หากจะให้พูดถึงข่าวคราวในวงการเกมคอนโซลที่โคตร Hype ในปีที่ผ่านมา คงไม่มีใครเกินหน้าข่าวการวางจำหน่ายเครื่องเกมขวัญใจมหาชนอย่าง PlayStation 5 หลังจากที่เหล่าสาวกเฝ้าติดตาม ข่าวลือ ข่าวหลุด ข่าววันเปิดตัวกันมาอย่างยาวนาน และถือเป็นเรื่องธรรมดาหลังจากการมาของ PlayStation 5 ที่เราทั้งหลายต่างได้พบเห็นการรีวิวแกะกล่อง, การแคสเกมใหม่ ๆ ที่มาพร้อมกราฟิกอลังการ รวมถึงการลงรูปประกาศความเป็นเจ้าของไอเทมเด็ดชิ้นนี้ ในขณะที่ชาวไทยอย่างเรา ๆ ที่สู้ราคาเครื่องหิ้วไม่ไหว เพราะยังไม่มีกำหนดวางจำหน่ายจาก Sony Thai ให้ได้ใจชื้นกันสักที ก็ยังคงต้องอิจฉาตาร้อนผ่าว ๆ นึกน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อไหร่จะได้ถอย PS5 มากระหน่ำให้หนำใจกันเหมือนคนอื่นกันสักที แต่ถึงแม้จะเศร้าที่ต้องรอการมาของ PlayStation 5 นานกว่าใครเขา อย่างน้อยถ้ามองในแง่ดีระหว่างรอก็ยังพอมีเวลาเตรียมตัวกับปัญหาต่าง ๆ ซึ่งแทบจะเป็นปกติของสินค้าใหม่ล็อตแรก ยิ่งเป็นสินค้าเทคโนโลยียิ่งมีให้ลุ้นทั้งปัญหาเรื่องซอฟแวร์และฮาร์ดแวร์ แต่ปัญหาล่าสุดที่ผู้ครอบครอง PS5 ต้องประสบนั้นไม่ใช่อะไรที่ซับซ้อนดังคาด เพราะมันกลับกลายเป็นปัญหาเรื่องขนาดไปซะอย่างนั้น ทั้งนี้คงต้องบอกว่า PlayStation 5 นั้นถือเป็นเครื่องเกมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสต์วงการคอนโซลยุคใหม่ แถมยังแบกพิกัดน้ำหนักเกือบ 5 กิโลกรัม (4.78 กิโลกรัม) ทำให้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ กับการหา Sideboard
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาคือสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหยุดยั้ง หรือสามารถกักเก็บเวลาเอาไว้กับตัวได้ และอาจเป็นเพราะสัจธรรมของเวลาที่มีแต่จะหมุนผ่านเลยไป ทำให้มนุษย์เรามักจะให้คุณค่าและเลือกที่จะเก็บสะสมกับสิ่งที่เป็นตัวแทนแห่งช่วงเวลาเก่า ๆ ยกตัวอย่างเช่นแผ่นเสียงที่แม้ว่าจะผ่านเวลามายาวนาน แม้จะเป็น Format เพลงที่อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เรื่องคุณภาพเสียงคมกริบ หรือความสะดวกสบายในการฟัง แต่สำหรับคอแผ่นเสียงทั้งหลาย น่าจะเห็นตรงกันว่าอารมณ์และเสน่ห์ที่ได้จากการเสพดนตรีผ่านแผ่นเสียงนั้นเป็นสุนทรีภาพด้านการฟังที่หาไม่ได้จากการฟังเพลงใน Format อื่น ทำให้จนถึงทุกวันนี้วงการแผ่นเสียงก็ยังคงถูกขับเคลื่อนด้วยผู้คนที่หลงใหลในแผ่นดำ โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นคุณจะเป็นคนยุคแอนะล็อก หรือยุคดิจิทัล ไม่ว่าใครก็ล้วนแล้วแต่มีโอกาสตกหลุมรักแผ่นเสียงไวนิลได้แทบทั้งนั้น และคอลัมน์ The Collector สัปดาห์นี้ เราขอพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบกับเรื่องราวของ ‘พลอย-ตวงพรรษ รัตนวาทิน’ หญิงสาวที่เติบโตมาในยุคคาบเกี่ยวของแอนะล็อก และดิจิทัล ผู้เทใจให้กับแผ่นเสียงอย่างหมดหน้าตัก ด้วยความหลงใหลในแทบทุกอณูของมัน ทั้งสุ้มเสียงที่มีเสน่ห์ อาร์ตเวิร์กที่สวยงาม ไม่เว้นแม้กระทั่งกลิ่นจากซองแผ่นเสียงเก่า แถมยังนำเอาความหลงใหลเหล่านั้น มาต่อยอดเป็นธุรกิจที่เมื่อเอ่ยชื่อออกมาหลายคนเป็นต้องร้องอ๋อ กับร้านแผ่นเสียง Trackaddict Records และ Dumbo / York BKK บาร์แจ๊สชื่อดังย่านสะพานควาย ที่ว่ากันว่าเป็นหมุดหมายซึ่งชาวยิปซีแจ๊สต้องไปเยือนให้ได้สักครั้ง เติบโตมากับดนตรี ด้วยความที่คุณพลอยเกิดมาในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนักดนตรี จึงได้ซึมซับศาสตร์ด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก เพลงเมื่อสมัยนู้นก็จะประมาณ Ray Charles ที่เน้นทำนอง จังหวะน่าโยกอย่างเพลง
เมื่อเวลาหมุนวนมาบรรจบครบเดือนที่ 12 ของปฏิทินทีไร เชื่อว่าหลายคนคงกำลังเฝ้ารอกิจกรรมสนุก ๆ จาก ไฮเนเก้น ที่มักจะมีแคมเปญเจ๋ง ๆ แตกต่างอย่างมีคอนเซปต์ตามสไตล์ของแบรนด์เครื่องดื่มระดับโลกแบรนด์นี้ออกมาต้อนรับช่วงเวลาแห่งความสุขส่งท้ายปีอยู่โดยตลอด ซึ่งแน่นอนว่าปีนี้ ไฮเนเก้น ก็ไม่พลาดที่จะจัดเต็มด้วยแคมเปญสุดอลัง เพื่อยกระดับการสังสรรค์ช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองให้พิเศษกว่าที่เคย ด้วยการสร้างจุดเด่นแบบไม่เหมือนใคร เพื่อต่อยอดแนวคิดโกลบอล “Because you’re one in a billion” ที่เชื่อว่าทุกคนล้วนมีความพิเศษในตัวเองที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ในปีนี้ ไฮเนเก้นเลือกสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างกว่าทุกปีด้วย Heineken® Festive Campaign 2020 เพื่อสร้างประสบการณ์การเฉลิมฉลองปีนี้มีให้มีความพิเศษกว่าใคร ให้ทุกคนสามารถสัมผัสได้ผ่านทาง Element ต่าง ๆ เหล่านี้ สำหรับสิ่งแรกที่ถือเป็นสัญญาณการมาถึงของแคมเปญแจ่ม ๆ ส่งท้ายปีจากไฮเนเก้น ที่หลายคนน่าจะเริ่มสังเกตเห็นกันตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤศจิกาที่ผ่านมา คืองานแพทเทิร์น Heineken® Festive Edition 2020 ที่สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์ ไฮเนเก้นแบบแตกต่างกว่าเดิม โดยดึงเอาอัตลักษณ์ของแบรนด์ ไฮเนเก้นมาจัดวางออกแบบให้ทันสมัยเป็นดีไซน์บนฉลากของผลิตภัณฑ์ที่มีไม่ซ้ำกันถึง 30 ลายทั้งรูปแบบขวด และกระป๋อง ที่ต้องยอมรับว่ามันช่างโดดเด่นเตะตานักสะสมอย่างเรา ๆ เสียเหลือเกิน อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ Heineken® One in a Billion Instagram Filter ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองวิธีคิดของไฮเนเก้น ที่ตั้งใจส่งต่อความสนุกสนานในทุกที่ไม่เว้นแม้แต่บนโลกออนไลน์
ท่ามกลางความวุ่นวายของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน การให้รางวัลกับตัวเองด้วยออกไปพบกับโลกที่เราทุกคนสามารถเลือกดื่มด่ำไปกับรูปแบบชีวิตที่พิถีพิถัน ถือเป็นการพักผ่อนชาร์จพลังให้ชีวิตด้วยอีกขั้นของไลฟ์สไตล์ซึ่งเราขอนิยามด้วยคำว่า ‘Live High’ การมีความสุขกับสิ่งที่ใช่ซึ่งช่วยเติมเต็มวิถีชีวิตยุค New Normal ให้มีความสุข เปี่ยมไปด้วยพลังสร้างสรรค์ในทุก ๆ วัน และในวันนี้ UNLOCKMEN ร่วมกับ YAMAHA Grand Filano Hybrid จะชวนผู้อ่านทุกท่านออกไปค้นพบพิกัดเติมความสุขกับสิ่งที่ใช่ในวิถี ‘Live High’ ใช้ชีวิตอย่างมีคลาสกับ 3 กิจกรรม จาก 3 สถานที่ไม่ใกล้ ไม่ไกล สามารถจัดโปรแกรม One Day Trip มีเวลาว่างแค่วันเดียวก็สามารถออกไป ‘Live High’ ได้ครบทุกโลเคชั่น เพราะแต่ละที่นั้นล้วนแล้วแต่หลบซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพมหานคร รอให้ทุกคนได้ไปสัมผัสช่วงเวลาแห่งความสุขสุดพิถีพิถันด้วยตัวเอง สำหรับพิกัดใช้ชีวิตแบบ ‘Live High’ ที่แรก คงไม่มีอะไรดีไปกว่า การเริ่มต้นวันใหม่ภายใต้บรรยากาศดี ๆ ที่ The Hub Cafe and Eatery คาเฟ่เรือนกระจกที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยพระรามเก้า 41 ซึ่งโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมโมเดิร์นชั้นเดียว หลังคาทรงจั่วประกอบแผ่นไม้สีเข้มเข้ากับกระจกบานใหญ่
ยังจำได้ไหม ความฝันวัยเด็ก ทุกคนเคยฝันว่าอะไรกันบ้าง เชื่อว่าในตอนนี้หลายคนอาจยังคงเดินอยู่บนเส้นทางฝันเดิมที่มีในวัยเด็ก แต่คงมีจำนวนไม่น้อยที่ลืมฝันเหล่านั้น หรืออาจค้นพบตัวเองในฝันใหม่ ๆ ที่แตกต่าง ในขณะที่เด็กคนหนึ่ง ซึ่งมีฝันจากสิ่งใกล้ตัว เริ่มต้นจากการค้นพบว่าพาหนะสองล้อสามารถพาเขาไปพบกับอิสระ และประสบการณ์ชีวิตบนพื้นที่ใหม่ ๆ ได้ไกลกว่ารั้วบ้าน จนสุดท้ายไม่น่าเชื่อว่าจากฝันเล็ก ๆ ตรงนั้น จะมาไกลจนถึงวันที่เด็กน้อยคนเดิมซึ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่จะตัดสินใจกับตัวเองว่า ‘วันหนึ่ง ฉันจะขี่มอเตอร์ไซค์รอบโลกให้ได้’ และคอลัมน์ Zero to Hero สัปดาห์นี้จะพาชาว UNLOCKMEN ไปคุยกับ ‘ตงค์-เสริมธนชาติ คูณแสนโชติสิน’ นักธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ผู้เป็นเจ้าของฝันที่สร้างแรงบันดาลใจแก่นักเดินทาง และใครอีกหลายคนให้กล้าก้าวออกมาจาก Comfort Zone ได้สำเร็จ กับเรื่องราวการเดินทางที่ไม่เคยง่าย เพราะไม่ใช่เพียงอุปสรรคที่ต้องเจอระหว่างเส้นทางลุยรอบโลก แต่ยังหมายความรวมถึงการสร้างเนื้อสร้างตัว เพื่อทำให้ความฝันในวัยเยาว์นั้นประสบผลสำเร็จ ซึ่งการบาลานซ์ชีวิตจริง เพื่อตอบโจทย์ชีวิตที่อยากทำตามฝันของผู้ชายคนนี้จะเป็นอย่างไร เตรียมพบคำตอบไปพร้อม ๆ กันได้เลย ความอิสระคือเสน่ห์ของพาหนะสองล้อ “มันเริ่มมาจากวัยเด็ก การที่เราได้ขี่สองล้อก็คือการปั่นจักรยานออกไปนอกบ้าน ทำให้เราได้เจอสิ่งที่ไม่เคยเห็นในรั้วบ้าน ทำให้เราพบเจออิสระ ได้เจออะไรใหม่ ๆ” คุณตงค์ค่อย ๆ เล่าถึงชีวิตวัยเด็กที่เหมือนได้เจออิสระและความท้าทายใหม่
ผ่านเวลามาแล้วเกือบปี กับวิกฤตการณ์ไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อพวกเราชาวไทยในแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินชีวิตที่ต้องเปลี่ยนรูปแบบไปภายใต้นิยามวิถีชีวิตใหม่ ที่ไม่ว่าใครต่างก็เข้าใจว่า New Normal นั้นคืออะไรโดยไม่ต้องอธิบายกันให้มากความ แต่ขณะที่หลายคนปรับตัวรับมือการใช้ชีวิตแบบ New Normal มาแล้วร่วมปี ในความเป็นจริงยังมีอีกหลายชีวิต หลายอาชีพ หลายธุรกิจ หลากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังคงบาดเจ็บจากผลกระทบที่ได้รับอันสืบเนื่องมาจากการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสมหาภัย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรม รวมถึงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ที่ได้รับผลกระทบแบบเต็ม ๆ โดยข้อมูลล่าสุดพบว่าในจำนวนคนไทยที่ตกงานทั้งหมด มีมากกว่ากว่า 1 ล้านคนที่มาจากธุรกิจโรงแรม และธุรกิจร้านอาหาร จากรายงานตัวเลขที่ยังคงน่าเป็นห่วง เป็นเหตุให้แบรนด์ไทยที่อยู่คู่กับสังคมไทยมายาวนานกว่า 80 ปี มีโอกาสรับรู้และร่วมก้าวผ่านวิกฤติกับพี่น้องชาวไทยมามากมายหลายครั้งอย่าง Mekhong อยากที่จะลุกขึ้นมาการสนับสนุนให้คนไทยสามารถฝ่าฟันวิกฤติการณ์ครั้งนี้ไปได้ด้วยกันอีกครั้ง จึงเป็นที่มาของการปล่อยแคมเปญ CSR ที่น่าสนใจอย่าง ‘Thai Spirit At Home’ โดยทาง คุณสรรศิริ ยอดเมืองเจริญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดสุรา บริษัท ไทยเบฟ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ได้เปิดเผยถึงวัตถุประสงค์หลักของโปรเจกต์ ‘Thai Spirit At
“เบอร์เกอร์บ้าอะไร ใช้เวลาทำตั้ง 20 นาที แถมรับลูกค้าแค่วันละ 4-5 คนต่อวัน” “มันติสท์อะไรของมันวะ กับอีแค่เบอร์เกอร์เนี่ย ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย” “ให้ตีราคาเองเหรอ จะจ่ายกี่บาทก็ได้ดิ งั้นขอกินฟรีได้ปะ !?” นอกจากอารมณ์อยากรู้อยากลองลิ้มรสแฮมเบอร์เกอร์ที่มีเสียงร่ำลือว่ามันถูกรังสรรค์ขึ้นมาด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอีกมุมหนึ่งในโลกไซเบอร์นั้นเต็มไปด้วยคอมเม้นต์ และบทสนทนาทำนองเดียวกับคำพูดข้างต้นที่เราหยิบยกมา ซึ่งก็คือ Reaction เชิง Negative ของใครอีกหลายคนที่เพิ่งเคยรู้จักหรือเคยได้ยินคำบอกเล่าของคนอื่นต่อ ๆ กันมา เกี่ยวกับร้านเบอร์เกอร์ร้านหนึ่ง ที่เคยสร้างปรากฏการณ์คิวเต็มยาวตลอดปีมาแล้วเมื่อ 2-3 ปีก่อน แต่เราเชื่อว่าหากใครมีโอกาสได้สัมผัสการนำเอาอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่างแฮมเบอร์เกอร์มายกระดับให้กลายเป็นงานคราฟต์สุดพิถีพิถันภายในร้าน HomeBurg โปรเจกต์ทดลองของหนุ่มลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น อย่าง ‘ไทกิ – รัตนพงศ์ ทสึโบตะ’ คงจะได้คลายข้อสงสัยต่าง ๆ นา ๆ ที่เคยมีต่อเมนูเบอร์เกอร์โคตรอินดี้ที่ยากจะเข้าใจ ว่ามันแตกต่าง และสามารถสร้างความตราตึงให้กับผู้ที่ลิ้มลองได้อย่างไร เพราะถึงแม้ในปัจจุบันเขาจะหยุดโปรเจกต์ Homeburg ไป และกำลังมุ่งมั่นกับการนำเสนอเมนูเบอร์เกอร์สไตล์ไทกิให้เข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิมภายใต้แบรนด์ Bun Meet & Cheese แต่รสสัมผัสอันยอดเยี่ยม รวมถึงประสบการณ์การรับประทานที่แปลกใหม่ซึ่งมาจากฝีมือของไทกิโดยตรงเหมือนเมื่อครั้งที่ทำร้าน Homeburg ก็ยังคงเป็นที่เฝ้ารออยู่เสมอ และคอลัมน์ The Real
เพิ่งเปิดตัวกันไปสด ๆ ร้อนกับ HUAWEI WATCH GT 2 Pro สมาร์ทวอชหน้าตาหล่อเหลา ที่พกเอาความสามารถมาแบบเต็มเหนี่ยว จัดเต็มฟังก์ชันอำนวยความสะดวกแทบทุกด้านของชีวิต ทั้งการทำงาน ความบันเทิง สุขภาพ และการออกกำลัง เรือนเดียวครบในราคาหนึ่งหมื่นบาทมีทอน (9,990 บาท) เท่านั้น และความสามารถเจ๋ง ๆ ของ HUAWEI WATCH GT 2 Pro จะมีอะไรที่ตอบโจทย์โดนใจชาว UNLOCKMEN บ้าง วันนี้เราจะไขข้อสงสัยให้ทุกท่านได้กระจ่าง เชิญอ่านไปพร้อมกันได้เลย เริ่มต้นกันที่จุดเด่นแรก ซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องราวของงานดีไซน์ที่ส่งให้ HUAWEI WATCH GT 2 Pro มาพร้อมรูปลักษณ์เรียบหรู เหมาะกับการสวมใส่ในทุกช่วงเวลาของชีวิต จะออกงานเนี้ยบ ๆ หรือใส่ลุยออกกำลังกาย ก็อุ่นใจทุกสถานการณ์ด้วยตัวเรือนไทเทเนียมที่น้ำหนักเบา และทนทาน พร้อมหน้าปัดคริสตัลแซฟไฟร์สุดแกร่ง อีกทั้งยังมีบอดี้ด้านหลังที่ใช้วัสดุเซรามิกเคลือบเงา เสริมภาพรวมความงดงามของนาฬิกาอัจฉริยะเรือนนี้ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังเลือกเปลี่ยนลุคได้รวดเร็วทันใจด้วยสายนาฬิกาที่ถอดเปลี่ยนได้ง่ายดายด้วยตัวเองแค่กดเลื่อนสลักด้านหลัง จะใส่สายหนังสุดหรู หรือสายซิลิโคนสไตล์สปอร์ต ก็เลือกได้ตามใจไม่ยุ่งยาก และไม่ใช่เพียงแค่สายนาฬิกาเท่านั้นที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสไตล์ที่แตกต่างได้อย่างสะดวกง่ายดาย ในส่วนของ
หากย้อนกลับไปค้นความทรงจำของผู้คนเมื่อ 20 กว่าปีก่อน หลายคนน่าจะเจอเศษเสี้ยวของความทรงจำเดียวกันกับเรา ความทรงจำที่มีถึงเรื่องราวของดาวดวงหนึ่งที่เจิดจรัสสุด ๆ บนวงการบันเทิงไทย เรียกว่าระดับปรากฏการณ์ก็คงดูไม่เกินจริงนัก เขาเป็นเด็กหนุ่มตาหล่อเหลา คารมดี ขี้เล่น เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่หาตัวจับได้ยาก ซึ่งเราเชื่อเหลือเกินว่าคนที่เติบโตขึ้นมาในช่วงยุค 90 คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้ชายที่ชื่อว่า ‘เจ มณฑล จิรา’ ก่อนที่เขาจะหายหน้าไปจากแสงไฟสปอตไลต์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จะเหลือไว้ก็เพียงข่าวคราวผลงานด้านการทำเพลงในฐานะคนเบื้องหลังให้กับภาพยนตร์ระดับฮอลลีวู้ด รวมถึงศิลปินดังมากหน้าหลายตาทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมงานเพลง Side Project เล็ก ๆ ที่ทำร่วมกับเพื่อนฝูงให้กลุ่มคนที่ยังติดตามผลงานของเขาอยู่ได้หายคิดถึงกันบ้าง และในวันนี้เมื่อเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับการตัดสินใจกลับมาเป็นคนเบื้องหน้าอีกครั้ง เราจึงไม่พลาดที่จะชวน ‘เจ มณฑล จิรา’ มาพูดคุยถึงชีวิตของเขาในหลายแง่มุมซึ่งหลายคนอาจไม่มีโอกาสได้ถาม นับตั้งแต่ที่เขาเลือกหายไปจากงานเบื้องหน้าในวงการบันเทิง จนกระทั่งการกลับมาพร้อม ‘ด้วยความเคารพ’ ผลงานอัลบั้มเดี่ยวภาคภาษาไทยในรอบ 24 ปีของเขา อะไรที่ทำให้เขาปลีกตัวจากงานบันเทิงที่กำลังรุ่ง อะไรที่ทำให้เขาหันไปทุ่มเทกับงานเพลง และอะไรที่ทำให้ชายวัย 41 ย่าง 42 ปี (ที่ยังคงหล่อเหลาดูดีเกินอายุ) นั้นกลับมามุ่งมั่นสร้างผลงานเดี่ยวของตัวเองอีกครั้ง ขอเชิญชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปพบคำตอบพร้อม ๆ กันในคอลัมน์
สำหรับคอกาแฟทั้งหลายคงปฏิเสธไม่ได้ว่ากาแฟนั้นเปรียบได้ดั่งน้ำอมฤตที่ช่วยรีเฟรชความสดชื่นในชีวิตแต่ละวันได้เป็นอย่างดี ทำให้ร้านคาเฟ่และกาแฟดี ๆ สักแก้ว กลายเป็นสิ่งที่หลายคนขาดไม่ได้ และในชั่วโมงเร่งรีบแบบนี้ร้านคาเฟ่สไตล์ Grab & Go จึงทยอยกันออกมาเปิดมากขึ้น แต่หนึ่งในนั้นกลับมีอยู่ร้านหนึ่งที่แตกต่าง คือร้านกาแฟร้านนี้ที่นำเสนอเมนูกาแฟในรูปแบบใหม่ ฉีกขนบกาแฟแบบเดิม ๆ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านตลาดน้อย ปากซอยเจริญกรุง 31 และร้านที่เรากำลังพูดถึงพร้อมพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปรู้จักก็คือร้าน ‘ENVIES CAFE’ ร้านนี้นี่เอง ที่มาที่ไปของ ENVIES CAFE @เจริญกรุง ในยุคออนไลน์ 4.0 แบบนี้ นอกจากจะมีกาแฟดี ๆ แล้ว ร้านคาเฟ่ที่ตกแต่งเก๋ ๆ ก็มักจะมาคู่กับรูปภาพสวย ๆ เสมอ จึงกล่าวได้ว่า แฟชั่นกับร้านคาเฟ่ เป็นของคู่กันที่ขาดไม่ได้เลย นั่นเป็นไอเดียตั้งต้นของ คุณ ณัฐดนัย อัมพรเรืองรอง เจ้าของร้าน ENVIES CAFE ที่เชื่อว่าแฟชั่นกับร้านคาเฟ่จะเป็น Trendy ในอนาคตอย่างแน่นอน จึงเปิดเป็นร้านกาแฟร้านนี้ขึ้นมา ถือเป็น Second line ของเจ้าตัวเอง