มีใครสักคนเคยกล่าวไว้ว่า บทเพลงไพเราะช่วยทำให้บรรยากาศในแต่ละสถานการณ์ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ UNLOCKMEN ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้งเพราะพวกเราก็เป็นคอดนตรี บางคนชอบฟังเพลงในกระแส บางคนชอบฟังเพลงนอกกระแส บางคนชอบฟังเพลงสากลไปจนถึงเพลงของไอดอลเคป๊อป พวกเรามักสลับกันเปิดเพลงเพื่อสร้างบรรยากาศในออฟฟิศ และหลายครั้งหลายคราวที่เลือกฟังเพลงของวงดนตรีวงหนึ่งอยู่บ่อยครั้ง วงที่ว่าก็คือ eletric.neon.lamp เราได้ฟังเพลงของ eletric.neon.lamp มาประมาณหนึ่ง และในที่สุดก็มีโอกาสร่วมวงสร้างบทสนทนากับสมาชิกในวงทั้ง เจน (ร้องนำ) แทน (กีตาร์) อุน (กีตาร์) เต้ (เบส) และแป๊ก (กลอง) เราพบว่า eletric.neon.lamp คือวงดนตรีที่เต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจ วิธีการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ มุกตลกกวน ๆ อย่าง “ถ้าเทียบกับหมา eletric.neon.lamp ก็แก่มากแล้ว” และถ่ายทอดเรื่องราวอย่างจริงใจว่ากว่า 14 ปี พวกเขาพบเจออะไรบ้างระหว่างที่นั่งอยู่บนรถไฟแห่งความฝัน การเดินทางจากเชียงใหม่สู่ใจกลางของวงการเพลงไทย วงดนตรีนามว่า eletric.neon.lamp ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มคนที่หลงรักเสียงเพลงและอยากสร้างสรรค์ผลงานด้านดนตรีในสไตล์ของตัวเอง เริ่มจากพ.ศ. 2549 ที่พยายามค้นหาตัวเอง ลองผิดลองถูก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จนวันนี้นานถึง 14 ปี ระยะเวลานานขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ UNLOCKMEN
ถ้าพูดถึงประเทศแห่งแฟชั่นในทวีปยุโรปก็ต้องฝรั่งเศส เมืองที่ถูกเรียกว่าแดนน้ำหอม เมืองแห่งแฟชั่นและความงาม ต้นกำเนิดของแบรนด์แฟชั่นชื่อก้องโลกทั้ง แอร์เมส (Hermes) ชาแนล (Chanel) หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton) เบอร์เบอร์รี่ (Burberry) อีฟส์ แซ็งต์ ลอร็องต์ (Yves Saint Laurent) จีวองชี (Givenchy) รวมถึง คริสเตียน ดิออร์ (Christian Dior) ซึ่งชื่อแบรนด์คุ้นหูเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของแฟชั่นที่เกิดจากฝรั่งเศสเท่านั้น UNLOCKMEN เชื่อว่าหากใครติดตามเทรนด์แฟชั่นอยู่ตลอดต้องรู้จัก Louis Vuitton Moet Hennessy (LVMH) บริษัทจำหน่ายสินค้าแฟชั่นลักชัวรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ณ เวลานี้ เพราะเขามีแบรนด์แฟชั่นดัง ๆ เป็น prestigious band มากกว่า 60 แบรนด์ ไม่ได้ยิ่งใหญ่แค่โลกแฟชั่นเท่านั้นแต่ยังวงการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีนักธุรกิจนามว่าแบร์นาร์ด อาร์โนลด์ (Bernard Arnuault) เป็นผู้กุมบังเหียนของอาณาจักร LVMH เมื่อต้นปี 2020
ภาพจำเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นอย่างกรุงโตเกียวของคุณคืออะไร ? ภาพทางม้าลายหลายสายที่ผู้คนหลายร้อยสัญจรไปมาพร้อมกัน ภาพโบกี้รถไฟฟ้าที่อัดแน่นไปด้วยเหล่ามนุษย์เงินเดือน ภาพเหล่าวัยรุ่นแข่งกันแต่งตัวหลุดโลกย่านฮาราจุกุ หรือภาพเมืองตอนกลางคืนเหมือนกับหนัง Sci-Fi บรรยากาศหว่องจนจำไม่ได้ว่านี่คือเมืองที่เต็มไปด้วยแสงสีและผู้คน Greg Girard ก็มีภาพจำของโตเกียวในมุมของตัวเอง เขาชื่นชอบการสำรวจบ้านเรือนในประเทศเอเชียพร้อมบันทึกความทรงจำที่พบเจอผ่านกล้องถ่ายรูป ตระเวนไปทั่วทั้งฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ และมีภาพถ่ายเซตหนึ่งที่ UNLOCKMEN ให้ความสนใจเป็นอย่างมากนั้นคือภาพถ่ายนครโตเกียวช่วงปลายทศวรรษ 1970 (1976-1983) ทำให้เราเห็นเมืองหลวงญี่ปุ่นในมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน การจะมองเห็นภาพแท้จริงของแต่ละเมืองเราต้องไม่เลือกดูแค่สถานที่ที่ประเทศเตรียมไว้พรีเซนต์ชาวต่างชาติ แต่การเดินไปยังย่านทำงาน ห้างสรรพสินค้าที่คนท้องถิ่นนิยมไปเดิน โรงภาพยนตร์ไปจนถึงย่านพักอาศัยราคามหาโหดยันแฟลชรูหนูคือการได้เห็นวิถีชีวิตจริง ๆ ของพวกเขา Greg Girard ช่างภาพหนุ่ม (ในสมัยนั้น) ออกจากห้องพักมุ่งหน้าไปยังคาบูกิโจ (Kabukicho) ย่านที่รวบรวมสถานบันเทิงน้อยใหญ่ทุกรูปแบบที่เปิดรอต้อนรับเหล่ามนุษย์เงินเดือนผู้เคร่งเครียดจากการทำงานทั้งวัน ในคืนฝนตกแหล่งบันเทิงที่ควรจะคึกคักกลับดูเงียบผิดหูผิดตา และเมื่อนำบรรยากาศของคาบูกิโจปี 1977 มาเทียบกับปัจจุบัน จะเห็นเลยว่าสถานบันเทิงในญี่ปุ่นเติบโตขึ้นต่อเนื่องจริง ๆ โปสเตอร์ภาพยนตร์สุดฉาวที่มีคนดูแล้วอ้วกจริง ๆ กับเรื่อง Solo: 120 Days of Sodom (1975) หรือชื่อภาษาไทย ‘สุขนาฏกรรมอเวจี’ ผลงานการรวมทุนสร้างของค่ายหนังอิตาลีและฝรั่งเศส ก็ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ของโตเกียวปี 1977 ซึ่งตัวของช่างภาพที่ถ่ายรูปโปรเตอร์สุดวินเทจนี้เก็บไว้ก็ไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นมีมุมมองอย่างไรบ้างเกี่ยวกับหนังวิตถารเรื่องนี้ โตเกียวปี
UNLOCKMEN เชื่อว่าผู้ชายส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นวัยไหนต่างก็อ่านมังงะเรื่อง One Piece แถมบางคนไม่ใช่แค่อ่านเฉย ๆ แต่เป็นแฟนเดนตายผู้หลงรักเรื่องราวการผจญภัยที่กลั่นออกมาจากจินตนาการของอาจารย์โอดะ เล่าผ่านเด็กหนุ่มนามว่าลูฟี่ เพราะใคร ๆ ต่างก็ชื่นชอบมังงะโจรสลัดจึงทำให้แบรนด์แฟชั่นสายสปอร์ตจากอิตาลีไม่พลาดที่จะนำตัวละครหลักจากเรื่อง One Piece มาปรับให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ ต้องเกริ่นกันก่อนว่าแบรนด์แฟชั่น Kappa เป็นแบรนด์ที่คนรุ่นเก๋ารู้จักกันอย่างกว้างขวาง ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1950 มักมาพร้อมกับสัญลักษณ์เฉพาะตัวเป็นรูปคนนั่งหันหลังชนกัน คนไทยส่วนใหญ่เรียกว่าแบรนด์คนคู่ ส่วนคนอิตาลีเรียก “The Omni” เราจะไม่เห็นหน้าตาของคนคู่นี้เพราะพวกเขามาแต่เพียงเงาซึ่งกลายเป็นจุดเด่นที่ถูกกล่าวขาน เพราะคนคู่ที่เป็นโลโก้ของแบรนด์สามารถเป็นใครก็ได้ Kappa จึงเกิดไอเดียนำตัวละครขวัญใจจากมังงะเรื่อง One Piece มาสร้างสรรค์เป็นผลงานคอลเลกชันพิเศษ Kappa x One Piece นำโดยตัวหลักของเรื่องอย่าง มังกี้ ดี ลูฟี่ มาเป็นหนึ่งในคนคู่และให้ตัวละครสำคัญประกบคู่พร้อมกับสีสันที่คนอ่าน One Piece เห็นสีแล้วจะต้องนึกถึงตัวละครนั้น ๆ ทันที บนเสื้อฮู้ดสีขาวสะอาดตา เราจะเห็นลูฟี่นั่งหันหลังชนกับ ‘แชงคูส’ ชายผมแดงผู้จุดประกายแรงบันดาลใจให้เด็กหนุ่มออกทะเลเป็นโจรสลัด นอกจากนี้สำหรับเสื้อเซตคนคู่ลูฟี่แชงคูสยังมีเสื้อฮู้ดสีแดงเหมือนสีผมของเขา เสื้อฮู้ดแขนยาวสีดำตัดความโดดเด่นด้วยสีส้มกับขาว และเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นให้เลือกแมตช์กับไอเทมแฟชั่นอื่น ๆ ตามต้องการอีกด้วย ถัดจากชายที่ชักจูงให้ตัวเอกของเรื่องเดินเข้าสู่เส้นทางโจรสลัดคือ
ในขณะที่เรานั่งทำงานไปตามปกติ มีคนร่วมประเทศจำนวนไม่น้อยตัดสินใจเลือกจบชีวิตของตัวเอง บางคนบอกว่าพวกเขาอ่อนแอ หลายคนมองว่าคนพวกนี้ไม่ได้สู้จนถึงที่สุด คำพูดและความคิดเหล่าทำให้ UNLOCKMEN เกิดคำถามว่าเป็นแบบนั้นจริงหรือว่ามีเหตุผลอื่น ๆ อีกที่ทำให้คนไทยบางคนที่สู้จนสุดตัวแล้วแต่ก็ยังแพ้อยู่ดี? สำนักข่าวญี่ปุ่น Nikkei Asian Review วิเคราะห์ถึงเศรษฐกิจไทยว่าระบบกำลังใกล้ตายทีละน้อย โดยการวิเคราะห์ครั้งนี้ไม่ได้พูดขึ้นลอย ๆ แต่วัดจากกราฟของธนาคารโลก การแถลงของ WHO ข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ไทยที่ทำให้เราสามารถเห็นสภาพเศรษฐกิจหลังการปฏิวัติได้ชัดเจน จนพบกับผลลัพธ์อันน่าเศร้าว่าคนไทยยากจนเยอะขึ้นจริง หลังจากทหารเข้ามายุ่งกับการเมืองไทย พวกเขาเล่าเรื่องได้น่าสนใจด้วยการเกริ่นว่า เดือนมีนาคมในจังหวัดนครปฐมมีพระสงฆ์สี่รูปกำลังสวดในงานศพของชายคนหนึ่ง เขาคนนั้นเป็นชายวัย 32 ปี ทำอาชีพรับเหมาก่อสร้างและเลือกจบชีวิตภายในบ้านของตัวเอง น้องชายของผู้เสียชีวิตนามว่า ‘วีระพงษ์’ ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายเขาถึงตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง ก่อนหน้านี้พี่ชายไม่เคยแสดงออกว่าเศร้าโศกใด ๆ แต่มีปัญหาชีวิตอยู่เพียงเรื่องเดียวคือเรื่องธุรกิจก่อสร้างอาคารที่กำลังทรุดหนัก ทีม Nikkei Asian Review เห็นข่าวของพี่ชายนายวีระพงษ์ผ่านหนังสือพิมพ์ไทยรายใหญ่ของประเทศระบุว่าชายคนนี้ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพราะหนี้ก้อนใหญ่ และในวันต่อ ๆ ไป เราก็เห็นข่าวคนไทยฆ่าตัวตายอยู่เสมอ ชวนให้สงสัยว่า ทั้งที่ประเทศไทยถือเป็นเมืองที่มีฐานะทางเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะอะไรอัตราการฆ่าตัวตายของชาวไทยถึงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ? ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน อัตราส่วนจำนวนคนจนในประเทศลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2006 (พ.ศ.2549) ลดไปถึง 25%
ถ้าใครเป็นแฟนคลับแอนิเมชันจากเกาะญี่ปุ่นเราเชื่อว่าจะต้องรู้จักสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ค่ายหนังแอนิเมชันของญี่ปุ่นที่ผลิตผลงานอันเป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมในไทยมาตั้งแต่ยุค 90 แถมสมัยก่อนถ้าใครอยากจะดูผลงานของค่ายนี้ก็จะต้องมุดหาดูใต้ดินแบบผิดกฎหมาย ดูวิดีโอเถื่อน แผ่นซีดีเถื่อน เพราะไม่มีใครซื้อมาฉายแบบถูกลิขสิทธิ์สักที แอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิมักมีเนื้อหาสะท้อนสังคม ชวนให้ตั้งคำถามถึงศีลธรรมกับจิตใจอันยากจะเดาได้ของมนุษย์ บอกเล่าเรื่องราวผ่านลายเส้นน่ารัก ๆ ที่ซ่อนเนื้อหาหนักเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน ด้วยเนื้อหา การเล่าเรื่อง ลายเส้น และดนตรีประกอบกลมกล่อมจนสามารถคว้ารางวัลใหญ่ของวงการภาพยนตร์อย่างออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยมมาครองได้ หลังจากมุดใต้ดินกันมานาน ในที่สุดแอนิเมชันของสตูดิโอจิบลิก็ก้าวขึ้นสู่วัฒนธรรมกระแสหลักอย่างเต็มตัว ปัจจุบันเราสามารถดูผลงานของสตูดิโอจิบลิในโรงภาพยนตร์ ดูผ่านระบบสตรีมมิงชื่อดังอย่าง Netflix ที่ในตอนนี้ขนแอนิเมชันกว่า 21 เรื่อง แบ่งปล่อย 3 เดือนติดกัน เริ่มจากวันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน 2020 ให้แฟนหนังได้เลือกดูเรื่องที่ชอบกันจนตาแฉะ UNLOCKMEN ได้รวบรวมรายชื่อแอนิเมชันทั้งหมด 21 เรื่อง พร้อมกับเรื่องย่อของแต่ละเรื่องมาให้คนอยู่บ้านเหงา ๆ เลือกดูกัน บางคนอยากนั่งดูแบบอมยิ้ม ดูแล้วคิดถึงรักครั้งแรก บางคนอยากร้องไห้จนตาบวม หรือบางคนอยากสัมผัสความเหงาหว่อง ก็เลือกกันตามสไตล์ที่อยากดูได้เลยครับ 1 FEBRUARY 2020 PORCO ROSSO (1992)
หากใครได้เรียนประวัติศาสตร์หรือดูภาพยนตร์ต่างประเทศอยู่บ่อย ๆ จะต้องเห็นความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่คนผิวดำเจอมาตลอด เราเห็นการเหยียดสีผิวผ่านหนัง ได้ยินเรื่องเล่าการเดินทางอันแสนทรหดของทาสที่ถูกล่าอาณานิคม และสุดท้ายก่อให้เกิดการต่อสู้เพื่ออิสรภาพที่ทำให้รู้ว่าคนผิวดำถูกพวกคนขาวกดขี่มาตลอด ภาพยนตร์ที่เราดูมักมีเรื่องราวจากโลกคู่ขนาน เห็นง่าย ๆ จากหนังซูเปอร์ฮีโร่ Marvel มีมหานครนิวยอร์กเหมือนโลกแห่งความจริง มีระบบการปกครองไม่ผิดเพี้ยนจากเรา ต่างก็เพียงมียอดมนุษย์คอยพิทักษ์โลก มีมนุษย์ต่างดาวจ้องทำลายล้างโลก และมีชาวแอฟริกันผู้กุมเทคโนโลยีล้ำยุคหลบซ่อนอยู่ในเมืองลับแลไกลจากสายตาของชาวโลก UNLOCKMEN เจอซีรีส์ที่มีเนื้อเรื่องน่าสนใจไม่น้อย โดย Noughts + Crosses (2020) ดัดแปลงมาจากนวนิยายชุด Noughts & Crosses ของ Malorie Blackmen ที่ขอให้ผู้ชมลืมประวัติศาสตร์แบบเดิมที่เคยร่ำเรียนกันมาให้หมดสิ้น เพราะเรื่องราวของโลกในนี้จะถูกเขียนโดยคนแอฟริกันพื้นเมืองที่ได้เปรียบทางด้านกำลังคน การศึกษา และเทคโนโลยีที่เหนือกว่าพวกคนขาว ชาวผิวดำเข้มแข็งจนสามารถล่าอาณานิคมคนขาวยึดยุโรปให้อยู่ภายใต้การดูแลของตัวเองได้สำเร็จ โลกอีกใบคนขาวกลายเป็นทาสแรงงาน ถูกเหยียดหยามโดนกดภายใต้คนผิวดำ เรื่องราวในซีรีส์จะเล่าว่าคนแอฟริกันครองโลกมานับร้อยปี และสังคมปัจจุบันได้เลิกทาสไปเรียบร้อยแล้ว แม้กฎหมายแรงงานไม่เป็นธรรมจะถูกลบไปจากหน้าประวัติศาสตร์ แต่การเหยียดผิว ความไม่เท่าเทียม การแบ่งแยกชนชั้นด้วยสีผิวก็ยังคงอยู่ เราจะเห็นเด็กเสิร์ฟในงานรื่นเริง คนงาน คนสวน พลทหารชั้นผู้น้อยล้วนเป็นคนขาว ส่วนผู้ดีมีการศึกษาหรือทหารยศนายพลล้วนเป็นชาวแอฟริกัน ชาวพื้นเมืองของอังกฤษในโลก Noughts + Crosses จะถูกเรียกว่า Noughts ไม่ได้ถูกเรียกว่า ‘ผู้ดีอังกฤษ’ เหมือนโลกของผู้ชม
คุณมองคนที่มีรอยสักเป็นอย่างไร ? มองว่าเป็นคนไม่ดี มองว่าเป็นเรื่องความชอบส่วนตัวของเขา หรือมองว่าเป็นศิลปะประเภทหนึ่ง บางคนอาจรู้สึกโอเคกับรอยสักขนาดเล็กสไตล์มินิมัล แล้วถ้ารอยสักขนาดใหญ่พาดเต็มแขนทั้งสองข้าง คุณจะมองว่ามันคือสัญลักษณ์ของอาชญากรหรือมองเป็นศิลปะญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยเอกลักษณ์มากกว่ากัน ? UNLOCKMEN จะพาไปดูมุมมองเรื่องรอยสักของชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ว่าพวกเขามีความคิดเห็นที่เหมือนหรือแตกต่างเรื่องการวาดลวดลายบนเรือนร่าง ว่ามันสวยงามหรือว่ามันคือสัญลักษณ์ของพวกอาชญากรกันแน่ ? รอยสักญี่ปุ่นว่าด้วยคนญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์รอยสักแห่งเกาะญี่ปุ่น เกิดขึ้นเมื่อค้นพบตุ๊กตาอายุราว 2,300 ปี ในหลุมศพของโชกุน การค้นพบครั้งนี้ทำให้นักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นต่างตั้งสมมุติฐานว่ารอยบนใบหน้าของตุ๊กตามีความหมายว่าอย่างไร บ้างก็ว่าเป็นเครื่องหมายแสดงความกล้าหาญ บ้างก็ว่าเป็นการบอกยศ และมีคนเชื่อว่ารอยสักคือเครื่องหมายไว้ประจานพวกนักโทษ สังคมญี่ปุ่นสมัยโชกุนจะแยกคนที่มีรอยสักกับไม่มีรอยสักออกจากกัน คนไม่มีรอยสักก็คือประชาชนธรรมดา บ้างก็เป็นพ่อค้าแม่ค้า มนุษย์เงินเดือน เจ้าหน้าที่ข้าราชการ ส่วนคนที่มีรอยสักมักเป็นโรนิน โสเภณีธรรมดาที่ไม่ใช่สาวงามแบบโอยรัน นักโทษ เด็กเกเร และคนที่ไม่ยอมอยู่ในครรลองคลองธรรมอันดีงามที่สังคมกำหนดไว้ หลังจากระบบการปกครองของญี่ปุ่นถูกรื้อใหม่หมด ช่วงปี ค.ศ. 1750 ญี่ปุ่นยกเลิกการปิดประเทศอย่างถาวร ปฏิรูปสังคมและชนชั้น ซามูไรถูกลดอำนาจ มีบันทึกระบุว่าชายหนุ่มจำนวนมากนิยมสักกันมากขึ้น ร้านสักกลายเป็นสถานที่ที่ใคร ๆ ก็สามารถเดินเข้าไปได้ แถมยังขยันออกลวดลายเท่ ๆ มาแข่งกันเพื่อเรียกลูกค้าอีกต่างหาก ผู้คนเริ่มมีมุมมองเกี่ยวกับคนมีรอยสักเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็ต้องจบลงอีกครั้งเมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นประกาศว่า ‘หากประชาชนคนใดนิยมรอยสักจะต้องรับโทษ’ หรือกฎปี 2001 ระบุว่า
เมื่อภาพยนตร์ James Bond ออกฉายครั้งแรกปี 1962 ตอนนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่าจักรวาลหนังสุภาพบุรุษสายลับจะเดินทางข้ามกาลเวลาและเติบโตมาถึงภาคที่ 25 ได้ แฟนหนังหลายรุ่นตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นหลานต่างเห็นยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านกับตัวเอกที่เปลี่ยนไป พอรู้ตัวอีกทีเราก็เดินทางมาถึงบทสรุปของสายลับรหัส 007 คนล่าสุดในภาค Bond 25: No Time to Die (2020) เสียแล้ว เมื่อถึงเวลาต้องบอกลาสายลับคนล่าสุดของจักรวาล James Bond แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์นามว่า Swatch (สวอท์ช) จึงอยากเชิญผู้ชมทุกท่านย้อนความหลังตั้งแต่ Bond 1 จนถึง Bond 25 ผ่านคอลเลกชันเรือนเวลาที่ดึงเอกลักษณ์ของหนัง James Bond ภาคก่อน ๆ ทั้งหมด 6 ภาค พร้อมกับกล่องนาฬิกาดีไซน์เท่ถอดแบบมาจากตลับเทปชวนให้คิดถึง และไฮไลต์เด็ดของคอลเลกชันอย่างเรือนเวลานวัตกรรมล้ำสมัย Q Watch โมเดลรุ่นที่ 7 ออกแบบพิเศษมาเพื่อส่งท้าย Bond 25: No Time to Die โดยเฉพาะ เปิดตัวอย่างงดงามกับตัวอย่างภาพยนตร์ Bond
เรือนจำคือสถานที่ไม่น่าอภิรมย์ ไร้อิสรภาพ ต้องถูกจองจำอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการมีชีวิต ไม่ว่ายุคสมัยไหนคุกก็ไม่ใช่สิ่งดี คนส่วนใหญ่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากก้าวเท้าเข้าไปในสถานที่ที่มีแต่ความทุกข์และความตึงเครียด แถมเรื่องราวชีวิตของคนคุกก็ถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้งผ่านสารคดี ซีรีส์ และภาพยนตร์ แต่เราเชื่อว่าคงไม่มีใครเคยทำหนังเรือนจำแนวตั้งที่แบ่งแยกชนชั้นแบบสุดโต่งอย่างเรื่อง The Platform (2020) THE PLATFORM The Platform (2020) ภาพยนตร์สัญชาติสเปนที่จะฉายทาง Netflix เล่าเรื่องราวของคุกไม่ซ้ำใคร ผ่านชายหนุ่มคนหนึ่งผู้ตื่นขึ้นมาในสถานที่ประหลาดมีแต่กำแพงสีเทา ไร้ประตู ไร้หน้าต่าง ไม่มีทางออก มีเพียงช่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เป็นรูอยู่กลางห้อง และชายแปลกหน้านั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่อีกฝั่งของห้อง จนเขาได้รู้ว่าตัวเองอยู่ในคุกประหลาดสูง 33 ชั้น ที่จะแบ่งนักโทษออกเป็นห้องละ 2 คน โลกของ The Platform อาจไม่เหมือนกับโลกที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบัน มันอาจโหดร้ายกว่า บิดเบี้ยวกว่า ดูได้จากระบบการจัดการเรือนจำที่ตัวเอกของเรื่องฟื้นขึ้นมา รูสี่เหลี่ยมตรงกลางห้องไม่ได้มีไว้เท่ ๆ หรือมีไว้ระบายอากาศเท่านั้น แต่เป็นช่องสำหรับขนส่งอาหารจำนวนมากมีทั้งคาวหวานและเหล้าชั้นเยี่ยมให้นักโทษได้ลิ้มรส แต่การกินนั้นแฝงไปด้วยความอยุติธรรม เพราะคนชั้นบน ๆ จะได้กินก่อน มีสิทธิเลือกอาหารที่ตัวเองอยากกินตามต้องการ จากนั้นไล่ระดับลงมาเรื่อย ๆ และคนอยู่ชั้นล่าง ๆ ก็ต้องกินของเหลือจากนักโทษชั้นสูงกว่า และในบางครั้งก็แทบไม่เหลืออะไรให้นักโทษชั้นล่างกินด้วยซ้ำ