ดาบคาตานะญี่ปุ่นคือความงดงามที่ทำให้ชายหนุ่มจำนวนมากรู้สึกหลงใหล บางคนหลงรักรูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ บางคนชื่นชมความคมกริบที่ตวัดเพียงครั้งเดียวก็สามารถบั่นคอศัตรูจนกระเด็น หลายคนชื่นชอบตำนานเรื่องเล่าของดาบที่ผ่านการต่อสู้อย่างโชกโชนจนมีอายุเป็นร้อยเป็นพันปี และมีดาบญี่ปุ่นอยู่เล่มหนึ่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความบ้าคลั่งคล้ายกับถูกปีศาจสิงสู่อยู่ในดาบ ซึ่งอาวุธที่ว่านั้นมีชื่อว่า ‘มุรามาสะ’ หากใครชื่นชอบอ่านมังงะที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับซามูไร ดาบญี่ปุ่น หรือเล่นเกมที่อิงประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมักจะต้องเคยได้ยินชื่อสำนักตีดาบมาซามุเนะ (Masamune) ที่ตีดาบ ‘มิคาสึกิ มาเนะจิกะ’ ที่อยู่ในตระกูล 5 ดาบใต้หล้า และ สำนักมุรามาสะ (Muramasa) กันสักครั้งแน่นอน เพราะดาบสองเล่มนี้คือดาบที่เกิดมาคู่กันและในเวลาเดียวกันก็เป็นศัตรูกัน เพราะอุดมการณ์ที่แตกต่างของผู้ครอบครองทำให้ดาบสองเล่มไม่มีวันมาบรรจบกันได้ ย้อนกลับไปยังญี่ปุ่นสมัยโบราณ ตระกูลช่างตีดาบมาซามุเนะเป็นสำนักตีดาบที่ถูกนับหน้าถือตาในสังคม ทว่าต่อมา ‘เซ็นโง มุรามาสะ’ (Sengo Muramasa) ที่อยู่ในสำนักมาซามุเนะตัดสินใจแยกตัวออกมาตั้งสำนักตีดาบเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า ‘มุรามาสะ’ ช่างตีดาบสองสำนักนี้ไม่ต่างอะไรกับพี่น้อง พวกเขาต่างเรียนรู้เคล็ดลับของกันและกัน แล้วเมื่อการตีดาบชั้นยอดสำเร็จเสร็จสิ้น พวกเขาก็มักนำดาบของตัวเองมาประลองเพื่อดูว่าคมดาบของใครจะยอดเยี่ยมกว่ากัน ดาบของมุรามาสะขึ้นชื่อเรื่องใบมีดคมกริบ แข็งแรง หนักแน่น และจับเข้ามือ ทว่าดาบชั้นดีกลับกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งขบวนการต่อต้านโชกุนผู้ยิ่งใหญ่อย่างอิเอะยาสุ โทกุงาวะ และเหล่าข้าราชบริพาร นอกจากดาบคาตานะ อาวุธทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น มีด ง้าว หอก ปืน หรืออะไรก็ตามที่ผลิตจากสำนักมุรามาสะก็ถูกสั่งห้ามมีไว้ในครอบครองเพราะคำสาปที่ติดมากับอาวุธเหล่านี้จะทำให้บ้านเมืองวินาศฉิบหาย จนถูกเรียกว่าคาตานะต้องสาป (妖刀) ชาวญี่ปุ่นโบราณเชื่อเรื่องคำสาปและคำทำนาย มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างต่อ ๆ
ปัจจุบันหากเราพูดถึง สตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) จะไม่ใช่แค่คนยุค 90s ที่รู้จักการ์ตูนจากสตูดิโอนี้อีกต่อไป เพราะสตรีมมิงชื่อดังอย่าง Netflix นำผลงานของสตูดิโอจิบลิเข้ามาในระบบให้คนทุกเพศทุกวัยได้เลือกชมกันตามใจ ซึ่ง UNLOCKMEN เคยเล่าแอนิเมชัน 21 เรื่อง ของจิบลิไว้แล้วใน NIHON STORIES: อมยิ้ม เหงาหว่อง และร้องไห้จนหมดมากกับแอนิเมชันของ STODIO GHIBLI ทว่ามีการ์ตูนหนึ่งเรื่องของค่ายที่ไม่ได้เข้าฉายแต่กลายเป็นสุดยอดผลงานที่ถูกพูดถึงมากที่สุด ซึ่งการ์ตูนเรื่องนั้นคือ ‘สุสานหิ่งห้อย’ (Grave of the Fireflies) ของยอดผู้กำกับ ทาคาฮาตะ อิซาโอะ (Takahata Isao) ทาคาฮาตะ อิซาโอะ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้กำกับที่กำกับการ์ตูนเรื่องสุสานหิ่งห้อยเท่านั้น เขายังกำกับเรื่อง ‘เจ้าหญิงกระบอกไม้ไผ่’ (The Tale of Princess Kaguya) ‘ในความทรงจำไม่มีวันจาง’ (Only Yesterday) ‘ยามาดะ ครอบครัวนี้ไม่ธรรมดา’ (My Neighbors the Yamadas) และ
อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่ารอยสักสำหรับคนญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่จะต้องถูกซ่อนเอาไว้ใต้ร่มผ้า หรือไม่เปิดเผยให้คนอื่นเห็นมากนักเพราะไม่อย่างนั้นคุณจะต้องพบกับสายตาดูแคลนปะปนกับสายตาหวาดกลัว ซ้ำยังถูกโรงอาบน้ำสาธารณะหรือซาวน่าหลายที่ปฏิเสธที่จะให้เข้าไปใช้บริการ แม้ว่าเราจะมีเงินและเป็นลูกค้าคนหนึ่งเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ UNLOCKMEN เคยเล่าเรื่องราวความเป็นมาของการสักและรอยสักที่ชาวญี่ปุ่นมองว่าเป็นสิ่งผิดแปลกจากสังคมหรือจารีตไปแล้วใน (NIHON STORIES: รอยสักญี่ปุ่น ศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ที่ผู้คนทั่วโลกจับตามอง) ทั้งที่ในเวลาเดียวกันชาวต่างชาติกลับรู้สึกยกย่องและชื่นชมศิลปะญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกเล่าบนเนื้อหนังของบุคคลนั้น ๆ ซึ่งผู้สักชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักจะเป็นยากูซ่าหรือไม่ก็เป็นศิลปินที่ไม่ต้องทำงานออฟฟิศ ซึ่งบุคลิกและการทำงานอาจมีส่วนเล็กน้อยที่ทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่างในสังคม เมื่อพูดถึงรอยสักเราจะไม่พูดถึงช่างสักก็คงไม่ได้ เพราะพวกเขาคือผู้สร้างสรรค์ศิลปะอันประณีตที่จะอยู่กับคนที่มาสักไปตลอดชั่วชีวิต และในประเทศญี่ปุ่นมีช่างสักผู้โด่งดังคนหนึ่งนามว่า ‘Horimitsu’ (โฮริมิตสึ) ที่มีส่วนช่วยทำให้วัฒนธรรมการสักของญี่ปุ่นยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ซ้ำยังสร้างชื่อไปทั่วทุกมุมโลก และช่างสักก็ได้มีส่วนช่วยให้คนรุ่นใหม่เริ่มไม่ได้มองว่ารอยสักเป็นเรื่องน่ากลัวอีกต่อไป แต่มันคือศิลปะแขนงหนึ่งที่งดงามต่างหาก “คนที่ไม่มีรอยสักหรือไม่ชอบการสักมักมองว่าคนที่มีรอยสักจะต้องเกี่ยวข้องกับยากูซ่า แต่ทั้งสองสิ่งอย่างยากูซ่าและรอยสักไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องลึกซึ้งกันขนาดนั้น” – Horimitsu โฮริมิตสึ หรืออีกชื่อที่คนในวงการเรียกสั้น ๆ ว่า ‘มิตสึซัง’ เป็นช่างสักที่เปิดร้านสักอยู่ในย่านอิเคะบุคุโระ ณ กรุงโตเกียว ด้วยประสบการณ์ที่เรียกได้ว่าคร่ำหวอดในวงการนานกว่า 30 ปี ทำให้ชื่อเสียงของเขาถูกพูดถึงในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบการสักและช่างสักด้วยกัน ประกอบกับสไตล์การใช้เข็มวาดลวดลายของเขาจะใช้เทคนิคการสักญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เรียกว่า ‘Tebori’ (เทโบริ) อายุกว่า 400 ปี ที่ขึ้นชื่อเรื่องสีสันสดสวยคงทนเหมือนกับวันแรกที่ไปสักแม้จะเวลาจะล่วงเลยมาพักหนึ่งแล้วก็ตาม เทคนิคการสักแบบเก่าแก่ของมิตสึซังจะกินเวลานานกว่าการสักแบบปกติ เขาจะใช้ปากกาสีส้มวาดภาพที่ต้องสักบนผิวหนังแบบช้า ๆ ด้วยความพิถีพิถัน จากนั้นค่อยใช้ปากกาเส้นพู่กันวาดซ้ำอีกรอบ มิตสึซังมักไม่ใช่เครื่องสักในการทำงาน และชอบใช้ใบมีดสเตนเลสแบบด้านเดียวที่ติดอยู่กับด้ามไม้แท่งยาวกรีดลงไปบนเนื้อ ย้ำซ้ำไปซ้ำมาจนกว่าจะได้สีสันลวดลายตามที่เขาพอใจ
เป็นเวลานานกว่า 60 ปี มาแล้วที่โลกได้รู้จักกับสัตว์ประหลาดดึกดำบรรพ์สุดยิ่งใหญ่อย่างก็อตซิลลา (Godzilla) ที่เกิดขึ้นจากความคิดสุดสร้างสรรค์ของ ทานากะ โทโมยูกิ (Tanaka Tomoyuki) ที่ได้ดูหนังจากฝั่งฮอลลีวูดเรื่อง The Beast from 20,000 Fathoms (1953) แล้วเกิดแรงบันดาลใจว่าในเมื่ออเมริกันทำหนังสัตว์ประหลาดได้ แล้วทำไมชาวญี่ปุ่นถึงจะมีสัตว์ประหลาดเป็นของตัวเองบ้างไม่ได้ นายทานากะได้พบกับผู้กำกับนามว่า ฮอนดะ อิจิโระ (Honda Ishiro) ภาพยนตร์สัตว์ประหลาดของพวกเขามีชื่อว่า ‘โกจิระ’ จากการทำคำว่า กอริลลา มารวมกับคำว่าคุจิระ ที่มีความหมายว่าปลาวาฬ เพราะเจ้าโกจิระตัวนี้ปรากฏตัวมาจากท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่ยังมีพื้นที่อีกมากมายที่มนุษย์ยังไม่สามารถย่างกรายไปถึง ทานากะ โทโมยูกิ ก็อดซิลลาเป็นสัตว์โบราณจากยุคที่โลกยังมีไดโนเสาร์ มันรอดตายอย่างปาฏิหาริย์ นอนหลับใหลอยู่ในถ้ำที่ลึกสุดของก้นมหาสมุทรมานานนับล้านปี ทว่าการจำศีลของมันต้องจบลงเมื่อมนุษย์ทดลองนิวเคลียร์จนเกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ที่สะเทือนไปถึงถิ่นที่อยู่ของก็อดซิลลา ปีศาจร้ายที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลกได้ตื่นขึ้นแล้ว ก็อดซิลลาขึ้นสู่เหนือน้ำและพบกับเกาะญี่ปุ่น มันทำลายล้างเมืองจนย่อยยับ ทุกอย่างพังพินาศราบเป็นหน้ากลอง ซึ่งการทำลายล้างของก็อดซิลลาสร้างความรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาให้กับชาวญี่ปุ่นที่ได้รับชมเป็นอย่างมาก สัตว์ร้ายที่ทำลายเมืองตัวนี้ไม่ต่างอะไรกับลิตเติ้ลบอย (Little Boy) กับ แฟตแมน (Fat Man) ที่ถูกปล่อยลงสู่เมื่อฮิโรชิม่าและนางาซากิเลยสักนิด เพียงเปลี่ยนจากระเบิดนิวเคลียร์สองหัวมาเป็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่เท่านั้นเอง ฮอนดะ อิจิโระ หากคิดว่า UNLOCKMEN
หลายครั้งหลายหนที่มักได้ยินวลีที่ว่า “ดนตรีคือภาษาสากล” ด้วยท่วงทำนอง จังหวะการเข้ากันของดนตรีหลากชนิด อารมณ์เพลง ทุก ๆ อย่างมักทำให้คนที่พูดต่างภาษาหรือต่างเชื้อชาติสามารถฟังแล้วรู้สึกมีความสุขหรือทุกข์ระทมได้ไม่ยาก แม้บางครั้งไม่รู้ความหมายของเพลงเหล่านั้นเลยก็ตาม วัฒนธรรม ‘เจร็อก’ หรือ Japanese Rock เป็นอีกหนึ่งแนวดนตรีจากญี่ปุ่นที่สามารถครองใจผู้ฟังได้ทั่วโลก แม้เจร็อกแรกเริ่มรับวัฒนธรรมดนตรีร็อกมาจากฝั่งอังกฤษและอเมริกา พวกเขาไม่ได้ลอกมาทั้งหมด แต่ปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์ของตัวเอง ทุกอย่างที่สื่อออกมาผ่านเพลง แฟชั่นบนเวที การแสดงโชว์น่าประทับใจ ล้วนเป็นตัวของตัวเองจนทำให้เจป๊อปโด่งดังไปทั่วโลกได้ง่าย ๆ เพราะคนรุ่นก่อนยังไงก็ต้องเคยได้ยินชื่อของ L’arc en Ciel (ลาร์ค ออง เซียล) X-Japan (เอกซ์เจแปน) รวมถึงวงร็อกรุ่นใหม่อย่าง One Ok Rock (วัน โอเค ร็อก หรือ วันโอคุ ตามการเรียกของชาวญี่ปุ่น) ช่วงเวลาหนึ่งเจร็อกกลายเป็นวัฒนธรรมกระแสหลัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปความสนใจในแนวเพลงของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา กระแสของเจร็อกเริ่มซา พร้อมกับถูกแทนที่ด้วยเจป๊อปที่ส่งให้วงไอดอลทั้งชายและหญิงเติบโตอย่างรวดเร็ว ในช่วงที่กระแสป๊อปกำลังเดินหน้าอย่างเต็มกำลังก็เกิดวงร็อก One Ok Rock ในปี 2005 ที่คงไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะสร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีให้กับโลกได้ขนาดนี้ ก่อนมารวมตัวกันจริงจังพร้อมมีต้นสังกัดในปี 2007
“ของสะสมที่ขึ้นหิ้งของพวกคุณคืออะไร ?” บางคนอาจเป็นฟิกเกอร์ราคา 7 หลัก บางคนเป็นอัลบั้มวงดนตรีที่ชื่นชอบ กีตาร์ตัวเก่ง รถคันโปรด แต่คงไม่มีใครคิดสะสมมือของเด็กสาวที่ถูกฆ่าแบบ มิยาซากิ ทสึโทมุ (Miyazaki Tsutomu) ซ้ำร้ายคนที่ปลิดชีพเด็กและตัดมือออกจากร่างไร้วิญญาณก็คือตัวของทสีโตมุเอง ‘เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2008 สำนักข่าว AFP รายงานว่านักโทษคดีอาชญากรรมร้ายแรง มิยาซากิ ทสึโทมุ ถูกตัดสินประหารชีวิต หลังจากคดีความที่ยืดเยื้ออยู่นาน ทางด้านนายกรัฐมนตรีฟุคุดะ ยาสึโอะ กล่าวกับสื่อว่ารัฐบาลญี่ปุ่นจะยังคงให้มีโทษประหารต่อไป’ ความตาย การประหารชีวิต และเสียงร้องไห้คร่ำครวญด้วยความเศร้าปนโกรธแค้นเริ่มต้นขึ้นจากคนคนเดียว เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนายทสึโทมุ ชายที่เกิดเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 1962 ชีวิตวัยเด็กในโตเกียวของเขาไม่แตกต่างจากคนอื่นมากนัก ช่วงประถมกับมัธยมต้นเขาเป็นเด็กตั้งใจเรียน ได้คะแนนสอบเป็นที่น่าพอใจอยู่เสมอ แต่พอเข้าสู่ช่วงมัธยมปลายคะแนนของเขากลับตกลงเรื่อย ๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ด้วยการเรียนที่ตกลงทำให้เขาพลาดเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเมจิเพื่อเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ แถมยังโดนที่บ้านผลักไสไล่ส่งอีก ทสึโทมุที่รู้สึกหลงทางหันไปเรียนถ่ายภาพในวิทยาลัยใกล้บ้าน เลยไปขออาศัยอยู่กับพี่สาวที่ออกจากบ้านมาอยู่ด้วยตัวเอง เพราะเขาไม่อยากรับความกดดันจากพ่อแม่ที่ต่อว่าถึงความล้มเหลวด้านการเรียนของเขา ประกอบกับตัวเขาเองมีความผิดปกติทางด้านร่างกาย เป็นโรคข้อกระดูกพร่องที่เป็นปมชีวิต เพราะทสึโทมุเป็นเด็กที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับพี่น้องร่วมสายเลือด เด็กชายที่มีปมชีวิตหลายอย่างจึงสะสมความเครียดและความกดดันเอาไว้ในใจ แต่ในเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดเขาก็ยังมีคุณปู่ที่คอยอยู่ข้าง ๆ ปลอบใจเวลาเขาเศร้า อยู่เป็นเพื่อนเวลาร้องไห้
เรื่องความเชื่อถือเป็นเรื่องเรื่องละเอียดอ่อน ค่อนข้างส่วนตัว และยากที่จะพูดถกเถียงกัน เห็นได้ชัดจากความเชื่อเรื่องศาสนา ความเชื่อเรื่องบุคคล หรือสิ่งลี้ลับ ที่ทำให้เพื่อนสนิทสามารถตีกันมานัดต่อนัด จึงทำให้คนส่วนใหญ่ลงความเห็นตรงกันว่าหากความเชื่อไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือไม่ทำให้เขาเสียคนจนสิ้นเนื้อประดาตัว ก็ปล่อยให้เขาเชื่อต่อไปเถอะครับ อย่างไรก็ตาม การปล่อยให้ใครสักคนเชื่อในสิ่งที่ตัวศรัทธาอาจใช้ไม่ได้กับลัทธิ ‘โอมชินริเกียว’ (Aum Shinrikyo) เพราะตัวของศาสนากับสมาชิกในลัทธิเคยสร้างเหตุการณ์สะเทือนขวัญจำไม่ลืมให้กับเกาะญี่ปุ่น ‘อาซาฮาระ โชโกะ’ ศาสดาของลัทธิโอมชินริเกียว ในทุกศาสนาหรือลัทธิต่างต้องมีผู้นำหรือศาสดา อาซาฮาระ โชโกะ (Asahara Shoko) ถือเป็นศาสดาของลัทธิโอมชินริเกียว ก่อนจะมาเป็นโชโกะ ชายคนนี้มีชื่อจริงว่า มัตสึโมโตะ ชิซูโอะ (Matsumoto Chizuo) เด็กชายที่เติบโตมากับพี่น้องอีก 6 คน แถมบ้านยังมีฐานะยากจน และตัวเขาเองก็มีปัญหาสุภาพ การมองเห็นไม่เหมือนกับคนทั่วไปเพราะตาซ้ายบอดสนิทส่วนตาขวาเห็นแบบลาง ๆ วัยเด็กของชิซูโอะแสนจะธรรมดา ได้ผลการเรียนระดับปานกลาง คบค้ากับกลุ่มนักเรียนอันธพาล เมื่อมีเวลาว่างก็มักรีดไถเงินจากนักเรียนที่เด็กกว่า พอเรียนจบมัธยมปลายเขาก็มีเงินเก็บมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ชิซูโอะเคยฝันว่าอยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยโตเกียว แต่เขาไม่ใช่คนหัวดีขนาดนั้นจึงผิดหวังจากการสอบ พยายามทำให้ตัวเองอยู่รอดด้วยการต้มยาสมุนไพรขายอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง ชิซูโอะสามารถหลอกขายยาได้หลายครั้ง เขาพบรักกับหญิงสาวคนหนึ่ง มีลูกด้วยกันถึง 6 คน งานของเขาคือการขายยาสมุนไพร เปิดคลินิกหลอกคนไข้จนถูกตำรวจจับในปี 1982
สงครามโลกครั้งที่ 2 คือความขมขื่นที่โลกไม่มีวันลืม ไม่ใช่แค่กับคนบุกโจมตียึดครอง แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นเองก็รับความเจ็บปวดไม่แพ้กัน พวกเขาโดนนิวเคลียร์ถล่มเมืองฮิโรชิมาและนางาซากิ ชาวโอกินาวะต้องเจอกับจิตวิทยาปั่นประสาทจากกองทัพญี่ปุ่น จนท้ายที่สุดคนญี่ปุ่นได้รู้ความจริงว่าสมเด็จพระจักรพรรดิผู้เปรียบเสมือนพระเจ้าก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับเรา วันนี้ UNLOCKMEN จะพาทุกคนย้อนกลับไปยังสมรภูมิที่โอกินาวะ เวทีต่อสู้อันดุเดือดในสงครามมหาเอเชียบูรพามีผู้เสียชีวิตนับแสนคน สัมผัสความทรงจำอันปวดร้าวของชาวโอกินาวะที่เป็นเพียงแค่ ‘คนนอก’ ในสายตาของกองทัพญี่ปุ่น และการหมดสิ้นอำนาจของสมเด็จพระจักรพรรดิ ญี่ปุ่นกระโจนเข้าสู่สงครามส่วนหนึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นแบบชาตินิยมรุนแรงของญี่ปุ่น แปรเปลี่ยนเป็นลัทธิทหารนิยม พวกทหารเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองว่าประเทศตนยิ่งใหญ่จนสามารถสยบโลกได้ รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มปรับค่านิยมทางการศึกษา ให้เด็ก ๆ ท่องจำว่า “สมเด็จพระจักรพรรดิคือบิดาของชาวญี่ปุ่น และเราต้องมีหน้าที่จงรักภักดีต่อสมเด็จพระจักรพรรดิ” เริ่มเกิดการขยายอำนาจทางการทหาร ล่าอาณานิคมตามแบบชาติตะวันตก แถมตัวสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตะก็ทรงมองว่าสงครามเป็นสิ่งจำเป็น เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นขึ้นเมื่อเยอรมนีบุกโปแลนด์ ตามด้วยสงครามหาเอเชียบูรพาในทวีปเอเชีย ช่วงปลายของการต่อสู้ กองทัพอเมริกันโต้กลับกองทัพญี่ปุ่นที่โจมตีมาลายา สิงคโปร์ และฮ่องกง เมืองอาณานิคมของอังกฤษด้วยการยกพลขึ้นบกทางตอนกลางของโอกินาวะในวันที่ 1 เมษายน 1945 พลเรือเอกเรย์มอนด์ สปรูแอนซ์ ร่วมกับกองทัพบกสหรัฐฯ รวมแล้วกว่าห้าแสนนาย เข้ามายังโอกินาวะ แบ่งกำลังพลเป็นสองกองบุกทางเหนือและใต้ ส่วนกองทัพญี่ปุ่นทำสงครามในโอกินาวะทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าสุดท้ายต้องพ่ายแพ้ เรือประจัญบานยามาโตะที่แข็งแกร่งของญี่ปุ่นไม่มีการคุ้มกันทางอากาศและถูกเครื่องบินรบของสหรัฐยิงถล่มจนล่ม อย่างไรก็ตาม กองทัพญี่ปุ่นยังสู้ต่อเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้อเมริกาเข้ามาตั้งฐานบัญชาการในโอกินาวะหรือรุกคืบไปยังพื้นที่อื่นด้วยการใช้ประโยชน์จากการรู้จักพื้นที่ที่ดีกว่า ซ่อนตัวอยู่ตามถ้ำ ใช้ประโยชน์จากชาวโอกินาวะที่ทหารญี่ปุ่นไม่ได้รู้สึกผูกพันหรือรู้สึกว่าเป็นประชาชนชาวญี่ปุ่นที่ต้องปกป้องเท่าไหร่นัก ‘นาคาซาโกะ’ เล่าเรื่องราวจำไม่ลืมจากยุทธการโอกินาวะแก่นักข่าวหนังสือพิมพ์ ‘เซาท์ไชน่า
ทุกพื้นที่บนโลกต่างต้องมีนักซิ่ง ถ้าพูดถึงนักซิ่งหรือการซิ่งที่โด่งดังก็จะต้องมีชื่อของประเทศญี่ปุ่นอยู่ในบทสนทนาด้วยเสมอ จึงทำให้ UNLOCKMEN หยิบเรื่องราวของตำนานนักซิ่งที่ยิ่งใหญ่มากที่สุดคนหนึ่งของญี่ปุ่น ทสึชิยะ เคอิชิ (Tsuchiya Keiichi) ชายที่ถูกเรียกว่าดริฟต์คิง (Drift King) และตำนานการดริฟต์อันทรงพลังของเขา “ดริฟต์คิง” คือวลีที่ถูกพูดถึงหลายครั้งในภาพยนตร์เรื่อง The Fast and Furious: Tokyo Drift (2006) อยู่บ่อย ๆ คนญี่ปุ่นในแวดวงนักซิ่งต่างก็รู้ว่า ดริฟต์คิงที่มีตัวตนจริงในหน้าประวัติศาสตร์คือ ทสึชิยะ เคอิชิ ชายหนุ่มที่เริ่มต้นจากความรักในการขับขี่ ช่วยที่บ้านทำธุรกิจขนาดเล็กด้วยการเป็นเด็กขับรถส่งของ เมื่อว่างจากงานส่งของเขาเข้าร่วมกับแก๊งนักซิ่งแถบชนบท นิยมแข่งความเร็วกันบนนถนนที่ทอดยาวไปยังยอดเขา การแข่งขันบนถนนภูเขาถูกเรียกว่า โทเกะ (Tougei) ที่ต้องใช้ความชำนาญเส้นทาง สัมผัสที่ว่องไว การขับผ่าหมอกในช่วงค่ำหรือช่วงเช้า ความคดเคี้ยวของถนนและหน้าผาสูงชัน แล้วหากวันหนึ่งเกิดเหตุผิดพลาดบนโทเกะ นั่นหมายถึงชีวิตของคนขับที่ต้องแลก การเติบโตมากับแก๊งซิ่งบนภูเขาทำให้เขารู้จังหวะการเบรก การขับบนเส้นทางลาดชัน การเข้าโค้ง แก๊งส่วนใหญ่มักขับรถแบบโอเวอร์สเตียร์ที่ล้อหลังลื่นกว่าล้อหน้า ท้ายรถจะกวาดออกเมื่อเข้าสู่ทางโค้งมุมอับ ผ่านสภาพอากาศสุดโหดอย่างหิมะหรือฝนกระหน่ำ การดริฟต์หรือการควบคุมการไถลของรถที่จะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ไม่ได้อยู่ที่การแต่งอย่างเดียวแต่อยู่ที่ฝีมือการควบคุมรถของคนจับพวงมาลัยรถด้วย เคอิชิ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านการขับขี่มาหลายปี เขาไม่ได้เรียนขับรถเพื่อเข้าสู่สนามแข่งอาชีพแต่โตมากับท้องถนนในชนบท ได้ลองปรับแต่งรถหลายคัน ขับรถหลายยี่ห้อ เล็งเห็นว่าหัวใจของการขับขี่บางทีอาจไม่ได้อยู่แค่การแต่งรถให้เข้ากับตัวเองหรือยี่ห้อ
“ชีวิตของคนคนหนึ่งจะตื่นเต้นได้มากแค่ไหน ?” บางคนอาจได้ทำตามฝัน เป็นเจ้าของธุรกิจที่ตัวเองรักและต้องเจอกับเรื่องทางธุรกิจที่ท้าทาย บางคนประกอบอาชีพที่เฝ้าฝันไว้ตั้งแต่เด็ก ๆ และต้องแข่งขันกับคนอีกหลายสิบหลายร้อย หรือบางคนก็มองว่าตัวเองเป็นเพียงกลไกเล็ก ๆ ของระบบทุนนิยมที่ไม่มีเรื่องอะไรให้ตื่นเต้นมากนัก แต่ชีวิตของชายญี่ปุ่นคนหนึ่งที่ชื่อว่า โคดามะ โยชิเอะ (Kodama Yoshio) มันเหนือจริงและเกินกว่าคำว่าตื่นเต้นไปมาก เพราะเขาเป็นทั้งยากูซ่า พ่อค้ายา คนคุก และอาชญากรสงครามที่ CIA ต้องการตัวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โคดามะ โยชิโอะ เกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1911 ในนิฮงมัตสึ ก่อนที่จะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ราว 7 ปี เขาเป็นชายที่เติบโตมากับสงครามใหญ่ถึงสองครั้ง ชีวิตวัยเด็กของเขาเรียบง่ายธรรมดาไม่ต่างจากเด็กชายญี่ปุ่นคนอื่น ๆ ทว่าเมื่อเขากลายเป็นหนุ่ม โยชิโอะก็ได้สร้างตำนานของตัวเองขึ้นด้วยการเข้าร่วมกลุ่มลัทธิคลั่งชาติ (Ultranationalist) แม้ว่าเขาจะเคยอาศัยอยู่ในดินแดนเกาหลีก็ตาม งานของสมาชิกลัทธิคลั่งชาติสุดโต่งมีตั้งแต่ก่อกวน สร้างความแตกแยกกับชนชาติอื่นที่อยู่ในญี่ปุ่น ยุยงปลุกปั่น ป้อนค่านิยมคลั่งชาติให้ชาวญี่ปุ่นคนอื่น ๆ ไปจนถึงงานใหญ่อย่างการวางแผนลอบสังหารนักการเมืองหัวก้าวหน้า จากการลือแบบปากต่อปากเล่าว่าโยชิโอะเป็นผู้ร่วมขบวนการหลายครั้ง เขาพยายามลอบสังหารคนหัวใหม่ที่อยากให้ญี่ปุ่นติดต่อการค้ากับต่างชาติ เพราะเขามองว่าชาวญี่ปุ่นสามารถยิ่งใหญ่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องร่วมงานหรือพึ่งพาคนชาติอื่น โยชิโอะใช้ชีวิตอย่างสุดโต่ง ทำผิดกฎหมายหลายข้อโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย ในที่สุดหนุ่มห้าวผู้โลดโผนก็ถูกจับในปี