ถ้าหากว่าบางจังหวัดมีของขึ้นชื่อเรื่องอาหารท้องถิ่น บางที่โดดเด่นด้วยประวัติศาสตร์ วิวที่สวยกว่าใคร หรือ เกาะที่เต็มไปด้วยแมวและของฝากที่เป็นแมวขนาดจิ๋ว เกาะแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นเคยมีของขึ้นชื่อที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งสิ่งนั้นคือ ‘สาวงาม’ ที่พร้อมมอบประสบการณ์ทางเพศที่ยอดเยี่ยมแก่ผู้มาเยือน วาตากาโนะ (Watakano) คือ ชื่อของเกาะในจังหวัดมิเอะ ที่เคยถูกเรียกว่า “เกาะแห่งการค้าประเวณี” สรวงสวรรค์ทางเพศขนาดย่อมที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดและอู้ฟู่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นในช่วงปลายยุค 70-80s ที่พร้อมเปิดเกาะต้อนรับผู้มาเยือนเพศชายทุกอาชีพ ตั้งแต่ข้าราชการ ตำรวจ ยันมนุษย์เงินเดือนทั่วไป ซ้ำยังเดินทางแสนสะดวกด้วยเรือเพียงแค่ 4 นาที ประชากรราว 1 ใน 4 ของเกาะ หรือผู้คนประมาณ 270 คน ล้วนเป็นผู้ประกอบกิจการทางเพศ การขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจของเกาะขนาด 1.5 ตารางกิโลเมตร ล้วนเกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี แรกเริ่มเดิมที วาตากาโนะเป็นเกาะแวะพักสำหรับนักเดินทางช่วง ค.ศ. 1600-1800 เมื่อไหร่ที่ทะเลคลั่ง คลื่นลมแรง นักเดินเรือจากโอซาก้าที่ต้องการไปยังเอโดะ มักหยุดแวะพักที่เกาะแห่งนี้ รู้ตัวอีกทีเกาะที่ใช้แวะพักระหว่างการเดินทาง ก็กลายเป็นเกาะที่มีหญิงบริการเริ่มจับจองพื้นที่เพื่อรอเหล่านักเดินทางเสียแล้ว ซึ่งการค้าทางเพศแรกเริ่มบนเกาะแห่งนี้ ถือว่าผิดกฎหมายแบบเต็ม ๆ วันเวลาผ่านไป รูปแบบการบริการยอดนิยมในช่วง 70-80s จะเน้นแบบ ‘สั้น’
ช่วงหลังมานี้ ชื่อของ ริชาร์ด รามิเรซ (Richard Ramirez) ชายชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน เริ่มกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากเคยกลายเป็นชื่อที่ชาวอเมริกันในยุค 80’s ส่วนใหญ่จะต้องเคยได้ยิน หรือได้เห็นผ่านตาสักครั้ง จากข่าวสะเทือนขวัญในเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งเรื่องราวที่เคยได้ยินได้เห็น อาจเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความโหดร้ายเมื่อเทียบกับชีวิตทั้งหมดของเขาที่เรากำลังจะเล่าให้ฟัง ก็เป็นได้ ก่อนจะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลื่องลือถึงความบ้าคลั่ง ริชาร์ด มีพื้นเพมาจากเมืองเอลปาโซ รัฐเท็กซัส เติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน พ่อของริชาร์ดเคยเป็นตำรวจ แต่ต้องออกจากราชการเพราะถูกคนในชุมชนร้องเรียนถึงการทำเกินกว่าเหตุและมีท่าทีรุนแรง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ริชาร์ดถูกแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคลมบ้าหมู ส่งผลให้เขาถูกปลดจากตำแหน่งกองหลังทีมฟุตบอลโรงเรียน เด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งความฝัน ไม่มีเพื่อน ไม่สนใจการเรียน เริ่มติดยาเสพติด ดมกาว สูบกัญชา วัน ๆ เอาแต่เก็บตัวอยู่กับญาติห่าง ๆ นามว่า ‘ไมค์’ ชายที่ปลูกฝังสัญชาตญาณดิบให้กับริชาร์ด ไมค์ เคยเป็นทหารอเมริกันที่ถูกส่งไปรบในเวียดนาม เขาชอบเล่าประสบการณ์ชีวิตเกี่ยวกับการข่มขืน ทารุณ และสังหารหญิงชาวเวียดนามให้ริชาร์ดฟัง บางครั้งก็หยิบรูปถ่ายเหยื่อที่ถูกทำร้ายร่างกายมาให้ดู บรรยายขั้นตอนการใช้มีดกรีดเฉือนเนื้อเหยื่อให้ตายทั้งเป็น ซึ่งเด็กหนุ่มกลับชื่นชอบเรื่องราวเหนือจินตนาการเหล่านี้เป็นอย่างมาก ริชาร์ดไม่สนิทสนมกับพี่น้องแท้ ๆ ของตัวเอง เขามองไมค์เป็นเหมือนพี่ชายผู้เป็นแบบอย่าง ทว่าวันหนึ่งไมค์ถูกตำรวจจับ
คุณคิดอย่างไรกับ Outdoor Sex? อาจจะรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแปลก หรือมองว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ถ้าเป็นแบบนั้น คุณคิดอย่างไรกับการมีเซ็กซ์แบบเอาท์ดอร์ แล้วมีคนอื่นมามุงดูอย่างใกล้ชิด และบางคนพยายามร่วมแจมระหว่างที่คุณกำลังร่วมรักกับคนรัก? สิ่งนี้อาจมากเกินไปสำหรับหลายคน และดูเกินจริงไปเสียหน่อย แต่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นคือเหตุการณ์จริงที่เคยเกิดขึ้นเป็นปกติในประเทศญี่ปุ่น ซ้ำยังมีคนบันทึกหลักฐานไว้ใน Photobook ที่โด่งดังอีกด้วย The Park เป็นหนังสือภาพที่เล่าเรื่องของผู้คนที่แวะเวียนมายังสวนสาธารณะชูโอในย่านชินจูกุ กรุงโตเกียวในช่วง ค.ศ. 1971-1973 ภาพทุกใบถ่ายโดย โคเฮ โยชิยูกิ (Kohei Yoshiyuki) เขาใช้กล้องฟิล์มอินฟราเรดคู่กับการใช้แฟลช บันทึกเรื่องราวทุกอย่างไว้อย่างงดงาม ความแสบของผลงาน The Park เกิดขึ้นเมื่อโยชิยูกิสามารถเก็บภาพคู่รักจำนวนมากที่มาเปลี่ยนบรรยากาศในสวนที่มืดสนิท แทบทุกคืนจะมีชายหญิงเข้ามาในสวนเพื่อพรอดรักหรือหนักถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์ บางคนมาด้วยสภาพเมามาย หลายคู่พากันมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนบรรเลงเพลงรักกันในพุ่มไม้โดยไม่สนว่าใครจะเห็น ใครจะมามุง หรือใครจะถ่ายภาพเก็บไว้ ความพิสดารของคู่รักที่มาเอาท์ดอร์โดยไม่กลัวใครเห็นว่าแปลกแล้ว การดูของผู้คนในสวนแห่งนี้นับว่าแปลกยิ่งกว่า ผลงานของโยชิยูกิเผยให้เห็นว่า คนในสวนที่ไม่ใช่แค่ “แอบดู” แต่เดินมา “นั่งดู” การร่วมรักของคู่รักแบบโจ่งแจ้ง บ้างก็มุดพุ่มไม้เข้าใกล้เพื่อให้เห็นภาพแบบเต็มตาที่สุด บางคนชะโงกดู หลายคนมุงจนออกนอกหน้า สร้างความไม่เข้าใจให้กับช่างภาพหนุ่มเป็นอย่างมากว่าเกิดอะไรขึ้นในสวนแห่งนี้กันแน่ ความสงสัยส่งผลให้เขาตามติดวิถีชีวิตของผู้คนในสวนตอนกลางคืนติดต่อกันนานสามเดือน โยชิยูกิเรียกสิ่งที่เห็นว่าเป็นวัฒนธรรมย่อย (Subculture) ของกลุ่มคนที่ไม่อายเวลามีเซ็กซ์กันต่อหน้าคนจำนวนมาก และไม่สนใจหากมีใครถ่ายภาพพวกเขาเอาไว้
ปกติเวลาจะฟังดนตรี EDM หรือผลงานของดีเจที่ชื่นชอบตอนได้ฟังจากในผับ แล้วออกมาตามหาในช่องยูทูบ คุณจะนั่งดูมิวสิกวิดีโอของเหล่าดีเจหรือฟังเพลงจังหวะสุดมันเฉย ๆ ซึ่งคำถามดังกล่าวจะใช้ไม่ได้เลยกับกลุ่มดีเจญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า Candy Foxx เพราะผลงานเพลงและภาพของพวกเขาปั่นประสาท เสียดสีสังคม เล่าเรื่องผ่านเอ็มวีแบบเท่ ๆ โดยไม่เกรงกลัวดราม่าใด ๆ Candy Foxx ถือเป็นวงดนตรีน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนมกราคม 2021 แต่หากลงลึกถึงสมาชิกแต่ละคน ถือได้ว่าเป็นวงที่รวมดีเจตัวเก๋าเอาไว้แบบไม่เกรงใจอายุวงอันน้อยนิด อาทิ DJ Shacho ที่มียอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 8 แสนคน หรือ DJ Foy ขวัญใจสาว ๆ ที่ชอบแวะเวียนไปตามคลับในกรุงโตเกียว ผลงานเพลงของ Candy Foxx เต็มไปด้วยสีสัน ความสนุกสนาน ความหลุดโลก และโปรดักชันที่เล่นใหญ่จนหลายคนแซวว่าจะทำหนังสั้นหรือทำมิวสิกวิดีโอ แถมยังเล่าทุกอย่างที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยลงรายละเอียดหรือยุ่งเกี่ยวด้วยมากเกินไป ทั้งการวิวาทด้านวัฒนธรรมการกินของแต่ละชาติ ความรอยัลตี้ต่อซูชิไม่เสื่อมคลาย การทำให้แก๊งยากูซ่ากลายเป็นเรื่องขำขัน หรือพระแด๊นซ์ พระซอมบี้ในวัดแบบหลุดโลก หากนึกภาพไม่ออกว่าความเวอร์ของ Candy Foxx อยู่ในระดับไหน UNLOCKMEN จะไล่ให้ดูแบบเห็นภาพชัด ๆ และอย่าลืมเปิดซับไทยระหว่างรับชมด้วยนะครับ
ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องความบันเทิงยามค่ำคืน หากคุณเดินไปถูกที่ ถูกทาง ถูกแหล่ง คุณจะพบกับความมหัศจรรย์เหมือนเปิดประตูโลกใบใหม่ตั้งแต่ ‘เกอิชา’ ที่มอบความบันเทิงด้านศิลปะและดนตรีชั้นสูง พบกับ JK Bussiness บริการเพื่อนคุยยามเหงาและการทำกิจกรรมร่วมกับเด็กสาวมัธยมปลาย คลับเฉพาะทางที่มี ‘เด็กนั่งดริ๊ง’ คอยต้อนรับ ไปจนถึง ‘บาร์โฮสต์’ ที่เหล่าบริกรชายจะดลบันดาลความสุขให้ตามต้องการ เมื่อเอ่ยถึงบาร์โฮสต์ ภาพในความทรงจำของคนไทยมักเป็นผู้ชายใส่สูท ผมซอยสั้นสไตล์ญี่ปุ่น ที่มักยืนต้อนรับลูกค้าอยู่หน้าร้าน หรือบางร้านก็ให้หนุ่ม ๆ ไปยืนเรียกลูกค้าตามย่านท่องเที่ยวดัง ทว่าชายที่ถูกเรียกว่า King of Hosts หรือ ‘ราชาแห่งบาร์โฮสต์’ กลับฉีกแนวภาพจำเดิม ๆ ไปไกลกว่าที่คิด เมื่อเขาไว้ผมสีทองยาวสลวยกว่าสุภาพสตรีบางคนที่เป็นลูกค้าของเขาเสียอีก ชายคนดังกล่าวถูกขนานนามด้วยชื่อในวงการว่า “โรแลนด์” โรแลนด์เข้าวงการบาร์โฮสต์ตั้งแต่อายุ 18 ปี ชื่อจริงของเขาคือ โทโจ มาโคโตะ (Toujou Makoto) นักเรียนดีเด่นที่เพิ่งสอบติดมหาวิทยาลัยโตเกียว ทว่าเริ่มเรียนได้นิดเดียวเขาเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตตัวเองว่า ‘เรียนจบไปแล้วจะทำอาชีพอะไร?’ คิดใคร่ครวญอยู่นานว่าตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไร มีความถนัดอะไร พอคิดวาดภาพชีวิตตัวเองเป็นพนักงานออฟฟิศที่ต้องสวมสูทสีดำเหมือนคนอื่น ๆ เดินไปยังสถานีรถไฟที่อัดคนทำงานเบียดแน่นเต็มโบกี้
แม้ญี่ปุ่นจะเต็มไปด้วยดินแดนแห่งโอกาส แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะโดดเด่นและเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศได้ในเวลาไม่นาน หลายปีที่ผ่านมา ชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบการดูกีฬาหรืออ่านหนังสือพิมพ์กีฬาอยู่บ่อย ๆ จะต้องเคยได้ยินหรือได้เห็นชื่อของ อิเคเอะ ริคาโกะ (Ikee Rikako) อยู่เสมอ ชื่อของนักว่ายน้ำดาวรุ่งที่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี เธอสามารถพาตัวเองไต่ทะยานไปตามเส้นทางนักกีฬา ควบคู่กับการพาธงชาติญี่ปุ่นไปให้โลกได้รู้จัก ในฐานะประเทศที่มีนักว่ายน้ำหญิงอายุน้อยที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์อันแสนน่าจับตามอง เส้นทางชีวิตของริคาโกะถูกชาวญี่ปุ่นยกย่องชื่นชม หลายปีก่อน คนใกล้ชิดต่างแนะนำให้เธอลงชื่อเป็นหนึ่งในตัวแทนคัดเลือกนักกีฬาทีมชาติญี่ปุ่นในการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก เพราะอยากให้เป็นตัวแทนแข่งขันในปีที่บ้านเกิดของตัวเองเป็นเจ้าภาพ สื่อและนักวิจารณ์ในญี่ปุ่นต่างมั่นใจว่าดาวรุ่งคนนี้จะต้องได้สิทธิเข้าแข่งมาอย่างไม่ยากเย็น ทว่าชีวิตของนักกีฬาหญิงคนนี้กลับต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเธอไปตรวจร่างกายแล้วพบว่าตัวเองกำลังเป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อ ‘ลูคีเมีย’ โรคร้ายส่งผลให้เส้นทางชีวิตอันรุ่งโรจน์ของ อิเคเอะ ริคาโกะ หยุดชะงักกลางคัน ฝันที่วางไว้อาจไม่มีวันเป็นจริงอีกต่อไป คนไทยที่ไม่ได้ตามข่าววงการว่ายน้ำอาจไม่รู้ว่า อิเคเอะ ริคาโกะ ประสบความสำเร็จมากถึงขั้นไหน เธอหัดว่ายน้ำก่อนจะเรียนรู้ตัวอักษรคันจิเสียอีก เด็กสาวชื่นชอบการว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ และไม่ใช่แค่การว่ายเล่นเอาสนุก เธอหมั่นฝึกฝนอย่างหนักเป็นประจำ ข้อได้เปรียบใหญ่ที่ทำให้เธอโดดเด่นกว่านักกีฬาว่ายน้ำคนอื่น ๆ คือ ริคาโกะพบความฝันของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย ก่อนตัดสินใจเข้าร่วมการแข่งขันว่ายน้ำเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี และคว้าแชมป์ระดับประเทศในประเภทที่ตัวเองแข่งขัน ถือเป็นใบเบิกทางให้เธอติดหนึ่งในเยาวชนทีมชาติ เธอเป็นเด็กสาวที่มีความสามารถ เปี่ยมด้วยความมั่นใจ และขยันทำลายสถิติการว่ายน้ำท่าต่าง ๆ อยู่เสมอ แม้จะเต็มไปด้วยพรสวรรค์ที่มาคู่กับความพยายาม แต่คนที่เพอร์เฟกต์ที่สุดย่อมต้องเคยพบกับความผิดหวัง
หากใครได้ติดตามข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาเป็นระยะ คงพอจะทราบกันว่าญี่ปุ่นนับเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เผชิญปัญหาครั้งใหญ่ไม่แพ้ประเทศอื่น ๆ ตอกย้ำซ้ำเติมว่าในเร็ววันนี้เราคงอาจจะยังไม่มีโอกาสได้ไปเหยียบญี่ปุ่นอีกนาน และหากวันที่ญี่ปุ่นเปิดประเทศอีกครั้งพร้อมให้เราได้ไปเยือน เราจะรู้สึกสะดวกใจที่จะไปญี่ปุ่นอยู่หรือไม่ หากรัฐบาลญี่ปุ่นบังคับให้นักท่องเที่ยวต้องอนุญาตให้รัฐติดตามเรา กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ประกาศข้อบังคับใหม่ในยุคไวรัสแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น รวมถึงคนญี่ปุ่นที่กลับประเทศ จะต้องติดตั้งแอปพลิเคชันตามตัวโดยไม่มีข้อยกเว้น โดยจะเริ่มบังคับใช้กฎดังกล่าวตั้งแต่ 18 มีนาคม 2021 แอปพลิเคชันทั้ง 3 ที่จะต้องติดตั้งเมื่อเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่นมีดังนี้ OSSAMA แอปพลิเคชันระบุตำแหน่งเจ้าของสมาร์ตโฟนเพื่อบันทึกว่าแต่ละวันบุคคลนั้น ๆ ได้เดินทางไปยังที่ไหนมาบ้าง Skype แอปพลิเคชันนี้จะคุ้นหน้าคุ้นตาคนไทยขึ้นมาหน่อย ผู้มาเยือนญี่ปุ่นทุกคนจะต้องติดตั้งแอปฯ นี้ เผื่อกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่รัฐจะต่อสายตรงมาสอบถามตำแหน่งหรือข้อมูลจากเจ้าของโทรศัพท์ COCOA แอปพลิเคชัน contact tracing โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น จะแจ้งเตือนเมื่อผู้ดาวน์โหลดเข้าใกล้ผู้ที่มีผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นบวก ทว่าแอปพลิเคชันนี้เคยถูกชาวญี่ปุ่นตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว โดยรัฐบาลยืนยันว่าจะไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ไม่จำเป็นต่อการตามตัวหากสุ่มเสี่ยงติดเชื้อไวรัส รัฐบาลจะปกป้องข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ทุกคน ขอให้ประชาชนใช้แอปฯ ได้แบบไม่ต้องกังวล เพราะยิ่งมียอดดาวน์โหลดมากเท่าไหร่ การทำงานของแอปฯ ก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และระบบจะลบข้อมูลต่าง ๆ อาทิ ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล
หากคุณเกิดมาในช่วงที่เมืองกำลังอยู่ในยุคสงคราม ทุกอย่างกระจัดกระจายมั่วซั่ว แต่หากคุณฉลาดมากพอ เก่งมากพอ และมั่นใจในฝีมือกับมันสมองของตัวเองมากพอ คุณจะอยากทำให้เมืองกลับมาสงบสุขด้วยการรวบความแตกแยกให้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันไหม ถึงอย่างนั้น การจะรวบรวมชาวญี่ปุ่นตั้งแต่เหนือจรดใต้ รวมหมู่บ้านน้อยใหญ่ที่อยู่กันแบบนี้มานานหลายร้อยปี ให้ขึ้นตรงต่ออำนาจหนึ่งเดียวที่จะแผ่ขยายอำนาจปกครองทั่วญี่ปุ่น ให้อยู่ภายใต้ธงผืนเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครคิดจะทำก็ทำได้ โดยเฉพาะการพยายามในช่วง ค.ศ. 1500 ที่ญี่ปุ่นกลายเป็นก๊กเป็นเหล่า จมดิ่งอยู่กับการต่อสู้แบบไม่รู้จบมานานนับร้อยปี ทว่าการพลิกโฉมประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ที่แสนยากก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ NIHON STORIES ใคร่แนะนำให้ใครก็ตามที่เริ่มให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น โดยเฉพาะยุคที่ซามูไรต่างวิ่งเข้าใส่กันแล้วห้ำหั่นแบบไม่กลัวตายอย่างยุค ‘เซ็นโกคุ’ ได้ลองเปิดสารคดีเรื่อง Age of Samurai: Battle for Japan แล้วใช้เวลากับสิ่งนี้ให้เต็มที่ เพื่อทำความเข้าใจถึงอำนาจ ศักดิ์ศรี เล่ห์เหลี่ยม และมุมมองความคิดของชาวญี่ปุ่น ผ่านการต่อสู้ของสามนักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค ว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นนักรบอย่างแท้จริง องก์ 1: โอดะ โนบุนากะ ชายที่ไม่มีใครยอมรับแสดงให้เห็นว่าบุคลิกห่าม ๆ ออกไปทางไม่น่าคบ กลับเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด กล้าได้กล้าเสีย เขาสามารถชนะศึกในตระกูลและขึ้นเป็นผู้นำของจังหวัดอย่างแท้จริง ซ้ำยังต้านกองทัพของไดเมียวเมืองอื่นที่มีคนมากกว่าถึงสามเท่าได้ การก้าวสู่อำนาจอย่างเป็นทางการครั้งแรก ทำให้บุรุษผู้บ้าคลั่งในสนามรบ คิดว่าตนก็อาจจะสามารถรวมญี่ปุ่นที่กำลังแตกกระจายให้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้การปกครองของเขาได้เช่นกัน หากมองแค่ในสารคดีเรื่องนี้ หลายคนอาจรู้สึกไม่ชอบใจการกระทำหลายอย่างของ โอดะ
‘ญี่ปุ่น’ นับเป็นดินแดนที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ ดินแดนที่ผู้คนจำนวนมากล้วนอัดแน่นไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ ที่มีตั้งแต่ในระดับพอดีไปจนถึงสุดโต่ง เห็นได้จากการกลายเป็นประเทศที่มีผู้ผลิตมังงะแฟนตาซีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก หนังบางเรื่องของญี่ปุ่นก็ต้องใช้พลังกายพลังใจจำนวนมากที่จะดูเพื่อเข้าถึง หรือไลฟ์สไตล์กับลัทธิความเชื่อกระฉ่อนโลกอย่าง โอมชินริเกียว ไปจนถึงแก๊งแฟชั่นหลุดโลกที่ยากจะคาดเดาของเหล่าวัยรุ่น ทั้งหมดจึงทำให้ญี่ปุ่นกลายเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความฉูดฉาดและไม่คาดฝัน ความฉูดฉาดอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ที่เรื่องเอนเตอร์เทนเมนต์ แฟชั่น และความเชื่อเท่านั้น แต่ยังอยู่ในโลกการเมืองที่ดุเดือดจริงจังเช่นกัน เมื่อจังหวัดชิบะเปิดรับสมัครคนในพื้นที่ที่สนใจอยากเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้สมัครก็มีตั้งแต่โปรไฟล์สุดปังไปจนถึงสุดแปลก แต่สิ่งที่สร้างเสียงฮือฮามากที่สุดคนหนีไม่พ้นชายสวมสูทแดง ทาหน้าขาวคล้ายกับตัวละครโจ๊กเกอร์ ผู้ยืนยันว่าจะทำให้จังหวัดชิบะไม่เหมือนเก่าอีกต่อไป ยูซูเกะ คาวาอิ (Yusuke Kawai) ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นชายหัวหมอที่คิดหาวิธีโปรโมตตัวเองให้ประชาชนรู้จัก หรือเป็นแค่ชายที่ไม่ได้คิดอะไรในหัวเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่เขาตั้งใจลงสมัครท้าชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ แต่ผู้คนกลับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเขาน้อยมาก ยูซูเกะเป็นชายวัย 40 ปี ก่อนมาสมัครผู้ว่าฯ เคยทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายวางแผนของบริษัทจัดหางาน ที่คาดว่าคงมีชีวิตไม่ได้แตกต่างแปลกประหลาดไปจากคนอื่นเท่าไหร่นัก แต่กลับสร้างภาพจำให้กับชาวชิบะด้วยการแต่งตัวเลียนแบบโจ๊กเกอร์ วายร้ายตลอดกาลแห่งเมืองก็อตแธม ยูซูเกะทาหน้าขาว เซตผมเปิดหน้าผาก ใช้ลิปสติกทาเลยริมฝีปากให้เหมือนกับตัวตลกหรือคนปากฉีก ใส่คอนแทคเลนส์สีทอง ก่อนใช้สีแต้มเป็นเส้นบริเวณดวงตา หากสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าผู้ลงสมัครผู้ว่าฯ ท่านนี้ พยายามทำตัวเหมือนกับโจ๊กเกอร์ฉบับวาคีน ฟินิกซ์ (Joaquin Phoenix) ที่โด่งดังจนได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ แต่ในความคล้ายเขาก็ไม่ได้ทำจนเหมือนเป๊ะ และเมื่อกองพิจารณาผู้สมัครถามถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างว่าเพราะอะไรถึงไม่เอาให้เหมือนสุด ๆ ไปเลย เขาก็ตอบกลับมาว่า “เหมือนเป๊ะก็โดนลิขสิทธิ์สิครับ
คนญี่ปุ่นเล่นสเก็ตบอร์ดไหม? แล้วทำไมคนที่ถือแผ่นบอร์ดในญี่ปุ่นจะต้องมักถูกมองว่าเป็นอันธพาล NIHON STORIES หาเหตุผลเพื่อตอบคำถามคาใจมาให้แล้ว คำว่าสเก็ตบอร์ด skateboard ในญี่ปุ่นมักออกเสียงว่า ‘sukeetoboodo’ ส่วน skateboarders มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า ‘sukebo’ ที่รับอิทธิพลมาจากสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะการวัฒนธรรมสเก็ตบอร์ดผ่านภาพยนตร์ฮอลลีวูด ชาวสเก็ตรุ่นแรกเริ่มมากจะรวมตัวกันวาดลวดลายอยู่บนบอร์ดในซอยแคบๆ ที่มีลานโล่ง แม้แสงไฟของเสาไฟสาธารณะจะเป็นแค่แสงสลัว แต่หากเดินผ่านแล้วสังเกตดี ๆ ก็จะเห็นเหล่าวัยรุ่นขาโจ๋ลากแผ่นบอร์ดติดล้อกันไปมาอยู่เป็นอิสระ แม้การเล่นสเก็ตบอร์ดในปัจจุบันจะกลายเป็นกิจกรรมที่ใครก็สามารถมีส่วนร่วมได้ แต่พอย้อนกลับไปยังหลายสิบปีก่อน กลุ่มแก๊งที่เล่นสเก็ตบอร์ดในญี่ปุ่นมักถูกมองว่าเป็นพวกเกเร ทำตัวไร้สาระ นิสัยไม่เป็นมิตร ต่อต้านสังคม และค่อนข้างไม่น่าคบหา ผิดเพี้ยนกับหลายพื้นที่บนโลกที่ในเวลาเดียวกันไม่ได้มองว่าคนเล่นสเก็ตบอร์ดมีภาพลักษณ์แย่เท่ากับที่คนญี่ปุ่นมอง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนในลานโล่ง ๆ ที่จอดรถ หรือสวนสาธารณะ ก็มักเห็นป้ายตัวใหญ่ที่เขียนว่า ‘ห้ามเล่นสเก็ตบอร์ด’ เป็นผลมาจากการต่อต้านวัฒนธรรมป๊อปของอเมริกันชนในญี่ปุ่น บ่อยครั้งที่วัยรุ่นชายถือสเก็ตบอร์ดเดินเข้าสถานีรถไฟฟ้า แล้วจะถูกเจ้าหน้าที่เรียกเพื่อขอค้นกระเป๋า เป็นความคิดแบบเหมารวมที่กาหัวไว้ก่อนแล้วว่าอาจเป็นพวกป่วนเมือง เรียกร้องความสนใจ หรือมีโอกาสพกอาวุธสูงกว่าคนอื่น ๆ ในสังคม ฮิกาอิ โยชิโระ (Higai Yoshiro) ช่างภาพสเก็ตบอร์ดรุ่นเก๋าวัย 55 ปี นั่งย้อนจินตนาการถึงการหัดเล่นในช่วงแรกว่า “รู้สึกถึงสายลมแห่งแคลิฟอร์เนีย โคล่าและเสื้อยืดฮาวาย มันให้ความรู้สึกสดชื่น”