ถ้าพูดถึงวงการทีวีซีรีส์ในช่วงเวลานี้ใคร ๆ ต่างก็ต้องพูดถึงสตรีมมิงของ Netflix ที่ขยันปล่อยซีรีส์น่าสนใจมาอยู่เรื่อย ๆ แม้ตอนนี้จะมีคู่แข่งหลายเจ้าเกิดขึ้นมากมายทั้ง Apple TV Plus ที่ปล่อยเรื่อง See ออกมาและได้รับคำชมอย่างล้นหลาม หรือจะเป็นทางฝั่งค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Disney + ที่ส่งซีรีส์ภาคแยกจากมหากาพย์หนังสงครามของมวลมนุษยชาติเรื่อง Star Wars กับซีรีส์ The Mandalorian ลงสนามแย่งฐานผู้ชมกับค่ายระบบสตรีมมิงอื่น ๆ การเกิดขึ้นของระบบสตรีมมิงทำให้การรับชมทีวีซีรีส์ของผู้คนเปลี่ยนไป และในตอนนี้ Netflix ก็พร้อมประกาศสงครามกับค่ายหนังอื่น ๆ ด้วยการส่งซีรีส์ฟอร์มยักษ์ที่ใครหลายคนรอคอยกับเรื่อง The Witcher ลงสนามด้วยเช่นกัน จึงทำให้ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับโลกของ The Witcher ให้มากขึ้นว่า เพราะอะไรผู้คนทั่วโลกถึงให้ความสนใจกับซีรีส์เรื่องนี้ ? THE WITCHER เวอร์ชันนิยายและเกม ก่อนมาเป็นซีรีส์ที่คนทั่วโลกจับตามองและให้ความสนใจ The Witcher คือนวนิยายชุดแฟนตาซีจากปลายปากกาของ Andrzej Sapkowski นักเขียนชาวโปแลนด์ร่างไว้ตั้งแต่ปี 1986 ด้วยเรื่องราวน่าตื่นเต้นของหนังสือทำให้ The
นาฬิกาถือเป็นไอเทมที่อยู่คู่กับเหล่าสุภาพบุรุษมาอย่างยาวนาน บางคนมองว่านาฬิกาคือสิ่งที่ต้องพกติดตัวไปทุกที่เพื่อบอกเวลา บางคนมองว่านาฬิกาเป็นแฟชั่น และหลายคนชื่นชอบสไตล์รวมถึงดีไซน์ที่เฉพาะตัวของแต่ละแบรนด์ ด้วยมุมมองที่แตกต่างทั้งหมดทำให้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับนาฬิกาแบรนด์ Hublot ที่หยิบวัสดุสุดล้ำค่าอย่างแซฟไฟร์มาสร้างสรรค์ให้กลายเป็นเรือนเวลาร่วมสมัยที่ตอบโจทย์ใครหลายคน Hublot (อูโบลท์) แบรนด์นาฬิกาสวิตฯ ก่อตั้งโดย Carlo Crocco เมื่อปี 1980 ถือเป็นนาฬิกาแบรนด์แรกที่ริเริ่มเอาแผ่นยางธรรมชาติมาทำเป็นสายนาฬิกาเพื่อใช้กับตัวเรือนทำจากทองคำ ซึ่งการนำยางมาเป็นส่วนประกอบของนาฬิกาเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตแบรนด์อื่นในช่วงเวลานั้นมองว่าไม่น่าจะมีใครชอบและต้องขายไม่ออกอย่างแน่นอน ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม ผู้คนชื่นชอบไอเดียสายนาฬิกาแบบยางของ Hublot แต่แบรนด์ก็ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างเท่าไหร่นักจนปี 2004 เมื่อ Jean-Clsude Biver ขึ้นมารับตำแหน่ง CEO พร้อมกับสร้างคอลเลกชันเรือนเวลาชื่อว่า Big Bang นาฬิกาสปอร์ตโครโนกราฟบอกเวลาอย่างแม่นยำ โดยมักใช้วัสดุหลายอย่างมาผลิตทั้ง ทองคำ เหล็ก และอัญมณี พร้อมกับการกระโดดเข้าสู่วงการกีฬาด้วยการเป็นผู้สนับสนุนสโมสรฟุตบอลชื่อดังจากเกาะอังกฤษ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2008 ด้วยการริเริ่มอะไรหลาย ๆ อย่างและยังไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทำให้ในที่สุดจากแบรนด์นาฬิกาน้องใหม่นอกสายตากลายเป็นนาฬิกาแบรนด์ดังที่คนเล่นจะต้องรู้จัก แถมตอนนี้ Hublot ก็เตรียมสร้างสรรค์สิ่งใหม่อีกครั้งด้วยเรือนเวลาจากวัสดุราคาสูงอย่างแซฟไฟร์ในคอลเลกชัน ‘Spirit of Big Bang Sapphire’ เรือนเวลาคอลเลกชัน
ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ UNLOCKMEN ทำต่อเนื่องกันเป็นประจำทุกปีกับการจัดอันดับที่สุดในสาขาต่าง ๆ บางครั้งเราก็รวบรวมอันดับเทรนด์แฟชั่นของโลก รวม 5 ภาพยนตร์ที่ใคร ๆ ต่างโหวตว่าดีที่สุด หรือจัดอันดับเหตุการณ์เด่นที่เกิดขึ้นในปีนั้น ๆ สำหรับปี 2019 เราก็ไม่พลาดที่จะเลือกเรื่องราวของเหล่าสุภาพบุรุษที่ UNLOCKMEN ได้มีโอกาสไปนั่งพูดคุย รู้จักตัวตน ล้วงลึกถึงประเด็นน่าสนใจ เรื่องราวจิกกัดแบบแสบ ๆ หรือความล้มเหลวก่อนก้าวสู่ความสำเร็จ จากบุคคลหลากสาขาหลากอาชีพที่รวมอยู่ใน ZERO TO HERO และเลือกให้เหลือ 5 บุคคลที่เราชื่นชอบและประทับใจในเรื่องราวของพวกเขา รังสรรค์ จันทร์วรวิทย์ ราชา ZIPPO เมืองไทย ไม่ใช่ทุกคนจะจับความชอบของตัวเองให้กลายเป็นธุรกิจแล้วทำให้มันประสบความสำเร็จ แต่ด้วยแพสชันอย่างแรงกล้าต่อความหลงใหลไฟแช็ก Zippo ของ ‘แต๋น-รังสรรค์’ ทำให้เขากลายมาเป็นผู้ก่อตั้งและประธานชมรม Zippo Club Thailand และถูกผู้คนเรียกว่าเป็นราชา Zippo ของเมืองไทย หลายคนในวัยเด็กต่างก็เห็นผู้ใหญ่ใกล้ตัวพกไฟแช็ก Zippo ตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นพ่อ เพราะไฟแช็กทรงเหลี่ยมที่มีเสียงอันเอกลักษณ์ถือเป็นอีกหนึ่งตัวแทนความเท่ของผู้ชายที่อยู่มาทุกยุคทุกสมัย และคุณแต๋นที่เห็นลุงใช้ Zippo มาตั้งแต่เด็กก็ชื่นชอบจนอยากมีไว้เป็นของสะสมเช่นกัน แต่กลายเป็นว่าความชอบของเขาถูกผู้คนมองว่าไร้สาระ
ถ้าพูดถึง ‘ยาเสพติด’ เราอาจจะจะคุ้นเคยจากการเรียนเรื่องโทษของมันในชั้นเรียน รู้จักเพราะมีคนใกล้ตัวใช้ หรือรู้จักจากภาพยนตร์หลาย ๆ เรื่อง และด้วยความสงสัยใคร่รู้จนอยากลงลึกถึงรายละเอียดให้มากขึ้น UNLOCKMEN ได้พบกับสารคดีเรื่องหนึ่งที่จะพาทุกคนดำดิ่งสู่ด้านมืดของสังคมสุดอันตรายทุกย่างก้าว ภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือสารคดีบางเรื่องมักนำเสมอมุมมองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง บางเรื่องเจาะลึกเกี่ยวกับพ่อค้ายาชื่อดัง บางเรื่องตามติดทีมปราบปรามยาเสพติด บางเรื่องก็มึนเมาไปพร้อมกับคนเสพยา แต่ซีรีส์กึ่งสารคดีเรื่อง Dope ของ Netflix จะพาเราไปพบกับทุกมุมมองของผู้ขาย ผู้ซื้อ และตำรวจอย่างครบถ้วน ผงขาว ‘Dope’ หรือในชื่อภาษาไทยว่า ‘ผงขาว’ เป็นซีรีส์กึ่งสารคดีตีแผ่วงการยาเสพติด ถ่ายทำจากเหตุการณ์จริง นั่งสัมภาษณ์พ่อค้ายาในแต่ละย่านจริง ๆ และบางครั้งก็บุกจับคนร้ายไปพร้อมกับตำรวจ ถือว่าเป็นการทำภาพยนตร์ที่ต้องใจกล้าพอสมควรกับการลงไปใช้ชีวิต และเสี่ยงชีวิตนั่งพูดคุยกับพ่อค้ายาอาวุธครบมือ ซีรีส์เรื่อง Dope เริ่มออกอากาศมาตั้งแต่ปี 2017 ตอนนี้ได้ดำเนินมาถึงซีซั่น 3 แล้ว โดยในแต่ละตอนจะพาเราไปทำความรู้จักกับพ่อค้ายาสลับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ รับรู้ถึงความคิดรวมถึงมุมมองของคนขายว่าทำไมเขาถึงกระโดดเข้าสู่วงการผงขาว บางคนเติบโตมากับสังคมที่ญาติพี่น้องเป็นคนขายยา สุดท้ายเมื่อโตขึ้นก็มาสานต่อกิจการที่บ้าน บางคนเข้าสู่วงการเพราะอยากมีรถหรูขับเนื่องจากการขายยาสามารถสร้างรายได้ให้เขา 20,000 ดอลลาร์ (ราวหกแสนบาท) ต่อสัปดาห์ และต้องติดตามกระแสอยู่ตลอดว่ายาชนิดไหนกำลังฮิต เมื่อดูไปเรื่อย ๆ ผู้ชมจะรับรู้ว่าแท้แล้วคนขายมืออาชีพที่อยู่ในวงการมานานมักไม่เสพยาเสพติดของตัวเองเพราะรู้ดีว่าเสพแล้วจะเป็นอย่างไร
เรามักเห็นโลโก้สีตัวอักษรสีแดงสามตัวบนพื้นหลังสีเหลืองสดใสอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นกล่องพัสดุไปจนถึงไอเทมแฟชั่น เพราะบริษัทขนส่งโลจิสติกส์ชื่อดังอย่าง DHL (Dalsey, Hillblom and Lynn) จากเยอรมนีขึ้นชื่อเรื่องคุณภาพการจัดส่งและเป็นธุรกิจระดับนานาชาติที่มั่นคง อยู่ค้ำวงการมานานถึง 50 ปีแล้ว DHL เป็นบริษัทขนส่งที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1969 แต่แวะเวียนเข้ามาในโลกของแฟชั่นอยู่บ่อย ๆ เช่นเดียวกับหนนี้ เมื่อแบรนด์ได้เดินทางมาถึง 50 ปี ย่อมต้องมีการออกคอลเลกชันพิเศษเพื่อร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จ โดยแบรนด์ที่ DHL เลือก Collaboration ด้วยคือแบรนด์เคสโทรศัพท์มือถือและเคสหูฟังไร้สายชื่อดังอย่าง Casetify การพบกันระหว่าง DHL กับ Casetify ถือเป็นการเจอกันครั้งที่สองแล้ว หลังจากเคยสร้างเสียงฮือฮาให้กับเหล่าคอแฟชั่นที่ชื่นชอบ Accessories สไตล์สตรีตที่มีกลิ่นอายแบบวินเทจในการร่วมมือกันครั้งแรก จนยอดจองถล่มทลายอย่างรวดเร็วทันทีที่เริ่มเปิดจอง ส่วนในปี 2019 คอลเลกชันเท่ ๆ ได้ออกมายั่วน้ำลายอีกหนโดยใช้ชื่อว่า ’50 Years of DHL’ ไอเทมจากคอลเลกชัน 50 Years of DHL ถือว่าจัดเต็มสำหรับทุกคนจริง ๆ เพราะขนมาทั้งไอเทม
ใคร ๆ ต่างก็รู้ดีว่าอาชญากรรมเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม และเป็นการกระทำที่ไม่ควรเลียนแบบ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความสัมพันธ์ของแก๊งมาเฟียหรือเรื่องราวผิดกฎหมายมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ใคร ๆ ต่างอยากลองสัมผัสสักครั้งแม้จะเป็นการรับชมผ่านภาพยนตร์ก็ตาม Martin Scorsese ถือเป็นนักเล่าเรื่องชั้นครูของวงการฮอลลีวูด เขาชื่นชอบเรื่องราวของแก๊งมาเฟียอเมริกัน-อิตาลี สงคราม การเมือง ศาสนา และอิทธิพลในโลกใต้ดินที่ซ่อนทั่วสหรัฐอเมริกา และในตอนนี้เขาก็หวนคืนสู่วงการมาเฟียอีกครั้งด้วยผลงานเรื่อง The Irishman (2019) เรียก ‘FRANK IRISHMAN’ ว่ามาเฟียคนสุดท้ายก็คงจะไม่ผิดนัก The Irishman เล่าเรื่องราวชวนสงสัยผ่าน Frank Sheeran ทหารผ่านศึกชาวไอริชช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ตอนนี้เขาเป็นชายขับรถส่งเนื้อ รับจ้างทาสีบ้าน (ศัพท์ในวงการมาเฟียหมายถึงมือปืนรับจ้าง) ทั่วสหรัฐฯ โดยลูกเมียของเขาไม่ได้รู้ถึงอาชีพช่างทาสีบ้านของเขา ใครจะคิดว่าชีวิตคนขับรถขายเนื้อจะได้โคจรมาเจอกับบุคคลที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘ชายผู้อันตรายที่สุดในศตวรรษที่ 20’ อย่าง Russell Bufalino อาชญากรตัวเป้งชาวชิลีผู้กุมอำนาจแถบชายฝั่งตะวันออกทั้งหมดของยุค 70 แถมยังได้ใกล้ชิดกับ Jimmy Hoffa ผู้นำสหภาพแรงงานแห่งชาติผู้ยิ่งใหญ่ ที่ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าเขาคือหนึ่งในชายที่กุมอำนาจทางการเมืองสหรัฐอเมริกา ‘เมื่อก้าวเข้าสู่วงการมาเฟียแล้วจะต้องไม่ถอยหลังกลับ’ Frank หรือ Irishman
หลังจากที่แบรนด์รองเท้าสัญชาติเยอรมนีอย่าง Puma ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากการปล่อยสนีกเกอร์โมเดล CELL VENOM ไปก่อนหน้านี้ ในตอนนี้แบรนด์เครื่องกีฬาชื่อดังก็พร้อมต่อยอดความสำเร็จดังกล่าวด้วยการเบนเข็มมายังฝั่งมังงะและแอนิเมชันเรื่องดังของประเทศญี่ปุ่น มังงะที่ว่าคือการผจญภัยของเหล่าโจรสลัดที่ตามหาขุมทรัพย์ ณ เกาะสุดท้ายกับเรื่อง One Piece ผลงานจากปลายปากกาของอาจารย์เออิจิโระ โอดะ ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยจะหยิบประเด็นที่ว่าด้วยความมืดและความสว่างที่เป็นแกนกลางของเรื่องมาเล่าบนสนีกเกอร์รุ่น LQD CELL เส้นแบ่งระหว่างความดีและความชั่วคืออะไร ? คือทหารเรือกับโจรสลัด หรือแท้จริงแล้วเราทุกคนไม่ว่าจะมีจุดยืนอยู่ฝ่ายไหนต่างก็ล้วนมีด้านมืดและด้านสว่างอยู่ในตัว ? ถ้าใครที่เป็นแฟนมังงะจะรู้ว่าไม่ใช่ทหารทุกคนจะเป็นคนดี และไม่ใช่ว่าโจรสลัดจะชั่วร้ายไปเสียหมดทุกคน ด้วยประเด็นแสนละเอียดอ่อนที่อาจารย์โอดะสอดแทรกอยู่ในผลงานอย่างน่าสนใจ Puma จึงนำแรงบันดาลใจที่ว่าเปลี่ยนเป็นแฟชั่นโดยใช้ความมืดและความสว่างมาบรรจบกันอยู่บนสนีกเกอร์ LQD CELL ที่ถูกแต่งแต้มด้วยเรื่องราวของความมืดและแสงสว่างจากเรื่อง One Piece เป็นสนีกเกอร์ที่รับแรงบันดาลใจมาจากแฟชั่นรองเท้ายุค 90 และนำมาผสานกับเทคโนโลยีปัจจุบันอย่างลิควิดเซลล์รูปทรงหกเหลี่ยม นุ่มและคืนตัวซ่อนอยู่ในส้นรองเท้าแบบหนา รองรับแรงกระแทกจากการเดิน วิ่ง และกระโดดได้เป็นอย่างดี การเล่าเรื่องความมืดและความสว่างบน Puma LQD CELL จะประทับอยู่บนสนีกเกอร์สีขาวสะอาดตา เมื่อยามเดินตามปกติในเวลากลางวันหรือสถานที่มีแสงเยอะก็จะเป็นการเผยตัวตนของความดีที่อยู่ด้านสว่าง แต่ความพิเศษขั้นกว่ากลับถูกซ่อนไว้ในด้านมืดเพราะเมื่อเราเดินเข้าสู่สถานที่ที่มีแสงน้อยหรือตอนกลางคืน สนีกเกอร์ตัวแทนด้านสว่างก็จะเปลี่ยนไปเป็นด้านมืดพร้อมกับโชว์ลวดลายเรืองแสงตรงแถบ 3M Sock Lining รูปหัวกะโหลกสวมหมวกฟาง สัญลักษณ์ธงโจรสลัดของกลุ่มลูฟี่ ที่อยู่รอบบริเวณ Upper
ถ้าพูดถึงสไตล์มินิมัลแบบญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น ข้าวของเครื่องใช้ คาเฟ่ ไปจนถึงโรงแรมและอาร์ตแกลเลอรี ชื่อแรกที่ใคร ๆ นึกถึงคงหนีไม่พ้นแบรนด์ Muji จากจุดเริ่มต้นปี 1980 ที่ Muji ออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์สไตล์มินิมัลให้เป็นมิตรกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม แถมเร็ว ๆ นี้ยังขยายไลน์จากแค่การขายสินค้าไปเปิดโรงแรมตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อีกทั้งเติบโตไม่หยุดด้วยการหันมาผลิตบ้านสำเร็จรูปเพื่อแฟนคลับผู้ชื่นชอบที่พักอาศัยขนาดกำลังดีสุดมินิมัล Muji เริ่มหันมาสร้างบ้านสำเร็จรูปเมื่อปี 2004 ระหว่างนั้นก็ยังกระโดดเข้าสู่ธุรกิจซ่อมแซมและรีโนเวตอพาร์ตเมนต์อีกด้วย แถมเมื่อช่วงปี 2017 ยังได้สถาปนิกชื่อดังหลายท่าน เช่น Nao Fukasawa, Jasper Morrison และ Konstantin Grcic มาร่วมออกแบบพื้นที่ใช้สอยขนาดกะทัดรัดตรงตามความต้องการของชาวญี่ปุ่น ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่ดินในประเทศญี่ปุ่นมีราคาสูงมาก การซื้อที่ดินและจ้างสถาปนิกมาออกแบบสร้างสิ่งปลูกสร้างเองถือเป็นค่าใช้จ่ายที่หนักเอาการ บ้านสำเร็จรูปจึงถือเป็นตัวเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากจ่ายเงินทีเดียว แต่ได้ทุกอย่างเพียบพร้อมตามต้องการ ทั้งสิ่งปลูกสร้าง สไตล์ที่ตอบโจทย์ และเฟอร์นิเจอร์ครบครัน “YOU NO IE” HOUSE OF MUJI แต่เมื่อ Muji ก้าวเข้าสู่ตลาดบ้านสำเร็จรูป กลับทิ้งช่วงการออกแบบบ้านใหม่
ในตอนนี้โลกของวงการภาพยนตร์ถือว่าคึกคักกันไม่น้อย ผู้คนที่มีส่วนร่วมในภาพยนตร์ที่เป็นตัวเต็ง ถูกกล่าวถึงตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี 2019 ต่างเตรียมตัวตัดชุดเพื่อเดินสายตามงานรางวัลภาพยนตร์ เพราะในเดือนมกราคม 2020 ก็จะมีงานประกาศรางวัลใหญ่ของวงการหนังอีกหนึ่งเวทีอย่าง ‘Golden Globe Award’ หรือในชื่อไทยว่า ‘งานลูกโลกทองคำ’ ซึ่งครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 77 แล้ว หลังจากที่ใครหลายคนเฝ้าคอยและเดารายชื่อภาพยนตร์ที่จะได้เข้าช่วงชิงรางวัลในสาขาต่าง ๆ จากงานลูกโลกทองคำ ในที่สุดทางเวทีก็ประกาศรายชื่อภาพยนตร์ นักแสดง และผู้กำกับที่จะชิงรางวัลประจำปี 2020 กันเป็นที่เรียบร้อย หมวดภาพยนตร์ รายชื่อภาพยนตร์ที่เปิดออกมาสำหรับการเข้าชิงรางวัลในสาขาต่าง ๆ ถือว่าเป็นไปตามที่นักวิจารณ์และคอหนังหลายคนคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์หลากหลายเรื่องที่โดดเด่นออกมาจากหนังประเภทเดียวกันต่างเตรียมลุ้นรางวัลจากเวทีลูกโลกทองคำ ทั้งภาพยนตร์ประเภทดราม่า ภาพยนตร์เพลง คอมเมดี้ หนังที่ใช้ภาษาต่างประเทศไปจนถึงแอนิเมชัน โดยหนัง 5 เรื่องที่ได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทดราม่า ได้แก่ Marriage Story 1917 The Irishman Joker The Two Popes ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประเภทภาพยนตร์เพลงหรือคอมเมดี้ Once Upon a Time in Hollywood Jojo
ไม่นานมานี้หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบเรื่องราวของญี่ปุ่นและโปรดปรานการลิ้มรสชาติแสนเฉพาะตัวของซูชิต่างต้องตกใจไปตาม ๆ กัน เมื่อร้านซูชิโคตรดังอย่าง Sukiyabashi Jiro Honten ที่ซ่อนตัวอยู่ในชั้นใต้ดินย่านกินซ่าใจกลางกรุงโตเกียวถูกถอดดาว 3 ดวง และลบชื่อออกจาก Michelin Guide ทั้งที่เป็นร้านซูชิที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการอาหารญี่ปุ่นทำให้คนทั่วโลกต่างจับตามอง UNLOCKMEN จึงไม่พลาดนำเรื่องราวของเจ้าของร้าน Sukiyabashi Jiro นามว่า Jiro Ono มาบอกเล่าให้ฟังกันว่าเพราะเหตุใดเขาถึงกลายเป็นชายที่โลกเรียกว่า ‘ปรมาจารย์ซูชิที่ไม่มีใครเทียบชั้น’ และทำไมร้านอาหารเล็ก ๆ ของเขาถึงกลายเป็นร้านที่เหล่านักชิมทั่วโลกต้องมาเยือนสักครั้ง JIRO ONO ตำนานของวงการซูชิที่ยังมีลมหายใจ แรกเริ่มเดิมทีเรื่องราวของ Jiro Ono และร้านซูชิ Sukiyabashi Jiro ของเขาไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขนาดนี้ เขาเป็นเพียงแค่ผู้ชายที่เปิดร้านซูชิต้นทุนต่ำประทังชีวิตเท่านั้น เพราะฐานะทางบ้านของ Jiro ไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวย เขาต้องแอบทำงานพิเศษในร้านอาหารตั้งแต่ 7 ขวบ (ที่ต้องแอบทำเพราะผิดกฎหมายแรงงาน) ถูกพร่ำสอนเสมอว่าเมื่อโตขึ้นเราจะไม่หันหลังกลับ บ้านที่อยู่อาจจะหายไปเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นสิ่งที่จะติดตัวเราไปทุกที่คือความตั้งใจและการไม่ยอมแพ้ เมื่อ Jiro เปิดร้านซูชิช่วงแรกเขาไม่สามารถเรียกตัวเองว่าเป็นเชฟได้เต็มปาก ลูกค้าที่เข้ามาในร้านก็ถือว่าเป็นคนหลงเข้ามาเสียมากกว่า