MB&F จักรกลสุดซับซ้อนอันดับต้นของโลก เปิดตัว Machine รุ่นใหม่ล่าสุด HM11 ด้วยแนวคิด “une maison est une machine à habiter“ (a house is a machine to live in) ที่ Maximilian Büsser อยากทดลองวางกลไกในสถาปัตยกรรมที่ได้แรงบันดาลใจจากบ้านเรือนในช่วง mid-to-late 1960s ตัวเรือนดีไซน์ให้เป็น three-dimensional กว้าง 42mm ผลิตจากวัสดุ Grade-5 titanium ที่แข็งแรงที่สุด รูปทรงแปลกตาเหมือนบ้านหลังใหญ่ที่มีห้อง 4 ห้องทำมุม 90 องศา มองจากด้านบนจะพบหัวใจหลัก Central flying tourbillon movement ไขลานด้วยมือ ทำหน้าที่เสมือนเสาหลักของบ้าน ไขลานโดยการหมุนเคส 45 องศา โดยหมุนครบ 10 ครั้งจะได้พลังงานเต็ม 96
มาอย่างหล่อหรูดูร่ำรวย Toyota เปิดตัว 2025 Camry ใหม่วันนี้น่าจะช่วยให้ตลาด midsize sedan ในบ้านเราคึกคักขึ้นอีกครั้งด้วย generation ที่ 9 ขุมพลังตอนนี้มีเฉพาะ Hybrid ซึ่งในตลาดโลกสามารถเลือกรุ่นย่อยที่ครอบคลุมตั้งแต่ขับเคลื่อนล้อหน้าไปจนถึง all-wheel-drive แต่ในบ้านเราอาจจะมีแค่ front-wheel-drive ทำตลาด Camry ใหม่อาจจะยังเรียกว่า All-new ไม่ได้ เพราะยังคงพัฒนาบนพื้นฐาน TNGA-K platform เหมือนรุ่นก่อน แต่มีการพัฒนาช่วงล่างใหม่ให้ตอบสนองได้เฉียบคมขึ้น มิติตัวถังและภาพรวมของรถจึงยังดูคล้ายเดิม ด้านหน้าและหลังเปลี่ยนไฟ LED ได้กระจังหน้าใหม่ ภายในติดตั้งจอ digital instrument cluster ขนาด 7 นิ้ว และจอ infotainment ขนาด 8 นิ้ว และ 12.3 นิ้วในรุ่นท็อป เครื่องเสียง JBL ลำโพง 9 จุด และ Toyota Safety
สร้างความสั่นสะเทือนวงการรถจักรยานยนต์อีกครั้ง กับแบรนด์ LAMBRETTA (แลมเบรตต้า) เจ้าพ่อสกู๊ตเตอร์คลาสสิกระดับตำนาน 76 ปี จากอิตาลี ทำเซอร์ไพรส์เผยโฉมสุดยอดอิเลคทริคสกู๊ตเตอร์ EV Concept รุ่นต้นแบบ ในชื่อรุ่น Elettra กับรูปโฉมที่เปรียบเสมือนผลงานศิลปะแห่งอนาคต ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% Elettra รถรุ่นต้นแบบของสกู๊ตเตอร์พลังงานไฟฟ้า 100% จากแบรนด์ดังฝั่งอิตาลี อย่างแลมเบรตต้า ที่นำมาเผยโฉมให้ได้ชมกันเป็นครั้งแรกในโลก ภายในงาน EICMA 2023 (Esposizione Internazionale Ciclo Motociclo e Accessori 2023) จัดขึ้น ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 66 นี้ ซึ่งถือเป็นปีที่แบรนด์แลมเบรตต้าครบรอบ 76 ปี สำหรับชื่อ Elettra เป็นชื่อภาษาอิตาเลียน ที่นิยามถึงหญิงสาวทรงเสน่ห์ มากความสามารถมีความคิดนอกกรอบและมีความมั่นใจในตนเอง นอกจากนี้ ยังมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่าเป็น จิตวิญญาณแห่งการบุกเบิก หรือผู้ที่มีเอกลักษณ์ โดดเด่นจนได้รับเป็นผู้ที่ถูกเลือก
TAG Heuer Carrera Chronograph เป็นที่จดจำในฐานะนาฬิกาที่แสดงถึงงานฝีมือ ซึ่งเป็นมากกว่านาฬิกา; นับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของ TAG Heuer ในการสร้างเรือนเวลาที่บ่งบอกความเหนือใครของผู้สวมใส่ การเปิดตัวครั้งนี้เหมือนได้นึกย้อนกลับถึง Jack Heuer ผู้มีวิสัยทัศน์ที่ได้สร้างคอนเซปต์ที่พลิกวงการ: ด้วยการมอบนาฬิกาสีทองสู่เหล่านักแข่งรถ นาฬิการุ่นนี้นี้เปรียบเสมือนการแสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง TAG Heuer และโลกแห่งมอเตอร์สปอร์ต นาฬิกาเหล่านี้ได้ก้าวข้ามบทบาทผ่านรางวัลต่างๆ ไม่ว่าเป็นเพื่อนคู่ใจในการแสวงหาชัยชนะอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกระหน่ำของเครื่องยนต์และความเร็วน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้นักแข่งหลายคนเลือกที่จะสวมใส่นาฬิกาเหล่านี้บนข้อมือ อาทิ Ronnie Peterson และ Niki Lauda ซึ่งได้พาพวกเขาไปก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดต่างๆ ความกล้าหาญของ Jack Heuer ได้พลิกโฉมอุตสาหกรรมนาฬิกาลักซ์ชัวรี่ไปตลอดกาล นาฬิกาเรือนสีทองทั้งหมดนี้กลายเป็นมากกว่าเครื่องจับเวลา แต่ละรุ่นได้รวบรวมแก่นแท้ในด้านความสำเร็จ ความกล้า และ การมุ่งหาความเป็นเลิศอย่างแน่วแน่ ทุกการขับเคลื่อนของเข็มโครโนกราฟได้สะท้อนแรงผลักดันที่ไม่หวั่นเกรงของนักแข่ง ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอถึงเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ของพวกเขา นาฬิกา TAG Heuer Carrera Chronograph มาพร้อมขนาด 39 มิลลิเมตร ถือเป็นการยกย่องที่หวนคืนสู่ยุควินเทจ แสดงถึงเสน์ห์แบบย้อนยุค และสุนทรียะที่ไร้กาลเวลา ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงสปิริตของแบรนด์ที่ไม่เคยหยุดยั้ง ตัวเรือนนาฬิกา TAG
1967 Shelby GT500 ผลงานระดับ Iconic ของ Carroll Shelby จากการนำ Ford Mustang fastback มาอัพเกรดใหม่ให้สะใจชาวอเมริกันผู้ชื่นชอบกลิ่นควันยางรถบดถนน กระจังหน้าถูกแทนที่ด้วยโคมไฟคู่สไตล์ rally cars ฝากระโปรง fiberglass เพิ่มช่องดักอากาศระบายความร้อนให้เครื่องยนต์ “Ford Cobra” FE Series 428 cu in (7.0 L) V8 engine 355 horsepower at 5400 rpm 420 ft-lb of torque ที่ทั้งใหญ่และหนัก ช่วงล่างของ Shelby GT500 ถูกเซ็ทให้แข้งกระด้าง ว่ากันตามตรงแล้วมันเป็นรถที่การทรงตัวไม่ค่อยจะดีนักก็เพราะสาเหตุนี้ด้วยเหมือนกัน ด้านข้างของรถเพิ่มช่องดักอากาศฝั่งละสองตำแหน่ง ด้านบนใช้ดักแรงลมพร้อมกับ ducktail ช่วยกดท้ายรถให้นิ่ง ด้านล่างใช้เป่าลดความร้อนใหัเบรกหลัง ไฟท้ายยาวใหญ่ชิ้นเดียวมาแทนที่ไฟเดิมดวงเล็กใน Mustang รุ่นปกติ ภายในสังเกตความพิเศษของ Shelby
Rolex Submariner หนึ่งในเบญจภาคีของ Rolex ที่นักสะสมทุกคนต้องมี แต่ย้อนไปในปี 1953 ปีที่ Rolex Submariner Reference 6204 วางขายเป็นครั้งแรกในฐานะนาฬิกา Dive watches ธรรมดาที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Rolex Datejust Turn-O-Graph 6202 ปีนั้นมี Rolex Submariner ออกมาทั้งหมด 3 Reference ในเวลาไล่เลี่ยกัน คือ Reference 6200, Reference 6204, Reference 6205 ซึ่งแม้จะไม่เป็นทางการ แต่มีการฟันธงว่า Ref 6204 น่าจะเป็นรุ่นแรกสุดที่วางขายแบบ commercial release เพราะมี serial number บนเคสระบุช่วงเวลา “II.53” แต่จะไม่มีการระบุความสามารถในการกันน้ำ เพราะเข้าใจว่ายุคนั้น Rolex ยังไม่สามารถพิสูจน์ depth rating ของ Ref 6204
คอลเลกชันนี้เป็นการสานต่อความมุ่งมั่นของดีไซเนอร์ในการสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชุดกีฬา และนำเสนอรูปแบบเสื้อผ้าซึ่งเป็นมรดกของอาดิดาสที่ถูกปรับโฉมใหม่ในสไตล์เรียบหรู โดยสินค้าที่มาในคอลเลกชันประกอบด้วย เสื้อผ้าถักสีน้ำตาลมาฮอกกานี จับคู่เข้าเช็ทกับกางเกงฟุตบอลขาสั้นผ้าไนลอนสี Sand ที่ตัดด้วยแถบสี 3 แถบด้านข้างอันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังมีสินค้าหลักที่ถูกผลิตด้วยผ้าไนลอนน้ำหนักเบาอันได้รับแรงบันดาลใจจากช่วงยุค 70s ถึงยุค 90s ได้แก่ ชุดแทรคสูทมาในสีฟ้าอ่อนสะท้อนแสง และเสื้อไนลอนสีดำที่โดดเด่นด้วยปกสีเขียวสดใสที่ตัดกันอย่างลงตัว และเสื้อผ้าทุกชิ้นไม่จำกัดเพศ ทำให้ทุกคนสามารถเป็นสวมใส่เสื้อผ้าในคอลเลกชันนี้ได้ สำหรับรองเท้าในคอลเลกชัน โมเดลสุดไอคอนิกอย่างรุ่น Samba ยังคงถูกหยิบมาพัฒนาและออกแบบในสไตล์ของ Wales Bonner อีกเช่นเคย โดย 2 คู่แรก โดดเด่นด้วยอัปเปอร์ที่ทำจากขนม้าเทียมและพื้นรองเท้ายาง มาในลายพิมพ์เสือดาวและสีแทนอ่อนที่ถ่ายทอดความหรูหราของตัวรองเท้าออกมาได้อย่างลงตัว ในขณะที่อีก 2 คู่ ประกอบด้วยวัสดุหนังกลับและการตัดเย็บแบบตัดกันอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากซีซั่นก่อนๆ ภาพในแคมเปญจึงได้ถูกเปลี่ยนฉากหลังจากวิวภูมิทัศน์ให้กลายเป็นฉากเรียบๆ ในสตูดิโอ พร้อมผสมผสานระหว่างนาย/นางแบบและสายสตรีท รวมถึงนักสเก็ตบอร์ดอย่าง Na-Kel Smith มาร่วมถ่ายภาพในแคมเปญ โดยเน้นไปที่การถ่ายทอดความมินิมอลของเสื้อผ้าในคอลเลกชัน และความซับซ้อนในคาแรกเตอร์ของแบบแต่ละคน นอกจากนี้ แคมเปญนี้ยังมาพร้อมวีดีโอบทสัมภาษณ์สั้นๆ พร้อมภาพเคลื่อนไหว โดยคำถามในการสัมภาษณ์ถูกจัดโดยนักเขียนบทละครและนักแสดงผู้ใจบุญอย่าง Jeremy O. Harris
วันสุดท้ายของสัปดาห์แบบนี้ ชาว UNLOCKMEN คนไหนที่มีแพลนจะหยุดอยู่บ้าน ใช้เวลาของค่ำคืนจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ดื่มไวน์เบา ๆ สักขวดคลอเคล้าไปกับเพลง Japanese Jazz Trio ของค่าย Three Blind Mice แล้วล่ะก็ เราแนะนำให้ลองเพิ่มเนื้อหั่นเย็น Cold Cut เข้าไปในเมนูอาหารด้วย เพราะนี่คือเนื้อคู่รสชาติที่ลงตัวที่สุดกับไวน์ ถ้าอยากรู้ว่าลงตัวอย่างไร เราเอา Cool Fact มาฝากทุกคนในโพสต์นี้ เนื้อหั่นเย็นมีประวัติยาวนานตั้งแต่ช่วง 500 ปีก่อนคริสตกาล ในตอนนั้นชาวโรมันมีวัฒนธรรมการถนอม ‘เนื้อสัตว์’ โดยการหมักใช้เกลือทาและรมควันเพื่อยืดระยะเวลาการกินออกไปนาน ๆ ที่พวกเขาต้องใส่ใจการถนอมอาหารเป็นเพราะจานหลักของแทบทุกครัวเรือนเป็นแฮมกับไส้กรอก โดยมี Cold Cut เป็นเครื่องเคียงที่ขาดไม่ได้นั่นเอง ข้ามเวลามาในช่วงของยุคสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) เนื้อ Cold Cut มีบทบาทมาก ๆ เพราะการมาถึงของขุนนางแห่งอังกฤษ John Montagu หรือ Earl of Sandwich และไอเดียการคิดค้นแซนด์วิชของเขานั่นเอง และเมื่อเข้าสู่ปี
All-Electric 1967 Ford Mustang Fastback ใกล้เป็นจริงเข้ามาทุกที แม้จะไม่ใช่ผลงานจากโรงงาน Ford แต่เป็นสำนัก Charge Car ที่ได้ License ในการสร้าง 1967 Ford Mustang Fastback พลังงานไฟฟ้าอย่างเป็นทางการ นั่นแปลว่าเราไม่จำเป็นต้องเสีย Donor car ในการเอามาตัดดัดแปลงแต่อย่างใด สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ทั้งหมด ไม่เสียรถระดับตำนานที่เหลือน้อยลงทุกทีอีกด้วย 1967 Ford Mustang EV by Charge Cars จะมาพร้อมแบตเตอรี่ความจุ 63 kWh ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 4 ตัว ให้ total output มากถึง 536 แรงม้า แรงบิด 1,500 นิวตันเมตร ทำความเร็ว 0-100 km/h ได้ใน 3.99 วินาที ความเร็วสูงสุด 322
อุปกรณ์ทำมาหากินที่สำคัญไม่แพ้อวัยวะในร่างกายของเราได้เดินทางมาพร้อมชิปตระกูล M3 แบบใหม่หมด นั่นคือ M3, M3 Pro และ M3 Max ซึ่งโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรม GPU เจเนอเรชั่นถัดไปและ CPU ที่เร็วขึ้น จึงทำให้ชิปตระกูล M3 มีประสิทธิภาพที่สูงยิ่งขึ้นและนำความสามารถใหม่ๆ มาสู่ MacBook Pro MacBook Pro รุ่น 14 นิ้ว ใหม่ พร้อมชิป M3 นั้นไม่เพียงแค่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่ยังคงประสิทธิภาพที่เหนือชั้นได้ต่อเนื่องขณะใช้งานแอปและเล่นเกมระดับโปร จึงเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับครีเอทีฟไฟแรง นักเรียนนักศึกษา และเจ้าของธุรกิจด้วยราคาเริ่มต้น 59,900 บาท MacBook Pro รุ่น 14 นิ้ว และ 16 นิ้ว พร้อมชิป M3 Pro มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและรองรับหน่วยความจำแบบรวมเพิ่มมากขึ้น จึงสามารถรับมือกับเวิร์กโฟลว์ที่หนักขึ้นสำหรับผู้ใช้ในกลุ่มนักเขียนโค้ด ครีเอทีฟ และนักวิจัย ในขณะที่ MacBook Pro รุ่น