กิจกรรมตั้งวงสังสรรค์พร้อมกับน้ำเมาของสุภาพบุรุษถือว่าทำต่อเนื่องกันมาเป็นพัน ๆ ปีแล้ว และเราก็เห็นกิจกรรมเหล่านี้กระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก บางคนอาจเห็นผู้ใหญ่ใกล้ตัวอย่างพ่อออกไปดื่มกับกลุ่มเพื่อน พอโตขึ้นเราก็มีกลุ่มแก๊งและสังคมที่จะเมาไปพร้อมกับเรา เราปาร์ตี้ เราสุดเหวี่ยง แต่เราไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเองจริงจังสักทีว่าเพราะอะไรถึงเลือกที่จะดื่ม แรงจูงใจอะไรบ้างที่ทำให้เราเมาจนหัวทิ่ม บางคนชอบดื่มเบียร์เพราะเสพติดอาการมึนเมา หลายคนชื่นชอบการดื่มวิสกี้เพราะอยากสัมผัสรสชาติแสนเฉพาะตัว และก็มีผู้คนจำนวนมากในโลกใบนี้ที่ชอบดื่มเพราะสภาพแวดล้อม รวมถึงเหตุผลส่วนตัวที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจ เพราะความเมามีเรื่องราวมากกว่าที่คิด UNLOCKMEN จะพาดำดิ่งไปในศาสตร์แห่งความมึนเมา เพื่อตามหาเหตุสำคัญทำให้ผู้ชายอย่างเราเลือกการดื่มกินสังสรรค์ เราจะได้รู้เท่าทันความเมา เมาอย่างมีสติ เมาอย่างมืออาชีพ ไม่แพ้ที่ผู้ชายอย่างเราเชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ และนี่คือ รูปแบบการเมา 4 ประเภท ที่ทำให้ผู้ชายทั้งหลายต้องถามตัวเองว่าเราเป็นสายเมาแบบไหนกันแน่ ? เมาเพราะฉลองโอกาสพิเศษ ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนจะชอบดื่มแอลกอฮอล์เพราะความมึนเมา หนุ่ม ๆ บางคนก็ไม่ได้โปรดปรานการดื่มเบียร์หรือจิบวิสกี้สักเท่าไหร่นัก แต่เมื่อมีโอกาสพิเศษที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตอย่างการเลื่อนตำแหน่ง คืนก่อนสละโสด วันครบรอบแต่งงาน ไปจนถึงเหตุผลขำ ๆ อย่างการถูกหวย ความพิเศษที่ว่านี้ก็สามารถทำให้ผู้ชายที่ไม่ชอบดื่ม ยอมตกลงปลงใจลิ้มรสแอลกอฮอล์ได้เหมือนกัน เมื่อมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตทั้งที หนุ่มบางคนก็อยากปลดปล่อยตัวเองไปกับความสุขสมหวังตรงหน้ากันบ้าง ศาสตร์การเมาประเภทแรกจึงว่าด้วยกลุ่มคนที่เมาเมื่อมีอีเวนต์หรือเรื่องพิเศษเกิดขึ้นในชีวิต พวกเขารู้สึกโอเคที่จะไปร้านอาหารบรรยากาศดี ๆ พร้อมสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักแก้ว หรือเปิดไวน์สักขวดเพื่อดื่มดำกับความรู้สึกสุดพิเศษ นักดื่มกลุ่มนี้นอกจากจะยอมดื่มเพื่อฉลองโอกาสพิเศษของตัวเองแล้ว พวกเขาก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะไปร่วมงานสังสรรค์ที่น่ายินดีของคนสนิทรอบตัวด้วยเช่นกัน เพราะถ้าเพื่อนถูกหวยหรือญาติแต่งงาน
คุณคิดว่ามนุษย์แต่ละคนมีพื้นที่เป็นของตัวเองเท่าไหร่ ? บางคนมีพื้นที่ของตัวเองเท่ากับห้อง Standard ของคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง บางคนมีพื้นที่ของตัวเองเท่ากับบ้านชานเมืองหนึ่งหลัง หรือหลาย ๆ คนมีพื้นที่มากกว่าสิบ ๆ ไร่ในต่างจังหวัด แต่ก็มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งมีพื้นที่แสนแคบจนแทบทำอะไรไม่ได้ ถ้าพูดถึงห้องพักแสนแคบเราก็มักจะนึกถึงเมืองใหญ่อย่างฮ่องกงมีไมโครอพาร์ตเมนต์ หรือประเทศญี่ปุ่นซึ่งขึ้นชื่อเรื่องที่พักสไตล์โรงแรมแคปซูลกับห้องพักขนาด 2-3 เสื่อทาทามิ ด้วยความโด่งดังเรื่องที่พักแสนแคบของทั้งสองประเทศจึงทำให้ใครหลายคนไม่รู้จัก Koshiwon (โคชิวอน) อีกหนึ่งห้องพักโคตรแคบใจกลางกรุงโซล Koshiwon หรือ Gositel เป็นห้องพักสำหรับผู้เช่ารายเดือนราคาถูก โดยค่าเช่าของอพาร์ตเมนต์สไตล์นี้จะมีราคาราว 200,000 – 650,000 วอนต่อเดือน คิดเป็นเงินไทยราว 5,000 – 15,000 บาท ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศไทยราคาเดียวกันนี้อาจเช่าคอนโดมิเนียมห้อง Standard ติดแนวรถไฟฟ้าได้เลย แต่สำหรับใจกลางกรุงโซลที่ค่าครองชีพและรายได้ขั้นต่ำแตกต่างกับประเทศไทยคงมีโอกาสอาศัยได้ห้องแบบ Koshiwon แทน ค่าแรงขั้นต่ำของประเทศเกาหลีใต้ในปี 2019 อยู่ที่ 8,350 วอน หรือประมาณ 219 บาทต่อชั่วโมง และปี 2020 รัฐบาลเกาหลีเตรียมปรับค่าแรงขั้นต่ำขึ้นเป็น 8,590 วอน ราว 225
แต่ละประเทศต่างมีธรรมเนียมพิธีสำเร็จการศึกษาต่างกัน ประเทศไทยมีรูปแบบพิธีทางการ ส่วนงานรับปริญญาทางฝั่งอเมริกาให้ความรู้สึกที่เป็นกันเองมากกว่า นักศึกษาอเมริกันสามารถสวมใส่เสื้ออะไรก็ได้ข้างในแล้วจึงสวมชุดครุยทับอีกที แต่สำหรับญี่ปุ่นกลับล้ำกว่าประเทศไหน ๆ เมื่อนักศึกษาทุกคนประชันการแต่งตัวเหมือนอยู่ในงานคอสเพลย์ พิธีรับปริญญาที่ว่าเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านคันไซอย่างมหาวิทยาลัยเกียวโต (Kyoto daigaku) โดยแบ่งช่วงรับปริญญาตามคณะและสาขาวิชาที่เรียน นักศึกษาจากคณะศิลปกรรม คณะดุริยางคศิลป์ รับปริญญาในวันเดียวกัน โดยมหาวิทยาลัยเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองและอาจารย์ที่อยู่กับเด็ก ๆ มาตลอด 4 ปี มานั่งในหอประชุมเพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมในความสำเร็จของบัณฑิตใหม่ด้วย บรรยากาศงานดี ๆ แสนอบอุ่นกึ่งทางการที่ใครต่างคิดว่าจะดำเนินไปอย่างเงียบเชียบเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ เมื่อนักศึกษาต่างแต่งตัวหลุดโลกเพื่อทำให้งานรับปริญญาของตัวเองเป็นงานที่จะต้องจดจำไม่ลืมไปตลอดชีวิต นายไดซากุ คาโดกาวะ (Daisaku Kadokawa) นายกเทศมนตรีเมืองเกียวโตได้เข้าร่วมงานครั้งนี้ ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์น่าสนใจว่า ตัวเขาก็เป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้เจอเรื่องราวดี ๆ ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนฝูง และถกเถียงด้วยหลักการและเหตุผลในชั้นเรียน “เราต้องมีความสุขก่อน แล้วโลกถึงจะเต็มไปด้วยความสุข” สิ่งที่เราได้ร่ำเรียนอย่างศิลปะ มันสามารถสร้างแรงกระตุ้นที่ทำให้ผู้คนใจเต้น ปลอบโยนจากความเศร้า และสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์และเต็มไปด้วยความสนุก ถือเป็นคำพูดที่น่าประทับใจไม่น้อย และในที่สุดพิธีรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเกียวโตก็เริ่มต้นขึ้น “เราจะเห็นความสนใจหรือความชอบของแต่ละคนได้จากการแต่งตัว” ประโยคดังกล่าวสามารถยืนยันว่าสไตล์สะท้อนความชอบของคนได้จริงจากงานรับปริญญาครั้งนี้ นักศึกษาจากคณะศิลปะและดนตรีต่างแต่งกายตามใจตัวเอง บางคนมาด้วยชุดกิโมโนซึ่งเป็นชุดประจำชาติที่ใคร ๆ ก็ใส่ บางคนแต่งตัวสไตล์สาวกอธิค บางคนแต่งตัวเป็นสาวแกล ขณะที่นักศึกษาบางคนที่ชอบแอนิเมชันก็แต่งกายตามตัวละครที่ชอบถึงกับใส่หัวแมวขนาดใหญ่มารับปริญญาเลยก็มี มีนักศึกษาสาวคนหนึ่งขึ้นเวทีพร้อมกับชุดแบบจัดเต็ม เธอโปะหน้าขาววอก เกล้าผมขึ้นเป็นมวยใหญ่พร้อมกับเครื่องประดับหลายชิ้นบนศีรษะ แถมยังรำโชว์ทุกคนในหอประชุมก่อนจะรับใบปริญญาด้วย หากเป็นคนที่ชื่นชอบวัฒนธรรมของญี่ปุ่นรวมถึงคนญี่ปุ่นทั่วไปเมื่อเห็นก็จะรู้ทันทีว่าเธอแต่งตัวแบบสาวเกอิชา
เป็นธรรมเนียมของสื่อต่าง ๆ ทุกสิ้นปีกับการจัดอันดับเพื่อรวบรวมเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นปี นิตยสารเกี่ยวกับภาพยนตร์ของอังกฤษ Sight & Sound ก็ไม่น้อยหน้าจัดอันดับ 50 ภาพยนตร์แห่งปี 2019 ด้วยเช่นเดียวกัน และอันดับ 1 คือหนังสุดดราม่าเรื่อง The Souvenir การจัดอันดับของ Sight & Sound มาจากผลโหวตของนักวิจารณ์อังกฤษจำนวน 100 คน โดยแบ่งเป็นชาย 60 คน และหญิง 40 คน เพื่อดูว่าเหล่านักวิจารณ์หนังชื่อดังไปจนถึงกลุ่มหน้าใหม่ชื่นชอบภาพยนตร์ปี 2019 เรื่องไหนบ้าง และผลที่ออกมาก็น่าตกใจไม่น้อยเมื่อ The Souvenir ถูกเลือกให้เป็นอันดับ 1 ตีคู่สูสีมากับภาพยนตร์สายรางวัลอย่าง Parasite จากเกาหลีใต้ หรือภาพยนตร์มาเฟียจาก Netflix เรื่อง The Irishman ของผู้กำกับรุ่นตำนาน Martin Scorsese และ Once Upon a Time in
หลังจากมอเตอร์ไซค์ดีไซน์สุดแปลกชื่อว่า ‘Kenzo’ ถูกเผยโฉมให้เห็นในงาน Bike Shed London เมื่อปี 2018 ในตอนนี้รถคันเก่งถูกดัดแปลงมาจาก Honda Gold Wing ปี 1977 โดยสำนักแต่งชื่อดังของอังกฤษอย่าง Death Machines ก็พร้อมออกจากอู่เข้าสู่อ้อมอกของเหล่านักซิ่งผู้ชื่นชอบเรื่องราวของซามูไรเป็นที่เรียบร้อย UNLOCKMEN ได้ตามหารายละเอียดของ Honda Gold Wing ที่ถูกปรับแต่งใหม่จนแทบจำไม่ได้นามว่า Kenzo และทราบว่าเป็นชื่อที่ได้มาจาก Tada Kenzo นักแข่งชาวเอเชียคนแรกที่เข้าร่วมการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบซึ่งถูกเรียกว่าเป็นสนามสุดอันตรายอย่าง Isle of Man TT ที่จัดขึ้นครั้งแรกในปี 1907 แต่ก่อนเขาจะกลายเป็นนักแข่งรถจักรยานยนต์ Kenzo เริ่มมาจากนักแข่งจักรยานและเริ่มจับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ปี 1921 เมื่อการเติบโตของโลกอุตสาหกรรมพุ่งทะยานไปข้างหน้า รถมอเตอร์ไซค์และการแข่งขันความเร็วได้รับความนิยมเป็นวงกว้างมากขึ้นในประเทศญี่ปุ่น Tada Kenzo ได้รู้จัก Isle of Man TT เป็นครั้งแรกผ่านนิตยสารมอเตอร์ไซค์ของอังกฤษ ทำให้เขาเกิดความสนใจอย่างมาก ในที่สุดปี 1930 นาย Kenzo ตัดสินใจเดินทางไปยังทวีปยุโรป
ไม่น่าเชื่อว่าอีกเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น เราทุกคนก็ต้องเตรียมโบกมือลาปี 2019 และเข้าสู่ปี 2020 กันแล้ว แต่ก่อนจะข้ามปี โลกภาพยนตร์ก็โชว์ความครึกครื้นฉลองปลายปีด้วยโปรแกรมหนังที่น่าสนใจหลายเรื่องที่รอจ่อเข้าฉายในประเทศไทย ที่สำคัญหลายเรื่องที่ลงโรง เหล่ากูรูต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าจะได้เข้าไปชิงชัยในงานออสการ์ที่จะจัดขึ้นช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 อีกด้วย UNLOCKMEN ได้รวบรวม 5 ภาพยนตร์ที่จะเข้าฉายในเดือนธันวาคมมาให้หนุ่ม ๆ เลือกดูกันว่าเรื่องไหนมีความน่าสนใจอย่างไร เรื่องไหนถูกเรียกว่าเป็นหนังสายรางวัล เรื่องไหนคือตำนาน เรื่องไหนโกยคำวิจารณ์ที่ยอดเยี่ยม และเรื่องไหนที่จะทำให้น้ำตาของผู้ชายไหลได้โดยไม่รู้ตัว Knives Out (2019) Knives Out (2019) หรือในชื่อภาษาไทยสุดกวนว่า ‘ฆาตกรรมหรรษา ใครฆ่าคุณปู่’ ภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับคดีปริศนาเพื่อหาตัวคนร้ายที่แท้จริง แม้จะเป็นหนังสืบหาฆาตกรแต่กลิ่นอายของการดำเนินเรื่องกลับสอดแทรกมุกตลกเสียดสีเอาไว้ด้วย แถมคำวิจารณ์จากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes จากนักวิจารณ์และผู้ชมทั่วไปก็อยู่ในเกณฑ์ดีมากสูงถึง 90% การเล่าเรื่องที่ทำให้ผู้ชมลุ้นระทึกและชวนฉงนตามได้ตั้งแต่เริ่มเรื่องมาถึงจุดจบเป็นผลงานกำกับของ Rian Johnson ที่เคยฝากผลงานไว้ในภาพยนตร์ตระกูลดังอย่าง Star Wars: The Last Jedi (2017) ที่ในช่วงเวลานั้นเขาทำให้เสียงวิจารณ์แตกออกเป็นสองขั้ว นอกจากเรื่องราวที่เล่าได้อย่างดีเยี่ยม รายชื่อนักแสดงก็ทำให้ทั่วทั้งโลกให้ความสนใจ เพราะหนังเรื่องเดียวแต่ขนนักแสดงระดับแนวหน้ากันมาคับคั่งไม่ว่าจะเป็น Christopher Plummer มารับบทเป็นปู่มหาเศรษฐี
ถ้าพูดถึงศิลปะของญี่ปุ่นที่โด่งดังไปทั่วโลก ใคร ๆ ต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพพิมพ์แกะไม้ชื่อว่า Ukio-e (อูกิโยะ) เป็นศิลปะญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ศิลปะสไตล์นี้ถูกหยิบมาเกี่ยวข้องกับแฟชั่นอยู่บ่อยครั้ง ความหมายแท้จริงของ Ukio-e ถูกตีความได้หลากหลาย บ้างก็แปลว่า ‘โลกที่มีแต่ความทุกข์’ หรือถ้าแปลตามความหมายของภาษาจีนคือ ‘โลกที่ไม่เที่ยง’ แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เข้าต่างเข้าใจตรงกันคือมันเป็นศิลปะที่โด่งสุดขีดในยุคสมัยเอโดะ บอกเล่าทุกสิ่งเกี่ยวกับญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ความเชื่อ วิถีชีวิต ครอบครัว ตำนานปีศาจ โสเภณี เซ็กซ์ ซามูไร ไปจนถึงเรื่องราวในราชสำนักและศาสนา ถูกเล่าผ่านลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ร่วมกับสีสันสุดโดดเด่น แถมยังมีราคาขายเริ่มต้นที่ชนชั้นกลางสามารถจับต้องได้ ทำให้ทุก ๆ คนสามารถเข้าถึงศิลปะได้อย่างแท้จริง Ukio-e จึงเปรียบเสมือนวัฒนธรรมป๊อปแห่งยุคเอโดะเลยก็ว่าได้ สำหรับปี 2019 ญี่ปุ่นได้นำศิลปะที่กลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลักในยุคเอโดะมาปรับให้เข้ากับแฟชั่น โดยถ่ายทอดนักรบซามูไรหนุ่มบนแผ่นไม้สไตล์ Nikuhitsu-ga ซึ่งเป็นศิลปะที่แยกย่อยออกมาจาก Ukio-e อีกที นำเรื่องราวและสีสันอันน่าทึ่งมาอยู่บนสนีกเกอร์รุ่น RS-X³ ของแบรนด์ Puma เมื่อ Ukio-e ขึ้นชื่อว่าเป็นศิลปะอันโด่งดังของญี่ปุ่น จะให้หยิบภาพพิมพ์แกะไม้มาสักชิ้นแล้วเอาสีมาเพ้นต์ลงบนรองเท้าให้เสร็จไปก็คงจะไม่ใช่ญี่ปุ่น โปรเจกต์การทำสนีกเกอร์รุ่น RS-X³ ให้เต็มไปด้วยเรื่องราวของวันวานจากเอโดะจึงเริ่มต้นขึ้นจากการร่วมมือกันของหลายกลุ่มทั้ง Atmos ร้านรองเท้าจากโตเกียว Puma แบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องกีฬาจากเยอรมนี
ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นเมืองที่มีความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์แทบจะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นมังงะ ศิลปะ ดนตรี แฟชั่น ชาวแก๊ง ไปจนถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เมื่อเห็นแล้วก็จะรู้ทันทีว่ามาจากญี่ปุ่น ในครั้งนี้ดินแดนเมืองเกาะที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ก็นำภาพยนตร์ชื่อดังที่คนทั่วโลกรู้จักอย่าง Star Wars มาประยุกต์เข้ากับศิลปะการแสดงที่มีชื่อว่า Kabuki STAR WARS KABUKI Kabuki (คาบูกิ) เป็นศิลปะการแสดงแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่มีจุดเริ่มต้นราวศตวรรษที่ 17 ในเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่นอย่างเกียวโตที่ได้รับความนิยมจากผู้ชม ในช่วงเริ่มต้นคณะละครแสดงคาบูกิจะมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย พวกเขาจะบรรเลงบทเพลง ร่ายรำได้อย่างสวยงาม และแสดงท่วงท่าสื่ออารมณ์ชัดเจน แต่เพราะนักแสดงหญิงในคณะละครส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นโสเภณี จึงทำให้ปี ค.ศ. 1629 รัฐบาลออกกฎห้ามให้สตรีแสดงละครคาบูกิ เพื่อคงศีลธรรมอันดีงามเอาไว้ ทำให้นักแสดงในรุ่นหลัง ๆ มีเพียงแค่เพศชายเท่านั้น กว่า 400 ปีที่คาบูกิถูกสืบทอดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เหตุที่การแสดงจากยุคโบราณนี้มีเรื่องเล่าได้หลายร้อยปีอาจเป็นเพราะคาบูกิเป็นการแสดงที่เน้นเล่าเรื่องของซามูไร นักรบผู้เต็มไปด้วยความสามารถ ไปจนถึงบทละครดราม่าเคล้าน้ำตาของชาวบ้าน บางครั้งบางตอนก็เอาเรื่องราวเด่น ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นมาปรับเข้าสู่การแสดง เนื้อเรื่องจึงมีส่วนทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงคาบูกิได้ ล่าสุดคาบูกิในปี 2019 ก็ทำให้คนทั่วโลกให้ความสนใจเกี่ยวกับศิลปะและการแสดงนี้เป็นอย่างมาก เมื่อ Star Wars เรื่องราวของสงครามอวกาศที่เริ่มออกอากาศครั้งแรกตั้งแต่ปี 1977 ถูกนำมาถ่ายทอดให้ผู้คนได้รับชมกันในสไตล์ของญี่ปุ่นในชื่อการแสดงว่า Star Wars
“เราอาจเคยหลงใหลใช้เวลาร่วมกันชั่วขณะหนึ่ง แล้วเราก็พรากจากกัน พลัดหล่นหายไปในกาลเวลา” – โชติรส นาคสุทธิ์ ครั้งหนึ่งในชีวิตของทุกคนต้องเคยเอาตัวเองไปผูกไว้กับใครสักคนอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการผูกมัดที่เต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตามที เพราะความสัมพันธ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องใช้เวลาทำความรู้จักเพื่อเข้าใจกันและกัน ไม่ต่างจากศิลปะหรือแม้กระทั่งเซ็กซ์ระหว่างคนสองคน ต่างต้องใช้เวลาเพื่อคุ้นเคย ผูกพันเพื่อใกล้ชิด และคลายปมเชือกเพื่อจากลา เมื่อชีวิตความสัมพันธ์ของเราละม้ายคล้ายกับศิลปะที่ใช้เชือกพันธนาการร่างกายของมนุษย์อย่าง Shibari (ชิบาริ) จนบางครั้งแยกไม่ออก UNLOCKMEN จึงต้องการลงลึกสู่รายละเอียดทุกเรื่องที่สงสัย ดื่มด่ำกับทุกพันธนาการ จนให้กำเนิดอีเวนต์อาร์ต ๆ ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนร่วมค้นหากันว่าศิลปะ พันธนาการ ดนตรี และความสัมพันธ์ มันมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไรในงาน SHIBARI WORKSHOP x GARAGE: “FREEDOM FROM BONDAGE อีเวนต์เดียวแต่กลับได้ร่วมวงสนทนากับ Unnamedminor หญิงสาวที่เชี่ยวชาญเรื่อง ‘การมัด’ สไตล์ชิบาริอย่างลึกซึ้ง และลูกแก้ว-โชติรส หญิงสาวผู้บอกเล่าความสัมพันธ์อันหลากหลายออกมาเป็นตัวอักษรและพึงพอใจกับ ‘อิสระ’ ในความสัมพันธ์ ทั้งคู่นั่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างสถานการณ์ เพื่อค้นหาว่าการมัดกับอิสระจากความสัมพันธ์สามารถมาบรรจบกันได้หรือไม่ ก่อนสัมผัสกับบทสนทนาชวนให้คิดตามหรือดูการรัดรึงด้วยตาของตัวเอง แค่ก้าวเข้ามาภายในสตูดิโอเราจะเห็นโปสเตอร์ที่แปะเรียงราย ม่านสีแดง แสงไฟสลัว ควันจาง ๆ ดนตรีที่เปิดคลอ และเชือกกับห่วงที่ถูกห้อยไว้กลางห้อง โหมบรรยากาศรอบตัวให้น่าตื่นเต้นมากขึ้น ถ้อยคำเต็มไปด้วยความรู้สึกของลูกแก้วที่เอื้อนเอ่ยถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนไปจนถึงหลายคน
หลังจากโลกจดจำจุดสิ้นสุดของมหาสงครามซูเปอร์ฮีโร่ครั้งยิ่งใหญ่ของปี 2019 กับภาพยนตร์เรื่อง Avengers: End Game (2019) เราก็ห่างหายจากหนังฮีโร่กันไปพักใหญ่ ทั้งค่าย Marvel และ DC ที่มีฮีโร่อยู่ในสังกัดมากมายต่างซุ่มเตรียมปล่อยโปรเจกต์ใหญ่สำหรับปี 2020 และในตอนนี้ก็มีแววว่าโลกของเรากำลังจะมีซูเปอร์ฮีโร่คนใหม่อีกครั้งในบทบาทของ Superman ที่เป็นชายผิวสี ไอเดียที่ว่าค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง Warner Bros. อยากสร้างความสดใหม่ให้กับวงการหนังซูเปอร์ฮีโร่รายงานมาจากเว็บไซต์บันเทิงชื่อดัง Varity ว่า ผู้บริหารของค่ายหนังเรียกโปรดิวเซอร์แนวหน้าของวงการฮอลลีวูดเข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับทิศทางใหม่ โดยรายชื่อผู้กำกับที่ว่าคือ J.J. Abrams ผู้เคยฝากผลงานไว้มากมายทั้งการกำกับทีวีซีรีส์เรื่อง Lost (2004) หนังอวกาศเรื่อง Star Trek Into Darkness (2013) รวมถึงภาพยนตร์มหากาพย์สงครามในตำนานอย่าง Star Wars: The Force Awakens (2015) และภาคล่าสุดกับ Star Wars: The Rise Of Skywalker (2019) ก่อนหน้านี้ J.J. Abrams เพิ่งจะหมดสัญญากับค่าย