UNLOCKMEN เชื่อว่าผู้ชายทุกคนเวลาไปออกเดตกับหวานใจมักจะต้องถูกวานให้ถ่ายรูปสวย ๆ ให้เธออยู่เสมอ และบางคนก็ต้องปวดหัวทุกครั้งเพราะถ่ายรูปออกมาได้ไม่ถูกใจคุณเธอ แต่ถ้าตอบไปว่า “ก็ผมไม่ใช่ช่างภาพ” อาจทำให้ต้องเถียงกันอีกยาว เราเข้าใจปัญหาสุดคลาสสิกที่ผู้ชายพบเจออยู่เสมอ เพราะเราทุกคนไม่ได้ถนัดเรื่องการถ่ายภาพหรือจัดแจงท่าทางโพสให้ใคร จึงทำให้ UNLOCKMEN เกิดไอเดียแนะนำการถ่ายภาพเลี่ยงดราม่าจากแฟนสาวมาให้หนุ่ม ๆ ทุกท่านได้ดูเอาไว้เป็นแนวทาง ว่าด้วยกฎการถ่ายรูปให้สูงเพรียว เวลาออกไปเดินเที่ยวแล้วถูกสาวขอร้องให้ถ่ายรูปให้หน่อย ยอมรับเถอะครับว่าบางคนหยิบกล้องหรือโทรศัพท์มากดถ่ายรัว ๆ ให้มันจบไป และผลที่ได้ก็คือภาพสั่น ภาพเบลอเห็นแล้วชวนหงุดหงิด บางครั้งอาจลุกลามไปถึงปัญหาใหญ่อย่างถ่ายออกมาแล้วดูตัวเตี้ย ไม่ว่าการถ่ายรูปสาวออกมาตัวเตี้ยมันอาจจะเป็นปัญหาของรูปร่างหญิงสาวหรือเป็นเพราะเราที่ไม่ได้ใส่ใจจะถ่ายรูปตั้งแต่แรก ผลสุดท้ายคนที่โดนโกรธโดนงอนก็คงไม่พ้นเราอยู่ดี การแก้ปัญหาง่าย ๆ เวลาถ่ายรูปออกมาเตี้ยอย่างแรกคือแก้ที่ตัวนางแบบก่อน เพราะบางครั้งการโพสท่าแบบผิด ๆ ของเธอคือสาเหตุหลักที่ทำให้ดูตัวเตี้ย ดังนั้นก่อนจะถ่ายรูปให้เราดูว่าแฟนสาวยืนอย่างไรและจัดท่าทางของเธอให้ดีขึ้น อย่าให้เธอยืนตรงเหมือนเคารพธงชาติ จากนั้นบอกให้ยืนพอยต์ขาข้างหนึ่งออกมาข้างหน้า เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ภาพของเธอมีขายาวเรียวได้แล้ว ความสูงระหว่างผู้ถ่ายภาพและแฟนสาวก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับผู้ชายที่ตัวสูงกว่าผู้หญิงมาก ๆ ให้ยกกล้องไว้ระดับคางหรืออก จากนั้นเสยกล้องขึ้นนิดหนึ่ง แต่ให้ระวังการอย่าเสยเยอะเพราะไม่อย่างนั้นรูปร่างเพรียวบางกลายเป็นอ้วนได้ง่าย ๆ และอย่ากดกล้องลงเด็ดขาดเพราะภาพที่ได้จากการปักเลนส์กล้องทิ่มลงพื้นทำให้คนในภาพดูเตี้ยได้อย่างไม่น่าให้อภัย หลังจากนั้นเพียงแค่กะระยะของภาพให้ดีด้วยการเหลือพื้นที่ว่างด้านบน ส่วนด้านล่างห้ามตัดรองเท้าออกเพราะจะทำให้เธอดูเตี้ยทันที เพราะการเหลือพื้นที่ด้านบนและเก็บปลายเท้าของนางแบบจะทำให้ภาพสมดุลและแฟนสาวของเราก็จะได้รูปถ่ายสูงเพรียวไปลงโซเชียลได้สมใจ ถ่ายรูปสาวให้ผอมทำได้ง่ายกว่าที่คิด มาถึงหัวข้อนี้หนุ่ม ๆ บางคนอาจรู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะหากแฟนของเราหรือสาวที่ขอให้ถ่ายรูปเป็นสาวร่างอวบมีน้ำมีนวล
ว่ากันว่าอาชีพเก่าแก่ที่สุดในโลกคือโสเภณี เรื่องราวของหญิงสาวขายเรือนร่างเพื่อแลกกับบางสิ่ง เช่น เงิน ความเชื่อ และแต่ละทวีปหรือแต่ละยุคสมัยก็มีคำใช้เรียกพวกเธอต่างกันไปทั้ง หญิงงามเมือง สาวขายบริการ คณิกา โสเภณี หรือโอยรัน การใช้เรือนร่างแลกกับบางสิ่งที่ว่ามีทั้งการร่วมเพศสัมพันธ์กับชายไม่รู้จักสมัยบาบิโลนเพื่อบูชาเทพเจ้ามิลิตตา (The Goddess Mylitta) หรือสถานบริการของพวกเธอที่ใครหลายคนเรียกว่าซ่องของยุคกรีกถูกสร้างขึ้นเพื่อลดปัญหาความสำส่อนทางเพศของเหล่าชายหญิงผู้ต้องการระบายความรู้สึก ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ค่านิยมของสมัยก่อนบางส่วนมองว่าร่างกายของหญิงสาวมีไว้เพื่อบำเรอชาย หญิงสาวตามแบบค่านิยมของสังคมจะต้องรักนวลสงวนตัว มีสามีคนเดียว และเป็นแม่ที่ดีของลูก แต่ถ้าผู้หญิงทุกคนปฏิบัติตามค่านิยมแล้วใครจะทำงานเป็นโสเภณีสร้างความสุขให้เหล่าชายชาตรี ? เมื่อคิดได้ดังนั้น โลกนี้ก็อนุญาตให้มีข้อยกเว้นที่ทำให้ทุกประเทศต่างก็มีหญิงงามเมือง และคงไม่มีชายใดฉุกคิดว่าโสเภณีจะมีค่ามากจนบางคนทำงานแทบตายก็ยังไม่ได้ครอบครอง ด้วยเรื่องราวอันยาวนานและแสนละเอียดอ่อนของหญิงงามเมือง UNLOCKMEN จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับศิลปะการขายเรือนร่างเพื่อความบันเทิงของ โอยรัน (Oiran, 花魁) หญิงงามเมืองชั้นสูงเต็มไปด้วยศักดิ์ศรี ที่ทำให้บางครั้งผู้ชายอกสามศอกยังต้องยอมลงให้เพียงเพื่อใช้เวลาร่วมกับเธอแค่หนึ่งคืน ความเหมือนที่แตกต่างของโอยรันและเกอิชา โสเภณีถือเป็นอาชีพที่หญิงสาวจำนวนไม่น้อยทำกันมาอย่างยาวนานในญี่ปุ่นที่ อาชีพโสเภณีมีอยู่เกลื่อนเมืองในยุคสมัยเคโช (ค.ศ. 1596 – 1614) แต่เรื่องราวของพวกเธอถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนเป็นกิจจะลักษณะในหลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยเอโดะ (ค.ศ. 1600 – 1868) ที่ทำให้การค้าบริการทางเพศเป็นเรื่องถูกกฎหมาย แจกแจงลำดับชั้นของโสเภณีเพื่อความสะดวกเวลาใช้บริการ และจำกัดย่านโคมเขียวของแต่ละเมืองให้ชัดเจน เช่น ย่าน Yoshiwara (1618) ของกรุงโตเกียว
ถ้าพูดถึงดีไซเนอร์หญิงเท่ที่แสนจะเป็นตัวของตัวเองหลายคนคงนึกถึงดีไซเนอร์มากมายไม่ว่าจะเป็น Coco Chanel หรือ Elsa Schiaparelli ที่โดดเด่นด้วยการดึงศิลปะแบบเซอร์เรียลมาผสมกับการออกแบบเสื้อผ้า และแน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของ Vivienne Westwood คุณป้าสายพังก์อยู่ในวงสนทนาด้วยอย่างแน่นอน บางคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสับสนว่าดีไซเนอร์หญิงสุดแนวเกี่ยวอะไรกับ UNLOCKMEN และรองเท้าผ้าใบยี่ห้อ Vans เหตุผลเพราะในปีนี้เธอลงมาลุยตลาดสนีกเกอร์มากขึ้นและได้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชื่นชอบรองเท้าทั้งชายหญิงด้วยการ collaboration กับ Vans เกิดเป็นคอลเลกชันพิเศษชื่อว่า Anglomania ในแต่ละปี Vans ถือเป็นแบรนด์สนีกเกอร์ที่ร่วมสร้างสรรค์ผลงานกับแบรนด์อื่น ๆ รวมถึงเหล่าดีไซเนอร์และเซเลบฯ ชื่อดังมากมาย แต่ครั้งนี้สิ่งที่ทำให้ผู้คนสนใจคือการจับมือกับ Vivienne Westwood ดีไซเนอร์ที่ไม่เคยอยู่ในกรอบของสังคม ผู้นำสไตล์พังก์มาปรับให้โมเดิร์นและเท่เกินกว่าใคร และกลายเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ผู้ทรงอิทธิพลของโลก Vivienne เชื่อว่าเครื่องแต่งกายสามารถบ่งบอกสไตล์และเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนได้ รองเท้าทั้งหมด 6 คู่ จากคอลเลกชัน Anglomania (การคลั่งไคล้วัฒนธรรมอังกฤษ) จึงถอดแบบตามความหมายออกมาได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยนพร้อมกับผสมสไตล์พังก์แบบอังกฤษของตัว Vivienne เองด้วย เริ่มจาก Sk8-Hi รองเท้าหุ้มข้อที่อยู่กับ Vans และวงการสเกตบอร์ดมาอย่างยาวนาน ในคอลเลกชันนี้จะมีรองเท้าหุ้มข้อสองสีมาให้เลือก ทั้งสีดำคมเข้มกับสายเข็มขัดหนังแบบกว้างสีครีมที่อยู่บริเวณเหนือเท้า ดำไปจนถึง midsole แต่ป้ายของ Vans
ย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อนในวันที่ 13 ตุลาคม 1993 ภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง The Nightmare Before Christmas ออกฉายเป็นครั้งแรก และจากวันแรกจนถึงปัจจุบัน การ์ตูนเรื่องดังกล่าวก็กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์สุดคลาสสิกที่ควรเก็บไว้ดูทุกวันคริสต์มาสไปเสียแล้ว The Nightmare Before Christmas เล่าถึงโลกในจินตนาการของเบอร์ตัน เมื่อแต่ละเทศกาลของโลกมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง อย่างวันหยุดคริสต์มาสก็มีเมืองคริสต์มาส วันฮัลโลวีนกลายเป็นเมืองฮัลโลวีน แต่ละเมืองก็มีเรื่องราวที่แตกต่าง มีสภาพแวดล้อมยึดตามเทศกาล แต่แล้ววันหนึ่งเมื่อผู้ปกครองเมืองฮัลโลวีนนามว่า Jack Skelllington เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายความซ้ำซากจำเจของเมืองที่ตัวเองอยู่ หลงไปยังเมืองคริสต์มาสซึ่งอบอวลไปด้วยมวลความสุข เมื่อคนต่างเมืองได้มาพบเจอความแตกต่างทางวัฒนธรรม จากเมืองอึมครึมตลอดเวลามาสู่เมืองที่ประดับประดาด้วยลูกบอลสี บรรยากาศรื่นเริง ผู้คนเต็มไปด้วยความยินดีกับเทศกาลแห่งครอบครัว Jack เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่พบเจอกลับมายังเมืองฮัลโลวีนของตน เดิมทีสารพัดผีชาวเมืองจะพากันออกไปหลอกคนในวันปล่อยผี ก็อยากเปลี่ยนให้ภูตผีออกไปแจกของขวัญให้เด็ก ส่วน Jack ก็อยากจะแย่งงานของซานตาคลอสมาทำเอง แต่เมื่อความเคยชินของภูตผีปีศาจที่หลอกคนมาตลอดเปลี่ยนมาเป็นผู้ให้แสนใจดี จึงทำให้เทศกาลคริสต์มาสครั้งนี้วุ่นวายกว่าครั้งไหน ๆ ด้วยเรื่องราวของ The Nightmare Before Christmas แสนคลาสสิกกับความนิยมจากปี 1993 ที่สั่งสมมาถึงวันนี้และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้แบรนด์รองเท้าชื่อดังอย่าง Vans สนใจอยากนำความสนุกสนานภายในเรื่องมาอยู่บนรองเท้าผ้าใบคอลเลกชันพิเศษ The Nightmare
หลังจากที่ Capcom วางจำหน่ายภาคเสริมของตระกูลเกมยอดฮิตนักล่าอสูรในตำนาน Monster Hunter กับ Monster Hunter World: Iceborne ไปหมาด ๆ ที่สามารถยอดขายที่พุ่งสูงถึง 2.5 ล้านชุด (นับตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน – 13 กันยายน 2019) ทั้งยอดขายแผ่นเกมและการดาวน์โหลดแบบดิจิทัล แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าเกมล่ามอนสเตอร์ในตำนานไม่เคยเสื่อมความนิยมจากนักเล่นเกม ด้วยความนิยมที่ไม่เคยจืดจาง แถมในปีนี้ยังครบรอบ 15 ปี ของเกม Monster Hunter อีก จึงทำให้แบรนด์นาฬิกาญี่ปุ่นอย่าง Seiko ร่วมฉลองความสำเร็จของเกมนักล่าอสูรด้วยการออกนาฬิกาข้อมือรุ่นพิเศษสำหรับเกมดังโดยเฉพาะ ซึ่งการเจอกันระหว่างเกมดังและนาฬิการุ่นเก๋าครั้งนี้ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านนาฬิกาข้อมือ 3 เรือนโดยดึงเอกลักษณ์เฉพาะของมอนสเตอร์ทั้ง 3 ตัวไว้อย่างครบถ้วน SBPY155 RATHALOS นาฬิกาเรือนแรกของคอลเลกชันนี้ประเดิมด้วยมอนสเตอร์ขนาดใหญ่ที่ได้ฉายาว่าราชาแห่งท้องฟ้าอย่าง Rathalos (リオレウス) สัตว์ประหลาดประเภทมังกรที่แข็งแกร่ง มีลมหายใจสามารถเผาทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง กรงเล็บแหลมคมกับปีกขนาดใหญ่เสริมให้กำจัดศัตรูสิ้นซากกลางอากาศก่อนจะร่อนลงสู่พื้นดินอย่างสง่างาม ด้วยความเก่งกาจและยากจะต้านทานทำให้ Rathalos กลายเป็นมอนสเตอร์ที่เหล่านักเล่นเกม Monster Hunter ต้องรู้จัก เมื่อความแข็งแกร่งของ
“เป็นเมียเราต้องอดทน” “แถวนี้แม่งเถื่อน ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้” “ปืนถ้าจะยิงต้องยิงให้ตาย ถ้ามันไม่ตาย เราตาย” วัยรุ่นสมัยนี้หลายคนอาจไม่ทันได้ดูภาพยนตร์แอ็กชันดราม่าในตำนานของไทยอย่าง 2499 อันธพาลครองเมือง (1997) ที่มีชื่อภาษาอังกฤษเท่ ๆ ว่า Dang Barely’s and Young Gangsters แต่ก็คงเคยได้ยินวลีเด็ดจากหนังดังที่ยังคงถูกพูดถึงมาจนปัจจุบัน รวมถึงจำว่าหนังเรื่องนี้คือหนังแจ้งเกิดของพระเอกตลอดกาลอย่าง ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ด้วยความเท่ที่ทำให้เราชวนคิดถึงเรื่องราวแสนใกล้ตัวโดยไม่ต้องไปมองหาไกลจากไหน UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปสำรวจกับแฟชั่นจากภาพยนตร์เรื่อง 2499 อัธพาลครองเมือง ภาพยนตร์สุดฮิตจากวันเก่าก่อนของยุคพ่อที่ทำให้เราได้เห็นแฟชั่นสไตล์วินเทจชวนคิดถึง 2499 อันธพาลครองเมือง สมัยกรุงเทพฯ ยังถูกเรียกว่าพระนคร ก่อนปีพ.ศ. 2500 ช่วงเวลาอันเต็มไปด้วยเหล่าอันธพาล ‘ขาโจ๋’ กับ ‘โก๋’ ที่คนทั่วไปเรียกมีอยู่ทั่วเมือง พวกเขาจะมีกลุ่มก้อนเป็นของตัวเองและใช้อิทธิพลครอบครองตามเขตต่าง ๆ ของพระนคร พวกเขาไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่กลัวตาย พร้อมสู้กับทุกคนที่คิดขวางทาง เรื่องราวทั้งหมดของ 2499 อันธพาลครองเมืองจะถูกเล่าผ่านเปี๊ยก วิสุทธิ์กษัตริย์ เมื่อพระนครเต็มไปด้วยชาวแก๊งพร้อมกับวัฒนธรรมจากโลกตะวันตกเข้ามากระทบกับวิถีชีวิตของคนไทย ประเทศรอบข้างไทยก็กำลังมีสงครามเวียดนามกับสหรัฐฯ ค่านิยมใหม่และความรุนแรงขยับเข้าสู่สังคมไทย เด็กหนุ่มลูกของโสเภณีตรอกไบเล่ย์นามว่า แดง จึงตั้งตัวเป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาลย่านหัวลำโพงด้วยการฆ่าเฮียหมาซึ่งเป็นนักเลงในย่านเดียวกันได้สำเร็จ
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Adidas Stan Smith เป็นรองเท้าผ้าใบสามัญประจำบ้านของใครหลายคนไปแล้ว ด้วยรูปทรงที่เรียบง่ายสุดคลาสสิก คงไว้ด้วยเรื่องราวจากยุค 1967 แถมยังเข้ากับสไตล์ที่หลากหลาย ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่กล่าวมาจึงทำให้ Stan Smith กลายเป็นรองเท้าในดวงใจ ที่ครั้งนี้จะสร้างความตื่นเต้นใหม่ให้กับทุกคนด้วยการร่วม collaboration กับแบรนด์สุดเท่อย่าง Fucking Awesome Fucking Awesome เป็นแบรนด์แฟชั่นสตรีตและสเกตบอร์ดชื่อจากสหรัฐอเมริกาของ Jason Dill แชมป์สเกตบอร์ดในตำนาน เขาเคยเป็นชายที่ติดยาเสพติดและท้ายที่สุดก็สามารถพาตัวเองออกจากวงจรนั้นมาตั้งแบรนด์ของตัวเองได้สำเร็จ ด้วยเรื่องราวที่เปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจและไอเทมเท่ ๆ ที่ปล่อยออกมาให้เราได้รับชมอยู่เสมอจึงทำให้ Fucking Awesome เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เด็กสเกตจะต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี เมื่อแบรนด์ดังอย่าง Adidas มาเจอกับแบรนด์เก๋าของวงการสเกต จึงทำให้ Adidas Stan Smith รองเท้าสุดคลาสสิกมีสีสันที่แตกต่างจากเดิม การเจอกันระหว่าง Adidas กับ Fucking Awesome ไม่ใช่การเจอกันครั้งแรก แต่การเจอกันในครั้งนี้กลับสร้างการพูดถึงเป็นวงกว้างด้วยสีสันจัดจ้านที่อยู่บนรองเท้าดีไซน์วินเทจ ด้วยการหยิบสีสันสดใสอย่างสีส้มและสีม่วงมาอยู่บนรองเท้า สลัดความวินเทจออกไปเพื่อให้ความทันสมัยเข้ามาแทนที่ จากนั้นเติมลูกเล่นตรงบริเวณด้วยพินที่มีข้อความว่า Fucking Awesome สีทองประทับไว้ตรง Upper หรือบริเวณด้านข้างของรองเท้า แค่สีสันจัดจ้านคงไม่ทำให้
พาหนะอะไรที่สามารถทำให้เราเห็นผู้คนจำนวนมากได้ในคราวเดียว ? หากมีคนถามแบบนี้คำตอบที่ได้ก็คงหนีไม่พ้นระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์และรถไฟที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน แต่ในความวุ่นวายก็ทำให้เราได้เห็นสไตล์ที่แตกต่างของผู้คน บางวันเราอาจเจอคนที่แต่งตัวเหมือนกัน 10 คน ยืนอยู่บนชานชาลา หรือเมื่อวานก็อาจเห็นแฟชั่นโคตรเท่จากชายที่ยืนฟังเพลงอยู่ในรถไฟฟ้า เพราะสถานีรถไฟกลายเป็นแหล่งรวมคนมากมาย ทำให้มีเรื่องราวหลากหลายเล่าสู่กันฟังผ่านเครื่องแต่งกายที่สามารถบอกว่าไอเทมชิ้นไหนฮิต หรือสไตล์ไหนที่ได้รับความนิยม UNLOCKMEN จึงอยากพาย้อนไปสถานีรถไฟใต้ดินใจกลางมหานคร New York ยังวันเก่าก่อนที่สไตล์ไม่เคยหลุดวงโคจรแฟชั่นไปไหนแฟชั่นช่วงปลายยุค 70 ไปจนถึงช่วงต้นของยุค 80 อันแสนจัดจ้านเป็นตัวของตัวเอง FASHION x MUSIC in NYC 70-80s แฟชั่นผ่านภาพถ่ายแสดงให้เห็นถึงความชอบและวิถีชีวิตของชาว New York ช่วงปี 1977-1984 โดยช่างภาพชาวที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่นาม Willy Spiller เขาบันทึกการเดินทางบนรถไฟผ่านภาพถ่ายทั้งช่วงเวลาเร่งด่วนผู้คนอัดแน่นอยู่เต็มขบวนรถไฟฟ้า ไปจนถึงกลางดึกที่สถานีใกล้ได้เวลาปิดทำการ และการถ่ายภาพของเขากว่า 40 ปี เขาเริ่มถ่ายภาพปี 1977 ช่วงปลายของยุค 70 อันโดดเด่นด้วยสไตล์ของ Disco ของเหล่าศิลปินชื่อดังอย่าง Bee Gees หรือ ABBA เพราะการออกไปพบปะผู้คนในบาร์ Disco จึงทำให้เสื้อผ้ายอดฮิตช่วงเวลานั้นคงหนีไม่พ้นเสื้อผ้าพลิ้ว
ใกล้เข้ามาทุกทีกับงานประกาศรางวัลสุดยิ่งใหญ่ทรงคุณค่ามากที่สุดงานหนึ่งของโลกภาพยนตร์กับงานออสการ์ ครั้งที่ 92 (Oscar 2020) ทำเอาเหล่านักวิจารณ์รวมถึงคอหนังหลายคนต่างพากันจับตามองถึงรายชื่อหนัง นักแสดงและผู้กำกับที่มีโอกาสจะได้เข้าชิงรางวัลอันทรงเกียรติ UNLOCKMEN ยังไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะได้รับรางวัลไหน หรือมาเดาว่าภาพยนตร์เรื่องใดจะผ่านการเข้ารอบเป็นหนึ่งในห้ารายชื่อเข้าชิงรางวัลในรอบสุดท้าย แต่เรากลับเห็นความน่าสนใจในรางวัลสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม (Best International Feature Film) เดิมเคยชื่อว่ารางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (Best Foreign Language Film) ว่าสองประเทศจากทวีปเอเชียที่กำลังมีข้อพิพาทขัดแย้งกันทั้งเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจอย่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่น ต่างก็ส่งหนังตัวเก็งเข้าช่วงชิงความเป็นหนึ่งในสาขาเดียวกัน บางคนอาจจะยังไม่เคยติดตามข่าวความขัดแย้งของสองประเทศเท่าไหร่นัก เราจึงขอเท้าความให้เข้าใจตรงกัน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2019 ญี่ปุ่นประกาศงดสั่งวัตถุดิบ 3 ชนิด ที่มีผลต่ออุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของเกาหลีใต้ เนื่องจากทางเกาหลีใต้ฟ้องร้องขอค่าเสียหายเพิ่มจากญี่ปุ่นกับเหตุการณ์ที่เคยทำไว้ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (แต่ทั้งสองประเทศเคยเจรจาลงนามตั้งแต่ 1965) แถมทางฝั่งญี่ปุ่นยกเลิกสิทธิพิเศษทางการค้าของเกาหลีใต้ ส่วนทางเกาหลีใต้ก็ประกาศแบนสินค้าที่มาจากฝั่งญี่ปุ่น จึงทำให้ความตึงเครียดของทั้งสองประเทศทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กลับมายังวงการภาพยนตร์ ทั้งสองประเทศก็ต้องมาพบกันอีกครั้งในงานออสการ์ กับรางวัลสาขาภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม ที่หลายประเทศต่างก็ส่งหนังดังของตัวเองเข้ามาเพื่อช่วงชิงรางวัลนี้ อย่างประเทศออสเตรเลียส่งภาพยนตร์เรื่อง Joy สเปนส่งเรื่อง Pain And Glory เยอรมนีส่งเรื่อง System Crasher หรือแอลจีเรียส่งเรื่อง Papicha
ถ้าพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘ศาสนา’ คุณจะคิดถึงอะไรและให้นิยามกับคำนี้ว่าอย่างไร ? แน่นอนว่าคำตอบที่ได้จะต้องหลากหลาย บางคนกล่าวว่าศาสนาคือเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ บ้างก็ว่าคือความเชื่อที่สืบทอดกันมาหลายยุคสมัยและเป็นคำตอบสำหรับการใช้ชีวิตให้มีความสุข บางคนอาจนึกถึงหลักคำสอนที่ให้เราเป็นคนดี มีเมตตาต่อผู้อื่น ปล่อยวางให้จิตใจมีความสุข แต่คำตอบที่ตรงกันมากที่สุดเมื่อถูกถามว่าถ้าพูดถึงศาสนาจะนึกถึงอะไรก็คงหนีไม่พ้นศาสดาของศาสนาอย่างพระเยซู อัลเลาะห์ และพระพุทธเจ้า แค่คำถามสั้น ๆ ทำให้เราสามารถต่อบทสนทนากันได้อย่างไม่จบสิ้น หลายประเทศในโลกสามารถพูดคุยและวิจารณ์ศาสนากันได้อย่างเสรี บางประเทศทำศาสนาให้เข้าถึงง่ายจนรู้สึกว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่สำหรับบางประเทศศาสนาก็กลายเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ยากจะจับต้อง ด้วยความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรมเกี่ยวกับการพูดคุยเรื่องศาสนา ทำให้ UNLOCKMEN นึกถึงการ์ตูนญี่ปุ่นที่เคยได้รับความสนใจจากคนไทยในช่วงเวลาหนึ่งอย่าง Saint Young Men ที่ทำให้คำว่าศีลธรรมและความเหมาะสมเกี่ยวกับศาสนาและความเชื่อถูกพูดถึงพร้อมกันเป็นวงกว้างในสังคมไทย จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อนักวาดการ์ตูนชื่อดังของเกาะญี่ปุ่นอย่าง Hikaru Nakamura (中村光) ได้ไอเดียโคตรบ้าที่มาจากการตั้งคำถามเล่น ๆ ว่า ‘ถ้าศาสดาของศาสนาคริสต์และพุทธทำงานหนักมาเป็นเวลายาวนาน แล้ววันหนึ่งพวกเขาเกิดอยากลงจากสวรรค์มาพักร้อนด้วยการเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลาหนึ่งปีจะเป็นอย่างไร’ เมื่อคิดได้ดังนั้น Hikaru Nakamura จึงไม่รอช้าที่จะเล่าเรื่องราวนี้ผ่านการ์ตูน Saint Onii-San (聖 おにいさん) หรือในชื่อภาษาอังกฤษ Saint Young Men การ์ตูนเรื่องนี้ว่าด้วยการใช้ชีวิตของสองศาสดาชื่อดังของโลกอย่างพระพุทธเจ้าและพระเยซู พวกเขาไม่ต้องแบกรับภาระหนักหนาอะไรอีกต่อไปและพากันไปเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ที่ญี่ปุ่น ซ่อนตัวตนที่แท้จริงจากผู้ยิ่งใหญ่กลายเป็นชายธรรมดา พร้อมกับเรียนรู้สังคมวัฒนธรรมของญี่ปุ่นยุคปัจจุบันที่ใคร ๆ ก็ทำกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญอย่างพระพุทธเจ้าซักผ้า พระเยซูออกไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ตพร้อมกับสะสมแสตมป์แลกซื้อ พากันไปงานเทศกาลฤดูร้อน ไปสวนสนุก