ผู้ชายหลายคนในโลกนี้มีความคิดว่า สรีระของหญิงสาวที่ซ่อนอยู่ภายใต้เครื่องแต่งกายเป็นความสวยงามทางธรรมชาติ น่ามอง และเต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่ภายใต้ทรวงอกที่ใครหลายคนหลงใหลก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้แบรนด์รองเท้าชื่อดังอย่าง Vans ขอเป็นตัวแทนบอกเล่าปัญหาดังกล่าวในแบบของตัวเอง ไอเทมแฟชั่นคอลเลกชันนี้ของ Vans ที่ว่าด้วยหน้าอกของหญิงสาว ไอเดียดังกล่าวเกิดขึ้นจากการร่วมมือกันของ Vans กับ CoppaFeel! องค์กรของประเทศอังกฤษ เพื่อให้ชายหญิงตระหนักถึงปัญหามะเร็งเต้านมที่ใครหลายคนมองข้าม แต่ถ้าจะมานั่งเล่าให้ผู้ชายพาแฟนไปตรวจหน้าอกที่โรงพยาบาลก็คงจะน่าเบื่อจนไม่มีใครฟัง Vans จึงทำให้ผู้คนตระหนักด้วยศิลปะอาร์ต ๆ บนเครื่องแต่งกายแทน คอลเลกชันหน้าอกของหญิงสาวจาก Vans บอกเล่าผ่านศิลปะบนไอเทมหลากหลาย เช่น รองเท้า 3 แบบของแบรนด์ทั้ง Sk8-Hi, Slip-On, Era รองเท้าแตะ เสื้อเชิ้ต ฮู้ด เสื้อยืด หมวก และกระเป๋าเป้สะพายหลัง โดยจะใช้ลายกราฟิกหน้าอกของผู้หญิงแต่งแต้มอยู่ในไอเทมต่าง ๆ รองเท้าหุ้มข้อสีดำตัวชูโรงของคอลเลกชัน ประทับลวดลายของหญิงสาวสัญชาติต่าง ๆ ทั้งสาวผิวขาวผมทอง สาวผิวแทนผมดำ สาวเอเชีย และผู้หญิงผิวสีเพื่อความหลากหลายทางเผ่าพันธุ์ หญิงสาวทุกคนในภาพจะเปลือยอก บางคนก็เอามือมาปิดป้องหน้าอกบ้าง เพื่อเน้นย้ำถึงคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมที่เท่แถมยังไม่น่าเบื่อ รองเท้าผ้าใบอีกสามคู่ทั้งก็ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันลวดลายเท่ ๆ ด้วยเช่นกัน อย่างรองเท้าจะเป็นช่องสี่เหลี่ยมสีครีมและสีส้มแดง คล้ายกับว่าสี่เหลี่ยมทั้งหมดบนรองเท้าคือการเบลอเพื่อเซนเซอร์หน้าอกของผู้หญิง
ถ้าพูดถึงภาพยนตร์สายลับเราจะนึกถึงใครจากเรื่องอะไรบ้าง ? แน่นอนว่าหนึ่งชื่อที่จะต้องถูกยกขึ้นมาทุกครั้งเมื่อพูดถึงสายลับก็คือ James Bond เจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษรหัส 007 ที่ใครหลายคนยกให้เป็นต้นแบบของความเท่สไตล์สุภาพบุรุษ James Bond เป็นตัวละครโคตรเท่โลดแล่นอยู่ในหน้ากระดาษจากงานเขียนของ Ian Fleming ก่อนจะถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์หลายภาคด้วยกัน และตอนนี้ก็มีภาคหนึ่งที่มีอายุถึง 50 ปีแล้ว ภาคที่ว่าคือ On Her Majesty’s Secret Service (1963) นวนิยายลำดับที่ 10 จากหนังสือชุดของ James Bond วางจำหน่ายครั้งแรกในปี 1963 และถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อเดียวกันว่า On Her Majesty’s Secret Service (1969) โดยได้ George Lazenby รับบทเป็นสายลับสุดเท่ ซึ่งตอนนี้เรื่องราวของหนังสายลับฉบับภาพยนตร์ On Her Majesty’s Secret Service ก็ครบรอบ 50 ปี ในปี 2019 จึงทำให้แบรนด์นาฬิกาที่อยู่คู่กับ James
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้หากพูดถึงชื่อของ Joaquin Phoenix บางคนอาจจะไม่รู้จัก แต่คอหนังรางวัลจะต้องรู้จักชื่อของเขาเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นนักแสดงสายรางวัลที่ไม่ค่อยปรากฏตัวในหนังบล็อกบัสเตอร์เท่าไหร่นัก แต่ในเวลานี้หากเอ่ยชื่อของเขาอีกครั้ง คนส่วนใหญ่จะต้องยอมรับในความสามารถการแสดงจากบทบาทวายร้ายโรคจิตของเมือง Gotham อย่าง Joker ที่ใคร ๆ ก็ต้องขนลุกเมื่อได้ดูเขาสวมบทเป็นตัวตลกคลั่ง เมื่อ Joaquin Phoenix กลายเป็นชายที่ผู้ชมทั่วโลกจับตามอง เราจึงอยากพาทุกคนไปพบกับการตีบทแตกของนักแสดงชายคนนี้ ว่าที่ผ่านมาเขาเคยต้องรับบทเป็นใครมาแล้วบ้าง ซึ่งบอกเลยว่าดีทุกบท ไม่ใช่แค่ Joker WALK THE LINE (2005) “การตายของพี่ชายเกิดขึ้นเพราะพระเจ้าเอาไปผิดคน” ประโยคข้างต้นคือคำพูดที่พ่อพูดกับ Johnny Cash นักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดัง ผู้อยู่คู่เคียงกับ Elvis Presley ศิลปินแห่งยุค โดย Walk The Line (2005) คือภาพยนตร์ชีวประวัติของศิลปินคนหนึ่งกำลังจะตกลงมาจากจุดสูงสุดของอาชีพ พร้อมกับปมวัยเด็กและปัญหาครอบครัว เพราะภรรยาของเขาไม่เคยเห็นคุณค่าในอาชีพของเขา แถมตัวเขาเองดันหลงรัก June Carter ทั้งที่ตัวเองแต่งงานแล้ว เมื่อใจของ Johnny Cash ไปอยู่กับ June Carter
หลังจากห่างหายไปพักหนึ่ง ในที่สุดแบรนด์แฟชั่นที่คนทั่วโลกรู้จักอย่าง Louis Vuitton ก็พร้อมเปิดตัวกระเป๋าหนังสำหรับสุภาพบุรุษคอลเลกชันใหม่ชื่อว่า New Classics ภายใต้การนำของ Virgil Abloh ครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของ LV และเจ้าของแบรนด์สตรีตแวร์ Off-White ที่เข้าไปอยู่ในใจของผู้ชายหลายคน กระเป๋าคอลเลกชันนี้ก็ไม่ได้ทำให้เราต้องผิดหวังด้วยกระเป๋า 4 แบบ กับการดีไซน์เท่ ๆ หยิบเอาเรื่องราวสุดคลาสสิกกับโลโก้อันเป็นเอกลักษณ์ของ Louis Vuitton มาผสมผสานกับค่านิยมสมัยใหม่เพื่อตอบรับความต้องการของเหล่าหนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบความทันสมัยเต็มไปด้วยเรื่องราว ถ้าใครรู้จัก Virgil Abloh หรือเคยเห็นไอเทมแฟชั่นแต่ละชิ้นที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาก่อนหน้านี้ จะเห็นว่าสไตล์ชัดเจนของเขาคือการรวมแนวสตรีตของเด็กวัยรุ่นผู้เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจเข้ากับสินค้าไฮเอนด์ อย่างคราวก่อนเขาจับกระเป๋าหนังของ Louis Vuitton ย้อมสีให้กลายเป็นสีเงิน หยิบยืมความจัดจ้านในคลับยามค่ำคืนอย่างสีนีออนมาอยู่บนกระเป๋าที่มีเรื่องราวยาวนาน จากนั้นตกแต่งด้วยสายโซ่ย้อมสีซึ่งเป็นอีกหนึ่งไอเทมเด็ดขาดไม่ได้ของชาวสตรีต ทำให้ใครหลายคนเอ่ยปากว่าเขาทำให้ Louis Vuitton ดูเป็นวัยรุ่นมากขึ้น ครั้งนี้ก็เช่นกันกับกระเป๋าคอลเลกชัน New Classic ดีไซเนอร์หนุ่มได้ตีความคลาสสิกใหม่ โดยหยิบกระเป๋าเดิมของ Louis Vuitton ทั้ง 4 ใบ ไม่ว่าจะเป็น Steamer PM กระเป๋าถือดีไซน์เรียบหรู
ถ้าพูดถึง Kanye West ผู้ชายส่วนใหญ่ก็จะต้องรู้จักเขาไม่ว่าจากเพลงที่ร้องหรือรู้จักผ่านสนีกเกอร์ Yeezy ที่เขาดีไซน์ หรือรู้จักจากดราม่าสะเทือนวงการเพลงระหว่างเขากับนักร้องสาว Taylor Swift แต่ไม่ว่าจะรู้จักทางไหนคนส่วนใหญ่ก็ต้องเคยได้ยินชื่อของเขาอยู่ดี สไตล์ห่าม ๆ ที่เราเห็นผ่านบทเพลง การสัมภาษณ์ หรือแม้กระทั่งทัศนคติและมุมมองทางการเมืองที่แสดงออกมาอย่างร้อนแรงของเขาทำใครหลายคนมองว่าแรปเปอร์คนนี้ไม่เป็นมิตรและคงจะอารมณ์ร้อนอยู่ตลอดเวลา และในตอนนี้อพาร์ตเมนต์กลางเมืองนิวยอร์กของเขาก็กลับเข้าสู่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นที่เรียบร้อย ด้วยโอกาสที่ดีแบบนี้จึงทำให้ UNLOCKMEN สนใจพาทุกคนไปสำรวจบ้านของ Kanye West ไปพร้อมกันว่าที่พักอาศัยของเขาจะดุดันเหมือนเพลงที่ร้องหรือการเมืองที่เขาวิจารณ์มากน้อยขนาดไหน อพาร์ตเมนต์ที่ว่าคือที่พัก 1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ขนาด 2,427 ตารางฟุต ตั้งอยู่ในย่าน Soho ใจกลางกรุงนิวยอร์ก ออกแบบและตกแต่งภายในโดยเจ้าของเก่าคือ Kanye West ร่วมกับ Claudio Silvestrin สถาปนิกชื่อดังชาวอิตาลี จุดเด่นของอพาร์ตเมนต์นี้อยู่ที่ห้องนั่งเล่นโปร่งโล่ง มีหน้าต่างขนาดใหญ่ทั้งหมด 13 บาน ทั้งทางทิศเหนือและทิศตะวันออก ซึ่งหน้าต่างทั้งหมดใช้เทคโนโลยี Smart home สามารถปรับเฉดสีอัตโนมัติตามแสงแดดหรือปรับตั้งค่าความเข้มอ่อนได้ตามใจ ทำให้เราเห็นทัศนียภาพและทิวทัศน์ของมหานครทั้งกลางวันและกลางคืนได้อย่างเต็มตา ดีไซน์แทบทุกห้องจะตกแต่งด้วยสไตล์มินิมัลสีอ่อนทำให้ห้องดูกว้างขวางสบายตา จากนั้นตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์และไอเทมแต่งบ้านโทนสีธรรมชาติอย่างสีน้ำตาลของไม้ สีเขียวของใบไม้ หรือสีเทาของก้อนหิน ซึ่งสไตล์ที่เป็นธรรมชาติช่วยให้ห้องชุดหรูหราและให้บรรยากาศเป็นกันเองไปพร้อมกัน
แฟชั่นถือเป็นกระแสที่ไม่เคยหยุดนิ่ง บางครั้งผ่านมาแล้วก็หายไป หรือบางทีภาวะ Nostalgia (หวนระลึกอดีต) ก็เปิดโอกาสให้แฟชั่นวันวานกลับมาฮิตอีกครั้ง แต่ใช่ว่าทุกสไตล์จะได้กลับมาเป็นกระแสเสมอไป ด้วยคลื่นกระแสของแฟชั่นที่น่าสนใจทำให้ในวันนี้ UNLOCKMEN เลือกพูดถึงแฟชั่นญี่ปุ่นอันเต็มไปด้วยเป็นเอกลักษณ์ โดยหยิบเรื่องราวของแบรนด์ดังอย่าง HOMME PLISSE ISSEY MIYAKE กับคอลเลกชันล่าสุดอย่าง Autumn/Winter 2019 ที่นำไลฟ์สไตล์ยุคเอโดะปัดฝุ่นมาเล่าใหม่ ตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าเท่ ๆ ให้สวมใส่ได้ลงตัวในยุคนี้ แต่ก่อนจะก้าวไปสัมผัสกับคอลเลกชัน Autumn/Winter 2019 คงต้องขอเท้าความถึงตัวแบรนด์กันก่อน โดย HOMME PLISSE ISSEY MIYAKE (ออมม์ พลิซเซ่ อิซเซ่ มิยะเกะ) เป็นแบรนด์เสื้อผ้าน้องใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 2013 โดดเด่นเรื่องไอเทมการจับจีบสุดประณีตที่ถูกคิดค้น ดีไซน์อย่างสร้างสรรค์ และพัฒนาด้วยทีมดีไซเนอร์มากความสามารถของ Issey Miyake แบรนด์แฟชั่นตัวพ่อที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1988 สไตล์อันชัดเจนของ HOMME PLISSE ISSEY MIYAKE คือการเน้นดีไซน์เสื้อผ้าให้สวมใส่สบาย เคลื่อนไหวได้คล่องตัว ซัพพอร์ตสรีระของผู้ชาย เนื้อผ้าไม่ยับ แห้งง่ายระบายอากาศได้ดี แถมยังน้ำหนักเบาเพราะใช้ยูนิฟอร์มพลีต (uniform plests) เสื้อผ้าจึงไม่เสียดสีกับผิวกาย คุณสมบัติเหล่านี้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หลากหลายของเหล่าชายหนุ่มยุคปัจจุบัน เพราะคนรุ่นใหม่ต่างต้องการแต่งตัวตามสไตล์ของตัวเองพร้อมกับทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ตัวตนภายนอกที่ไม่ขัดกับการแสดงออก แต่ส่งเสริมให้ดูดีทุกท่วงท่าเป็นหัวใจสำคัญที่ทุกคนมองหา
บ่อยครั้งที่เรามีโอกาสเห็นการ์ตูนหรือแอนิเมชันชื่อดังเข้ามาวนเวียนจับคู่กับแฟชั่น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือรองเท้าก็ตาม และในครั้งนี้ Reebok ก็ได้จับมือกับ Sanrio ออกรองเท้าผ้าใบคอลเลกชันพิเศษที่เต็มไปด้วยความน่ารักแบบกวน ๆ เพราะไข่ขี้เกียจที่หลายคนรู้จักจะมาอยู่บนรองเท้าผ้าใบ Sanrio เป็นชื่อของบริษัทออกแบบและครอบครองลิขสิทธิ์ลายเส้นของตัวการ์ตูนดังของญี่ปุ่นจำนวนมากทั้ง Hello Kitty, My Melody, Bad Badtz-maru, Little Twin Stars รวมถึงไข่ขี้เกียจแสนคุ้นตาอย่าง Gudetama หลาย ๆ คนอาจจะเคยเห็นเจ้าไข่หน้าตาง่วงนอนผ่านตาอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพราะแฟนชอบดู หรือเห็นแล้วจำได้เพราะหน้าตาของไข่มันน่ารักแบบกวน ๆ โดย Gudetama เป็นชื่อตัวการ์ตูนที่เกิดจากการรวมกันของคำว่า Gudegude (ぐでぐで) ที่แปลว่า ทรงตัวไม่ได้ และคำว่า Tama (たま) แปลว่าไข่ ตรงกับคาแรกเตอร์ของตัวละครเป๊ะ เพราะเราแทบจะไม่เคยเห็นไข่ขี้เกียจยืนทรงตัวดี ๆ ได้สักครั้ง แต่ใครจะคิดว่าไข่หน้าโง่ไม่ยอมทำอะไรสักอย่างจะเกิดจากไอเดียพร้อมจิกกัดสังคมทุนนิยมของ Amy ผู้สร้างตัวการ์ตูน Gudetama เพราะไข่ขี้เกียจ หมดเรี่ยวหมดแรงไร้ความกระตือรือร้น เปรียบเหมือนกับเหล่าวัยรุ่นผู้สิ้นหวังกับสังคมและเศรษฐกิจจนไม่อยากจะลุกออกไปไหนหรือทำอะไรทั้งที่ตัวเองก็มีความสามารถ (ว่าไปนั่น) ด้วยเรื่องราวสะท้อนสังคมที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้าตาเมา ๆ ของไข่ขี้เกียจ
ใคร ๆ ก็รู้ว่านาฬิกาทุกเรือนมีไว้เพื่อบอกเวลา แต่สิ่งที่ทำให้นาฬิกาทุกเรือนแตกต่างกันคือคอนเซ็ปต์ เช่นเดียวกับแบรนด์นาฬิกาแบรนด์หนึ่งนามว่า Richard Mille มีจุดขายคือความแพง แต่เมื่อก่อนยังถือเป็นแบรนด์ที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักและไม่ได้รับความนิยมเท่าไหร่เมื่อเทียบกับ Rolex หรือ Patek Philippe ทว่าด้วยเหตุผลบางประการทำให้ในตอนนี้คนไทยส่วนมากจดจำชื่อรวมถึงรูปร่างหน้าตาของ Richard Mille ได้แล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า Richard Mille เริ่มเป็นที่จดจำ UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปพบกับนาฬิกาเรือนล่าสุดของแบรนด์ว่าอะไรคือความพิเศษที่ทำให้นาฬิกาสุดอินดี้แบรนด์นี้กลายเป็นของหายากมีราคาเหยียบล้าน Richard Mille เป็นนาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ได้แรงบันดาลใจจากกีฬามอเตอร์สปอร์ต ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1999 ซึ่งแต่ละรุ่นก็โดดเด่นต่างกันไป บางรุ่นชูเรื่องความแข็งแรงมาพร้อมกับน้ำหนักแสนเบา อย่าง RM 50-03 Mclaren F1 มีน้ำหนักเบากว่าเหล็ก 6 เท่าแต่แข็งแกร่งมากกว่าถึง 200 เท่า ด้วยส่วนประกอบของไทเทเนียมและอื่น ๆ ทำให้นาฬิกาเรือนนี้มีราคาสูงถึง 1 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยราว 33 ล้านบาท RM27-02 Rafael Nadal Edition ชูเรื่องน้ำหนักสุดเบา ด้วยนาฬิกาทั้งเรือนมีน้ำหนักเท่ากับเหรียญ 1
“ฉันต้องเป็นราชาโจรสลัดให้ได้เลย!” สำหรับแฟน ๆ การ์ตูนเรื่อง One Piece ต้องคุ้นเคยกับประโยคแสนมุ่งมั่นของลูฟี่หมวกฟางอย่างแน่นอน การ์ตูนโจรสลัดอารมณ์ดีที่ผู้ชายหลายคนเฝ้าอ่านเฝ้าติดตามดูเรื่องราวของกลุ่มโจรสลัดนี้เรื่อยมาตั้งแต่เด็กจนโต และไม่น่าเชื่อว่าในปี 2019 แอนิเมชันเรื่อง One Piece จะเดินทางมาถึงปีที่ 20 แล้ว พร้อมกับการปล่อยตัวอย่างของแอนิเมชัน The Movie ลำดับที่ 14 ที่จัดเต็มความยิ่งใหญ่สำหรับเรื่องราวกว่า 20 ปี อันแสนยาวนาน UNLOCKMEN เองก็เป็นแฟนคลับการ์ตูน One Piece ไม่ต่างจากใคร ๆ ดังนั้นเมื่อแอนิเมชันเรื่องนี้เข้าฉายในประเทศไทยแถมยังครบรอบ 20 ปีอีก เราจึงไม่พลาดหยิบเรื่องราวของ One Piece The Movie มาร้อยเรียงให้เห็นถึงการเติบโตมาด้วยกันระหว่างคนดูและตัวละคร พร้อมกับพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ความทรงจำ และความประทับใจที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนี้ร่วมกัน แต่ละก้าวเดินของ ONE PIECE THE MOVIE นับตั้งแต่ One Piece The Movie ภาคแรกออกฉายเมื่อปี
ในเวลานี้ถ้าพูดถึงภาพยนตร์สยองขวัญกับตัวตลก ทุกคนจะต้องนึกถึงตัวตลก Pennywise กับลูกโป่งสีแดงจากเรื่อง It (2017) และ It: Chapter Two (2019) ผลงานจากปลายปากกาของ Stephen King ที่กระโดดออกจากหนังสือสู่จอภาพยนตร์ ด้วยใบหน้าแสนไม่เป็นมิตร รอยยิ้มไม่น่าไว้ใจ และสีขาวกับสีแดงแต่งแต้มอยู่บนใบหน้า ทำใครหลายคนไม่คาดคิดว่านักแสดงใต้หน้ากากตัวตลกจริง ๆ จะมีใบหน้าหล่อกับลุคที่เท่ได้ขนาดนี้ ชายผู้รับบทตัวตลกจากเรื่อง It คือนักแสดงหนุ่มนามว่า Bill Skarsgard เขาเกิดในครอบครัวสายเลือดนักแสดง พ่อของเขาเป็น Stellen Skargard ใครหลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตาเขากับบทดอกเตอร์สติเฟื่องจากเรื่อง Thor ส่วนตัวของ Bill เริ่มแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่ออายุ 9 ขวบ กับเรื่อง White Water Fury (2009) ด้วยใบหน้าดูดี บวกกับความสูงถึง 192 เซนติเมตร และนัยน์ตาที่ใครหลายคนลงความเห็นตรงกันว่ามีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ทำให้ UNLOCKMEN อยากรู้จักสไตล์ทั้งในจอและนอกจอของเขาให้มากขึ้น BILL SKARSGARD’S STYLE IN THE