บางครั้งเทคโนโลยีก็เหมือนแฟชั่น ย้อนกลับไปราวสิบกว่าปีที่แล้วเหล่าวัยรุ่นต่างใช้โทรศัพท์ Blackberry เพื่อแลก PIN บางคนก็ใช้โทรศัพท์มือถือแบบฝาพับ และไอโฟนก็ยุคของสตีฟ จ็อบ ก็เริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตีคู่ขึ้นมากับสมาร์ตโฟนแบรนด์ Samsang ของเกาหลี หลาย ๆ แบรนด์ต่างงัดไม้เด็ดของตัวเองมาสู้กัน อยู่ที่ว่ายุคไหนใครจะสามารถขึ้นมาครองใจผู้คนได้มากกว่ากัน เทรนด์มือถือต้นปี 2020 เราจะเห็น Samsung นำสมาร์ตโฟนมาพับเหมือนกับเครื่องที่ฮิตกันสมัยก่อน และใคร ๆ ต่างก็เฝ้ารอว่าค่าย Apple จะเอาอะไรมาสู้กับมือถือฝาพับ ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์เราได้เห็นการเคลื่อนไหวของแบรนด์ผลไม้อีกครั้งกับการจดสิทธิบัตรเทคโนโลยีใหม่กับสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาสหรัฐ (USPTO) การจดสิทธิบัตรของ Apple คือเทคโนโลยีจอภาพแสดงผลชื่อว่า “Electronic Device with Glass Enclosure” แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กระจกรอบตัวเครื่องทั้งหน้า-หลัง ซ้าย-ขวา บน-ล่าง ครบทุกพื้นที่ แม้ยังไม่เห็นภาพแต่เครื่องจริงแต่ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนคลับแบรนด์ผลไม้ทั่วโลก นวัตกรรมกระจกรอบด้านของ Apple คิดค้นขึ้นโดย Christopher D. Prest ร่วมกับ Peter N. Russell-Clarke โดยออกแบบให้หน้าจอแต่ละด้านบนไอโฟนแสดงผลแตกต่างกันไป
ถ้าพูดถึงมังงะเรื่อง Rurouni Kenshin หรือชื่อภาษาไทยคุ้นตาอย่าง “ซามูไรพเนจร” เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ก็ต้องร้องอ๋อกันแน่นอน เพราะผลงานจากปลายปากกาของอาจารย์วาสึกิ โนบุฮิโระ (Watsuki Nobuhiro) สามารถเข้าไปเป็นมังงะในดวงใจของใครหลายคนได้ง่ายดาย แถมยังโด่งดังจนถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ฉบับคนแสดงไปแล้วเมื่อปี 2012 ล่าสุดมีประกาศอัปเดตว่าเรื่องราวของโรนินจะถูกสร้างเป็นหนังอีกครั้งแถมยังวางกำหนดฉายออกมาสองภาคในปีเดียวอีกด้วย ก่อนจะมาเป็นภาพยนตร์แอกชันดวลเพลงดาบ แรกเริ่มเดิมทีซามูไรพเนจรเป็นมังงะที่เขียนลงในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ Shonen Jump มาตั้งแต่ปี 1994 -1999 สามารถต่อยอดกลายเป็นแอนิเมชันออกฉายทางโทรทัศน์ญี่ปุ่นในปี 1996 พร้อมกับการเติบโตทั้งยอดขายและความนิยมจนสามารถมีภาพยนตร์ฉบับคนแสดงออกมาให้เราได้ดูกันเป็นครั้งในปี 2012 ตอนนี้ซามูไรพเนจรฉบับคนแสดงกลับมาอีกครั้งในปี 2020 โดยนำเรื่องราวจากตอน ‘ทัณฑ์มนุษย์ (Jinchu)’ ซึ่งเป็นพาร์ตสุดท้ายจากฉบับมังงะมาเล่าเรื่อง เผยให้เห็นการเผชิญหน้ากันระหว่างรูโรนิ เคนชิน (Rurouni Kenshin) อดีตซามูไรที่รับงานเป็นมือสังหาร กับ เอนิชิ โยกิชิโระ (Enishi Yukishiro) ศัตรูผู้แข็งแกร่งที่สุดของเคนชิน พวกเขามีปมแค้นกันมาก่อนและรอวันที่จะได้ฟาดฟันวิชาดาบใส่กัน ซามูไรพเนจรทั้งสองภาคที่เตรียมฉายในปี 2020 ไม่เพียงแต่ทำให้บอสใหญ่มาเจอกับตัวเอกของเรื่อง แต่ยังเล่าย้อนกลับไปยังช่วงที่เคนชินยังทำงานรับจ้างฆ่าคน เฉลยปมชีวิตว่าเขาไปได้บาดแผลใหญ่บนใบหน้ามาจากไหน และเพราะเหตุใดนักฆ่าสุดฝีมือเยี่ยมอย่างเขาถึงยอมทิ้งทุกอย่างและหันหลังให้กับวงการ ซาโต้ ทาเครุ (Satoh Takeru) กลับมารับบทเป็นรูโรนิน เคนชิน (Rurouni Kenshin) อีกครั้ง
เราสามารถเรียกบุรุษผู้ข่มเหงสตรีเหมือนพวกเธอเป็นเครื่องระบายอารมณ์ทางเพศว่ากษัตริย์ที่ดีได้หรือไม่? ก็อาจจะได้ แต่ถ้าชายคนเดียวกันนี้หมกมุ่นกับความแค้น พังสุสานของย่า ขูดรีดประชาชน ไม่ว่างานราชการมัวแต่เมาเหล้า ดูละคร ร้องเพลงกับสาวสวย ขอถามอีกครั้งว่าเรายังจะเรียกเขาว่ากษัตริย์ที่ดีได้อีกหรือไม่? มาหาคำตอบไปพร้อมกันในภาพยนตร์เรื่อง The Treacherous (2015) The Treacherous (2015) ภาพยนตร์ที่ถูกจัดระดับไว้ 18+ อัดแน่นเรื่องเพศและความรุนแรงหากใครอายุยังไม่ถึงควรได้รับคำแนะนำ โดยหนังดำเนินเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์เกาหลีใต้ยุคโชซอนสมัยพระเจ้ายองซันผู้ครองราชย์ในเวลาสั้น ๆ คาบเกี่ยวกับต้นเรื่องของซีรีส์แดจังกึม พระเจ้ายองซันเป็นเด็กมีปมชีวิต แม่ของเขาถูกเสด็จย่าสั่งประหารชีวิต (เพราะทำความผิดร้ายแรง) แต่หลานชายเติบโตขึ้นกลับแค้นย่าที่สั่งฆ่าแม่ตัวเองโดยไม่สนใจว่าแม่ทำผิดร้ายแรงจนราชวงศ์เกือบล่มสลาย แม้เวลาที่ย่าจากไป เขายังไปป่วนหลุมศพของคนตาย ตามสั่งเก็บผู้เกี่ยวข้องรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แถมเรื่องฉาวเหล่านี้ยังได้รับการบันทึกไว้ทำให้นักประวัติศาสตร์เรียกเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า “การสังหารหมู่นักปราชญ์ปีมูโอ” เมื่อกำจัดเสี้ยนหนามตำใจจนหมดสิ้น พระองค์เริ่มทำให้รั้ววังปั่นป่วนอีกครั้งด้วยนำ ‘กีแซง’ หญิงสาวที่มีหน้าที่ให้ความบันเทิงของผู้ชายเข้ามาในราชวัง แต่งตั้งให้เธอเป็นพระสนม ถือเป็นเรื่องผิดแปลกจากธรรมเนียมเดิมที่สืบทอดกันมายาวนาน และมีกิจกรรมโปรดน่าสนใจอย่างการจัดปาร์ตี้เซ็กซ์อยู่บ่อยครั้ง เมื่อกษัตริย์ไม่ทำงาน ระบบการปกครองกับอำนาจทางการเมืองทั้งหมดตกไปอยู่กับขุนนาง ส่วนราชาใช้ชีวิตสำราญได้เต็มที่เท่าใจต้องการ The Treacherous พาเราไปเจอมุมมองของชนชั้นปกครอง มองเห็นผ่านมุมมองขุนนางจากลูกชายของมหาเสนาบดีมีงานหลักรับใช้พระราชาด้วยการจัดหาสาวงามวัยแรกแย้มเข้าวังมาปรนเปรอ และมุมมองของฝ่ายผู้เสียอำนาจที่โดนพระเจ้ายองซันสั่งฆ่าล้างตระกูลจนอยากแก้แค้นให้กษัตริย์รับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำไว้ The Treacherous นำเสนอมุมมืดของราชวงศ์ควบคู่ไปกับฉากเซ็กซ์บ้าคลั่งวาบหวิว ความวิปริตทางเพศของชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นราชา ผูกปมความแค้นการถูกกดขี่ของกลุ่มขุนนางและประชาชนได้น่าประทับใจ ถือว่าเป็นภาพยนตร์ติดเรตที่มีเนื้อหาเข้มข้นน่าสนใจไม่แพ้ฉากอย่างว่าที่มีมาให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง จนหนุ่ม ๆ บางคนดูแล้วยังบอกเลยว่าแม้ฉากเซ็กซ์น่าสนใจมาก แต่เนื้อเรื่องมันเข้มข้นมากจนเผลอลืมไปเลยว่าตอนแรกตั้งใจจะดูหนังเรื่องนี้เพราะ
หลายคนอาจมองว่าการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องน่าเบื่อไม่ชวนฟัง เพราะฟังทีไรก็พาลให้เครียด แต่ถ้าลองมองให้ลึกลงไปจะเห็นว่าการเมืองเป็นแทบทุกเรื่องของเรา ไม่ว่าค่าใช้จ่ายในบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ภาษีที่เราจ่าย ค่าข้าวร้านป้าข้างบ้าน ทางเท้าที่เราเดิน รวมถึงเรื่องแฟชั่นล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองด้วยกันทั้งนั้น แม้ใครหลายคนอาจไม่ชอบติดตามเรื่องการเมือง ไม่ได้ดูวันเปิดสภา หรือตามฟังนักการเมืองฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลประชันกันในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ถ้าได้ยินชื่อของคุณประยุทธ์ คุณประวิตร หรือคุณธนาธร รับรองเลยว่าถึงไม่สนใจการเมืองก็ต้องรู้จักชื่อของนักการเมืองเหล่านี้ ครั้งนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้มาพูดเรื่อง ‘การเมืองไทย’ แต่จะมาเล่าถึง ‘แฟชั่นของนักการเมืองไทย’ ที่น่าสนใจทั้งหมด 5 คนด้วยกัน เพื่อดูว่านักการเมืองชื่อดังมีสไตล์การแต่งตัวอย่างไร พวกเขาชื่นชอบเสื้อผ้าแบบไหน และอะไรคือแฟชั่นที่โดดเด่นออกมาจนคนจำได้ SOMKID JATUSRIPITAK เริ่มสำรวจสไตล์ของนักการเมืองคนแรกไปกับคุณสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คนไทยรุ่นพ่อแม่เห็นเขาโลดแล่นอยู่ในโลกการเมืองมายาวนาน เคยเป็นนักการเมืองพรรคไทยรักไทย จากนั้นย้ายมาอยู่พรรครวมใจชาติพัฒนา ถัดมาคือพรรคพลังประชารัฐ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ชายคนนี้เป็นนักการเมืองเจนสนาม การแต่งตัวของเขาไม่ว่าไปประชุมสภา ไปงานใด ๆ มักเนี้ยบจนแทบหาที่ติ (เรื่องการแต่งตัว) ไม่ได้ เริ่มกันตั้งแต่ทรงผมเซตเสยขึ้นไปไว้ด้านหลังให้หมด บางครั้งเซตแบ่งข้าง บางงานเสยผมข้ึนไปทางเดียวทั้งหมด จุดสังเกตน่าสนใจคือคุณสมคิดไม่ปาดเจลจนผมแข็ง เหลือวอลลุ่มไว้ให้เห็นควบคู่กับสีผมธรรมชาติที่กล้าพูดเลยว่าเราเห็นเขามาตั้งแต่ผมดำจนผมกลายเป็นสีดอกเลาก็ยังเนี้ยบเหมือนเดิม ชุดสูทของคุณสมคิดทั้งสูทสีดำ
ช่วงต้นปี 2020 มีเรื่องราวที่สะเทือนไปทั่วโลกเกิดขึ้นหลายเรื่อง โดยเฉพาะโรคไวรัสโควิด-19 (Coronavirus Disease 2019) ที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนและกระจายตัวไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เราเฝ้าดูรายชื่อของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตกันแบบรายวัน โดยเฉพาะกับประเทศทางฝั่งเอเชียที่มีผู้ติดเชื้อเยอะมากจนบางประเทศต้องออกมาขอความร่วมมือว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศเลยจะดีกว่า เกาหลีใต้ถือเป็นประเทศที่มีมาตรการรับมือกับไวรัสโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นประเทศที่ออกนโยบายรับมืออย่างรัดกุมก่อนใคร พวกเขาระแวดระวัง ถึงขั้นที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ติดป้ายไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประชาชนใส่แมสก์กันอย่างเคร่งครัด แต่กลายเป็นว่ามาตรการป้องกันตัวเองของเกาหลีใต้กับต้องสั่นสะเทือนจากการพบปะของประชาชนชาติตัวเองที่มีความเชื่อเดียวกันเสียอย่างนั้น ลัทธิชอนจี กรณีศึกษาจากอาจุมม่าผู้มีศรัทธา จากประเทศมาตรการเข้มงวดที่ช่วงแรกมีรายชื่อผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 น้อยกว่าหลายประเทศ ตอนนี้เกาหลีใต้กลับมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสแซงหน้าประเทศอื่น ๆ ไปแบบทิ้งห่างหลายร้อยคนภายในไม่กี่วันได้อย่างไร? เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นโดยคุณป้าจากเมืองแดกูผู้เข้าลัทธิในโบสถ์ร่วมกับคนนับพัน ภายในเวลา 4 วัน เกาหลีใต้มีผู้ติดเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้น 6 เท่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาจากแดกู เมืองใหญ่อันดับ 4 ของเกาหลีใต้ มีประชากรอยู่ราว 2.5 ล้านคน และเป็นที่ตั้งของลัทธิชอนจี (Shincheonji) โดยพาหะแพร่เชื้อให้คนจำนวนมากมาจากคุณป้าอายุ 61 ปี เธอนับเป็นคนไข้รายที่ 31 ของเกาหลีใต้ แต่เมื่อเธอไปเข้าประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในโบสถ์เมืองแดกูร่วมกับคนอื่น ๆ พบคนนับพัน จาก 31 จึงกลายเป็น 346 อย่างรวดเร็ว
“บ้านผมอยู่ฝั่งธนฯ แต่ออฟฟิศผมอยู่รังสิต” หรือ “บ้านผมอยู่รังสิตส่วนที่ทำงานผมอยู่เพลินจิต” ประโยคเหล่านี้ไม่ใช่การพูดเกินจริงเพราะมันคือชีวิตประจำวันของใครหลายคนที่ต้องฝ่าฝุ่น ฝ่าฝน ฝ่าฟันการคมนาคมแสนโหดยามเช้า 5 วันติดกันเพื่อมาทำงานที่เรารัก แรก ๆ ก็คิดว่าไหว แต่รู้ตัวอีกที เราก็ได้ปัญหาสุขภาพมาเป็นของแถมจากการเดินทาง แถมยังมาแบบโหมกระหน่ำจนตั้งรับแทบไม่ทันอีกด้วย เพราะใคร ๆ ต่างต้องเดินทางไปทำงานไม่ว่าใกล้หรือไกล UNLOCKMEN จึงค้นหางานวิจัยเกี่ยวกับการทำงานและการเดินทางมาให้ทุกคนได้อ่านกัน เพื่อประเมินตัวเองว่าการใช้ชีวิตของตัวเองนั้นเข้าข่ายน่าเป็นห่วงหรือไม่? มีงานวิจัยที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยสตอกโฮล์มร่วมกับสถาบันสุขภาพและสวัสดิการของประเทศฟินแลนด์ (Finnish Institute for Health and Welfare) กล่าวว่าเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่ทำงานหนักและออฟฟิศอยู่ไกลจากบ้านมาก ๆ มักเจอกับความเครียดมากกว่าคนที่บ้านอยู่ใกล้กับที่ทำงาน โดยทีมวิจัยได้สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มวัยทำงานจำนวน 22,000 คน เป็นเวลาสองครั้งตั้งแต่ปี 2008-2018 กลุ่มตัวอย่างถูกถามเกี่ยวกับงานที่รับผิดชอบ วิธีการเดินทางไปทำงาน อาหารการกินแต่ละวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับ รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์และความถี่สำหรับคนที่สูบบุหรี่ จนได้ผลลัพธ์น่าสนใจว่ากลุ่มพนักงานออฟฟิศไกลบ้านหรือคนที่ต้องเดินทางหลายต่อ เช่น เปลี่ยนจากรถไฟฟ้าเป็นรถเมล์ หรือเปลี่ยนจากรถไฟฟ้าเป็นต่อวินมอเตอร์ไซค์ กลุ่มตัวอย่างประเภทนี้จะอ่อนเพลียหมดเรี่ยวหมดแรงมากกว่าคนที่บ้านอยู่ใกล้ออฟฟิศหรือเดินทางเพียงต่อเดียว ความกระฉับกระเฉงหลังตื่นนอนถูกใช้ไประหว่างทาง บนรถไฟฟ้าแออัดหรือรถเมล์ร้อนระอุที่จอดนิ่งสนิทบนท้องถนน การเดินทางนั้นดูดพลังมากกว่าที่คิด รู้ตัวอีกทีเราก็ใช้เวลาอยู่บนรถหรือถนนนานเกือบ 5 ชั่วโมง (ขาไปและขากลับรวมกัน) นอกจากนี้พอถึงออฟฟิศหลังจากสู้รบกับระบบคมนาคม กลุ่มตัวอย่างที่เป็นมนุษย์เงินเดือนบ้านไกลจะหมดเรี่ยวแรงส่งผลให้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
เราสามารถเห็นผลงานศิลปะญี่ปุ่นได้หลายช่องทาง บางครั้งก็เสพงานอาร์ตเก่าแก่จากภาพพิมพ์แกะไม้ญี่ปุ่นอันโด่งดังที่ทำให้แวนโก๊ะตามเก็บสะสมเป็นร้อย ๆ แผ่น หรือเห็นลายเส้นสไตล์ญี่ปุ่นผ่านมังงะเรื่องโปรดที่ตามอ่านมาตั้งแต่เด็ก ไปจนถึงรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์ของแก๊งยากูซ่า จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าศิลปะญี่ปุ่นนั้นผสานเข้ากับวัฒนธรรมทั้งกระแสหลักและกระแสรอง กลืนกับสังคมญี่ปุ่นมาทุกยุคสมัยจนแยกไม่ออก UNLOCKMEN เคยพูดถึงศิลปะญี่ปุ่น ทั้งภาพพิมพ์แกะไม้ รอยสัก การออกแบบเครื่องแต่งกาย หรืองานดีไซน์ของเหล่าสถาปนิก จนตอนนี้พร้อมทำความรู้จักกับ ซาเอกิ โทชิโอะ (Saeki Toshio) ชายผู้ถูกขนานนามว่า “เจ้าพ่อวงการอีโรติกญี่ปุ่น” (Godfather of Japanese Erotica) ผ่านผลงานที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น ผลงานที่เป็นเหมือนเส้นแบ่งของอีโรติกกับความตาย ซาเอกิ โทชิโอะ เกิดปี 1945 ปีเดียวกับที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ยับเยินจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้เด็กชายโทชิโอจะเกิดที่มิยาซากิแต่เขาเติบโตขึ้นในเมืองโอซาก้า เริ่มรู้สึกหลงใหลภาพวาดการ์ตูนของศิลปินตะวันตกโดยเฉพาะผลงานของนักวาดภาพประกอบชาวฝรั่งเศส Tomi Ungerer และมองว่าฝรั่งเศสคือประเทศในฝันที่บ่มเพาะศิลปินเก่ง ๆ ให้กับโลกเรื่อยมา ศิลปะสไตล์โทชิโอะเต็มไปด้วยกลิ่นอายและเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นช่วง 70s เขานำประสบการณ์ที่ได้จากการเดินทางไปเยือนบ้านเรือนแถบชนบทมาเป็นแรงบันดาลใจ เขาได้สัมผัสกับบรรยากาศเงียบเหงา มองเห็นป่าทึบก่อให้เกิดความรู้สึกลึกลับ พาลคิดว่าถ้าโลกของวิญญาณมีจริงอย่างที่คนเฒ่าคนแก่เล่า พวกเขาในโลกหลังความตายก็คงมีวิถีชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เท่าไรนัก โทชิโอะเล่าว่าผลงานส่วนใหญ่ของเขาเกิดขึ้นจากความกลัว ความวิตกกังวลกับชีวิตที่ไม่แน่นอน ผสมผสานกับความรู้สึกสุขเพียงชั่วครู่และนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น จนออกมาผลงานเป็นงานศิลปะที่เร้าอารมณ์อย่างรุนแรง พร้อมกับความคิดหลักที่มองว่าผลงานที่ไร้พิษสงคือความน่าเบื่อที่เขาไม่คิดจะทำ หากมีศิลปินหลายคนเล่าเรื่องดอกไม้เบ่งบานท่ามกลางทิวทัศน์สวยงาม เขาจะไม่ทำเรื่องซ้ำ
“ครั้งหนึ่งในชีวิตเราต่างต้องเคยรู้สึกหวิวในใจเวลาได้ยินคำลาจากคนรัก” ว่ากันว่ามีใครสักคนเคยกล่าวประโยคชวนเลี่ยนนี้ ประโยคที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราต่างเกิดมาเพื่อตกหลุมรัก เสพสมความสุข และพบเจอกับความเจ็บปวด มันอาจจะจริงอย่างที่เขาเอ่ยว่าชีวิตของคนเราก็ต้องเคยตกหลุมรักหรือชอบใครสนคนด้วยกันทั้งนั้น อาจเป็นรักในวัยเรียน ความรู้สึกประทับใจกับใครสักคนตั้งแต่แรกเจอ หรือการเผลอใจรักคนใกล้ตัวที่เขามองว่าเราคือเพื่อนหรือพี่น้อง เพราะความรู้สึกรักเป็นสิ่งที่หลาย ๆ ครั้งมนุษย์ผู้เก่งกาจก็ไม่สามารถควบคุมได้ จึงทำให้เกิดคำคำหนึ่งที่จะนิยามถึงความเศร้าและเจ็บปวดเมื่อใครสักคนผิดหวังกับความรักอย่างคำว่า Lovelorn “LOVELORN” ภาษาวรรณกรรมที่นิยามถึง “การพลาดรัก” เมื่อเราตกหลุมรักจนลุกไม่ขึ้นเพราะถูกปฏิเสธ พอนำเรื่องเศร้านี้ไปคุยกับเพื่อนก็มักเรียกความรู้สึกนี้ง่าย ๆ ว่า “กูอกหักว่ะ” ส่วนภาษาอังกฤษจะพูดกันว่า “broken-hearted” หรือ “heartbroken” ซึ่งเป็นภาษาทั่วไปที่พอพูดใคร ๆ ก็เข้าใจตรงกันว่าเราผิดหวังจากความรัก แต่แท้จริงนิยามของคำว่าอกหักมันมีคำที่ลึกซึ้งมากกว่าการพูดว่าหัวใจเราแตกสลาย “lovelorn” มีความหมายไม่แตกต่างจาก “heartbroken” เท่าไรนัก แต่เมื่อ UNLOCKMEN ได้ลองเปิดพจนานุกรมเพื่อหาความแตกต่างระหว่างสองคำนี้ก็ได้พบว่า lovelorn นั้นลึกซึ้งกว่าเพราะมันคือคำที่นิยามถึง การพลาดรัก การถูกคนรักทอดทิ้ง รู้สึกหน่วง ๆ กลางใจจนพาลให้เกิดอาการซึมเศร้าจากรักที่ไม่สมหวัง รักไม่สมหวังยังสามารถขยายความได้อีกว่า พลาดรักจากการที่เราไปรักคนที่เป็นไปไม่ได้ พลาดรักจากการสูญเสียคนรัก แต่ถ้าเป็น heartbroken ก็จะบอกแค่ว่าเราช้ำใจ ผิดหวัง และเสียใจมาก อาจใช้บรรยายความเจ็บช้ำที่เจอมาได้ไม่มากเท่ากับคำว่า lovelorn
หลังจากเฝ้ารอกันมาพักใหญ่ในที่สุด Supreme แบรนด์สตรีตแฟชั่นชื่อดังก็เปิดตัวคอลเลกชัน Spring/Summer 2020 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยนำเสนอผ่าน Lookbok พื้นหลังขาวเรียบง่ายเพื่อให้หนุ่ม ๆ สายแฟชั่นที่รอคอย ได้เห็นรายละเอียดของไอเทมแต่ละชิ้นอย่างเต็มตา เมื่อ Supreme นำเสนอไอเทมทุกชิ้นจากคอลเลกชันล่าสุด UNLOCKMEN พบว่ามีไอเทมรวมกันเป็นร้อยชิ้น เราจึงขอแนะนำไอเทมที่น่าสนใจทั้งหมด 10 ชิ้น ของ Spring/Summer 2020 เพื่อดูว่ามีชิ้นไหนเด็ดเข้าตาและชิ้นไหนกำลังกลายเป็นกระแสร้อนแรงในโลกโซเชียล SUPREME x NIKE AIR FORCE 1 LOW ไอเทมที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือรองเท้าผ้าใบที่ Supreme กับ Nike ร่วมมือกันอย่างสนีกเกอร์สองคู่สีขาว-ดำ ที่ผลิตขึ้นจากวัสดุหนังคุณภาพพรีเมียม โดดเด่นด้วยเชือกรองเท้าที่มีกราฟิตี้ชื่อแบรนด์ชวนลายตา เชือกสีแดงสำหรับรองเท้าสีขาว ส่วนเชือกรองเท้าสีดำจะถูกจับคู่กับรองเท้าสีเดียวกัน และประทับแถบโลโก้ Supreme สีแดงสดไว้บริเวณด้านข้างของรองเท้าเพื่อเน้นย้ำว่าโมเดล Air Force 1 Low ได้แบรนด์ Supreme มาร่วมดีไซน์ด้วย SUPREME x OREO
การหลบไปทำอะไรตามลำพังบางครั้งบางคราวเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอยากกินข้าวคนเดียว อยากนั่งอ่านหนังสือเงียบ ๆ หรือต่อกันพลา เพราะเราต่างต้องการเวลาส่วนตัวกันทั้งนั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่การกระทำบางสิ่งด้วยตัวคนเดียวส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้อื่น เมื่อนั้นโลกจะเรียกคุณว่า ‘lone wolf’ ปัจจุบันเรามักพบเจอกับความรุนแรงและการก่อการร้ายในสังคมอยู่บ่อยครั้ง บ้างอาจเป็นทีมหรือลัทธิความเชื่อสุดโต่งก็ร่วมกันวางแผนก่อเหตุสะเทือนขวัญและก็มีหลายครั้งที่เหตุร้ายเกิดขึ้นจากฝีมือคนคนเดียว ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ UNLOCKMEN เริ่มขุดคุ้ยถึงที่มาของคำว่า ‘lone wolf’ ที่เห็นบ่อยครั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์ เพื่อหาคำตอบว่าหมาป่าเดียวดายที่ถูกสังคมถีบออกมามีเรื่องราวและความเป็นมาอย่างไร หมาป่าเดียวดายส่วนใหญ่บาดเจ็บจากสังคม ความหมายแรกเริ่มของคำว่า ‘lone wolf’ หรือ ‘หมาป่าเดียวดาย’ ไม่ได้ถูกมองแง่ลบเหมือนปัจจุบัน แต่เป็นคำจำกัดความสำหรับเรียก ‘คนที่ชอบทำอะไรคนเดียว’ ไม่ว่าจะกินข้าวคนเดียว ไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวก็สามารถเรียกว่า lone wolf ได้ทั้งนั้น เมื่อลองสืบหาต้นตอของคำคำนี้จริง ๆ พบว่า lone wolf อ้างอิงมาจากลักษณะนิสัยของหมาป่าที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อนไม่ต่างจากมนุษย์ และเกือบทุกกลุ่มก็มักมีหมาป่าบางตัวที่ถูกขับออกจากฝูง ทำให้นิสัยของหมาป่าเดียวดายส่วนใหญ่ที่ถูกขับ มักชอบลงมือทำอะไรเสี่ยง ๆ เพราะไม่มีทางเลือกมากนัก ถ้าเทียบกับคนสามารถเห็นได้ชัดกับกรณีคนผิวสีอยู่ท่ามกลางคนขาวทำให้คนผิวสีที่เป็นส่วนน้อยรู้สึกแปลกแยก จึงทำให้ความหมายของ lone wolf ออกไปในเชิงลบมากกว่าบวก ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไปคำว่าหมาป่าเดียวดายไม่ได้แปลว่าคนที่ชอบทำอะไรคนเดียวอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ‘การก่อการร้ายแบบลุยเดี่ยว’ ให้ความหมายเชิงลบดำมืด โดย