แม้ผู้ชายหลายคนจะมองนาฬิกา Baby-G จากแบรนด์ดังอย่าง Casio ว่าเป็นนาฬิกาสำหรับผู้หญิงแต่ก็ยังมีผู้จำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบดีไซน์และขนาดของนาฬิกาตระกูล Baby-G เพราะนี่คือนาฬิกาที่มีหลากหลายสไตล์ ทะมัดทะแมง เรียบง่าย มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์แบบ Unisex แถมระยะนี้ยังไปร่วม collaboration กับภาพยนตร์และการ์ตูนที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ ชื่นชอบกันอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่แปลกที่ Baby-G จะได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ในปีนี้ Baby-G ก็เดินทางมากว่า 25 ปี นับตั้งแต่ ค.ศ. 1994 Casio จึงไม่พลาดปล่อยนาฬิกาคอลเลกชันพิเศษเพื่อฉลองการครบรอบโดยตัดสินใจจับมือกับการ์ตูนและเกมที่คนทั่วโลกต้องรู้จักอย่าง Pokemon โดยเลือกตัวการ์ตูนสีเหลืองพลังสายฟ้าอย่าง Pikachu โปเกมอนตัวเอกมาเป็นคอนเซ็ปต์หลักของเรือนเวลารุ่นพิเศษ สายนาฬิกาสีดำด้านจะถูกแต่งแต้มด้วย Pokeball กับสายฟ้าขนาดจิ๋วหลากสี จากนั้นสลักตัวเลข 0:25 สีเหลืองตามสีขนของ Pikachu ไว้ตรงบริเวณห่วงรัดสายนาฬิกา โดยลวดลายทั้งหมดจะมาในรูปแบบ pixel สไตล์วินเทจเข้ากับรูปทรงของนาฬิกา ส่วนบริเวณหน้าปัดตรงด้านบนมีชื่อการ์ตูน Pokemon รวมถึงดีเทลเล็ก ๆ ที่ถูกซ่อนเอาไว้ซึ่งจะเห็นก็ต่อเมื่อกดปุ่มแสงหน้าจอ (เมื่อกด Pikachu จะโชว์ตัวเป็นภาพพื้นหลังของนาฬิกา) แถมฝาหลังจะสลักชื่อการ์ตูนแบบนูนเอาไว้เพื่อย้ำถึงความพิเศษของนาฬิกาคอลเลกชันนี้ คุณสมบัติอื่น ๆ
มหากาพย์สงครามใหญ่แห่งจักรวาลอย่างเรื่อง Star Wars ได้กลับมาโลดแล่นแฟน ๆ หายคิดถึงกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนานตั้งแต่ Star Wars VI ปี 2005 ที่กว่าทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอยจนได้ไตรภาคใหม่ออกมาก็กินเวลาเกือบ 10 ปี จนในที่สุดก็เกิดภาค 7 หรือ Star Wars: The Force Awakens (2015) ต่อด้วย Star Wars: The Last Jedi (2017) และตอนนี้เรื่องราวอันยาวนานก็เดินทางมาถึงบทสรุปไตรภาคกับ Star Wars: The Rise of Skywalker (2019) เตรียมเข้าฉายในเดือนธันวาคม ตามธรรมเนียมเดิมที่จะให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเหมือนของขวัญวันคริสต์มาสกับแฟนหนัง เมื่อการปิดไตรภาคของ Star Wars กำลังจะมาถึง แบรนด์รองเท้าชื่อดังอย่าง Adidas จึงไม่รอช้าที่จะร่วมสร้างปรากฏการณ์ครั้งสำคัญ เอาใจแฟนคลับภาพยนตร์อวกาศในตำนานด้วยการจับมือกับ Lucus Films และ Disney ผู้สร้างหนัง นำแรงบันดาลใจจาก Stormtrooper กองกำลังภาคพื้นดินของจักรพรรดิพัลพาทีน
ถ้าเอ่ยถึง ‘มุราคามิ’ ผู้ชายที่ชอบอ่านหนังสือก็จะนึกถึง ฮารุกิ มุราคามิ นักเขียนชื่อดังที่สร้างสรรค์วรรณกรรมที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองจนถูกเรียกว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการเล่าเรื่อง แต่บางคนก็จะนึกถึง ‘ทากาชิ มุราคามิ’ ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่เคยเข้ามามีอิทธิพลกับเหล่าวัยรุ่นไทยด้วยการวาดดอกไม้ยิ้มที่คนเรียกกันว่า ‘ดอกมุราคามิ’ ดอกไม้ลายเส้นง่าย ๆ สีสันสดสน ที่กระทั่งวันนี้หลาย ๆ คนก็ยังไม่เข้าใจว่าดอกไม้ที่ว่านั้นมันได้รับความนิยมและมีราคาแพงจากอะไร แต่ในวันนี้เราจะไม่ได้มาพูดถึงดอกไม้ของมุราคามิ แต่จะย้อนไปก่อนที่เขาจะโด่งดังจากผลงานอื้อฉาวที่เหล่านักวิจารณ์บางคนต้องเบือนหน้าหนี เพราะผลงานของเขาแม้จะเป็นรูปของตัวการ์ตูนหน้าตาน่ารักแต่มันกลับซ่อนเรื่องราวทางเพศเอาไว้ ความบ้าคลั่งทางจินตนาการที่กลั่นออกมาเป็นผลงานศิลปะทำให้เขาถูกเรียกว่าเป็น ‘ราชาโอตาคุ’ ผลงานสุดอื้อฉาวที่ทำให้โลกรู้จักชื่อของ TAKASHI MURAKAMI หากต้องนิยามถึงอาชีพของทากาชิ มุราคามิ ก็จะพบว่าเขาเป็นชายที่ทำอะไรที่หลายอย่าง เขาเป็นทั้งจิตรกรที่มีผลงานสไตล์ pop art เป็นนักปั้น ภัณฑารักษ์ อาจารย์มหาวิทยาลัย และนักวิจารณ์ โดยใช้แรงบันดาลใจหลักๆ จากความชอบของตัวเองคือมังงะรวมถึงแอนิเมะมาสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง เมื่อรู้ดีว่าตัวเองชอบอะไร สิ่งต่อมาที่จะทำให้ผลงานของเขาประสบความสำเร็จคือการจับความชอบมาผสมผสานกับอะไรก็ตามที่โดดเด่นและเป็นตัวของตัวเอง ผลงานของเขาจะต้องบอกเล่าตัวตนและไม่ซ้ำใคร เมื่อคิดได้ดังนั้นมุราคามิจึงนำวัฒนธรรมป๊อปมารวมกับลายเส้นการวาดแบบญี่ปุ่นโบราณ เป็นการผสมผสานที่ศิลปินในช่วงเวลานั้นไม่นิยมจับความใหญ่และเก่ามารวมกันเพราะมองว่าการรวมกันแบบนี้มันดูพิลึกพิลั่นเกินไป แต่มุราคามิกลับมองว่าน่าสนใจ นอกจาก pop culture กับลายเส้นแบบญี่ปุ่นโบราณแล้ว มุราคามิยังนำเฮนไต (Hentai) สื่อลามกที่แพร่หลายอยู่ในโลกใต้ดินของประเทศญี่ปุ่นที่ยังเป็นวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่ม และถูกมองว่าเป็นผลงานสำหรับ ‘คนตลาดล่าง’ มาร่วมกับผลงานประติมากรรมจากวัสดุไฟเบอร์ของตัวเองจนได้รูปปั้นตัวการ์ตูนผู้หญิงที่ชื่อว่า Hiropon
โลกใบนี้ล้วนเต็มไปด้วยความลับ ไม่ว่าประเทศไหนต่างก็มีเรื่องราวที่ไม่อยากให้คนรู้และซุกมันไว้ใต้พรม ทำเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์การเมืองสุดฉาวในปี 2003 ท่ามกลางความตึงเครียดของโลกที่เฝ้ามองความขัดแย้งระหว่างอิรักกับสหรัฐอเมริกา แดนเสรีชนที่มีพันธมิตรเหนียวแน่นอย่างอังกฤษ เมื่อข้อพิพาทของประเทศมหาอำนาจสามารถส่งผลกระทบใหญ่ไปทั่วทั้งโลก จึงก่อให้เกิด Official Secrets (2019) ภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงนี้ นำเสนอมุมมองอีกด้าน แฉกลโกงของประเทศมหาอำนาจที่สร้างความชอบทำเพื่อก่อสงคราม เรื่องอื้อฉาวที่ทำให้ทั่วโลกต้องจับตามองเกิดขึ้นเมื่อ Katharine Gun (รับบทโดย Keira Knightley) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองอังกฤษได้รับอีเมลลับสุดยอดที่มีเนื้อหาเป็นภัยต่อสหราชอาณาจักร รวมถึงเธอสามารถดักฟังบทสนทนาทำให้ล่วงรู้ว่าสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ร่วมมือกับหน่วยข่าวกรองอังกฤษเพื่อสอดแนมประเทศที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติ (UN) และตั้งใจบีบบังคับให้ประเทศทั้งหมดยอมลงนามให้สหรัฐฯ ทำสงครามกับอิรัก ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเพราะมหาอำนาจโลกกำลังวางแผนกลโกงสร้างความชอบธรรมในการรุกรานประเทศอื่น Katharine เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ 100 คนที่ได้รับอีเมลลับสุดยอด อีเมลที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตว่าเธอจะนำคำโกหกของผู้นำไปเผยแพร่ให้โลกรู้หรือจะเลือกไม่รู้ไม่เห็น ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป และสุดท้ายเธอก็เลือกทำในสิ่งที่ควรทำโดยการพิมพ์ข้อมูลลับสุดยอดฉบับนั้นส่งให้กับนักข่าวโดยไม่ระบุชื่อว่าตัวเองเป็นคนส่ง เมื่อสำนักพิมพ์ใหญ่ของอังกฤษ The Observer รับข้อมูลจาก Katharine พวกเขาเร่งตรวจสอบและตีพิมพ์ลงบนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ประจำวันที่ 2 มีนาคม 2003 กับพาดหัวข่าวเจ็บ ๆ ว่า ‘แผนการสกปรกของอเมริกาที่จะเอาชนะผลโหวตเพื่อสงครามอิรัก’ (US dirty tricks to win vote on
ความไม่เท่าเทียมและความโกรธแค้นถือเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทุกที่บนโลกใบนี้ ความเหลื่อมล้ำทำให้เกิดช่องว่างทางสังคม จนบางครั้งคนที่อยู่ในชนชั้นฐานพีระมิดทั้งหลายก็ไม่สามารถเก็บงำความอัดอั้นตันใจกับชีวิตแย่ ๆ ของตัวเองได้ ลงมือทำสิ่งแย่ ๆ และใช้ข้ออ้างว่า “เกลียดทุนนิยม เกลียดคนรวย และเกลียดความจนของตัวเอง” UNLOCKMEN จะพาย้อนเวลาไปยังช่วงปี 90 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ของประเทศเกาหลี จากเมืองเล็ก ๆ ที่โลกไม่ให้ความสนใจสู่การพัฒนาสังคมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นประเทศที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก แต่การก้าวกระโดดทางวัฒนธรรมที่สวยงามอาจสร้างผลกระทบที่ไม่คาดคิดตามมา เช่น ความเหลื่อมล้ำ ความจน และคดีลักพาตัวที่นำมาสู่การฆาตกรรมสะเทือนขวัญ เรื่องราวสะเทือนขวัญที่คนเกาหลีจดจำและกลายเป็นประวัติศาสตร์สะเทือนขวัญเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1993 ใจกลางกรุงโซลเมืองหลวงของประเทศเกาหลี คิม กีฮวัน (Kim Kihwan) วัย 26 ปี อดีตนักโทษพ้นคุกผู้ไม่พอใจกับสังคมที่เป็นอยู่ เขาเป็นคนชนชั้นล่างที่ตกงาน เขาไม่พอใจคนรวยที่เกลื่อนเต็มเมืองแต่ชีวิตของตัวเองกลับตกต่ำจนถึงขีดสุด ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ของเขาทำให้กีฮวันตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยและสาบานว่าจะทำทุกอย่างเพื่อทำลายคนรวย กีฮวันรวบรวมพรรคพวกที่คิดเหมือนกับเขาตั้งกลุ่มขึ้นมาชื่อว่า Mescan เพื่อแก้แค้นชนชั้นอภิสิทธิ์ที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม (มุมมองดังกล่าวเป็นเพียงความคิดของกลุ่ม Mescan เท่านั้น) ประกอบด้วยสมาชิก 8 คน แต่ภายหลังชื่อของ Mescan ถูกคนเกาหลีเรียกว่า Chijon Family แทนที่ชื่อกลุ่มเดิมที่พวกเขาตั้งขึ้น หลังจากรวบรวมคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันให้เป็นกลุ่มก้อน
ช่วงสิ้นปีถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาสำคัญสำหรับวงการภาพยนตร์ ในปีนี้งานประกาศรางวัลที่คอหนังเฝ้ารอทั่วโลกอย่างออสการ์ก็กำลังอยู่ในช่วงสนุกสนานไม่แพ้กัน ค่ายหนังน้อยใหญ่ต่างส่งภาพยนตร์เรื่องเด่นของตัวเองเข้าช่วงชิงรางวัลสาขาต่าง ๆ กันอย่างคับคั่ง รวมถึงหลาย ๆ ประเทศที่เตรียมส่งหนังของตัวเองเข้าชิงรางวัลในสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม (Best International Feature Flim) วันนี้ UNLOCKMEN จะเอ่ยถึงภาพยนตร์เรื่อง Buoyancy (2019) ผลงานจากประเทศออสเตรเลียที่ส่งเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม ซึ่งจุดน่าสนใจสำหรับเราคือภาพยนตร์เรื่องนี้คือเป็นหนังที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริง ใช้นักแสดงไทย พื้นหลังการดำเนินเรื่องก็เป็นอุตสาหกรรมการประมงไทย แถมในเรื่องยังพูดภาษาไทยอีกด้วย เรื่องราวที่เต็มไปด้วยคำถามใน Buoyancy (2019) จะถูกเล่าเรื่องโดยเด็กชายชาวเขมรอายุ 14 ปี ที่ต้องออกจากหมู่บ้านเดินทางมาทำงานยังประเทศไทย เด็กชายต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต้องการเงินและหวังว่าอุตสาหกรรมประมงของประเทศไทยจะเติมเต็มสิ่งที่เขาต้องการได้ แต่ทุกอย่างไม่เป็นดั่งฝันเมื่อเขาต้องกลายเป็นทาสที่ถูกใช้ความรุนแรงบนเรือประมง ติดอยู่บนเรือไม่ต่างจากปลาที่อยู่ในอวน จากการเดินทางเพื่อทำตามความฝันมาสู่การดิ้นรนกลางทะเลและรักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่ให้ตาย เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้นอกจากต้องก้มหน้าทำตามคำสั่งของนายจ้างคนไทยอยู่บนเรือ ถ้าไม่ทำตามก็คงจะต้องกลายเป็นศพกลางทะเล ความกดดันและความเครียดจะถูกเล่าเรื่องไปพร้อมกับบรรยากาศเหงา ๆ ของเรือลำหนึ่งท่ามกลางมหาสมุทร “ภาพยนตร์เรื่องนี้จะทำให้เราเห็นว่าความจนสามารถลดคุณค่าของความเป็นคน” – Graeme Mason Buoyancy (2019) เป็นผลงานกำกับครั้งแรกของ Rodd Rathjen แต่ถึงแม้ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นเรื่องแรกของเขาแต่ก็ถูกสมาพันธ์ภาพยนตร์ออสเตรเลียเลือกให้เป็นตัวแทนของประเทศช่วงชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม และได้ออกฉายให้นักวิจารณ์ได้ชมกันไปแล้วในเทศกาลหนังเบอร์ลิน ส่วนประเทศไทยของเราก็ลงมติเป็นที่เรียบร้อยว่าจะส่งภาพยนตร์เรื่องแสงกระสือในสาขาดังกล่าวเช่นกัน ถือว่าสาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมของงานออสการ์ครั้งที่ 92 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 9
เราอาจเคยได้ยินเรื่องราวของพ่อค้ายาชื่อก้องโลกอย่างเอสโคบาร์มาเป็นร้อยครั้ง หรือได้ยินว่าโคลอมเบียเป็นเมืองสุดโหดที่ผลิตยาเสพติดมากจนติดท็อป 10 เป็นสิบ ๆ หน แต่หากถามถึงชีวิตของชาวไร่ที่เป็นคนผลิตวัตถุดิบหลักที่ใช้ในสารเสพติดอย่างใบโคคาหรือกัญชากลับไม่ค่อยถูกพูดถึงนัก อาจเป็นเพราะเหตุผลหลาย ๆ อย่าง เช่น พวกเขาไม่เท่ พวกเขาไม่น่าสนใจพอจนต้องมารับรู้ถ้าเทียบกับชีวิตโลดโผนของพ่อค้ายา UNLOCKMEN นำเรื่องราวที่ถูกลืมมาเล่าให้ทุกคนได้สัมผัสถึงชีวิตชุมชนชาวไร่ในประเทศโคลอมเบียผ่านภาพถ่ายของตากล้องที่ลงไปอยู่ในชุมชน เพื่อสัมผัสถึงอีกแง่มุมว่ากลุ่มคนปลูกพืชสำหรับทำสารเสพติดมีความคิดอย่างไร พวกเขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำอยู่หรือไม่ และพวกเขาเป็นผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงจริง ๆ หรือเปล่า เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Mads Nisson ช่างภาพชาวเดนมาร์กวัย 38 ปี ที่โด่งดังจากรางวัล World Press Photo of the Year ในปี 2015 และมีประวัติโชกโชนเกี่ยวกับภาพถ่ายสะท้อนสังคม ก่อนเขาจะเข้ามาถ่ายภาพชีวิตเกษตรกรผู้ผลิตใบยาสำหรับสารเสพติดในประเทศโคลอมเบีย Mads เคยได้รับการว่าจ้างจาก Nobel Peace Center ให้ถ่ายภาพประธานาธิบดีโคลอมเบีย Juan Manuel Santos ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2016 เพราะเขาสามารถยุติสงครามนองเลือดของกลุ่มพ่อค้ายาติดอาวุธในโคลอมเบียที่ยืดเยื้อมานานกว่า 52 ปี หลังจาก Mads ถ่ายภาพของผู้นำโคลอมเบียแล้วจึงเกิดความคิดว่าเขาต้องการเห็นมุมมองทั้งสองด้านของประเทศนี้ ไม่ใช่เพียงแค่มุมจากผู้นำมองลงสู่ประชาชนเท่านั้นแต่ต้องการเห็นความคิดและชีวิตของคนชายขอบด้วยเช่นกัน
บางครั้งภาพยนตร์ก็ทำให้เราตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างที่มองข้ามไปหรือไม่เคยจะคิดถึงมาก่อน อย่างเช่นภาพยนตร์เรื่อง Joker (2019) กับเรื่องราวของอาเธอร์ เฟล็ก ชายผู้เต็มไปด้วยความทุกข์และไม่สามารถควบคุมการหัวเราะของตัวเองได้ จุดสนใจของเรานอกเหนือจากการแสดงที่เด็ดขาดกับเสียงหัวเราะร่วนที่ตราตรึงของ Joaquin Phoenix คือโรคหยุดหัวเราะไม่ได้ของ Joker กระตุ้นให้เราอยากทำความรู้จักกับอาการดังกล่าวให้มากขึ้น UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Pseudobulbar affect (PBA) หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอาการหยุดหัวเราะและหยุดร้องไห้ไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร แล้วคนที่มีอาการดังกล่าวเขาต้องพบเจอกับอะไรบ้าง คนใกล้ชิดควรทำความเข้าใจและปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างไร ควบคุมการหัวเราะไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าต้องเป็นโรคซึมเศร้า Pseudobulbar affect (PBA) เป็นความผิดปกติของร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ โดยสามารถแยกย่อยได้สามประเภทคือ กลุ่มคนที่ร้องไห้ไม่หยุด (Pathological crying) กลุ่มไม่สามารถควบคุมการหัวเราะของตัวเองได้ (Pathological laugher) และคนที่ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งการหัวเราะและร้องไห้ (Pathological laugher and crying) ซึ่งกลุ่มที่เจอบ่อยสุดจากประวัติเข้ารับการรักษาคือกลุ่มที่หยุดร้องไห้ไม่ได้ เราจะต้องแยกให้ได้ก่อนว่ากลุ่มผู้มีอาการ PBA ทุกคนไม่ใช่ผู้ป่วยทางจิตหรือเป็นคนที่มีอาการโรคซึมเศร้า พวกเขาเพียงแค่ไม่สามารถควบคุมอาการหัวเราะและร้องไห้เท่านั้น เช่น คนไข้ไปหาหมอแล้วถูกถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ?” ยังไม่ทันตอบแต่กลับร้องไห้โฮใส่หมอทั้งที่ตัวเองไม่ได้รู้สึกสะเทือนใจกับคำถามเลย คนไข้บางคนบอกว่าตัวเองไม่ได้ร้องไห้เพราะรู้สึกเศร้าหรือหดหู่จนไม่อยากมีชีวิตอยู่ เพียงแต่เขาไม่สามารถควบคุมการร้องไห้ได้เท่านั้น กลุ่มคนที่มีความเสี่ยงว่ามีอาการ PBA
หลังจากปีที่แล้วแบรนด์เครื่องกีฬาและสนีกเกอร์อย่าง Nike ดึงรองเท้าบาสเกตบอลในตำนานอย่าง Air Force 1 รุ่น 07 ที่เคยได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั้งเหล่านักกีฬาและผู้ชายที่ชื่นชอบสไตล์คลาสสิกกลับมาสู่ปัจจุบัน เพื่อฉลองครบรอบ 36 ปี โดยผูกรองเท้าเข้ากับเรื่องราวของทีมจากลีก NBA ในปีนี้ Nike ก็ยังคงดึงความคลาสสิกจากวันเก่าก่อนมาเล่าใหม่อีกครั้งด้วยการนำรองเท้าผ้าใบ Air Force 1 07 LV8 NBA มาตกแต่งด้วยสีสันและสไตล์ที่ทันสมัยส่งให้สนีกเกอร์รุ่นปี 2019 เต็มไปด้วยเอกลักษณ์ของยุคสมัยที่บรรจบกัน ความโดดเด่นของ Nike Air Force 1 07 LV8 NBA ครั้งนี้อยู่ที่การจับสีสันของทีมบาสเกตบอลจากลีก NBA ที่โด่งดังไปทั่วโลกมาเจอกัน อย่างรองเท้าคู่สีขาวดำก็จะใช้การสลับพื้นที่ของสีขาวและดำทำให้รองเท้าแปลกตา โลโก้ Swoosh ก็แบ่งครึ่งเป็นทูโทนสลับกับสีของสนีกเกอร์ โดยทาง Nike ก็ตั้งชื่อรองเท้านี้ไว้ง่าย ๆ ว่า Air Force 1 07 LV8 NBA Black/White ส่วนคู่ถัดมามีชื่อว่า
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์แอกชันทุนต่ำแต่โด่งดังไปทั่วโลกในตอนนี้คงหนีไม่พ้นเรื่อง John Wick อย่างแน่นอน ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องราวของโลกของนักฆ่าอาชีพที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบ โดยเล่าผ่านอดีตนักฆ่าหวนสู่วงการเพราะมีคนมายิงหมาและขโมยรถคู่ใจบทนี้ ที่ได้ Keanu Reeves มารับบทนำจะดังเป็นพลุแตกทำรายได้ถล่มทลายขนาดนี้ John Wick (2014) ภาคแรกใช้ทุนสร้าง 20 ล้านดอลลาร์เท่านั้น แต่สามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำจนเกิดภาคต่ออย่าง John Wick: Chapter 2 (2017) และ John Wick: Chapter 3 Parabellum (2019) ทยอยออกมาให้แฟน ๆ ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้แม้จะยังไม่มีภาค 4 แต่จักรวาลของเหล่ามือปืนจะขยายกว้างไกลขึ้นด้วยหนังภาคแยกของ John Wick หลังจากสำนักข่าวต่างประเทศลงข่าวลือกันมาพักใหญ่ว่า John Wick จะมีหนังภาคแยกในจักรวาลเดียวกันแต่จะไม่เล่าถึงตัวของนักฆ่าหวนวงการเพราะหมาตาย หันมาเล่าเรื่องนักฆ่าคนอื่นแทนบ้าง ไอเดียที่ตามมาคือทางผู้สร้างอยากใช้ “นักฆ่าสาว” เป็นตัวดำเนินเรื่องเพื่อให้ผู้คนรู้จักโลกของมือปืนมากยิ่งขึ้น ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ John Wick จะทราบกันอยู่แล้วว่านอกจากเส้นเรื่องหลักอย่างการล้างแค้นเราจะได้เห็นระบบของเหล่ามือปืน พวกเขาจะมีค่าเงินเป็นของตัวเอง จ่ายเงินซื้อสินค้าต่าง ๆ ด้วยเหรียญทอง มีโทรศัพท์เฉพาะไว้อัปเดตข่าวหรือแม้กระทั่งอัปเดตค่าหัว นักฆ่าทำอาชีพหลากหลายเพื่อบังหน้า