ไม่น่าเชื่อว่าสังคมโลกในปี 2020 จะกลายเป็นสังคมที่ผู้คนต้องใส่หน้ากาก บางคนอาจใส่เพราะป้องกันฝุ่น PM2.5 ที่เข้าไปทำร้ายปอด หลายคนตามหาซื้อแมสก์จำนวนมากเพราะต้องการป้องกันตัวเองจากไวรัสโควิด-19 ที่เวลานี้ยังแพร่กระจายในหลายพื้นที่ “ความต้องการซื้อ”ที่เพิ่มขึ้นพร้อมกันทั่วโลก ทำให้หน้ากากอนามัยกลายเป็นสินค้าล้ำค่า หลายคนที่มีแมสก์ในครอบครองก็พยายามเอามาขายโก่งราคา หลายคนเก็บไว้ให้คนในครอบครัว จนหน้ากากอนามัยกลายเป็นสินค้าควบคุมในหลายประเทศ เมื่อหน้ากากอนามัยหายาก จึงทำให้กราฟิกดีไซเนอร์นามว่า Justin Cicappara นึกสนุกลองออกแบบหน้ากากอนามัยคุณสมบัติอลังการภายใต้แบรนด์ Apple ดูว่าจะออกมาเป็นอย่างไร โดยได้โมเดลหน้ากากอนามัยมาทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกันคือ iMask, Apple Mask และ Mask Pro ที่มีคุณสมบัติต่างแตกกันโดยให้ผู้ใช้สามารถเลือกตามสถานการณ์ที่เหมาะสม และผลงานของเขาก็สร้างเสียงฮือฮาในโลกโชเชียลได้เป็นอย่างดี iMask โมเดลแรกคือหน้ากากอนามัยที่มีระบบฟิลเตอร์การกรอง 1 ชั้น ตัวหน้ากากอนามัยทำจากวัสดุ Surgical Material ที่วงการแพทย์ใช้อย่างแพร่หลาย หน้ากากมีขนาด 15 นิ้ว มี 5 สี คือสีฟ้า สีเขียว สีเหลือง สีส้ม และสีชมพู เปิดอิสระการเลือกสีให้ตรงตามรสนิยม แม้ว่าแมสก์รุ่น iMask จะมีฟิลเตอร์
ความโป๊เปลือยอาจเป็นเรื่องอุจาดตาสำหรับใครหลายคน แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยมองว่าเรือนร่างของมนุษย์คือความงดงามที่ธรรมชาติสรรสร้าง และพยายามถ่ายทอดความงามผ่านรูปถ่ายในมุมมองใหม่ที่จับทิวทัศน์และความเปลือยมาอยู่เฟรมเดียวกัน *คอนเทนต์นี้อาจมีภาพที่ไม่เหมาะสมกับเยาวชน การจับวิวมาเจอกับความโป๊เปลือยเกิดขึ้นโดย อแมนด้า เณอเชียน (Amanda Charchian) ช่างภาพสาวชาวจากเมืองลอสแองเจลิสที่ชื่นชอบการตระเวนถ่ายภาพทั่วโลก เธอเคยลุยเข้าไปในป่าลึกของไอซ์แลนด์ เดินทางไปคิวบา อิสราเอล โมร็อกโก คอสตาริก้า และประเทศอื่น ๆ เพื่อถ่ายทิวทัศน์ไกลสุดลูกหูลูกตา หรือเก็บภาพทะเลสาบเงียบสงบ โดยภาพวิวทุกภาพของเธอโดดเด่นไม่เหมือนใคร เพราะจะมีสตรีเปลือยกายอยู่ในภาพถ่ายด้วยเสมอ อแมนด้าพยายามส่งสารเรื่องความรู้สึกของหญิงสาวไปในรูปถ่ายทุกใบ เผยมุมมองที่เต็มไปด้วยความเป็นอิสระ ไม่มีความอ่อนแอให้เห็น แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ความสวยงาม และอำนาจต่อเรือนร่างของตัวเอง สื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าไม่ใช่แค่ผู้ชายเสมอไปที่ถ่ายภาพสวย เหตุผลที่เธอพยายามบอกทุกคนว่าไม่ได้มีแค่ผู้ชายที่ถ่ายภาพนู้ดสวย เกิดจากค่านิยมดั้งเดิมของวงการช่างภาพ อาชีพช่างภาพสมัยก่อนมักเป็นผู้ชาย เพราะผู้หญิงต้องเป็นแม่และภรรยาที่ต้องทำงานบ้าน ไม่ถูกยอมรับในฐานะช่างภาพหรืออย่างอื่น เธอจึงอยากบอกว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยน ผู้หญิงมีโอกาสเข้าถึงอาชีพมากขึ้น ได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำ แถมนางแบบที่เธอร่วมงานด้วยก็แสดงความสบายใจและไว้วางใจมากขึ้นเมื่อทราบว่าตากล้องผู้ถ่ายรูปเปลือยเป็นผู้หญิงเหมือนกัน นางแบบในภาพถ่ายมาจากหลากหลายอาชีพแต่พวกเธอล้วนอยู่ในแวดวงศิลปะ บางคนเป็นนักแสดง จิตรกร ช่างภาพแฟชั่น นักเขียน นักออกแบบแฟชั่น ทุกคนล้วนเข้าใจศิลปะและสิ่งที่อแมนด้าพยายามเล่าผ่านรูปถ่าย และอาจเป็นเพราะความเข้าใจร่วมกันระหว่างนางแบบกับช่างภาพที่ทำให้องค์ประกอบโดยรวมของภาพสมบูรณ์แบบ เต็มไปด้วยความนุ่มละมุนของหญิงสาว ความเป็นธรรมชาติของนางแบบที่อยู่ในภาพ การจัดองค์ประกอบภาพทั้งมุม แสง สี รวมกับการเปลือยการของคนในรูปที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติจากหลากหลายพื้นที่ ถือเป็นความงามที่ชวนให้เพลินตาและตระหนักถึงเรื่องราวที่ผู้หญิงพยายามจะสื่อให้ทุกคนได้เข้าใจ เพราะการแสดงความคิดเห็นผ่านสิ่งที่ตัวเองถนัดคือการเล่าเรื่องในแบบที่ไม่เหมือนใคร
เราอาจรับรู้เรื่องราวช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กันบ่อย บางครั้งฟังจากปากของทหารนาซี บางทีดูหนังที่เล่าจากฝั่งของสัมพันธมิตร และสัมผัสความเศร้าผ่านหนังสือของชาวยิวที่อยู่ในค่ายกักกัน UNLOCKMEN ได้พบเจอเรื่องราวอีกบทหนึ่งที่น่าสนใจ เรื่องราวของคนที่ถูกนาซีจับขังคุกด้วยข้อหาแปลก ๆ อย่างการเป็นเกย์ ที่ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล อัลเบรทช์ เบกเกอร์ (Albrecht Becker) คือชายสูงวัยเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเอาชีวิตรอดจากความตายเพื่อมาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในปี 1935 เขามีอาชีพเป็นช่างภาพที่ถูกนาซีสั่งจำคุกด้วยข้อหาเป็นเกย์ เพราะยุคที่เต็มไปด้วยสงคราม ความขัดแย้ง การเหยียดหยาม คนรักเพศกำเนิดเดียวกันไม่ว่าหญิงหรือชายจะถูกเรียกว่า “เกย์” ถ้าคุณเป็นเกย์ช่วงปี 1935 และอาศัยอยู่ในประเทศเยอรมนี คุณจะกลายเป็นอาชญากรที่อาจถูกลงโทษถึงตาย แต่เดิมการเป็นเกย์ไม่ได้เป็นปัญหาชีวิตของเขา จนประเทศถูกปกครองด้วยระบอบนาซีและเข้าสู่สงครามก็เริ่มมีข้อบังคับแปลก ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น ‘วรรคที่ 175 ระบุว่า การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้ชายด้วยกันถือเป็นสิ่งต้องห้าม’ แต่ตราบใดที่เขาไม่ได้ออกไปป่าวประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์ก็จะไม่มีใครล่วงรู้รสนิยมของเขา มีความสุขอยู่กับคนรักในเมือง Wurzburg ที่ห่างไกล “นาซีไม่สนใจผม และการเมืองของพวกเขาก็ไม่แลผมเช่นกัน” – Albrecht Becker อย่างไรก็ตาม ชีวิตแสนสงบสุขของอัลเบรทช์กับคนรักต้องสิ้นสุดลงด้วยเวลาอันสั้น ภัยร้ายเริ่มคืบคลานเข้ามาเป็นผลจากเหตุการณ์ในเดือนกรกฎาคมปี 1934 เออร์เนส กึนเทอร์ เริห์ม (Ernst Gunther Roam)
ถ้าใครตามข่าวสังคมการเมืองอยู่ตลอดคงไม่พลาดข่าวเรื่อง 1MDB กันอย่างแน่นอน และทันทีที่เรื่องราวของกองทุนนี้ถูกจับจ้องจากทั่วโลก เราก็มีข่าวเกี่ยวกับ 1MDB ให้ตามอ่านไม่รู้จบ จนบางคนอาจสับสน ยิ่งอ่านยิ่งไม่เข้าใจ เราจึงอยากแนะนำภาพยนตร์สารคดีเรื่องหนึ่งที่อาจทำให้เรารู้จักกับกองทุนฉาวโลกของประเทศมาเลเซียกันมากขึ้น แถมยังเป็นแบบย่อยง่ายกว่าการอ่านข่าวจากสำนักข่าว “โจราธิปไตย” การโกงชาติครั้งใหญ่ของชนชั้นปกครอง ภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องกองทุน 1MDB หรือ 1Malaysia Development Berhad มีชื่อว่า The Kleptocrats (2018) แปลเป็นภาษาไทยอย่างตรงตัวว่า “โจราธิปไตย” การฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมือง ผู้มีอำนาจ และเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเพิ่มทรัพย์สินและอำนาจให้ตัวเอง โดยแสร้งว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นคือความสุจริตเพื่อประชาชน ซึ่งโจราธิปไตยนี้มักปรากฏขึ้นในประเทศกำลังพัฒนาที่ถูกปกครองโดยระบบอำนาจนิยม เรื่องราวสุดอื้อฉาวของกองทุนความมั่นคงแห่งชาติของประเทศมาเลเซียที่ตั้งขึ้นเมื่อปี 2009 โดยรัฐบาลของนาจิบ ราซัก และกระทรวงการคลังคอยกำกับดูแล วัตถุประสงค์ของการตั้งกองทุนนี้คือเพื่อนำเงินมาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศระยะยาว ทุ่มเงินไปกับอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน การท่องเที่ยวเพื่อสร้างกำไรกลับสู่ประเทศชาติ เดิมทีกองทุน 1MDB มีเงินตั้งต้นเพียง 7.5 ล้านบาท จากการกู้ยืมเงินของต่างประเทศโดยต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับประเทศเจ้าหนี้ แต่ตั้งมาเพียง 5 ปี กองทุนกลับมีเงินติดลบกว่า 5 พันล้านบาท โดยเหตุผลที่ทางรัฐบาลบอกกับประชาชนคือเพราะภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้กับต่างประเทศ ความไม่ชอบมาพากลนี้ทำให้หนังสือพิมพ์ชื่อดังของโลกอย่าง The
การเดินทางทุกประเภทย่อมมีกฎระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นการชิดขวาเวลาขึ้นบันไดเลื่อน การเดินตามลูกศรที่ขีดไว้บนสะพานลอย ไฟเขียวไฟแดงตามแยกต่าง ๆ ที่คอยจัดการให้รถยนต์สามารถสัญจรได้เป็นระเบียบ รวมถึงการขนส่งทางท่าอากาศยานที่มีศูนย์ควบคุมการบินคอยรับผิดชอบ คอยควบคุมการจราจรทางอากาศจัดคิวการบินขึ้น-ลงของเครื่องบินให้เป็นไปอย่างราบรื่น และถ้าหอบังคับการบินบอกให้รอ เราก็ต้องรอ จะละเมิดไม่ได้เป็นอันขาด แม้การสัญจรบนน่านฟ้าจะมีหอควบคุมการบินคอยจัดตารางการขึ้นบินและลงจอด แต่บางครั้งก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ เรื่องราวกวน ๆ นี้เกิดขึ้นโดยนักบินหนุ่มชาวเยอรมันจากสายการบิน Lufthansa เที่ยวบิน LH350 บินตรงจากเมือง Frankfurt (FRA) ไปยัง Bremen (BRE) ทราบข่าวจากหอบังคับการบินว่าเครื่องบินของเขายังไม่สามารถลงจอดได้ตามเวลาปกติ ต้องบินวนอยู่กลางอากาศไปก่อน เมื่อทราบข่าวครั้งแรกว่ายังไม่สามารถลงจอดได้ นักบินคิดว่าอาจให้รอประมาณ 10-20 นาที แต่กลายเป็นว่าเขาได้รับแจ้งอีกครั้งว่าการดีเลย์ครั้งนี้อาจกินเวลาเป็นชั่วโมงขอให้บินวนรอไปก่อน สร้างความไม่พอใจให้กับกัปตันเป็นอย่างมากเพราะเขาใช้เวลาบินจาก Frankfurt มา Bremen ด้วยเวลา 45 นาที แต่กลับต้องมารอขออนุญาตลงจอดนานเป็นชั่วโมงโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย เวลาถือเป็นสิ่งมีค่าและการบินวนเฉย ๆ คือความน่าเบื่อที่กัปตันรับไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจทำบางสิ่งด้วยการพาลูกเรือและผู้โดยสารเที่ยวบิน LH350 บินเล่นชมวิวรอบเมือง Bremen พร้อมกับโชว์เทคนิคการวาดรูปในสไตล์ของตัวเองไปพลาง ๆ กัปตันชาวเยอรมันขับเครื่องบินเป็นเส้นตรงบ้าง หักหัวเครื่องบินไปทางซ้ายและขวา จนเกิดเป็นผลงานศิลปะที่ใช้เครื่องบินเป็นพู่กัน มีอากาศเป็นผืนผ้าใบ ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่จะเห็นผลงานที่เขาตั้งใจทำขึ้นได้จากจอภาพแสดงทิศทางการบินในหอบังคับการและโปรแกรมตรวจสอบการบินเท่านั้น
ถ้าให้พูดถึงแบรนด์ที่การตลาดไม่ธรรมดาจนทำให้สินค้าที่มีแบรนด์ของตัวเองประทับอยู่ดูดีและติดลมบน ใครหลายคนก็คงนึกถึง Apple แบรนด์เทคโนโลยีผู้ผลิต iPhone, iPad, MacBook ไว้ให้เราซื้อมาใช้ก็ชอบออกกิจกรรมสนุก ๆ คืนกำไรให้กับลูกค้าแถมยังได้โปรโมตเทคโนโลยีของตัวเองไปพร้อมกัน โดยครั้งนี้คืองานประกวดภาพถ่ายโหมดกลางคืน แคมเปญท้าทายเหล่าผู้ใช้ iPhone ซึ่งถูกพูดถึงบนแฮชแท็ก #NightmodeChallenge เชิญชวนช่างภาพมืออาชีพ มือสมัครเล่น ไปจนถึงคนทั่วไปร่วมส่งผลงานประกวดภาพถ่ายโหมดกลางคืนด้วยเงื่อนไขง่าย ๆ เพียงไม่กี่ข้อ เช่น ผู้ส่งภาพเข้าแข่งขันจะต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป พนักงานของ Apple จะไม่มีสิทธิเข้าร่วมการแข่งขัน รวมถึงเงื่อนไขสำคัญ ภาพที่ส่งเข้าประกวดจะต้องถ่ายด้วย iPhone 11 iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pho Max เท่านั้น คณะกรรมการตัดสินประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญหลากสัญชาติทั้งสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร จีน และสิงคโปร์ นอกจากนี้ Apple ยังอนุญาตให้ใช้แอปพลิเคชันแต่งภาพ ปรับแสง ใส่ฟิลเตอร์ได้ โดยผู้ชนะ 6 รางวัล แบรนด์จะซื้อภาพที่ชนะและนำรูปไปแสดงบนทุกช่องทางในโซเชียลมีเดียรวมถึงสามารถนำไปแสดงในนิทรรศการได้ iPhone
การจัดอันดับประเทศที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกประจำปี 2020 ถือเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงมากพอสมควร ประเทศที่เคยอยู่อันดับสูงอย่างฮ่องกงกับสิงคโปร์ถูกแซงอันดับขึ้นมาด้วยหลายสาเหตุ บางประเทศมีราคาที่ดินและค่าครองชีพถูกลงจากวิกฤตการเมือง บางประเทศมีประท้วงยาวนาน จนทำให้อันดับปีนี้น่าสนใจไม่น้อยกว่าปีที่แล้ว การจัดอันดับประเทศค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกจัดโดยนิตยสารธุรกิจของสหรัฐฯ CEOWORLD จากการรวบรวมข้อมูลทั้งดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีค่าครองชีพ ค่าสาธารณูปโภค ราคาที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย เสื้อผ้า ค่ารถแท็กซี่ ค่าบริการการขนส่งสาธารณะ กำลังซื้อมวลรวมของประชาชนในประเทศ และนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์วัดกับประเทศค่าครองชีพสูงมากเป็นปกติอยู่แล้วอย่างมหานครนิวยอร์ก เพื่อจัดอันดับว่าประเทศใดมีภาพรวมแพงที่สุด การใช้นิวยอร์กเป็นเกณฑ์มาตรฐานการประเมินถือว่าเป็นธรรมเนียมที่ทำมานานหลายปี ปกตินิวยอร์กมีคะแนนดัชนีอยู่ที่ 100 ดังนั้นประเทศใดมีคะแนนสูงกว่า 100 จะถูกจัดว่าเป็นประเทศค่าครองชีพสูง และผลจากการสำรวจกว่า 132 ประเทศ ได้ผลสรุปออกมาว่า 5 ประเทศดังต่อไปนี้มีค่าครองชีพสูงที่สุดในโลกประจำปี 2020 อันดับ 5: DENMARK ดัชนีค่าครองชีพ: 83 ดัชนีการเช่า: 31.92 ดินแดนที่มีทรัพยากรธรรมชาติน้อยอย่างประเทศเดนมาร์กขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ในปีนี้ อาจเป็นเพราะเดนมาร์กมีพื้นที่ชายฝั่งทะเลส่วนใหญ่เป็นสันทรายกว้าง ส่วนพื้นที่บริเวณอื่นก็เป็นธารน้ำแข็ง ที่ดินจึงมีราคาสูงไม่แพ้กับประเทศเล็ก ๆ อย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น แม้จะมีที่พักอาศัยไม่มากเท่าไหร่นัก แต่เดนมาร์กเป็นรัฐสวัสดิการขนาดใหญ่จัดเต็มสวัสดิการแก่ประชาชน แถมยังเป็นประเทศที่ติดอันดับการมีรายได้เข้าประเทศมากเป็นอันดับต้น
เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ชอบอ่านมังงะลูกผู้ชาย ดูหนังดวลเดือดของพวกแยงกี้ และเป็นแฟนคลับหนังยากูซ่า จนบางครั้งเผลอคิดว่าตัวเองรู้จักวงการนี้ดีพอจากการเสพสื่อ จนเชื่อว่าหากวันหนึ่งมีโอกาสได้เข้าไปในวงการโลกสีดำ ใครหลายคนจะรีบกระโจนเข้าไปทันที เพราะภาพลักษณ์ของยากูซ่ามันทั้งเท่ โคตรห่าม มีอำนาจ และอยู่เหนือกฎหมาย ซึ่งเป็นความคิดตรงข้ามกับคนที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตอยู่กับคาวเลือดสิ่งผิดกฎหมายที่อยากกลับคืนสู่สามัญเป็นคนธรรมดาเสียอย่างนั้น UNLOCKMEN พร้อมเผยให้เห็นอีกมุมหนึ่งของโลกยากูซ่าญี่ปุ่น ผ่านเรื่องจริงของยากูซ่า 3 คน ที่บังเอิญเจอกันในคุก พวกเขาแบ่งปันเรื่องราวที่เจอมา ทั้งความเหนื่อยจากการทำงาน นิ้วมือที่หายไปจากการถูกลงโทษเมื่อทำงานไม่สำเร็จ รวมถึงความกดดันและความหวาดระแวงต่อยากูซ่าด้วยกัน และเรื่องตำรวจ สิ่งที่ได้จากบทสนทนาคือความรู้สึกอยากกลับไปเป็นผู้ชายธรรมดา มีชีวิตเหมือนคนอื่น พวกเขาเลยตกลงกันว่าหากพ้นโทษออกจากคุกเมื่อไหร่จะเปิดร้านราเมงด้วยกัน สำนักข่าว NHK นำเสนอเรื่องราวชีวิตยิ่งกว่าละครของยากูซ่าญี่ปุ่นสามคน เนื่องจากมีผู้คนแวะเวียนไปทานอาหารที่ร้านอุด้งร้านหนึ่งย่านคิตะคิวชู (KitaKyushu) จังหวัดฟุกุโอกะ และรู้สึกว่าพนักงานในร้านแตกต่างจากคนทั่วไป ถึงแม้ร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยสักจะถูกปกปิด แต่บุคลิกบางอย่างของยากูซ่านั้นปิดไม่มิด เช่น ท่าทางการเดิน การกันคิ้ว และนิ้วที่หายไป ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้ประสบการณ์การเข้าไปกินอาหารในร้านที่มีชายฉกรรจ์หน้าตาไม่รับแขกถูกบอกต่อไปแบบปากต่อปาก เมื่อทีมข่าวลงพื้นที่ไปยังร้านอุด้ง สอบถามเรื่องราวจนพบว่าพวกเขาทั้งสามต่างเป็นยากูซ่าที่เจอกันในคุก และสัญญาว่าจะเปิดร้านอาหารด้วยกัน ชายที่เป็นคนออกไอเดียร้านอาหารมีชื่อว่านากาโมโตะ ทากาชิ (Nagamoto Takashi) วัย 54 ปี เขาเข้าวงการยากูซ่าเมื่อปี 1988 มีปมวัยเด็กเพราะถูกพ่อแม่ทิ้งและอยู่กับแก๊ง Kudo-Dai ที่มีสมาชิกกว่า 600
หากพูดถึงมหานครนิวยอร์กเราจะนึกถึงอะไรเป็นสิ่งแรก ? บางคนนึกถึงโรงละครบรอดเวย์ บางคนนึกถึงเมืองที่โดนถล่มอยู่บ่อย ๆ ในหนังแอกชันซูเปอร์ฮีโร่ บางคนก็มองว่านิวยอร์กคือเมืองแห่งแสงสีและแฟชั่น และนิวยอร์กอีกมุมหนึ่งที่มีเหตุคนหายและฆาตกรรมสูงไม่แพ้กับเมืองอื่น ๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ทุกแห่งหนต่างมีมุมมืดและปัญหาที่ถูกซุกไว้ใต้พรม รวมถึงเมืองแห่งแสงสีอย่างมหานครนิวยอร์กช่วง ค.ศ. 1910-1920 (พ.ศ. 2453-2463) ที่มีอัตราการหายตัวไปของผู้คนจำนวนมาก รวมถึงคดีฆาตกรรมที่ไม่ถูกเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้ และเมื่อเวลาผ่านมาเกือบร้อยปี ในที่สุดความลับที่ถูกซ่อนเอาไว้ก็เปิดเผยขึ้น *ภาพถ่ายที่อยู่ในเนื้อหาอาจมีความรุนแรง ผู้อ่านที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำ MURDER SCENE IN NEW YORK (1910-1920) คดีฆาตกรรมพร้อมกับภาพประกอบที่เราเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ปัจจุบันมักถ่ายโดยนักข่าว บางครั้งได้ภาพมาจากพยานในเหตุการณ์ แต่หากย้อนกลับไปช่วงปี 1910-1930 การเก็บภาพของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหลังโดนฆาตกรปลิดชีวิตต้องเป็นภาพจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น และรัฐจะไม่ยอมให้ประชาชนเห็นภาพชวนสลดเหล่านี้อย่างแน่นอน ผลที่ตำรวจเก็บรูปถ่ายหลังเกิดเหตุฆาตกรรมไว้ไม่ยอมให้ใครเอาไปตีพิมพ์ ทำให้เนื้อหาของข่าวคลาดเคลื่อนได้ง่าย หนังสือพิมพ์บางเล่มบอกว่ามีชายคนหนึ่งโดนรัดคอ แต่หนังสือพิมพ์อีกฉบับกลับบอกว่าเหยื่อโดนเอามีดปาดคอต่างหาก เพราะไม่มีนักข่าวสำนักไหนสามารถเข้าไปเห็นสภาพที่เกิดเหตุจริง ๆ อ้างอิงแต่เพียงคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนได้ วงการข่าวอาชญากรรมของสหรัฐอเมริกาพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน เทรนด์การสืบสวนกับการเล่าข่าวเปลี่ยนไปตามยุคสมัยจนเราหลงลืมเรื่องราวที่เกิดไม่ทันไปเสียแล้ว จนวันหนึ่งเรื่องราวที่ถูกซ่อนไว้กว่าร้อยปีถูกเผยสู่สาธารณชน เมื่อสำนักงานใหญ่ของ New York Police Department
หากใครเป็นแฟนภาพยนตร์ต่างประเทศ เราเชื่อว่าต้องเคยเห็นฉากห้องน้ำสาธารณะกันอยู่บ่อย ๆ หากนึกไม่ออกลองนึกถึงฉากที่วาคีน ฟินิกส์ จากเรื่อง Joker (2019) เข้าไปเต้นอยู่ในห้องน้ำ หรือภาพยนตร์เรื่อง T2 Trainspotting (2017) ปกโปสเตอร์มีฉากหลังเป็นห้องน้ำสาธารณะ หรือภาพยนตร์ทางฝั่งญี่ปุ่นก็มีให้เห็นบ่อยครั้งเช่นกัน ชาวยุโรปหรือคนกลุ่มประเทศเจริญแล้วส่วนใหญ่จะเคยชินกับการเดินเข้าห้องน้ำสาธารณะ ต่างกับประเทศไทยที่คนส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยงการเดินเข้าไปใช้บริการ อาจเป็นเพราะสภาพอากาศร้อนระอุทำให้คนไม่นิยมใช้ห้องน้ำสาธารณะ (ยกเว้นห้องน้ำมีแอร์ในห้าง) เรื่องของกลิ่น และความสะอาดก็มีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจ เหตุผลที่ UNLOCKMEN หยิบเรื่องห้องน้ำสาธารณะมาพูดครั้งนี้เพราะทีมงานเองก็เคยเข้าห้องน้ำสาธารณะในต่างประเทศและพบกับความแปลกตาว่าห้องน้ำถูกฉาบด้วยสีฟ้า จนเกิดความสงสัยว่าทำไมถึงต้องเป็นสีฟ้า ? มันสามารถฆ่าเชื้อโรคได้ มีไว้เพื่อความสวยงาม หรือว่าสีฟ้าถูกใช้เพื่อกันใครไม่ให้เข้ามาทำบางสิ่งในห้องน้ำกันแน่ ? WELCOME TO BLUE LIGHT RESTROOM ห้องน้ำสาธารณะไฟซีดสีขาวเผยให้เห็นผนังและโถสุขภัณฑ์ที่ผ่านการใช้งานมาอย่างหนักหน่วงคือภาพจำของคนส่วนใหญ่ แต่หลายประเทศอย่างสวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ต่างพยายามผลักดันให้สุขาสาธารณะเปลี่ยนจากหลอดไฟสีขาวมาเป็นหลอดฟลูออเรสเซนต์สีฟ้าแทน โดยเฉพาะกับทวีปยุโรปที่เจอปัญหาวัยรุ่นกับสารเสพติดมากพอ ๆ กับฝั่งทวีปอเมริกา เรื่องยาเสพติดถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับสุขาสีฟ้า เพราะห้องนำ้สาธารณะในต่างประเทศถือเป็นสถานที่ยอดฮิตอันดับต้น ๆ ที่ผู้ใช้สารเสพติดนิยมเข้าไปเสพยากัน บางคนก็เข้าไปดมกาว ไปดูดบุหรี่ สูบผงขาว หรือถึงขั้นพกเข็มฉีดยาเพื่อฉีดเข้าเส้น ส่วนคนรับเคราะห์หลังจากผู้ใช้ยาเข้าไปทำธุระในห้องน้ำเสร็จแล้วก็คือคนทั่วไปที่เข้าไปใช้ห้องน้ำต่อและคนทำความสะอาดต้องมาตามเก็บซากผงขาว และเข็มใช้แล้ว ประเทศอังกฤษมีร้านขายของยักษ์ใหญ่ในเมือง