ท่ามกลางการแข่งขันของรถยนต์ EV ที่กำลังร้อนแรง ซึ่งหลายคนต่างโฟกัสไปที่ราคา รวมไปถึงตัวเลขเร้าใจต่าง ๆ จากตารางสเปค แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายปัจจัยในการตัดสินใจเลือกซื้อยนตรกรรมพลังไฟฟ้ามาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นของแบรนด์ ความพร้อมในการให้บริการหลังการขาย รวมไปถึงรางวัลระดับโลกที่สามารถการันตีความมั่นใจได้อีกขั้น และการมาของ IONIQ 5 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจาก HYUNDAI ค่ายรถยักษ์ใหญ่แดนโสมที่พกพาเอาชื่อเสียง ความนิยม และรางวัลมากมาย พร้อมลุยตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ น่าจะทำให้หลายคนที่รอคอยการเป็นเจ้าของ mid-size CUV พลังไฟฟ้าคันนี้สมหวังกันถ้วนหน้า แต่สำหรับใครที่กำลังลังเลว่าว่าจะควักกระเป๋าออกใบจองทันที หรือจะรอเก็บข้อมูลประกอบการตัดสินใจไปอีกสักพัก วันนี้ UNLOCKMEN จึงขออาสา สรุป 5 เหตุผล ที่ตอกย้ำว่า IONIQ 5 ควรค่าแก่การครอบครองมากขนาดไหน เริ่มต้นที่เหตุผลแรกกับงานออกแบบอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของ IONIQ 5 ภายใต้คอนเซปต์ Retrofuturistic โดย Giorgetto Giugiaro นักออกแบบยานยนต์ชื่อดังชาวอิตาลีที่เคยร่วมงานกับ HYUNDAI ผู้กลับมาปลุกตำนานรถยนต์คลาสสิกอันโด่งดังให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในฐานะยนตรกรรมพลังไฟฟ้าแห่งอนาคต ด้วยการนำดีไซน์ของรุ่นคลาสสิกอย่าง HYUNDAI PONY ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นแรกของค่ายที่ส่งออกทั่วโลกในปี 1975 มาผสานกับรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ
นับเป็นเวลากว่า 55 ปีที่ SEIKO 5 SPORTS ได้ส่งมอบความน่าเชื่อถือ, ความทนทาน, ประสิทธิภาพ รวมถึงมาตรฐานระดับสูง ให้แก่ผู้นิยมนาฬิกากลไกมาแล้วทั่วโลก และยังคงเดินหน้าพัฒนานาฬิกาที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด SEIKO 5 SPORTS FIELD ซีรีส์ยอดฮิตสำหรับแฟน ๆ เรือนเวลาสายลุย แนว ‘Trench Watch’ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘นาฬิกาทหาร’ ซึ่งโดดเด่นด้วยดีไซน์คล่องแคล่ว แข็งแกร่ง และการบอกเวลาที่แม่นยำ ได้อัพเกรดความสามารถใหม่ในคอลเลกชัน SEIKO 5 SPORTS FIELD GMT ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของ FIELD series ที่ได้มีการหยิบฟังก์ชันเข็มบอกเวลาที่ 2 หรือ GMT มาใช้ เพื่อเสริมความสะดวกสบายในการใช้งานให้กับเหล่านักเดินทางชีพจรลงเท้าทุกท่าน ความโดดเด่นที่ถือเป็นไฮไลต์ของนาฬิการะบบอัตโนมัติ SEIKO 5 SPORTS FIELD GMT ขนาด 39.4 มม. เรือนนี้ คือเข็ม GMT
หากพูดถึง true icon ของ Volkswagen ต้องยกให้ Golf โมเดลเก่าแก่ที่มาช่วยเติมเต็มตำนานต่อจาก Beetle เปิดประตูสู่โลกแห่ง compact cars ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์วงการรถยนต์ของโลก และขณะที่พวกเรากำลังเข้าสู่ปีใหม่ ซึ่ง VW Golf จะมีอายุครบ 50 ปีบริบูรณ์ ความสำคัญของ VW Golf ตั้งแต่เปิดตัวในปี 1974 หลังใช้เวลาพัฒนานานถึง 20 ปี ผ่านการทดสอบผ่าน prototypes มานับไม่ถ้วน จนได้ผลลัพธ์ทีดีที่สุดสำหรับโจทย์ ณ ตอนนั้น คือการเป็นโมเดลที่เปลี่ยนถ่ายระหว่างยุคเครื่อง air-cooled วางหลังขับหลังใน Beetle สู่ยุคของเครื่องยนต์ water-cooled วางหน้าขับหน้าได้อย่างสวยงาม เป็นโมเดลที่ราคาเอื้อมถึงได้ง่าย มันจึงเป็นรถคันแรกของหลาย ๆ บ้านที่อึด ถึก ทน ดูแลรักษาง่าย และไว้ใจได้เสมอในทุกการเดินทาง ซึ่งหากเราอยู่ในยุค 50 ปีที่แล้ว มันถือเป็นโมเดลที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ของ
MANCAVE คราวนี้ ขอเปิด Maps พิกัดชิลล์รับ New Year ใจกลางกรุงฯ แบบไม่ต้องเดินทางไกล กับ BACCARAT BANGKOK บาร์แห่งใหม่สุดเย้ายวน ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในโรงแรม The Davis Bangkok ย่านสุขุมวิท 24 บอกเลยว่าที่นี่โดดเด่นด้วยเสน่ห์ที่แค่เยื้องย่างเข้ามาด้านในก็สัมผัสได้กับบรรยากาศเรียบหรู สะดุดตาด้วยลูกเล่นของเฉดสีแดงสุดไอคอนิก ตัดกับเครื่องแก้วชั้นเลิศและโซฟาหลากสีสันในโทนสีกรมท่า เขียว และเหลือง เพิ่มบรรยากาศอบอุ่นด้วยแสงไฟสลัวจากเชิงเทียน และเตาผิงเสมือนจริงที่สื่ออารมณ์ครบถ้วนทั้งภาพเปลวไฟโชติช่วง และเสียงของไม้ที่ถูกเผาในเตาผิง ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในบาร์ที่นิวยอร์ก นอกจากนี้ BACCARAT BANGKOK ยังเป็นสถานที่ที่ให้ทุกคนได้ผ่อนคลาย พร้อมร่วมวงสนทนากับกลุ่มเพื่อนและจิบค็อกเทลที่รังสรรค์มาอย่างพิถีพิถัน เคล้าคลอด้วยเพลย์ลิสต์ที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดีในสไตล์เพลง R&B, Afro Latin และ House พาทุกคนเริ่มต้นด้วยบีทเบา ๆ เพิ่มความผ่อนคลายหลังจากเลิกงาน ก่อนที่เมโลดี้ดนตรีจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นจังหวะสนุกเร้าใจให้ทุกคนพร้อมออกเสต็ปปล่อยจอยปล่อยใจให้เต็มที่ ท่ามกลางบรรยากาศที่สุดแสนจะมีชีวิตชีวาในพื้นที่แห่งนี้ สำหรับเครื่องดื่มที่ห้ามพลาด เราขอแนะนำไฮไลต์เมนูค็อกเทล ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมากจากเกมการ์ดสุดไอคอนิกระดับตำนาน อย่าง BACCARAT นำเสนอการผสมผสานที่สนุกสนานและถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประยุกต์เครื่องดื่มแต่ละแก้วให้เป็นเหมือนการเดินทางผจญภัยอันรื่นรมย์จากรสชาติ ที่เชิญชวนให้ทุกคนได้ลิ้มลองประสบการณ์รูปแบบใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อน เอาเป็นว่าใครขี้เกียจเดินทางไกล
ช่วงปลายปีเป็นช่วงเวลาที่สุดพิเศษและเป็นค่ำคืนที่มีความหมาย หลายคนใช้ช่วงเวลานี้ฉลองให้รางวัลตัวเองสำหรับความพยายามที่ผ่านมาตลอดทั้งปี และคงไม่มีย่านไหนจะคึกคักเหมาะกับการฉลองไปกว่าซอยทองหล่ออีกแล้ว วันนี้เราจะมาแนะนำบาร์ Vibe ดีที่กำลังมาแรงในทองหล่อซอย 10 นั่นคือ Gaze Cocktail Bar ซึ่งปลายปีแห่งการฉลองนี้จะพิเศษมากยิ่งขึ้นเพราะได้ทีม Bartender ดีกรีระดับแชมป์ปีล่าสุดมาช่วยกันครีเอท Iconic Drinks ค็อกเทลเมนูลับกับ SILVER KNIGHT’S SECRET ที่สร้างสรรค์โดยการใช้วัตถุดิบสุดพิเศษจาก SILVER KNIGHT ซึ่งบ่มนานกว่า 8 ปี กับแรงบันดาลใจจากช่วงเทศกาล X’mas และ New Year Party เป็นเมนูที่นำเสนอในช่วงแบบ Limited ซึ่งเราลองมาแล้วบอกเลยว่ามันพิเศษมากจริง ๆ Gaze Cocktail Bar เป็นบาร์ที่มีความน่าสนใจหลายอย่าง ทั้งบรรยากาศ การตกแต่ง ค็อกเทล รวมถึง Head Bartender มือรางวัล ซึ่ง concept ของร้านนี้มาจากเรื่องราวและความเชื่อของดวงดาวบนท้องฟ้าจากหลากหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ชื่อร้าน Gaze ก็หมายถึงการนั่งดูดาวนั่นเอง การตกแต่งภายในร้านจึงจำลองบรรยากาศแสงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าเอามาไว้บนเพดานร้าน พร้อมจอขนาดใหญ่หลังบาร์ที่นำเสนอสถานที่ที่เต็มไปด้วยดวงดาว
เผลอแปปเดียวปี 2023 ก็จะเดินจากไปแล้ว เข้าสู่ช่วงเวลา Festive Moment ที่นอกจากแสงไฟนีออนที่ถูกประดับพาดประดับสะท้อนเข้ากับป้าย “สวัสดีปีใหม่ 2024” และการมีอยู่ของสเปซแฮงเอาต์ก็เป็นอีกวัฒนธรรมที่ผูกคู่กับฤดูหนาวสั้น ๆ ของปีมาเสมอ สำหรับใครที่ยังหายใจเข้าออกเป็น ‘งาน’ กันอยู่ เราอยากเป็นตัวช่วยแห่งความผ่อนคลาย พาไปสัมผัสฟิลที่ใช่ กับ Hoegaarden Space ลานกิจกรรมแห่งใหม่ใจกลางเมือง พื้นที่บรรยากาศสุดชิลให้ทุกคนได้มีโมเมนท์ปาร์ตี้ชิค ๆ UNLOCKMEN อยากชวนคุณปิดหน้าจอคอมสักแปปแล้วรับช่วงเวลา Weekend ให้ตัวเองพาหัวใจและร่างกายออกไปดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งความสุขเหมือนทุกคนได้ไป Hopping ด้วยกันเลย เมื่อเดินตัดผ่านส่วน Food Zone ของ Emsphere ชั้น G มาแล้ว ทุกคนก็จะเข้าสู่พื้นที่ส่วนที่เรียกว่า Em Yard พื้นที่ outdoor สีเขียวติดกับสวนเบญจศิริ สเปซแฮงเอาต์ที่ให้ความรู้สึกแบบ Urban Forest ผสมผสานความธรรมชาติกับความเป็นเมืองอย่างลงตัว งานนี้ยังมีแฮ็ชแท็คอย่าง #FEELSLIKETHEWEEKEND ที่ไม่ได้ฉ่ำแค่ชื่อ แต่ยังมีความตั้งใจในการมอบประสบการณ์ให้ทุกช่วงเวลาเป็นเหมือนสุดสัปดาห์แห่งวันหยุด ผ่านการดีไซน์สเปซออกเป็น 4 ส่วน ซึ่งจำลองมาจากไลฟ์สไตล์การพักผ่อนของคนรุ่นใหม่
ซูม่า (Zuma) ห้องอาหารญี่ปุ่นสไตล์อิซากายะร่วมสมัยยอดนิยมในกรุงเทพฯ ชวนทุกท่านเฉลิมฉลองไปกับช่วงเวลาแห่งความสุขส่งท้ายปี กับเทศกาลคริสต์มาส และวันปีใหม่ นำเสนออาหารญี่ปุ่นแบบเทสติ้งเมนูแสนอร่อยสไตล์ ‘ไดโกกุ’ ที่มีให้บริการทั้งมื้อค่ำ และมื้อสาย พร้อมแพ็คเกจเครื่องดื่มฟรีโฟลวแบบเติมได้ไม่อั้น สร้างบรรยากาศให้คึกคักด้วยเสียงเพลงสุดสนุก และประสบการณ์เคานท์ดาวน์ในวันขึ้นปีใหม่ที่จะเปิดให้บริการถึงเวลา 03:00 น. ของวันที่ 1 มกราคม 2567 โดยเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองจะเริ่มตั้งแต่วันเปิดไฟต้นคริสต์มาสที่ห้องอาหาร ที่จะส่องสว่างสร้างบรรยากาศของเฟสทีฟตั้งแต่ วันที่ 8 ธันวาคม 2566 จนถึงวันที่ 6 มกราคม 2567 ‘ไดโกกุ’ ลิ้มลองเทสติ้งเมนูประจำเทศกาล พร้อมแพ็คเกจไวน์แบบดื่มไม่อั้น ระหว่างวันที่ 8 ธันวาคม 2566 – 6 มกราคม 2567 ห้องอาหาร ซูม่า จะเสิร์ฟอาหารแบบเทสติ้งเมนูประจำเทศกาล ในราคา 5,600 บาทต่อท่าน ออกแบบมาเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความสุขและการแบ่งปันผ่านเมนูไฮไลท์มากมาย อาทิ ทาร์ทาร์ปลาทูน่า เสิร์ฟพร้อมไข่ปลาคาเวียร์และข้าวเกรียบ สลัดปูท้อปด้วยไข่กุ้ง กุงกังซูชิหน้าวากิวราดซอสทรัฟเฟิล ปลากะพงขาวแล่บางราดซอสยูซุและน้ำมันทรัฟเฟิล ปลาแบล็กค็อดห่อใบโอบะย่าง เนื้อวากิวระดับ
The Ultra Rare BMW 333i E30 ตัวหายากจากการร่วมมือกันระหว่าง BMW South Africa และ Alpina รูปทรงบอดี้เดิม เพิ่มเติมคือเครื่องยนต์ M30B32 6 สูบเรียง จากรุ่นใหญ่อย่าง 533i, 633CSi และ 733i ทำให้มันแรร์ยิ่งกว่า E30 M3 เพราะมีเพียง 210 คันในโลก รวม prototypes และรถเทส สาเหตุที่ BMW South Africa มี E30 รุ่นพิเศษแบบนี้วางขายแค่ที่เดียว เป็นเพราะคนที่นั่นก็ชื่นชอบและบ้า BMW มากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่รถยนต์เป็นพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา และในเมื่อ M3 E30 หรือ Alpina B6 3.5S เป็นพวงมาลัยซ้าย จึงยากที่จะทำตลาดเพราะต้องกลับพวงมาลัย ทาง BMW
เมื่อปฏิทินเปลี่ยนผ่านมาถึงหน้าสุดท้ายของปี ทุกคนคงสัมผัสได้ได้ถึงบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุขและการเฉลิมฉลอง กับเทศกาลแห่งการให้ ส่งต่อของขวัญแทนความรู้สึกแก่คนสำคัญ วันนี้เราจึงอยากแนะนำไอเดียของขวัญทรงคุณค่า อย่างเรือนเวลาสุดพิเศษจาก OMEGA ซึ่งแต่ละเรือนต่างมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร โดดเด่นด้วยตัวตน สไตล์ และวัสดุที่น่าหลงใหล เปรียบได้กับเกล็ดหิมะที่เมื่อขยายดูโครงสร้างภายในจะพบกับเสน่ห์ของรูปทรงที่แตกต่าง รับรองว่าแต่ละรุ่นแต่ละเรือนคือของขวัญที่เหนือกาลเวลา พร้อมเติมเต็มความสุขที่สมบูรณ์แบบทั้งผู้ให้ และผู้รับแน่นอน เริ่มต้นที่เรือนแรกกับ OMEGA Seamaster Diver 300M ตัวเลือกคลาสสิก ในฐานะของขวัญสำหรับผู้รักการเดินทางและการผจญภัย กับคุณสมบัติสุดแกร่งผสานดีไซน์งดงาม สามารถติดตามผู้สวมใส่ไปได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นห้องประชุม, งานเลี้ยง, ลุยป่าเขา หรือแม้กระทั่งในมหาสมุทร ผลิตในสวิตเซอร์แลนด์ทว่าพร้อมที่จะไปทุกแห่งหน นาฬิกาขนาด 42 มม. รุ่นตัวเรือนที่ผลิตจากสแตนเลสสตีลและทอง Sedna™ 18K นี้มาพร้อมกับหน้าปัดและขอบตัวเรือนที่ผลิตจากเซรามิกสีดำ โดดเด่นด้วยรายละเอียดระดับไอคอนิกอย่างลวดลายคลื่นอันโด่งดังและเข็มนาฬิกาแบบฉลุ สำหรับ OMEGA De Ville Prestige ที่ได้มีการปรับเส้นสายงานออกแบบให้มีรูปลักษณ์ที่บริสุทธิ์และเพรียวบางมากขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ก็ยังคงติดอันดับคอลเลกชันของขวัญที่เจิดจรัสอยู่เสมอมา ทั้งในรุ่นขนาด 34 มม. ที่ผลิตจากวัสดุสเตนเลสสตีลและทอง Sedna™ 18K มาพร้อมกับหน้าปัดเปลือกหอยมุกซึ่งดูคล้ายกับหิมะที่โปรยปราย รวมไปถึงเรือนเวลา De
ย้อนไปในปี 2013 เป็นปีที่นาฬิกา Constant Escapement L.M. หนึ่งใน Collection Bridges จาก Girard-Perregaux ได้อวดสายตาแก่ชาวโลก พร้อมเสียงตอบรับที่ดีมากมาย ทำให้สามารถคว้ารางวัล ‘Aiguille D’Or’ ของงาน GPHG (Grand Prix d’Horlogerie de Genève) ได้ในปีเดียวกัน ด้วยจุดเด่นของ Constant Force Escapement ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยจัดการพลังงานได้อย่างลื่นไหล สร้างความเสถียรแม่นยำให้กับอัตราการเดินอย่างน่าทึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตอกย้ำความมุ่งมั่นตั้งใจของ Constant Girard ช่างทำนาฬิกาชาวสวิสผู้อุทิศชีวิตให้กับความก้าวหน้าของโครโนมิเตอร์ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 กับการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุเป้าหมายในภารกิจการพัฒนาโครโนมิเตอร์ ได้มีการสร้างนาฬิกาพกที่มีความแม่นยำสูงหลายเรือนพร้อมกลไก Tourbillon ความเป็นเลิศของนาฬิกาเหล่านี้ได้รับการพัฒนาจนได้รับรางวัลมากมาย ในปี 1860 เขาได้ร่างภาพการออกแบบกลไกด้วยสะพานจักรกลที่ขนานกันสามแห่ง ซึ่งนาฬิกาพกนี้เปิดตัวในปี 1867 โดยสะพานจักรกลทั้ง 3 ชิ้นผลิตจากเงินนิกเกิล และได้รับรางวัลอันดับหนึ่งจากหอดูดาว Neuchâtel ในปีเดียวกัน ก่อนที่ในปี 1889 ได้มีการพัฒนาสะพานจักรกลทั้งสามส่วนโดยใช้วัสดุเป็นทองคำ เพื่อเอกลักษณ์ความงดงามมากขึ้น
“Dream Project #2” Ref. G-D001 ได้รับแรงบันดาลใจมาจากธีมการพัฒนาที่มีชื่อว่า “BREAK THE BOUNDARY” โปรเจ็กต์ใหม่นี้เดินตามรอย Dream Project ก่อนหน้านี้ที่เป็นที่ระลึกการครบรอบ 35 ปีของ G-SHOCK ออกแบบโดยใช้ AI เข้ามาช่วยปรับแต่งดีไซน์ภายนอก ตัวเรือน กรอบ และสายใช้วัสดุทอง 18K ผ่านการขัดเงาด้วยมืออย่างละเอียดและพิถีถันโดยช่างฝีมือชั้นเลิศ ซึ่งลงลึกไปถึงจุดที่ยากต่อการเข้าถึงทำให้ส่วนประกอบมีความเงางามอย่างน่าเหลือเชื่อ การออกแบบดีไซน์แบบ Generative ที่ใช้ประโยชน์จาก AI ถูกนำมาใช้กับกระบวนการออกแบบภายนอก ข้อมูลที่สะสมมานานกว่า 40 ของการพัฒนา G-SHOCK ที่อ้างอิงตามกรอบการออกแบบที่สร้างสรรค์โดยมนุษย์ ได้รับการป้อนเข้าสู่ระบบ AI เพื่อสร้างโมเดล 3 มิติที่เหมาะสำหรับปัจจัยต่างๆ รวมถึงความแข็งแรงของโครงสร้าง ลักษณะของวัสดุ และวิธีการที่จะใช้ มีการแก้ไขซ้ำด้วยมนุษย์เพิ่มเติมหลังจากที่ได้คำแนะนำจาก AI เพื่อสร้างส่วนประกอบภายนอกที่ให้สัมผัสของการออกแบบที่สร้างสรรค์และเป็นต้นฉบับรวมถึงการใช้งานที่เหนือกว่า ในฐานะที่เป็นวัสดุสำหรับส่วนประกอบภายนอกที่สำคัญ ทองคำ 18k ได้รับการนำมาใช้เพื่อให้ความแวววาวที่ลึกซึ้งและสวยงาม รูปแบบที่ซับซ้อน ดั้งเดิม และแม่นยำของกรอบและสายสร้างขึ้นด้วยกระบวนการหล่อแบบ Lost-wax ที่มักจะใช้ในการทำเครื่องประดับและเครื่องใช้ชั้นดีอื่นๆ
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2506 ที่งานตูริน มอเตอร์ โชว์ (Turin Motor Show) ครั้งที่ 45 หนึ่งในงานมหกรรมยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสมัยนั้น มาเซราติ ได้สร้างความตื่นเต้นด้วยการเปิดตัว “มาเซราติ ควอตโตรปอร์เต้ (Maserati Quattroporte)” สู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก จนถึงปีนี้ นับว่าเป็นการครบรอบ 60 ปีพอดีที่รถยนต์ซีดานสุดหรูตระกูลนี้ยืนยงในวงการยานยนต์และได้ส่งรถรุ่นใหม่ลงตลาดต่อเนื่องมาแล้วถึง 6 เจเนอเรชั่น ในงานฉลองโอกาสพิเศษนี้ มาเซราติได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญของมาเซราติไว้ด้วยกันอย่างยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นด้านความก้าวหน้าด้านการผลิต ดีไซน์สุดล้ำ นวัตกรรม ความก้าวหน้าด้านเทคนิค และทุกองค์ประกอบที่ทำให้รถยนต์ของมาเซราติเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจมาตลอดกว่าสองศตวรรษที่ผ่านมา ควอตโตรปอร์เต เป็น ยนตรกรรมขั้นสุดที่ได้รวบรวมความโดดเด่นทุกด้านแห่งวงการยานยนต์มาไว้ในคันเดียว และเป็นซีดานหรูที่ตอบทุกโจทย์ของนักขับหลากหลายกลุ่มในสังคม รวมทั้งกลายมาเป็นเซกเมนต์ที่สำคัญของธุรกิจยานยนต์ด้วย เช่นเดียวกันกับรถที่เป็นไอคอนแห่งวงการในแต่ละยุค ควอตโตรปอร์เตได้รับการยกย่องและกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้วมากมายนับตั้งแต่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในยุค 1960 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ควอตโตรปอร์เตไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเองแบบไม่เกรงกลัวอะไร เป็นยนตรกรรมที่มุ่ง สรรค์สร้างความเป็นเลิศด้านดีไซน์ สมรรถนะ และสะท้อนจิตวิญญาณของมาเซราติซึ่งเป็นแบรนด์ที่สามารถสร้างสรรค์รถยนต์ที่เปี่ยมนวัตกรรมอยู่เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร และตลอดกว่าร้อยปีที่ผ่านมา มาเซราติได้ผลิตควอตโตรปอร์เตออกสู่ตลาดแล้วกว่า 75,000 คัน