมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของเรื่องบางส่วน เอาเป็นว่า ใครที่ยังไม่ได้ดู เราแนะนำให้ไปดูแล้วกลับมาอ่านอีกทีจะดีกว่า ส่วนใครที่ดูแล้ว ลองมา Recap เรื่องราวและประเด็นที่น่าสนใจไปพร้อมกับเรา

 

Recap เรื่องย่อ

ภาพยนตร์เรื่อง “The Secret Life of Walter Mitty” เรื่องราวชีวิตที่แสนจำเจของ Walter Mitty (Ben Stiller) พนักงานออฟฟิศที่อยู่ในตำแหน่งเดิมของนิตยสาร LIFE มายาวนาน เขารักบริษัท ทุ่มเทกับหน้าที่ที่ได้รับ สามารถจำคำขวัญได้ขึ้นใจ เป็นดั่งพนักงานในฝันของทุกบริษัท แต่กลับไม่ได้รับสิ่งพิเศษใด ๆ นอกจากเงินเดือนและสวัสดิการพื้นฐาน และเขาเองก็ไม่คิดจะเรียกร้องอะไรด้วยเช่นกัน

กระทั่งวันหนึ่งเขาได้ของขวัญพร้อมจดหมายที่มีคำชื่นชมแนบมาด้วยจาก Sean O’Connell (Sean Penn) หนึ่งในผู้บริหารและเป็นช่างภาพของนิตยสาร ที่เขาเองก็ยังไม่เคยเจอตัวเป็น ๆ นั่นเป็นเหมือนข่าวดีที่ความทุ่มเทไม่สูญเปล่า แต่ข่าวร้ายคือ ฟิล์มหมายเลข 25 ที่ต้องใช้สำหรับขึ้นปกนิตยสารในฉบับสุดท้ายก่อนจะปิดตัวลงหายไป หน้าที่ที่ต้องตามหาภาพนั้นกลับมาก็อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ Mitty เขาจึงต้องออกตามหาฟิล์มหมายเลข 25 เพื่อทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายในบริษัทนี้ให้สำเร็จ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “การท่องเที่ยวในหน้าที่ของ Mitty”


อาการฝันกลางวันของ Mitty

Mitty เป็นเหมือนตัวแทนของชาวออฟฟิศที่มีชีวิตแสนธรรมดา ทำกิจวัตรประจำวันที่แสนจำเจ เกือบจะเรียกว่านอกสายตาเลยก็ว่าได้ โดยที่เขาเองก็รู้ตัวว่าชีวิตของเขามันน่าเบื่อแค่ไหน เขาจึงมักใช้จินตนาการสมมติเรื่องราวขึ้นมา เหมือนกับการฝันกลางวันแล้วจมอยู่กับมัน ซึ่งนั่นอาจเป็นงานอดิเรกเดียวของเขา เพราะมันทำให้เขาได้กลายเป็นคนที่เขาอยากเป็น โดยที่เขาไม่ต้องลุกขึ้นสู้กับใครในชีวิตจริง

ในช่วงชีวิตก่อนเริ่มต้นการเดินทาง สถานการณ์ในความเป็นจริง ไม่เอื้ออำนวยให้เขามีโอกาสได้ทำอย่างที่คิดและไม่มีความกล้ามากพอที่จะเสี่ยง หรือก้าวออกจาก Comfort Zone จนกระทั่งเขามาพบกับ Cheryl Melhoff (Kristen Wiig) เพื่อนร่วมงานแผนกอื่น เขาพบเธอบนเว็บไซต์หาคู่ ด้วยแววตาที่เป็นประกาย เขาต้องการจะสานสัมพันธ์กับเธอ แต่ก็ยังไม่มีความกล้าพอจะคุยด้วยในชีวิตจริง

Clue สำคัญที่ทิ้งไว้อย่างชาญฉลาดในประเด็นนี้คือ อย่าว่าแต่ในชีวิตจริงเลย ในเว็บฯ ที่ว่านั่น เขาก็ยังไม่สามารถเชื่อมต่อกับเธอได้ เนื่องจากโปรไฟล์ของเขายังไม่ใส่ “งานอดิเรก” เข้าไป นั่นยิ่งตอกย้ำถึงชีวิตที่แสนน่าเบื่อของเขา ทำให้เขาเลือกอยู่กับฝันกลางวันต่อไป มันอาจเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขารู้สึกมีตัวตนและเป็นที่ยอมรับขึ้นมาบ้าง มากกว่าการเป็น “เจ้าหุ่นยนต์” พนักงานที่แสนซื่อบื้อ บ้างาน แข็งทื่อ จนไม่ได้ยินเสียงเรียกจากคนรอบข้าง (ในตอนที่ฝันกลางวัน) อย่างที่เขามักจะโดนเย้าแหย่อยู่เสมอ

ฝันในโลกสมมติที่เขากล้าเผชิญหน้ากับเพื่อนร่วมงานตัวป่วนที่มักหาเรื่องแกล้งเขาอยู่เสมอ หรือความรักอันหอมหวานที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นประติมากรรม และกลายเป็นผู้ชายแสนฉลาดของเธออีกด้วย ทั้งหมดนั้น อาจไม่ใช่แค่ฝันกลางวันที่ไกลความจริง ลึก ๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้ แต่ยังไม่มีความกล้ามากพอเท่านั้นเอง เขาจึงต้องติดอยู่กับฝันกลางวันที่ยังคงเป็นความฝันต่อไป ถ้าหากเขายังไม่เริ่มออกเดินทางตามหาฟิล์มหมายเลข 25


ฟิล์มหมายเลข 25

Mitty พบเบาะแสจากภาพถ่ายใบก่อน ๆในฟิล์มแผ่นอื่น ที่เป็นเหมือนลายแทงชี้ทางว่าเขาต้องไปตามหามันที่ไหน คำตอบคือ Greenland ที่ที่เขาเองก็ไม่มั่นใจว่ามันคือเมืองหรือประเทศ ต่อให้เขาไม่รู้ทิศทางขนาดไหน แต่ด้วยเลือดคนรักงานที่พลุ่งพล่าน เขาตัดสินใจนั่งเครื่องตามไปโดยไม่รู้เลยว่าฟิล์มแผ่นนี้จะ เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไปได้มากมายแค่ไหน

การตัดสินใจออกไปตามหาฟิล์มหมายเลข 25 ของเขา ดูเผิน ๆ เหมือนกับเขาจะกล้าใช้ชีวิตมากขึ้น แต่ลองมองดี ๆ จะพบว่ามันไม่ใช่เลย เขาตัดสินใจออกเดินทางเพียงเพราะมันคืองาน คือหน้าที่ที่เขาต้องรับผิดชอบอย่างที่เขาเคยทำมาตลอด แถมยังเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้ทำงานกับบริษัทแห่งนี้เท่านั้น เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นการผจญภัยแสนยิ่งใหญ่อะไรเลย

กว่าจะพบฟิล์มหมายเลข 25 เขาก็ได้ค้นพบชีวิตแบบที่เขาไม่เคยมีมาก่อน โดยมี Sean เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด เปรียบเหมือนกับว่า Sean คือคนจุดประกายให้ชีวิตที่แท้จริงกับเขา เหมือนที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับนิตยสาร LIFE ของ Sean มาตลอด จนในวันหนึ่งเขาก็ได้ออกไปใช้ชีวิตจริง ๆ เพราะ Sean เช่นกัน

ถ้าหากนับว่า Sean คือคนให้ชีวิตกับเขา Cheryl ก็คือแรงบันดาลใจให้เขากล้าสู้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ แม้จะเป็นเพียงเรื่องราวฝันกลางวันในตอนแรก แต่ภายหลังเขาก็กล้ามี Cheryl เป็นกำลังใจจริง ๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งฝันกลางวันอีก อย่างฉากที่เขาต้องตัดสินใจกระโดดเกาะเฮลิคอปเตอร์เพื่อออกไปตามหา Sean แม้ว่านักบินจะเป็นคนขี้เมาขนาดไหน เขาก็มี Cheryl คอยร้องเพลงปลุกใจ (ในฝันกลางวัน) ให้ลุกขึ้นสู้อย่างกล้าหาญ เหมือนกับที่เธอเคยบอกกับเขาบ่อย ๆ ในชีวิตจริง เพราะเขารู้สึกปลอดภัยและต้องการใครสักคนไว้เป็นที่พักพิง และคน ๆ นั้นคือ Cheryl ผู้หญิงที่มีชีวิต ธรรมดา ๆ เหมือนกับเขา เธอไม่ใช่คนที่ฉลาดหรือสวยโดดเด่นจนสะดุดตาของคนรอบข้าง แต่เธอคือคนที่เชื่อมั่นว่าสามารถตามหาฟิล์มแผ่นนั้นได้


The blue one and The red one

เมื่อ Mitty ไปถึง Greenland ที่หมายแรกในการตามหาฟิล์มหมายเลข 25 เขาเลือกเช่ารถเพื่อใช้ในการเดินทาง ฉากนี้มี Clue ที่อ้างอิงจากภาพยนตร์ Sci-Fi ในตำนานอย่างเรื่อง The Matrix เขาต้องเลือกระหว่างรถสองคัน คือรถสีฟ้าและสีแดง เช่นเดียวกับในเรื่อง The Matrix ที่ต้องเลือกระหว่างยาเม็ดสีฟ้าและยาเม็ดสีแดง

“You take the blue pill. the story ends, you wake up in your bed and believe whatever you want to believe. You take the red pill. you stay in Wonderland and, I show you how deep the rabbit hole goes.” 

หากเขาเลือกสีฟ้า เปรียบเหมือนการกลับไปใช้ชีวิตในความเป็นจริง คือการใช้ชีวิตที่แสนจำเจในที่เดิม ๆ สิ่งแวดล้อมเดิม ๆ (แม้ว่าเขาจะรักงานของเขามากแค่ไหนก็ตาม) และเชื่อในสิ่งที่เขาเคยเชื่อมาตลอด นั่นคือการกลับไปสู่การฝันกลางวันแบบเดิม ขณะที่ถ้าเลือกสีแดง หมายความว่าเขาต้องการอยู่กับชีวิตที่เขาไม่เคยพบเจอ เหมือนดินแดนมหัศจรรย์ และได้ค้นพบว่าการเดินทาง นั้นมีความหมายมากแค่ไหน โดยเปรียบการท่องเที่ยวเหมือนกับโพรงกระต่ายและปลายทางคือดินแดนมหัศจรรย์

คำตอบคือรถสีแดง นั่นหมายความว่าเขาเลือกที่จะอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ นั่นคือการออกมาตามหา Sean จนเขาเองได้พบสถานที่ที่แสนพิเศษระหว่างทาง ไม่ว่าจะเป็นทะเลคลั่งที่เขาต่อยฉลามตัวเป็น ๆ ภูเขาไฟชื่อแสนประหลาด เทือกเขาหิมาลัย นอกจากการท่องเที่ยวไปยังที่ต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะเขาคิดว่ามันคือหน้าที่

ในการตามหาฟิล์มและ Sean เขาต้องพบเจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา ที่ใช้เป็นคำใบ้เพื่อตามหา Sean ต่อไป เขาเริ่มรู้จักการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน ไม่ว่าจะสามารถพูดภาษาอังกฤษเหมือนกับเขาได้หรือไม่ การสื่อสารระหว่างกัน บางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาเดียวกัน อย่างตอนที่เขาขอแลกสเก็ตบอร์ดกับตุ๊กตา จากเด็กชายที่ไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ หรือแม้แต่อวัจนภาษาที่สามารถสื่อสารได้เช่นกัน ในฉากท่องเที่ยวเทือกเขาหิมาลัยที่ต้องคุยกับคนท้องถิ่น เขาใช้เพียงภาษามือเท่านั้น

จะเห็นได้ว่าการท่องเที่ยวในหน้าที่ของเขาทั้งหมดนั้นเสมือนการเลือกยาเม็ดสีแดงที่นำเขาไปพบกับเรื่องราวแสนวิเศษมากมาย แต่ต่างกันที่ในเรื่องนี้ เรื่องราวแสนวิเศษนั้นคือเรื่องจริง เรื่องจริงที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อนและได้พบมันจากการท่องเที่ยวในหน้าที่ของเขานั่นเอง


ของขวัญจาก Sean

Mitty ได้รับของขวัญจาก Sean ผู้บริหารที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ของขวัญนั้นคือกระเป๋าเงินทำจากหนังธรรมดา ๆ และในกระเป๋าได้ตอกคำขวัญของบริษัทลงไปด้วย แม้จะแปลกใจที่ได้ของขวัญแต่เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะมันเป็นเพียงกระเป๋าธรรมดากับข้อความคำขวัญธรรมดา ที่เขาพบเจออยู่ทุกวันก่อนเข้ามาทำงาน และเป็นคำที่ท่องได้ขึ้นใจอยู่แล้ว

การตามหาสิ่งที่หายไปโดยที่ไม่รู้ว่ามันอยู่กับเขามาตลอด คือการตามหาตัวตนและความท้าทายที่หายไปเมื่อเข้าสู่ระบบการทำงาน หลังจากพ่อเสียชีวิต เขาเลิกตัดผมทรงประหลาด เลิกเล่นสเก็ตบอร์ดอย่างจริงจัง แล้วหันมาใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ก๊อปปี้ทรงผมคนอื่น ทำงานในร้านพิซซ่า และลงเอยด้วยการทำงานในบริษัทไม่ต่างจากที่คนอื่นทำโดยซุกซ่อนตัวตนไว้ เหมือนฟิล์มหมายเลข 25 ที่อยู่ในกระเป๋าโดยที่เขาไม่เคยรู้ตัวและไม่เคยเปิดออกมาดู

ของขวัญที่ดูเหมือนจะเป็นของธรรมดานั้น สะท้อนภาพของ Mitty ไว้อย่างชัดเจน ผู้ชายธรรมดา ไม่โดดเด่น เหมือนกับกระเป๋าหนังธรรมดาหนึ่งใบ มั่นคงต่อหน้าที่ เต็มเปี่ยมด้วยจิตวิญญาณบริษัท เช่นเดียวกับคำขวัญของบริษัทที่ถูกตอกลงกระเป๋า

ฟิล์ม คือความท้าทายในชีวิตที่ซ่อนอยู่ในตัวเขามาตลอดและถูกปกปิดไว้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก แต่ภายใต้ความธรรมดานี้ Sean ก็มองเห็นบางสิ่งในตัว Mitty ที่คนอื่นยังมองไม่เห็น เหมือนกับคำพูดที่ Sean เคยพูดกับ Mitty ตอนที่อยู่บนเทือกเขาหิมาลัยเพื่อถ่ายรูปเสือดาวหิมะ “Beautiful things never ask for attention.” เช่นเดียวกับ Mitty ที่ใช้ชีวิตอย่างแสนธรรมดามาตลอด แต่ Sean ก็พบบางสิ่งในตัวเขา แม้ว่าจะไม่เคยพบเจอกันจริง ๆ ก็ตาม


Stop dreaming, Start living.

โลกของ Mitty อยู่กับงานเดิม ๆ มาหลายปี นั่นคืออยู่กับภาพจากฟิล์มมานับไม่ถ้วน แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ได้ออกไปใช้ชีวิตเพื่อให้รู้ว่าโลกจริง ๆ หลังเลนส์นั้นกว้างใหญ่ขนาดไหน เหมือนกับชีวิตของเขาที่มีมากกว่าการทำงานอย่างจำเจ เขามีหลายสิ่งที่รอให้เขาได้ลงมือ แม้เขาไม่เคยรู้ตัวก็ตาม

หลังจากเรื่องราวการท่องเที่ยวในหน้าที่ของเขาจบลง แม้ว่าเขาต้องออกจากบริษัทจริง ๆ แต่นั่นคือการใช้ชีวิต ต่อให้เขาจะไปพบเจอเรื่องราวแสนประทับใจมามากแค่ไหน ปลายทางของเขาก็คือการกลับมาใช้ชีวิตปกติ เพราะนั่นคือชีวิตปกติของคนเรา สิ่งที่เปลี่ยนเขาไปคือเรื่องราวระหว่างการเดินทาง มันคือคำตอบที่เขาได้กลับมาพบว่า ปลายทางที่เราตามหา มันไม่ใช่จุดหมายที่ย่ำเท้าไปถึงแต่คือการได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ การได้พบเจอผู้คนและสถานที่ที่ไม่คุ้นตาระหว่างทางต่างหาก คือสิ่งที่ให้คำตอบกับชีวิตของเขา ตอนท้ายเรื่องอาการฝันกลางวันของเขาก็ได้หายไป เพราะว่าเขาได้หยุดฝันและออกไปทำมันให้เป็นจริงได้แล้ว

การท่องเที่ยว หากเรามองมันได้กว้างและละเอียดมากพอ มันได้ให้อะไรหลายๆอย่างมากกว่าการเปลี่ยนที่กินข้าว เปลี่ยนบรรยากาศรอบตัว ได้ค้นพบคำตอบและบางสิ่งที่หายไปให้กับตนเองระหว่างการเดินทาง หรือแม้แต่เมื่อถึงปลายทางแล้วก็ตาม แม้การเดินทางจะจบลง ต้องกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนทุกวัน แต่การท่องเที่ยวได้ให้อะไรกับเราเสมอในทุก ๆ ครั้ง เช่นเดียวกับ Walter Mitty 

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line