ไม่ว่าจะยุคสมัยใด หรือเป็นคนรุ่นไหน ถ้าพูดถึงไอเทมแฟชั่นที่ขาดไม่ได้ของผู้ชายคงหนีไม่พ้นกางเกงยีนส์ที่ต้องมีติดตู้เสื้อผ้าอย่างน้อยหนึ่งตัวแน่นอน ถึงแม้ผู้ชายส่วนใหญ่เป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ ที่มักพูดคำว่า “อะไรก็ได้” อยู่บ่อยครั้ง แต่การเลือกกางเกงยีนส์ไม่ใช่ว่าเดินเข้าไปชี้หนึ่งตัวจ่ายเงินซื้อแล้วจบ แต่กางเกงยีนส์ที่จะเป็นไอเทมคู่ใจของเราต้องมีดีไซน์ถูกใจและตอบโจทย์ทุกการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง เมื่อการเลือกกางเกงยีนส์ที่ใช่เป็นสิ่งจำเป็น UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำแบรนด์กางเกงยีนส์สัญชาติเนเธอร์แลนด์ที่มีหัวใจหลักคือเน้นเรื่องประโยชน์ใช้สอยพร้อมกับดีไซน์โดดเด่นเฉพาะตัว เพื่อให้เหล่าผู้ชายหมดห่วงเรื่องปัญหากวนใจเพิ่มความมั่นใจให้กับหนุ่ม ๆ อย่าง G-Star Raw CITISHIELD การรังสรรค์อย่างพิถีพิถันเพื่อชีวิตประจำวัน ไลฟ์สไตล์ของผู้ชายส่วนใหญ่คือการพกของน้อยชิ้น ไม่มีกระเป๋ารุงรัง แต่ถ้าจำเป็นต้องพกของใช้บางอย่าง เช่น กระเป๋าสตางค์ กุญแจรถ เศษเหรียญ หรือแม้กระทั่งสมุดโน้ต ก็มักใส่จะของที่ว่าไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง แม้สุดท้ายเราพกของน้อยชิ้นแล้วแต่ก็ต้องมาพะวงว่าของที่อยู่ด้านหลังจะถูกใครไม่รู้ล้วงไปหรือตกหล่นระหว่างทาง ถึงจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ แต่มันก็เป็นสิ่งกวนใจในทุกวัน G-Star Raw จึงแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยการเพิ่มซิปกระเป๋าหลังเพื่อกำจัดปัญหาวุ่นวายใจของหนุ่ม ๆ ทำช่องลับสำหรับใส่กระเป๋าสตางค์ซ่อนไว้ให้พ้นสายตาของหัวขโมย หมดกังวลว่าของหล่นหายหรือโดนล้วง ทำให้การออกจากบ้านทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ สิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างสมาร์ตโฟนถือเป็นอีกหนึ่งไอเทมยอดฮิตที่ทุกคนต้องพกติดตัว ในยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวกระโดดไปอย่างไม่หยุดยั้ง แบรนด์ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือหลายเจ้าต่างแข่งขันกันออกสมาร์ตโฟนรุ่นต่าง ๆ ที่มีขนาดหลากหลาย มือถือบางรุ่นของเราอาจมีขนาดใหญ่เกินยัดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ซึ่ง G-Star Raw ตระหนักถึงปัญหานี้และหาทางแก้ให้เรียบร้อยโดยการดีไซน์กางเกงยีนส์รุ่น Citishield ให้ช่องกระเป๋าด้านข้างที่มีขนาดกว้างขวางใส่โทรศัพท์เครื่องโตได้พอดี ตอบรับไลฟ์สไตล์คนเมืองเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับชีวิตประจำวัน
ปีนี้ถือเป็นปีที่ดุเดือดสำหรับตลาดสตรีมมิ่ง แต่ละค่ายหนังไม่ว่าจะเป็น Netflix ที่ติดตลาดผู้คนส่วนใหญ่จนแมสไปแล้ว หรือ HBO Max มาจนถึง Disney ที่เตรียมสร้าง Desney+ พร้อมขนซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่ของมาร์เวลมาเรียกแฟนหนังกันยกใหญ่ ล่าสุดค่ายโทรศัพท์ชื่อดังอย่าง Apple TV+ ก็กำลังสร้างซีรีส์เป็นของตัวเองเช่นเดียวกันโดยคว้าพระเอกมาดเซอร์ Jason Momoa มารับบทนำในโปรเจกต์ใหญ่ See (2019) เป็นออริจินัลคอนเทนต์ของค่าย Apple TV+ กับซีรีส์ Sci-Fi ที่มีกลิ่นอาย Drama อัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยมท่ามกลางบรรยากาศดิบ ๆ เมื่อโลกใบเดิมของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 เกิดมีไวรัสร้ายแพร่กระจายและคร่าชีวิตของผู้คนไปนับล้าน ๆ จนท้ายที่สุดแล้วโลกเหลือผู้รอดชีวิตไม่ถึง 2 ล้านคน ผู้รอดตายต้องแลกมาด้วยความบกพร่องทางการมองเห็นเพราะไวรัสทำลายระบบการมองเห็นไปจนหมดสิ้น วันเวลาผ่านไป ผู้คนที่เหลืออยู่ต้องเริ่มชีวิตใหม่อยู่กับการสัมผัสและเสียง สิ่งอำนวยความสะดวกที่ต้องใช้สายตาถูกหลงลืมไปตามกาลเวลา เมื่อวันสิ้นโลกกลายเป็นเรื่องเก่ากว่า 600 ปีที่บอกเล่าต่อกันมาหลายรุ่น เรื่องราวของคนที่มองเห็นกลายเป็นแค่คำบอกเล่าคร่ำครึ เป็นตำนานเรื่องนอกรีตที่ผู้คนหวาดกลัว ห้ามพูดถึงมันโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถูกเรียกว่าแม่มดและโดนเผ่าใหญ่อย่างกลุ่มล่าแม่มดจับเผาทั้งเป็น Baba Voss (Jason Momoa) หัวหน้าเผ่าที่อาศัยอยู่ในป่าลึกเจอกับหญิงสาวนิรนามท้องแก่หลงทางในพายุหิมะ เขารับเธอเข้ากลุ่มท่ามกลางความไม่พอใจของสมาชิกบางคนเพราะเธอเป็นคนนอก หญิงสาวคนนี้เรียกได้ว่าเป็นทั้งปัญหาและอนาคตที่จะเปลี่ยนโลก
คุณเคยเห็นคนโดนมัดไหม? น่าจะเคย แล้วคุณเคยเห็นคนโดนมัดแล้วดูมีความสุขปนงดงามหรือเปล่า? คุณอาจสงสัยว่าเมื่อเรือนร่างถูกพันธนาการด้วยเส้นเชือกทบแล้วทบเล่า เนื้อถูกบีบ เรือนร่างถูกเน้น แล้วเราจะรู้สึกเป็นสุข รู้สึกงดงามหรือแม้กระทั่งรู้สึกราวกับถูกปลดปล่อยได้อย่างไร? มนุษย์เราคงไม่อาจถูกปลดปล่อยจากการมัดได้ ถ้าไม่ได้รู้จักชิบาริ (Shibari) ศิลปะแห่งเส้นเชือกจากแดนอาทิตย์อุทัย และหากว่าคุณยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าชิบาริคืออะไร NIHON STORIES จะพาคุณดำดิ่งไปในศาสตร์และศิลป์นี้ไปพร้อม ๆ กัน การใช้เชือกพันธนาการร่างกายเพื่อลงโทษ จุดเริ่มต้นของการนำเชือกมาพันธนาการร่างกายมนุษย์ของชาวญี่ปุ่นไม่ได้เริ่มต้นมาจากเรื่องเซ็กซ์ แต่เริ่มมาจากการมัดเพื่อลงโทษ โดยใช้ศิลปะการป้องกันตัวแบบโบราณที่เรียกว่า โฮโจจุตสึ (Hojojutsu) มาพันธนาการนักโทษทั้งชาย-หญิง เชลยศึกต่างเมือง ตัวประกัน และภรรยาหรือบุตรสาวของขุนนางระดับสูงที่ทำความผิด ซึ่งการมัดจะเริ่มมีบันทึกแน่ชัดช่วงยุคมุโรมาจิ (Muromachi-jidai) แต่แพร่หลายมากในยุคเอโดะ เหตุที่ต้องใช้เชือกมามัดแทนการจับผู้กระทำผิดยัดเข้าตารางเป็นเพราะญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นขาดแคลนทรัพยากรเหล็ก การใช้เหล็กต้องสงวนไว้สำหรับของจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ทำให้คุกแน่นหนามีไม่มากในญี่ปุ่น เชือกจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแทนการขังนักโทษไว้ในลูกกรงเหล็ก จุดมุ่งหมายหลักของการมัดของชาวญี่ปุ่นสมัยโบราณคือ พยายามทำให้ผู้ถูกมัดรู้สึกอับอายคล้ายกับว่าถูกประจาน ผู้ถูกมัดจะรู้สึกทรมานและอยากได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการเร็ว ๆ ซึ่งการมัดเพื่อลงโทษจะสามารถแบ่งระดับความรุนแรงได้ 4 ขั้น ตามแต่โทษหนักเบา เริ่มจากระดับแรกคือมัดแล้วโบย ระดับต่อมาคือการมัดแล้วปาหินใส่ ระดับที่สามหนักขึ้นมาอีกด้วยการจับนักโทษมามัดเชือกให้แน่นมากขึ้นกว่าเดิม ให้ร่างกายงอเหมือนกุ้งจากนั้นนำไปแขวนเพื่อประจานให้อับอาย ส่วนระดับสุดท้ายจะต้องมัดให้แน่นหนาดิ้นไม่หลุดและทำให้ผู้ถูกมัดรู้สึกทรมานที่สุด แต่ต้องไม่ให้เชือกทำให้ร่างกายนักโทษถึงขั้นหลอดเลือดอุดตันหรือทำลายเส้นประสาท แม้ถูกมัดทิ้งไว้เป็นเวลานาน ซึ่งข้อบังคับเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการมัดเพื่อลงโทษของคนญี่ปุ่นสมัยโบราณก็มีกฎที่เคร่งครัด เป็นศาสตร์ที่ไม่ใช่การมัดอย่างไรก็ได้ตามใจ
ในที่สุดวันเวลาก็หมุนเวียนมาถึงช่วงสิ้นปีอีกครั้ง โลกของแฟชั่นก็เตรียมตัวเข้าสู่ปีถัดไปกันอย่างคึกคักด้วยการเริ่มทยอยปล่อยคอลเลกชัน Pre-Spring/Summer 2020 ออกมากันยกใหญ่ รวมถึงแบรนด์แฟชั่นไฮเอนด์จากฝรั่งเศสที่คนรู้จักกันทั่วโลกอย่าง Louis Vuitton ด้วยเช่นกัน สำหรับ Louis Vuitton คอลเลกชัน Pre-Spring/Summer 2020 เป็นผลงานจากการสร้างสรรค์ของ Artistic Director คนปัจจุบันอย่าง Virgil Abloh เจ้าของแบรนด์แฟชั่นสตรีตชื่อดัง Off-White หลังจากเขาเข้ามามีส่วนร่วมในไลน์เครื่องแต่งกายสำหรับสุภาพบุรุษของ Louis Vuitton จะเห็นว่าไอเทมที่เขาดีไซน์จะเน้นการตีตลาดของกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการเพิ่มลูกเล่นแฟชั่นแนวสตรีตเข้าไปในไอเทมเครื่องหนังคลาสสิกของแบรนด์ ไปจนถึงสีสันจัดจ้านและเครื่องประทับถูกใจขาโจ๋ เพื่อต้อนรับกลุ่มลูกค้าหลากหลาย เมื่อรู้สไตล์ของ Virgil Abloh เราจึงไม่แปลกใจเมื่อเห็นว่าคอลเลกชัน Pre-Spring/Summer 2020 ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคม 2019 จะยังคงเน้นเรื่องราวเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจและความสุขของเหล่าวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยพลังงานมาอยู่บนเครื่องแต่งกายของสุภาพบุรุษ ไอเทมเด็ดจากคอลเลกชันนี้ที่น่าสนใจมีหลายชิ้นด้วยกัน ไม่ว่าจะเสื้อลายกราฟิกเท่ ๆ สีขาว-ดำ คล้ายกับลวดลายของม้าลายแต่เส้นสีดำขดเป็นวงจะให้อารมณ์ของศิลปะเต็มเปี่ยม โดยลายเส้นสีขาว-ดำ จะมีทั้งเสื้อโปโลแขนสั้น กางเกงขาสั้น เสื้อเชิ้ตแขนยาว และแจ็กเกตกันลมตัวเก่ง เครื่องแต่งกายสีดำ-ฟ้าน้ำทะเล ในคอลเลกชันนี้มีทั้งเสื้อโปโลแขนสั้นสำหรับใส่ในวันคุยงานสบาย ๆ ไปจนถึงเสื้อแจ็กเกตแขนยาวสไตล์ hiphop กางเกงขายาวเข้าคู่ลายเดียวกัน
ถ้าเป็นนักดูหนังคลาสสิกตัวยง หรือหนุ่ม ๆ ที่หลงใหลแฟชั่นวินเทจสุดเท่คงต้องรู้จักนักแสดงชายมากเสน่ห์นามว่า James Dean กันอย่างแน่นอน เพราะเขาถือเป็นขวัญใจของวัยรุ่นจากยุค 50 สร้างชื่อจากบทสมทบในละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ รวมถึงละครเวทีทำให้เขาถูกพูดถึงเป็นวงกว้างอย่าง The Immoralist (1954) กับการรับบทเป็นเกย์หนุ่มเชื้อสายอาหรับ จนได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง East of Eden (1955) เขาเป็นนักแสดงที่ผู้ชมต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าเปล่งประกาย เต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่น่าเศร้าเมื่อเขาจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ในปี 1955 ด้วยวัย 24 ปี ถึงแม้จะมีชีวิตอยู่เพียงไม่นานแต่เขาก็เป็นชายที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูดและวงการแฟชั่นช่วงทศวรรษที่ 1950 ในฐานะของไอคอนทางวัฒนธรรมที่ผู้คนไม่เคยลืม เรื่องราวของ James Dean เหลือเพียงความทรงจำ ผลงานโทรทัศน์ และภาพถ่ายหลังการจากไปนานกว่า 64 ปี ได้รับการบอกเล่าซ้ำ ๆ ผ่านผลงานที่เขาทิ้งไว้ แต่ตอนนี้เราจะมีเรื่องราวใหม่ ๆ ของ Dean ให้พูดถึงมากขึ้นไปอีก เมื่อค่ายหนังเตรียมใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่นำชายหนุ่มจากยุค 50 กลับมาสู่โลกภาพยนตร์อีกครั้ง สำนักข่าวเจ้าประจำอย่าง The Hollywood Reporter รายงานว่าค่ายหนัง
ปี 2019 ถือเป็นปีทองของนักแสดงรุ่นเก๋าอย่างคีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) อีกครั้งหลังได้เคยรับความนิยมท่วมท้นภาพยนตร์เรื่อง The Matrix ได้คำชมล้นหลามจากภาพยนตร์แอกชันสุดดิบ John Wick ไปร่วมพากย์หนังในแอนิเมชันระดับตำนานอย่าง Toy Story 4 (2019) และเป็นตัวละครในเกม Cyberpunk 2077 จนตอนนี้ไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็อยากจะร่วมงานกับพระเอกฮอลลีวูดคนนี้ด้วยกันทั้งนั้น หลากหลายค่ายสร้างหนังเอ่ยปากอยากได้คีอานู รีฟส์ มาแจมในภาพยนตร์ของตัวเอง ไม่ว่าจะประธานค่าย Marvel Studio ที่เอ่ยปากว่ารีฟส์เป็นนักแสดงชายที่มากด้วยเสน่ห์ และคงจะดีไม่น้อยถ้าได้เขามาร่วมแจมในจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ของตัวเอง แถมยังไม่เกี่ยงว่าจะต้องมาเล่นเรื่องไหน ขอแค่เป็นรีฟส์เขาก็พร้อมจะร่วมงานด้วย ชื่อเสียงของรีฟส์ยังกระโดดออกจากวงการภาพยนตร์ไปสู่วงการเกมด้วยเช่นกัน เมื่อเทพโคจิมะหรือ Hideo Kojima ผู้สร้างเกมชื่อดังก็เอ่ยปากชมรีฟส์อยู่บ่อย ๆ หลังจากพบกัน ว่าเขาเป็นชายที่สุภาพ อ่อนน้อม และเทพโคจิมะยังทิ้งท้ายอีกว่าถ้ามีโอกาสในอนาคต เขาก็ไม่พลาดร่วมงานกับคีอานู รีฟส์ แน่นอน กระทั่งล่าสุดทีมผู้สร้างภาพยนตร์แอกชันแฟรนไชส์ชื่อดังที่มีรถเป็นตัวหลักของเรื่องอย่าง Fast & Furious ซึ่งตอนนี้มีหนังออกมาถึง 8 ภาคแล้ว แถมภาคที่ 9
สำหรับคนที่ชื่นชอบการดูภาพยนตร์คงไม่มีใครไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อของ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ผู้กำกับหนังชื่อดังที่สร้างภาพยนตร์ สารคดี รายการโทรทัศน์มาแล้วกว่า 60 เรื่อง ใคร ๆ ก็ชื่นชมเขา ใคร ๆ ต่างก็นับถือเขา แต่ในตอนนี้เขากลับต้องเจอกับคำวิจารณ์ของสังคมครั้งใหญ่เพราะเขาบอกว่าหนังของ Marvel เป็นแค่สวนสนุก และทำให้เราต้องคิดตามว่า ‘แล้วหนังแบบไหนถึงจะเรียกว่าภาพยนตร์ที่แท้จริงได้บ้าง ?’ บางคนอาจยังสับสนว่า มาร์ติน สกอร์เซซี เป็นใคร เขามีผลงานโด่งดังอะไรบ้างที่ทำให้กลายเป็นตำนาน และทำไมมุมมองเกี่ยวกับภาพยนตร์ของเขาสามารถสร้างผลกระทบให้กับวงการภาพยนตร์ได้มากมายขนาดนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับผู้กำกับชื่อดังคนนี้ให้มากขึ้น เพราะการสร้างสรรค์ผลงานผ่านการกำกับและงานเขียนสามารถทำให้เรารู้ลึกถึงความคิดของคนคนหนึ่งได้ ความสำเร็จของ MARTIN SCORSESE ก่อนสกอร์เซซีจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับหนังที่มีอิทธิพลต่อวงการฮอลลีวูด เขาแจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง Mean Streets (1973) บอกเล่าสังคมของผู้คนและกลุ่มผู้มีอิทธิพลในโลกใต้ดินเมืองนิวยอร์กผ่านเด็กเก็บค่าคุ้มครอง แม้มีงบทำหนังจำกัดมาก ๆ แต่สกอร์เซซีทำให้ผู้คนเห็นว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาหลักในการสร้างภาพยนตร์ที่ดี จากนั้นต่อด้วยเรื่อง Taxi Driver (1976) ชายผู้ผ่านสงครามเวียดนามที่เป็นโรคนอนไม่หลับเลยมาขับแท็กซี่ตอนกลางคืน แต่สุดท้ายจับพลัดจับผลูวางแผนฆ่าผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วยการกำกับอันแยบคาย ดนตรีประกอบสไตล์แจ๊สที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชมเพราะเป็นผลงานสุดท้ายของ Bernard Herrmann นักดนตรีประพันธ์ดนตรีประกอบชื่อดัง
เมื่อพูดถึงเกมและนักสร้างเกมปัจจุบัน ชื่อที่ถูกพูดถึงคงหนีไม่พ้นนักสร้างเกมสัญชาติญี่ปุ่น Kojima Hideo ที่ใคร ๆ ต่างก็เรียกเขาว่า ‘เทพโคจิมะ’ เพราะเกมที่เขาสร้างส่วนใหญ่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ เนื้อเรื่องที่ซับซ้อนหักมุมไปมา บทพูดน่าประทับใจของตัวละครที่ชวนคิด คล้ายกับว่าเกมของโคจิมะเป็นภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่น่าติดตามจนจบ ล่าสุดเขาเริ่มสร้างสรรค์ผลงานที่ทำให้เกมเมอร์ต่างเฝ้ารอสัมผัสด้วยตัวเองอย่าง Death Stranding ซึ่งใช้เวลาสร้างนานกว่า 3 ปี หลังจากบรรดาแฟน ๆ ถูกทิ้งให้ปวดหัวกับปริศนาที่โคจิมะทิ้งไว้ในตัวอย่างเกมและบทสัมภาษณ์ เรื่องราวของ Death Stranding เป็นเกมที่ว่าด้วยอะไรก็ไม่รู้ (ความตั้งใจของโคจิมะที่ทำให้คนเดาไม่ได้ว่าเนื้อเรื่องจะไปในทิศทางไหนจนกว่าจะได้เล่นจริง ๆ) มุมมองภายในเกม เล่าเรื่องราวผ่าน Sam Porter Bridges รับบทโดย Norman Reedus หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเขาจากซีรีส์เรื่อง The Walking Dead แต่ในเกมเขาจะสลัดบทบาทจากโลกซอมบี้ ลายเป็นชายผู้ทำหน้าที่ขนส่งสิ่งของและช่วยเหลือผู้คนตามเมืองต่าง ๆ หลังจากการล่มสลายของโลก ความมึนงงเดาเกี่ยวกับเนื้อเรื่องไม่ได้ ทำให้ใคร ๆ ต่างตั้งคำถามกับทีมงานและโคจิมะว่าตกลงแล้วเนื้อเรื่องของเกมคืออะไรกันแน่ ? โคจิมะก็เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเกม Death Stranding มีเส้นเรื่องหลักเกี่ยวกับ “ชีวิตและความตาย” (คำตอบของเขาก็ไม่ทำให้เรารู้เนื้อเรื่องมากขึ้นเท่าไหร่อยู่ดี) ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่ท้าทายความสามารถของผู้เล่นด้วยอุปสรรคต่าง ๆ
อย่างที่หนุ่ม ๆ ผู้ชื่นชอบรองเท้าต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่า Nike Air Force 1 ถือเป็นสนีกเกอร์โมเดลสุดคลาสสิกที่ใส่ได้ตลอดกาล ส่วนแรปเปอร์ผิวสีชื่อดังอย่าง Travis Scott ก็เคยมีผลงานร่วมกับ Nike มาแล้วหลายต่อหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบบนสนีกเกอร์โมเดล Air Jordan 1, Air Jordan 1 Low, Air Jordan 4, Air Jordan 6 และ Air Force 1s ออกมาให้ชมกันไปแล้วมากมาย ล่าสุดแรปเปอร์หนุ่มก็ยังไม่หยุดสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ บนสนีกเกอร์ หยิบโมเดลรุ่นเก๋า Nike Air Force 1 รองเท้าบาสฯ รุ่นแรกของ Nike ที่มีเทคโนโลยี Air มาเติมเต็มจินตนาการและสร้างความสนุกสนานบนสนีกเกอร์ของเขา Nike Air Force 1 ของ Travis Scott มีชื่อว่า
ภาพยนตร์ระทึกขวัญสั่นประสาทถือเป็นหนังที่ครองใจคนหลายกลุ่มมาอย่างยาวนาน เพราะความตื่นเต้น ฉากนองเลือด ดนตรีประกอบชวนขนลุก ทั้งหมดเร้าอารมณ์ให้ลุ้นและสนุกสนานไปกับการเล่าเรื่องของผู้กำกับ แต่กว่าจะมีภาพยนตร์สยองขวัญที่หลากหลายมาให้เราเลือกดูได้อย่างทุกวันนี้ วงการหนังสยองขวัญก็ต้องผ่านช่วงเวลายากลำบากเพราะกฎข้อบังคับมากมายที่บั่นทอนความสยองขวัญให้ลดลงจนแทบหมดอารมณ์ UNLOCKMEN จะมาเล่าถึงภาพยนตร์สยองขวัญจากปี 1960 ที่แหกกฎของวงการฮอลลีวูด สร้างหนังที่จะปฏิวัติวงการภาพยนตร์ให้ทันสมัย กับการกล้าได้กล้าเสียของผู้กำกับจนทำให้ Phycho กลายเป็นหนังทริลเลอร์ในตำนานที่เหล่าผู้ชื่นชอบความระทึกจะต้องรู้จัก พล็อตหนังคลาสสิกที่โด่งดังด้วยการเล่าเรื่องแหวกทุกข้อห้าม ก่อนที่วงการฮอลลีวูดจะก้าวเข้าสู่ความทันสมัยเหมือนอย่างปัจจุบันนั้นใช้เวลายาวนานพอสมควร เพราะอุปสรรคทางเทคโนโลยี ปัญหาเรื่องความเหมาะสม และค่านิยมตามยุคสมัยเป็นตัวชี้วัดว่าหนังที่สร้างออกจากจะดำเนินไปทิศทางไหน วงการฮอลลีวูดช่วงยุค 40-50 เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยข้อห้ามมากมาย เช่น ห้ามมีฉากโป๊เปลือยเกินพอดี ห้ามสื่ออะไรที่ผิดศีลธรรม ห้ามโหดเลือดสาดชวนให้อาเจียนมากเกินไป ทุกอย่างที่ไม่เหมาะสมจะต้องถูกเซนเซอร์ และห้ามแม้กระทั่งไม่ควรมีโถส้วมอยู่ในภาพยนตร์ เหล่าคนทำหนังช่วงเวลานั้นต่างก็เข้าใจพร้อมทำตามกฎกันเป็นอย่างดี จนมาถึงวันที่ความแตกต่างมาถึง เมื่อภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่อง Psycho (1960) เข้าฉายครั้งแรกและเปลี่ยนค่านิยมของการทำหนังให้กับวงการฮอลลีวูดไปตลอดกาล Psycho (1960) เป็นภาพยนตร์สุดหลอนที่สร้างจากนวนิยายของ Robert Bloch เรื่องราวของ Marion Crane (Janet Leigh) เลขาสาวสวยที่ตัดสินใจขโมยเงิน 40,000 ดอลลาร์ (ถ้าเทียบกับปัจจุบันมีมูลค่าราว 330,000 ดอลลาร์ หรือกว่าสิบล้านบาทเลยทีเดียว) ของเจ้านายแล้วหนีไปยังเมืองอื่น ระหว่างทางเธอต้องเข้าพักในโมเตลเล็ก ๆ