กลุ่มคาราวานขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามที่ต่าง ๆ หรือนักดนตรีพังก์ที่ออกจากบ้านมาร้องเพลงในบาร์เล็ก ๆ ทุกคืนวันเสาร์ แก๊งยากูซ่าผู้ถูกเกลียดชัง ทั้งหมดคือกลุ่ม Subcultute หรือวัฒนธรรมย่อยที่ซ่อนตัวอยู่ในสังคม เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มผู้คนความชอบเดียวกัน แถมการรวมกลุ่มพวกเขามักโดดเด่นและมีเอกลักษณ์จนคนจำได้ เหตุผลที่ UNLOCKMEN พูดถึงชาวพังก์ แก๊งบิ๊กไบค์ และกลุ่มแยงกี้กับยากูซ่า ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กันมากนักเป็นเพราะพวกเราได้เจอกับแบรนด์เครื่องหนังสัญชาติญี่ปุ่นชื่อว่า “Blackmeans” ที่ร่วมสืบทอดวัฒนธรรมย่อยเหล่านี้ให้ได้ไปต่อในกระแสสังคม ผ่านการออกแบบเครื่องหนังที่ถือเป็นไอเทมยอดฮิตสำหรับชาวแก๊งทั้งสาม แจ็กเกตหนังคือไอเทมประจำตัวของหนุ่ม ๆ ผู้ชื่นชอบการขี่มอเตอร์ไซค์ระยะไกล อาจเป็นเพราะแจ็กเกตหนังแขนยาวสามารถกันแดด ป้องกันผิวหนังเวลาเกิดอุบัติเหตุได้มากกว่าผ้าชนิดอื่น ๆ แถมยังสามารถสลักรูปประจำกลุ่มไว้กลางหลังได้เหมือนอย่างแก๊ง Hell Angels อันโด่งดัง ส่วนชาวพังก์ก็มักสวมเสื้อกั๊กหนัง ปลอกคอหนัง และกำไลข้อมือหนังออกไปพบปะกับคนคอเดียวกันในบาร์เหล้า ส่วนยากูซ่ากับแก๊งแยงกี้ก็มักมีเสื้อหนังประจำกลุ่มแบบเดียวกับกลุ่มบิ๊กไบค์ เครื่องแต่งกายคือสิ่งเติมเต็มความพึงพอใจทำให้ผู้คนจดจำพวกเขาได้ การให้ความสำคัญกับแฟชั่นจึงเป็นเรื่องสำคัญทำให้คนทั่วไปเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพยายามจะสื่อ Yujiro Komatsu (ยูจิโร่ โคมัตสึ) เป็นชายที่ชื่นชอบเครื่องหนังมาก เขาไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นชาวพังก์ เป็นสมาชิกแก๊งยากูซ่า หรือว่าขี่บิ๊กไบค์แต่เขาเป็นแค่คนหลงรักเครื่องหนังและเห็นชาวพังก์มาตั้งแต่ 10 ขวบ แถมยังรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้ความชอบของตัวเองตอบโจทย์ของคนหลายกลุ่มได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากความชอบส่วนตัวยูจิโร่ยังได้แรงบันดาลใจที่ทำให้ก้าวสู่โลกแฟชั่นจากการเห็น John Lennon สวมเสื้อ “Sukajan” ในปี
“แม้รักกันมากแค่ไหนแต่คู่รักส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตัวติดกันตลอด 24 ชั่วโมง” วลีข้างต้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคู่รักและครอบครัวคนทั่วโลก เพราะแต่ละคนต่างก็มีชีวิตเป็นของตัวเอง บางบ้านสามีออกไปทำงานส่วนภรรยาอยู่บ้าน หรือคู่รักบางคู่ก็มีงานทำด้วยกันทั้งคู่ ครอบครัวที่มีลูกแล้วก็ต้องแบ่งเวลากันดูลูกและแบ่งเวลาให้กับชีวิตส่วนตัว ไม่ต้องพูดถึงครอบครัวใหญ่ที่มีกันหลายคนทั้งปู่ ย่า พ่อ แม่ ลูก หลาน เราเชื่อว่าคงไม่มีใครอยู่กับคนอื่นตลอด 24 ชั่วโมงแน่นอน ตอนนี้ไวรัสโควิด-19 ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องอยู่ติดบ้าน หลายประเทศสั่งห้ามประชาชนออกจากไปไหนถ้าไม่จำเป็น สำนักงานจำนวนมากสั่งให้พนักงานทำงานที่บ้าน ทำให้สมาชิกในครอบครัว คู่รักหลายคู่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แต่แทนที่จะมีแต่ความโรแมนติก อยู่ด้วยกัน เห็นหน้ากันตลอด กลายเป็นว่าความรุนแรงในครอบครัวกลับพุ่งสูงขึ้นจนน่าใจหาย ประเทศฝรั่งเศสเริ่มปิดประเทศเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2020 โดยตั้งเป้าว่าจนถึงวันที่ 25 เมษายน จะมีประชาชนออกจากบ้านน้อยลงเว้นแต่ออกไปซื้ออาหารหรือยารักษาโรค จูงสัตว์เลี้ยงไปเดินเล่นได้วันละครั้ง ออกไปออกกำลังกายวันละครั้งตามคำแนะนำของแพทย์ หลังจากเริ่มมาตรการฉุกเฉินได้สักพักรัฐบาลฝรั่งเศสพบความผิดปกติ หลังจากสั่งให้ประชาชนกักตัวอยู่บ้าน มีคนจำนวนมากโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าถูกคนในครอบครัวทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้นถึง 36% ซึ่งจำนวนนี้แค่เฉพาะในเมืองปารีสเท่านั้น ส่วนเมืองอื่น ๆ ของฝรั่งเศสก็มีบันทึกเหตุทารุณกรรมเพิ่มขึ้น 32% รวมถึงมีคดีฆาตกรรมในช่วงวิกฤตไวรัสอีกสองคดี นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิและความเท่าเทียมแสดงความเป็นห่วงต่อกรณีดังกล่าว พวกเขามองว่าการโดนสั่งให้กักตัวจะทำให้เหยื่อความรุนแรงขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ได้ยากขึ้น เหยื่อต้องยกหูโทรศัพท์แจ้งความอย่างเดียวโดยไม่สามารถหลอกว่าจะออกไปทำธุระข้างนอกเพื่อขอความช่วยเหลือ หากการกักตัวอยู่แต่บ้านยังคงดำเนินต่อไปเป็นเดือน ๆ จะต้องมีคนโดยทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้นแน่นอน Marlene Schiappa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความเสมอภาคทางเพศ
เคยจินตนาการตัวเองตอนตกอยู่ในสถานการณ์กดดันกันบ้างไหม ? บ่อยครั้งที่พวกเรา UNLOCKMEN นึกถึงตัวเองตอนตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายในหนังซอมบี้ หรือการเอาตัวรอดจากฉลามกลางทะเล ถ้าเกิดเราติดเกาะจะอดตายไหม ในสถานการณ์บีบคั้นที่ทำให้เราต้องตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะหนี แล้วถ้าหนีต้องหนีให้รอด ถือเป็นการวัดใจและท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์ว่าเราจะสามารถดึงเอาสัญชาตญาณการเอาตัวรอดออกมาใช้ ได้มากแค่ไหน ภาพยนตร์เอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมด 10 เรื่อง ที่ UNLOCKMEN คัดมาให้ในวันนี้เผยให้เห็นการคิด การตัดสินใจที่หลากหลาย หากเราตกอยู่ในอันตรายหรือบาดเจ็บ สภาพแวดล้อมและสิ่งของรอบตัวกับไหวพริบที่มีจะช่วยอะไรเราได้บ้าง THE REVENANT (2015) ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องรอด! หนังแอกชันกึ่งชีวประวัติของ Hugh Glass (นำแสดงโดย Leonardo DiCaprio) ต้องออกเดินทางสำรวจดินแดนในโลกใหม่ เขานำทีมลงสำรวจพื้นที่ แต่การผจญภัยต้องเกิดปัญหาเมื่อคนในคณะถูกหมีกริซลี่ทำร้ายจนทำให้การเดินทางช้าลง ซึ่งการไปแบบช้า ๆ ส่งผลเสียร้ายแรงเพราะการอยู่กลางป่านาน ๆ อาจทำให้ทุกคนในทีมเกิดอันตราย นอกจากนี้ยังมีปัญหาใหญ่ที่ตามมาว่าเราจะเลือกไปต่อแบบช้า ๆ หรือจะฆ่าเพื่อนเพื่อให้งานที่ทำไว้ไปต่ออย่างราบรื่น ? The Revenant (2015) เล่าถึงเส้นทางชีวิตที่ต้องตัดสินใจ ท่ามกลางการบีบคั้น คนที่เหลือต้องไปต่อเพื่อเอาชีวิตรอด รวมถึงเรื่องราวความแค้นที่รอวันชำระ ชวนให้กลับมานั่งคิดใหม่อีกครั้งว่าระหว่างหมียักษ์ที่ดุร้ายกับจิตใจแสนโหดเหี้ยมของมนุษย์ สิ่งไหนน่ากลัวกว่ากัน
คนที่อ่านมังงะเรื่องวันพีซ (One Piece) มาตั้งแต่ตอนแรกจนถึงปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักชนชั้นสูงของโลกที่เรียกว่า “เผ่ามังกรฟ้า” และ UNLOCKMEN เชื่อว่าเกือบทุกคนจะต้องหมั่นไส้ตัวละครกลุ่มนี้มากแน่นอน เพราะพวกเขาไม่เคยแคร์คนอื่น ห้ามใครขัดใจ คิดว่าตัวเองเป็นเทพเจ้า ใครขัดขืนเผ่ามังกรฟ้า ถ้าไม่ถูกเอาไปเป็นทาสต้องพบกับความตาย แล้วเพราะอะไรพวกเขาถึงยิ่งใหญ่คับฟ้าขนาดนี้ ? เผ่ามังกรฟ้า (Celestial Dragons) ปรากฏตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันพีซตอนที่ 497 พวกเขาเป็นสมาชิกของราชวงศ์เก่าแก่ 20 ตระกูล ที่ร่วมกันสร้างรัฐบาลโลกเมื่อ 800 ปีก่อน เมื่อสงครามใหญ่จบลงพวกเขาพากันไปใช้ชีวิตอยู่บนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แมรี่โจอาหรือแมรีจัวส์ (Mariejois) ผืนแผ่นดินที่ตั้งอยู่บนยอดของเรดไลน์ พร้อมกับคัดเลือกคนที่เหมาะสมให้มาปกครองดินแดนต่าง ๆ แทนตัวเองที่ย้ายไปอยู่ยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่เผ่ามังกรฟ้าตระกูลเนเฟลตาลี (Nefertari) ขอเลือกใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินปกติตามเดิม และลูกหลานของตระกูลนี้เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มโจรสลัดหมวกฟางกลุ่มตัวละครหลักของเรื่อง เรื่องราวของเผ่ามังกรฟ้าที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับพระเจ้าถูกอาจารย์โอดะค่อย ๆ สอดแทรกอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมของหนังสือการ์ตูน ทำให้คนอ่านตามเก็บรายละเอียด รับรู้เรื่องราวของชนชั้นสูงในโลกวันพีซว่าพวกเขายิ่งใหญ่ ถูกเรียกว่า ‘สายเลือดของพระเจ้า’ และไม่ค่อยสุงสิงกับพวกมนุษย์ชั้นต่ำ เราจะได้เห็นแฟชั่นของชนเผ่ามังกรฟ้าแบบเต็ม ๆ ครั้งแรกเมื่อพวกลูฟี่มาเยือนยังหมู่เกาะชาบอนดี้ เผ่ามังกรฟ้าจะไม่ใช้อากาศหายใจร่วมกับมนุษย์คนอื่น ๆ พวกเขาแต่งตัวเหมือนกับมนุษย์อวกาศ รวมถึงสัตว์เลี้ยงมีค่ามากกว่าคนทั่วไป ไม่ค่อยออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าจะลงมาข้างล่างพวกเขามักแวะเวียนมายังหมู่เกาะชาบอนดี้อยู่บ่อย ๆ เพราะเกาะแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโรงประมูลทาสที่ใหญ่ที่สุดในโลก เผ่ามังกรฟ้าเวลาออกจากแมรี่โจอาแต่ละครั้งมักสร้างความเดือดร้อนให้ผู้คน
ตอนนี้ใคร ๆ ก็ต้องอยู่บ้าน รวมถึงพวกเราชาว UNLOCKMEN ต้องอยู่ติดบ้าน พยายามออกไปข้างนอกให้น้อยเท่าที่จะทำได้ และการนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในพื้นที่เดิมอาจทำให้เราเบื่อหน่าย บางคนดูหนังจนไม่รู้ว่าจะดูเรื่องอะไรแล้วก็มี จึงทำให้วันนี้เราอยากแนะนำแอนิเมชันที่ฉายบนระบบสตรีมมิง Netflix ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนขี้เบื่อ แอนิเมชัน 7SEEDS สร้างจากมังงะที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสารการ์ตูนรายเดือนโชโจปี 2001 และนิตยสารการ์ตูนรายเดือนฟลาวเวอร์ในปี 2002 ผลงานจากความคิดสร้างสรรค์ของทามูระ ยูมิ (Tamura Yumi) นักเขียนมังงะสไตล์สดใสที่คนไทยชอบเรียกกันว่า “การ์ตูนตาหวาน” แต่ถึงจะตาหวานภาพสวยน่ารักแต่เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของอาจารย์ยูมิมักมีเนื้อหาแหวกแนวจากการ์ตูนตาหวานเรื่องอื่น ๆ 7SEED จะเล่าเรื่องราวของคนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งถูกนำไปปล่อยทิ้งไว้สักแห่งหนึ่งของโลก เด็กสาวชื่อ ‘นัตสึ’ ตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองอยู่บนเรือลำหนึ่งกลางมหาสมุทรกับคนแปลกหน้าอีกสองคน พวกเขาสามารถขึ้นฝั่งบนเกาะที่ไม่รู้จัก แถมพบว่ายังมีคนอื่นที่ติดอยู่บนเกาะด้วยเหมือนกัน ผู้รอดชีวิตทั้งนักเรียนมัธยมปลาย นักดนตรี ตำรวจหญิง แต่ละคนล้วนอุปนิสัยแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทุกคนต่างต้องงัดความรู้และไหวพริบเท่าที่มีทำให้ตัวเองมีชีวิตรอดบนเกาะที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด เรื่องราวการเอาชีวิตรอดของมนุษย์ทำให้เราลืมภาพการ์ตูนตาหวานไปจนหมดสิ้น เพราะเนื้อหาของมังงะเรื่องนี้เล่นกับจิตใจคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ มีคนที่เชื่อมั่นสุดหัวใจว่าหากร่วมมือกันทุกคนจะต้องออกไปจากเกาะให้ได้ และก็มีบางคนเชื่อว่ามนุษย์สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมรอบตัว ดำรงชีวิตอยู่บนเกาะโดยไม่ต้องพยายามหาทางออกไป จนทำให้เราย้อนกลับมาคิดว่าหรือถ้าเป็นเองจะเลือกอยู่บนเกาะหรือไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า ? “ที่นั่น มีแต่ภาพแห่งความสิ้นหวัง” แท้จริงแล้วมนุษย์ถูกจับมาอยู่รวมกันโดยโครงการ 7SEEDS เพื่อค้นหาเมล็ดพันธุ์ยอดเยี่ยมจากกลุ่มเซอร์ไววัลมาเป็นต้นแบบเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของมนุษย์จากเหตุการณ์บางอย่างที่อาจทำให้เกิดการสูญพันธุ์ ท่ามกลางการ์ตูนภาพสวยกลับเต็มไปด้วยเรื่องราวหนักอึ้ง
“ไม่ว่าใครก็ติดไวรัสได้ ไม่ว่าจะรวยหรือจนหรือมีอำนาจล้นฟ้า” ประโยคดังกล่าวคือการนิยามถึงภัยร้ายจากการระบาดของไวรัสได้เป็นอย่างดี เพราะใคร ๆ ก็สามารถป่วยได้ด้วยกันทั้งนั้น จึงทำให้สถานการณ์การเมืองโลกในช่วงนี้ลดความร้อนระอุลงอย่างไม่น่าเชื่อ UNLOCKMEN จะพาทุกคนสำรวจไปทั่วโลกว่าประเทศน้อยใหญ่แต่ละที่เขามีมาตรการรับมือกับไวรัสอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะประเทศที่มีคู่กรณีหรือไม่ค่อยจะลงรอยกัน ดูสิว่าไวรัสระบาดสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการทูตมากน้อยแค่ไหน ช่วงแรกประเทศจีนเผชิญกับไวรัสโควิด-19 ทำให้คนทั่วโลกรู้จักเมืองอู่ฮั่นในฐานะเมืองแพร่เชื้อ ประเทศจีนกล่าวหาว่ากองทัพสหรัฐฯ อาจเป็นผู้ปล่อยเชื้อใส่ประเทศจีน ส่วนทางสหรัฐอเมริกากล่าวว่าเป็นจีนเองนี่แหละที่คิดค้นเชื้อโรคและเกิดความผิดพลาดจนทำให้คนตายไปจำนวนมาก ประเทศคู่กรณีอย่างไต้หวันกับจีนที่ทะเลาะกันอยู่บ่อย ๆ ก็ไม่น้อยหน้า เมื่อไต้หวันบอกว่าพวกเขาเตือนองค์การอนามัยโลก (WHO) ไปตั้งแต่แรกแต่กลับไม่มีใครสนใจฟัง เพียงเพราะไต้หวันไม่ถูกนับว่าเป็นประเทศในสายตาของจีนและองค์การอนามัยโลก ทางฝั่งญี่ปุ่นที่มีข้อพิพาทกับจีนแถมยังไม่ค่อยลงรอยกับเกาหลีใต้ก็มาร่วมวงครั้งนี้ด้วย สำนักข่าวญี่ปุ่นเรียกร้องให้จีนแสดงความรับผิดชอบเพราะเป็นประเทศแรกที่เกิดการแพร่ระบาด ส่วนเกาหลีใต้ก็มีท่าทีแข็งกร้าวเมื่อเกิดการระบาดใหญ่ทั่วประเทศ หลายเมืองเกิดการโทษกันไปมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ เรียกไวรัสโควิด-19 ว่า “ไวรัสจีน” องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์เตือนผู้คนทั่วโลกว่าโปรดอย่าเรียกชื่อไวรัสชนิดนี้ว่า “ไวรัสจีน” เพราะการกระทำดังกล่าวจะสร้างภาพลักษณ์ผิด ๆ ให้กับเพื่อนร่วมโลก เพราะไวรัสไม่รู้เรื่องพรมแดน ไม่สนใจชาติพันธุ์อันแตกต่าง สีผิว หรือเงินเก็บที่คุณฝากธนาคารเอาไว้ ดังนั้นจึงอยากให้ทุกท่านอย่าสร้างภาพเหมารวมผิด ๆ ก่อให้เกิดความแตกแยก หลังจากหลายชาติต่างสลับสับเปลี่ยนวิวาทกันไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีไวรัสโควิด-19 ก็แพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว โดยย้ายจากจีนมาเป็นอิตาลีที่อาการหนักเข้าขั้นโคม่า ถัดจากอิตาลีคือสหรัฐฯ ที่มีผู้ติดเชื้อมากขึ้นจนน่าใจหาย และจำนวนผู้ติดเชื้อกับผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย
ทั่วโลกต่างตื่นตระหนกกับไวรัสโควิด-19 ที่แพร่กระจายไปทั่วและยังไม่สามารถหยุดยั้งได้ หลายประเทศออกมาตรการฉุกเฉิน ยกเลิกเที่ยวบิน ปิดห้างสรรพสินค้า ปิดประเทศ ห้ามผู้คนสัญจรไปมาเพื่อลดความเสี่ยง รวมถึงประเทศในอเมริกาใต้อย่างบราซิลที่เริ่มปิดบางย่านในเมืองหลวงแล้วเช่นกัน แต่การปิดเมืองของพวกเขาแปลกกว่าที่อื่นเพราะคนสั่งปิดไม่ใช่รัฐบาลแต่เป็นแก๊งมาเฟีย การปิดบางย่านในเมืองหลวงริโอ เดอ จาเนโร (Rio De Janeiro) ถูกตีข่าวโดยสำนักข่าวใหญ่ชื่อดังของโลก reuter (รอยเตอร์) เหตุการณ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อแก๊งพ่อค้ายาเสพติดผู้มีอำนาจใน Favela (ย่านสลัมที่กระจายตัวอยู่ทั่วกรุงริโอฯ) นำกองกำลังติดอาวุธลงพื้นที่ บังคับไม่ให้ประชาชนออกจากบ้านในยามวิกาล ปิดตลาดสดชั่วคราว สั่งใช้เคอร์ฟิวกับคนในชุมชนอย่างเข้มงวดเพราะกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยไม่แคร์รัฐบาลที่ยังไม่ยอมออกมาตรการใด ๆ เพื่อประชาชน ความกังวลต่อไวรัสของแก๊งมาเฟียคุมย่านสลัมของเมืองริโอฯ ถึงจุดแตกหัก เมื่อกระทรวงสาธารณสุขแจ้งว่าพบผู้เชื้อไวรัสในย่านเสื่อมโทรมมากขึ้นทำให้พวกเขาทนไม่ไหวตัดสินใจออกโรงเอง การเคลื่อนไหวของมาเฟียพวกนี้แสดงให้เห็นว่าไวรัสสามารถเข้าถึงทุกคนโดยไม่สนว่าจะรวยหรือจน หรือมีอำนาจล้นมือมากแค่ไหน แถมไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาดในประเทศบราซิลไม่ได้เริ่มมาจากคนจนในชุมชนแออัด แต่ติดมากับพวกผู้ดีมีอันจะกินที่เดินทางกลับจากยุโรปและนำเชื้อไวรัสมาแพร่ให้คนอื่น ๆ ในประเทศ ไวรัสแพร่จากคนรวยสู่ผู้คนทุกชนชั้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งในชุมชนสลัมแออัดมีคนอยู่รวมกันเยอะ ๆ พวกเขาคือคนโชคร้ายรับภาระหนักกว่าคนอื่น จนทำให้คนบราซิลพากันเรียกชื่อไวรัสโควิด-19 กันว่า “The disease of the rich” หรือ “โรคของคนรวย” Thamiris Deveza แพทย์ผู้ทำงานอยู่ในย่าน Favela
“สถานการณ์แบบนี้ใครเขาจะยังมานั่งคิดเรื่องแฟชั่น ?” ครับ พวกเราชาว UNLOCKMEN ก็ยังคงคิดถึงแฟชั่นและการแต่งกายอยู่เสมอไม่ว่าจะเจอกับเรื่องราวแบบไหน ไม่ใช่ว่าเราไม่สนใจสิ่งรอบตัวแต่การตระหนักถึงเครื่องแต่งกายมีส่วนช่วยเราได้มากกว่าที่คิด บางคนอยู่บ้านแล้วเศร้าจนแทบหมดอาลัยตายอยาก หรือบางคนยังต้องออกไปเผชิญกับไวรัสโควิด-19 นอกบ้าน การแต่งตัวเหมาะสมตามสถานการณ์คือสิ่งที่จะช่วยปกป้องเราได้ ในวันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำสไตล์การแต่งตัวสองแบบด้วยกันทั้ง ‘คนต้องอยู่ติดบ้าน’ กับ ‘คนยังมีเหตุจำเป็นต้องออกไปเผชิญโลกภายนอก’ เพราะการใส่ใจกับการแต่งตัวสามารถช่วยเราได้ไม่น้อย คนที่ต้องอยู่ติดบ้าน แฟชั่นสำหรับคนอยู่บ้านอาจดูไม่มีอะไรมาก เพียงแค่เดินถือผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วใส่กางเกงบ็อกเซอร์กับเสื้อกล้ามหรือเสื้อยืดหนึ่งตัวก็เป็นอันเสร็จ บางคนตื่นมาพร้อมชุดนอนก็ลุยงานหน้าคอมพิวเตอร์ต่อยาว ๆ พลางคิดว่าดีด้วยซ้ำเพราะไม่ต้องมานั่งรีดชุดทำงาน แต่ความรู้สึกแสนชิลมันจะมาแค่ช่วงแรกเท่านั้นครับ มีหลายคนต้อง work from home มาแล้วกว่าสองอาทิตย์ นั่ง ๆ นอน ๆ เดินวนไปวนมาอยู่ในพื้นที่จำกัด ออกไปเจอคนแปลกหน้าเพียงไม่กี่วินาทีเพราะรับอาหารจากการสั่งเดลิเวอรี่ นานวันเข้าความรู้สึกแสนสบายที่ใส่เสื้อผ้าง่าย ๆ เริ่มจางลง ความเบื่อหน่ายเข้ามาแทนที่ มีชาว UNLOCKMEN คนหนึ่ง บ่นว่ารู้สึกเศร้าเพราะไม่ได้เจอกับใครเลย ส่วนอีกคนบอกว่าเห็นตัวเองแบบเซอร์ ๆ ทุกวันก็รู้สึกเบื่อ สิ่งเหล่านี้คือเรื่องน่าเป็นห่วงที่ไม่ควรมองข้าม การแต่งตัวสามารถช่วยปรับสภาพอารมณ์ของคนต้องอยู่แต่บ้านออกไปไหนไม่ได้จนรู้สึกซึม เพราะสีสันบนเครื่องแต่งกายส่งผลต่อความรู้สึกมากกว่าที่คิด ถ้าใครรู้สึกอึดอัดกดดัน ไอเทมสีเขียวจะช่วยให้เรารู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับสิ่งรอบตัว สร้างความผ่อนคลาย
ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย เรือนเวลาที่สุภาพบุรุษส่วนมากมักให้ความสนใจคงหนีไม่พ้น Rolex เพราะมันคือหนึ่งในสัญลักษณ์ความเท่ก้าวผ่านกาลเวลา เป็นตัวแทนของความภูมิฐานมีระดับ ด้วยเหตุผลหลายอย่างจึงทำให้นาฬิกาสัญชาติสวิสนามว่า Rolex กลายเป็นนาฬิกาขวัญใจของใครหลายคนอย่างไม่ยากเย็น รวมถึงชายที่ชื่อว่า Paul Altieri ด้วยเช่นกัน ชายชาวอิตาลีนามว่า Paul Altieri เป็นผู้ก่อตั้ง Bob’s Watches บริษัทขนาดใหญ่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนนาฬิกาแบรนด์หรูทั้ง Rolex, Patek Philippe, Omega, Tudor, Panerai และ Cartier โดยการจัดประมูล สร้างเว็บไซต์ให้เหล่าคนหลงรักนาฬิกาแบรนด์นี้เข้ามาพูดคุยและตามหาเรือนเวลารุ่นที่ใช่ ถ้าเป็นการซื้อขายผ่านหน้าร้านหรือแข่งขันกันแย่งชิงในงานประมูล ผู้คนก็จะอุ่นใจว่านาฬิกาที่ได้ต้องเป็นของแท้ แต่สำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันบนเว็บไซต์อาจสร้างความไม่มั่นใจให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย คนขายก็กลัวว่าจะไม่ได้เงินส่วนคนซื้อก็กลัวว่า Rolex ที่ตัวเองได้มาจะเป็นของปลอม Paul ผู้รักนาฬิกาตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะเขาก็หลงใหลนาฬิกาแบรนด์นี้ไม่น้อยกว่าใคร การสร้างเว็บไซต์ของเขาดำเนินไปอย่างรัดกุม Paul ทีมงานของเขานำนาฬิกาที่จะวางจำหน่ายบนเว็บไซต์มาตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าเรือนเวลาเป็นของแท้และอยู่ในสภาพดีเยี่ยม Paul พูดเสมอว่านาฬิกา Rolex GMT Black & Blue ที่ผู้คนเรียกกันว่ารุ่นแบทแมน ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสม Rolex มาโดยตลอด ตัวเขาเองก็ชอบสวมใส่นาฬิกาข้อมือรุ่นนี้อยู่บ่อย ๆ พร้อมมอบความรู้เท่าที่ตัวเองมีเกี่ยวกับ Rolex
เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกเราชาว UNLOCKMEN คุยกันเรื่องซีรีส์เรื่องหนึ่งที่กำลังฮิตติดลมบนอยู่ในเวลานี้อย่าง Kingdom ผลงานจากประเทศเกาหลีใต้ที่ฉายทางระบบสตรีมมิง Netflix พวกเราพูดถึงฉากแอกชันโคตรเดือดกับการตามกำจัดซอมบี้และช่วงชิงบัลลังก์ของเจ้าชาย แต่น่าแปลกบทสนทนาเกี่ยวกับหนังแทบจะไม่มีชื่อตัวละครหลุดออกมาจากปากใครเลย เรารับรู้เพียงแค่ว่าหนังสนุก พูดคุยถึงตัวละครในหนังกันอย่างออกรสทั้งพระเอกเป็นเจ้าชาย นางเอกเป็นหมอ ชายแก่เป็นอาจารย์ของพระเอกกับหมอหญิงอีกที ตัวร้ายคืออัครเสนาบดีกับลูกสาวที่เป็นพระมเหสี และคนต้มเล้งแซ่บ ซึ่งผลของบทสนทนาคือแทบไม่มีใครจดจำชื่อตัวละครทั้งหมดได้เลย เพราะไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าตัวละครแต่ละตัวมีชื่ออะไรกันบ้าง (ยกเว้นหมอหญิงซอบีที่ถูกเอ่ยชื่อบ่อยในเรื่อง) UNLOCKMEN จึงเกิดความสงสัยว่าเพราะอะไรคนส่วนใหญ่ถึงไม่สามารถจดจำใบหน้าหรือชื่อของตัวละครเท่าไหร่นัก? ยิ่งเข้าสู่ฉากช่วงกลางคืนด้วยแล้วแทบจะแยกไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร และความสงสัยทำให้เราอยากรู้เรื่องอาการนี้มากขึ้น ไม่ใช่แค่เรื่อง Kingdom เท่านั้นที่ทำให้ผู้ชมสับสนว่าใครเป็นใคร แต่สำหรับแฟนหนังจำนวนไม่น้อยมีอาการสับสนเวลาดูภาพยนตร์เรื่องหนึ่งไปสักพักและจำไม่ได้ว่าตัวละครมีชื่อว่าอะไร หรือเพราะในเรื่องมีคนหน้าตาท่าทางคล้ายกันจนทำให้ไม่มั่นใจว่าใครเป็นใคร บางครั้งงงหนักขึ้นไปอีกว่าตัวละครนี้มันโผล่มาอย่างไรแม้ตัวละครนี้มันเคยออกมาแล้วแต่เราลืมเอง แต่ไม่ต้องกังวลไปเพราะอาการทั้งหมดเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็สามารถเป็นได้ทั้งนั้น ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยยอร์กแห่งสหราชอาณาจักร (University of York) พบเจอกับปัญหานี้ไม่ต่างกับเรา พวกเขาจึงเริ่มหาเหตุผลว่าเพราะอะไรเราถึงลืมหน้าคนได้ง่าย ๆ ด้วยการให้กลุ่มตัวอย่างนึกถึงใบหน้าของพี่น้องหรือญาติสนิท และจดจำใบหน้าเหล่านั้นให้มากที่สุด จากนั้นดูหน้าตาของเหล่าคนมีชื่อเสียงจากหลายวงการทั้งนักแสดง นักร้อง นักข่าว นักการเมืองและคนทั่วไปที่ไม่เคยเข้ามาข้องเกี่ยวในชีวิตมาก่อน จากนั้นทำแบบสำรวจว่าแต่ละคนสามารถจดจำใบหน้าได้มากแค่ไหน ผลออกมาว่ามีคนจากกลุ่มตัวอย่างจำหน้าคนได้มากถึง 5,000 หน้า แม้จะมีคนจดจำใบหน้าได้มาก 5,000 หน้า แต่เมื่อถามลงไปว่าแต่ละคนที่จำได้เป็นใครมาจากไหนความแม่นยำจะลดลงเรื่อย ๆ คนส่วนใหญ่จดจำหน้าและชื่อของญาติตัวเองได้มากที่สุดเพราะคุ้นเคยมาหลายสิบปี รองลงมาคือกลุ่มคนมีชื่อเสียง หลงลืมชื่อกับใบหน้าของกลุ่มที่เป็นคนแปลกหน้าไม่มีชื่อเสียง