ช่วงต้นปี 2020 มีเรื่องราวที่สะเทือนไปทั่วโลกเกิดขึ้นหลายเรื่อง โดยเฉพาะโรคไวรัสโควิด-19 (Coronavirus Disease 2019) ที่มีจุดเริ่มต้นจากประเทศจีนและกระจายตัวไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เราเฝ้าดูรายชื่อของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตกันแบบรายวัน โดยเฉพาะกับประเทศทางฝั่งเอเชียที่มีผู้ติดเชื้อเยอะมากจนบางประเทศต้องออกมาขอความร่วมมือว่าช่วงนี้อย่าเพิ่งออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศเลยจะดีกว่า เกาหลีใต้ถือเป็นประเทศที่มีมาตรการรับมือกับไวรัสโควิด-19 ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นประเทศที่ออกนโยบายรับมืออย่างรัดกุมก่อนใคร พวกเขาระแวดระวัง ถึงขั้นที่ร้านอาหารส่วนใหญ่ติดป้ายไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประชาชนใส่แมสก์กันอย่างเคร่งครัด แต่กลายเป็นว่ามาตรการป้องกันตัวเองของเกาหลีใต้กับต้องสั่นสะเทือนจากการพบปะของประชาชนชาติตัวเองที่มีความเชื่อเดียวกันเสียอย่างนั้น ลัทธิชอนจี กรณีศึกษาจากอาจุมม่าผู้มีศรัทธา จากประเทศมาตรการเข้มงวดที่ช่วงแรกมีรายชื่อผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 น้อยกว่าหลายประเทศ ตอนนี้เกาหลีใต้กลับมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสแซงหน้าประเทศอื่น ๆ ไปแบบทิ้งห่างหลายร้อยคนภายในไม่กี่วันได้อย่างไร? เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นโดยคุณป้าจากเมืองแดกูผู้เข้าลัทธิในโบสถ์ร่วมกับคนนับพัน ภายในเวลา 4 วัน เกาหลีใต้มีผู้ติดเชื้อไวรัสเพิ่มขึ้น 6 เท่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาจากแดกู เมืองใหญ่อันดับ 4 ของเกาหลีใต้ มีประชากรอยู่ราว 2.5 ล้านคน และเป็นที่ตั้งของลัทธิชอนจี (Shincheonji) โดยพาหะแพร่เชื้อให้คนจำนวนมากมาจากคุณป้าอายุ 61 ปี เธอนับเป็นคนไข้รายที่ 31 ของเกาหลีใต้ แต่เมื่อเธอไปเข้าประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในโบสถ์เมืองแดกูร่วมกับคนอื่น ๆ พบคนนับพัน จาก 31 จึงกลายเป็น 346 อย่างรวดเร็ว
นอกจากเซ็กซ์จะเป็นสับเซตของความรักและเป็นหนึ่งส่วนที่ช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ของบางคู่ บนโลกนี้ยังมีเซ็กซ์แบบฉาบฉวยหรือที่เราเรียกกันว่า “Hookup” แม้คำนี้จะไม่ได้นิยามถึงเพศสัมพันธ์โดยตรง แต่ความหมายแฝงของมันคือ casual sex รูปแบบหนึ่งที่เน้นการทาบทับสอดใส่แบบที่ผู้ชายหลายคนโปรดปราน Hookup ถือเป็นข้อตกลงร่วมกันของคนสองคนว่าจะนัดเจอกันเพื่ออะไร อาจเจอกันเพื่อเรียนรู้และสร้างความสนิทสนม หรือเจอเพื่อเรื่องอย่างว่า เพื่อเซ็กซ์ชั่วข้ามคืนที่ไม่ผูกมัด ไม่ผูกพัน และไม่ต้องสานความสัมพันธ์หวานต่อกันหลังจบศึก กว่าที่จะได้แอ้มสาวสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคุณต้องเอาตัวเองไปอยู่ตามผับบาร์ ส่งสายตาเว้าวอนจากมุมไกล และเดินเข้าไปชนแก้วพลางชวนคุยสารพัดเรื่อง แต่ใช่ว่าวิธีนี้จะได้ผลกับผู้ชายทุกคน เพราะมันต้องอาศัยความกล้าบ้าบิ่นและหน้าด้านในระดับหนึ่งเลย หนุ่มบางคนจึงเลือกจะนัด Hookup กับสาว ๆ ผ่านแอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟน ไม่ต้องเดินเข้าไปทัก ไม่ต้องเก๊กทำตัวเท่ เพียงแค่สาวคนนั้นอยู่ในระยะวงกลมที่คุณเป็นศูนย์กลาง ก็นัดเจอกันได้แล้ว นับตั้งแต่ Mickey Gilley นักร้องคันทรี่คนดังปล่อยเพลงฮิตในปี 1975 ที่ร้องว่า “the girls get prettier at closing time” นักจิตวิทยาอย่างน้อยสี่ทีมก็เข้าไปในบาร์และไนต์คลับเพื่อพิสูจน์ว่าเนื้อเพลงนี้มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า มีผลสำรวจอ้างว่าผู้ชายและผู้หญิงจะดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากขึ้น เมื่อถึงเวลาที่บาร์ใกล้จะปิดบริการ ทฤษฎีนี้ถูกเรียกว่า “The Closing-time Effect” เช่นเดียวกับเนื้อเพลงของนักร้องคนดังกล่าว และเป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าถ้าโอกาสในการหาคู่ลดลง อาจทำให้ความคิดหรือรสนิยมของคนเปลี่ยนไปด้วย งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Sexuality
ครั้งหนึ่งในกาแลคซี่ทางช้างเผือก มนุษย์อย่างเราเคยมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าชีวิตบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้เต็มไปด้วยความหวังมากกว่าดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ดวงอื่น ๆ อีกหมื่นแสนดวง เพราะบนดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้มีอากาศให้หายใจ มีชีวิต มีการเกิดใหม่ มีความเป็นไปได้ให้เราฝันและหวังไม่สิ้นสุด แต่ในทางกลับกันเมื่อมนุษย์รวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เชื้อกลายพันธุ์ โรคระบาด ก็สามารถแพร่ไปได้รวดเร็วราวกับไฟลามทุ่ง เมื่อวันนั้นมาถึง โรคร้ายจึงทำให้โลกที่เคยดี กลายเป็น “โลกร้าย” ที่กลิ่นของความตายลอยคละคลุ้ง เมืองพังพินาศ ระบบการจัดการล้มเหลวและผู้คนกำลังจะตาย ในห้วงเวลาเช่นนั้นมนุษย์จะเผยให้เห็นความสิ้นหวัง ความมืดหม่นแห่งความคิดและจิตใจออกมาได้อย่างชวนขนลุกขนพอง แม้ในความเป็นจริงมวลมนุษยชาติจะยังไม่เคยก้าวไปถึงจุดนั้น แต่เราเชื่อว่าหนังสือว่าด้วยโลกร้าย 5 เล่มนี้จะพาคุณไปรู้จักความสิ้นหวังจากโรคระบาดให้เราได้ดำดิ่ง และเตรียมตัวล่วงหน้าเผื่อวันแห่งหายนะนั้นมาถึง บอด : José Saramago เพราะดวงตาคือความหวัง คือแสงสว่าง คืออวัยวะที่ช่วยให้มวลมนุษยชาติมองเห็น การสูญเสียการมองเห็นจึงไม่ได้หมายความถึงแค่อวัยวะหนึ่งล้มเหลว แต่หมายถึงมนุษย์จะต้องเผชิญกับความมืดบอดของโลกและอยู่กับความสิ้นหวังที่จะเห็นสรรพสิ่งไปตลอดกาล “บอด” คือวรรณกรรมผลงานนักเขียนรางวัลโนเบลที่ว่าด้วยโรคลุกลามแพร่ระบาดที่ทำให้มนุษย์มองอะไรไม่เห็นอีกต่อไป! เรื่องเริ่มที่ชายคนหนึ่งขับรถติดไฟแดงอยู่ดี ๆ ฉับพลันดวงตาเขาก็ขาวโพลน ไม่อาจมองสิ่งใดเห็น หลังจากนั้นอาการตาบอดก็แพร่ออกไปจากคนหนึ่ง สู่อีกคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่ง ตอนนั้นเองที่ทุกอย่างตกอยู่ในความโกลาหล วรรณกรรมเรื่องนี้ไม่เพียงแค่พาเราดิ่งลึกลงไปในความมืดบอดและโรคติดเชื้อ แต่มวลมนุษยชาติผู้สิ้นหวัง สับสน รัฐบาลที่แก้ปัญหาอย่างมืดบอดไม่แพ้อาการตาบอดที่แพร่ระบาด ไปจนถึงมาตรฐานศีลธรรมที่ในเวลาปกติเราเคยยึดถือ แต่เมื่อทุกคนกระเสือกกระสนหนีตาย ศีลธรรมก็คล้ายเป็นเพียงลมปากที่ไม่มีความหมายอีกต่อไป
แม้จะไม่เป็นที่พูดถึงมากเท่าโคโรนาไวรัสหรือโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ตอนนี้ แต่ผู้ชายหลายคนคงยังไม่ลืมว่าภาวะโลกร้อนนั้นเป็นอีกปัญหาใหญ่ที่เราเผชิญอยู่เช่นกัน อากาศร้อนอบอ้าวในช่วง 10 ปีให้หลัง ไม่เพียงสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ หากยังก่อให้เกิดน้ำท่วม หิมะตกช้ากว่าฤดูกาล รวมทั้งเหตุการณ์ที่น้ำแข็งขั้วโลกหลอมเหลวอย่างรวดเร็ว ในยุคที่ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมรอบตัวเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด วงการสถาปัตยกรรมเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ต่างคิดหาสารพัดวิธีออกแบบเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งอีกเทรนด์สถาปัตยกรรมที่กำลังมาแรงในตอนนี้ คือการเลือกใช้วัสดุหรือกระบวนการก่อสร้างที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกร้อน Generate สตูดิโอออกแบบได้เผยแผนการสร้าง ‘Model-C’ อพาร์ตเมนต์ปลอดคาร์บอน ในย่าน Lower Roxbury ของเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ถอดแบบการพัฒนาอาคารสไตล์ Passive House ของโลกอนาคตมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ สร้างอาคารที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) เพื่อทุเลาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มนุษย์ต้องเผชิญ Passive House เป็นแนวคิดที่มีมาตั้งแต่ปี 1988 เน้นหนักเรื่องการสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อประหยัดพลังงานและลดการปล่อยมลพิษไปทำลายสิ่งแวดล้อม ทีมสถาปนิกของ Generate คาดว่าเมื่อสร้างอพาร์ตเมนต์จนเสร็จสมบูรณ์ ที่นี่จะกลายเป็น Passive House บนพื้นไม้ลามิเนตเต็มรูปแบบแห่งแรกและเป็นหนึ่งในอาคารที่ยั่งยืนที่สุดของสหรัฐฯ นอกจากการใช้ไม้ลามิเนตแปรรูป Cross-laminated Timber (CLT) แทนคอนกรีตหรือเหล็กจะช่วยสร้างเอกลักษณ์งานดีไซน์ให้กับอพาร์ตเมนต์แห่งนี้แล้ว ไม้ CLT ยังเป็นวัสดุที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าคอนกรีตและเหล็กอีกด้วย แม้ไม้ CLT
“บ้านผมอยู่ฝั่งธนฯ แต่ออฟฟิศผมอยู่รังสิต” หรือ “บ้านผมอยู่รังสิตส่วนที่ทำงานผมอยู่เพลินจิต” ประโยคเหล่านี้ไม่ใช่การพูดเกินจริงเพราะมันคือชีวิตประจำวันของใครหลายคนที่ต้องฝ่าฝุ่น ฝ่าฝน ฝ่าฟันการคมนาคมแสนโหดยามเช้า 5 วันติดกันเพื่อมาทำงานที่เรารัก แรก ๆ ก็คิดว่าไหว แต่รู้ตัวอีกที เราก็ได้ปัญหาสุขภาพมาเป็นของแถมจากการเดินทาง แถมยังมาแบบโหมกระหน่ำจนตั้งรับแทบไม่ทันอีกด้วย เพราะใคร ๆ ต่างต้องเดินทางไปทำงานไม่ว่าใกล้หรือไกล UNLOCKMEN จึงค้นหางานวิจัยเกี่ยวกับการทำงานและการเดินทางมาให้ทุกคนได้อ่านกัน เพื่อประเมินตัวเองว่าการใช้ชีวิตของตัวเองนั้นเข้าข่ายน่าเป็นห่วงหรือไม่? มีงานวิจัยที่น่าสนใจจากมหาวิทยาลัยสตอกโฮล์มร่วมกับสถาบันสุขภาพและสวัสดิการของประเทศฟินแลนด์ (Finnish Institute for Health and Welfare) กล่าวว่าเหล่ามนุษย์เงินเดือนที่ทำงานหนักและออฟฟิศอยู่ไกลจากบ้านมาก ๆ มักเจอกับความเครียดมากกว่าคนที่บ้านอยู่ใกล้กับที่ทำงาน โดยทีมวิจัยได้สำรวจความคิดเห็นของกลุ่มวัยทำงานจำนวน 22,000 คน เป็นเวลาสองครั้งตั้งแต่ปี 2008-2018 กลุ่มตัวอย่างถูกถามเกี่ยวกับงานที่รับผิดชอบ วิธีการเดินทางไปทำงาน อาหารการกินแต่ละวัน การออกกำลังกาย การนอนหลับ รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์และความถี่สำหรับคนที่สูบบุหรี่ จนได้ผลลัพธ์น่าสนใจว่ากลุ่มพนักงานออฟฟิศไกลบ้านหรือคนที่ต้องเดินทางหลายต่อ เช่น เปลี่ยนจากรถไฟฟ้าเป็นรถเมล์ หรือเปลี่ยนจากรถไฟฟ้าเป็นต่อวินมอเตอร์ไซค์ กลุ่มตัวอย่างประเภทนี้จะอ่อนเพลียหมดเรี่ยวหมดแรงมากกว่าคนที่บ้านอยู่ใกล้ออฟฟิศหรือเดินทางเพียงต่อเดียว ความกระฉับกระเฉงหลังตื่นนอนถูกใช้ไประหว่างทาง บนรถไฟฟ้าแออัดหรือรถเมล์ร้อนระอุที่จอดนิ่งสนิทบนท้องถนน การเดินทางนั้นดูดพลังมากกว่าที่คิด รู้ตัวอีกทีเราก็ใช้เวลาอยู่บนรถหรือถนนนานเกือบ 5 ชั่วโมง (ขาไปและขากลับรวมกัน) นอกจากนี้พอถึงออฟฟิศหลังจากสู้รบกับระบบคมนาคม กลุ่มตัวอย่างที่เป็นมนุษย์เงินเดือนบ้านไกลจะหมดเรี่ยวแรงส่งผลให้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
หากตำนานนักแสดงอย่าง Bruce Lee ยังมีชีวิตอยู่ในปีนี้เขาจะมีอายุครบ 80 ปี ซึ่งค่ายนาฬิกาอย่าง Casio ต้องการให้เกียรตินักแสดงผู้ล่วงลับที่มีส่วนสำคัญในการเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้และวัฒนธรรมตะวันออกให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกด้วยนาฬิการุ่นพิเศษของค่าย Casio Bruce Lee Edition มีพื้นฐานมาจากนาฬิการุ่น MRG-G2000 เรือนเวลารุ่นไฮเอนด์ที่ขึ้นชื่อในเรื่องวัสดุและเทคโนโลยีที่ในการผลิตออกมาเป็น Casio MRG-G2000BL-9A โดยตัวอักษร BL ต่อท้ายรหัสย่อมาจาก Bruce Lee MRG-G2000BL-9A “Bruce Lee Edition” เต็มไปด้วยงานดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากยอดนักบู๊ ตั้งแต่สีที่ใช้สายเรซินสีเหลืองและตัวเรือนสีดำตามสีชุดวอร์มในตำนานของ Bruce Lee ตอนที่แสดงในภาพยนตร์เรื่อง Game Of Death ส่วนของหน้าปัดใช้เป็นสีเหลืองและแดง ตัวแทนของ Jeet Kune do ศิลปะการต่อสู้ที่คิดค้นขึ้นโดย Bruce Lee พื้นผิวขอบตัวเรือนเคลือบด้วย Diamond Like Carbon (DLC) รับรองความทนทานต่อการขีดข่วน แกะสลักเป็นตัวอักษรภาษาจีน 12 คำหมายถึงหลักการสำคัญ 12 อย่างของศิลปะการต่อสู้ Jeet
เราคือหนึ่งคนที่หลงใหล ‘เนื้อ’ แบบสุดลิ่มทิ่มประตู (หมายถึงเนื้อสำหรับกินนะ ไม่ใช่สำหรับสูบ) ไม่ว่าจะเมนูอะไรก็ต้องเนื้อไว้ก่อน กระเพราเนื้อ, ก๊วยเตี๋ยวเนื้อ, ผัดพริกแกงเนื้อ, แกงกะหรี่เนื้อ และอีกสารพัดเนื้อ ได้ยินว่ามีเนื้ออร่อยที่ไหนต้องตามไปกิน เป็น Beef Lover โดยแท้จริง สำหรับเราเนื้อที่ดีไม่จำเป็นต้องมาแค่ในรูปแบบสเต็กเท่านั้น วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ ‘5 ร้านเนื้อ’ หลากหลายประเภท ที่ขอเอาเกียรติของคนรักเนื้อเป็นประกัน! Tora Tora อีกหนึ่งร้านที่มาแรงไม่น้อยหน้าคือ Tora Tora Japanese Kitchen ร้านเนื้อรสเลิศที่ตั้งอยู่ในย่านสะพานควาย ลึกเข้าไปในประดิพัทธ์ซอย 6 เราเชื่อว่าทุกคนต้องเคยเห็นข้าวหน้าเนื้อของร้านนี้บน Instagram ของใครสักคนแน่นอน ตัวร้านก็เรียบง่ายตามสไตล์ Modern Loft Style โดยดัดแปลงมาจากตึกแถว ทำให้ผู้มาเยือนไม่รู้สึกเกร็งหรือประหม่า ในส่วนของอาหารที่นี่ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะเจ้าของร้านนี้คือเชฟดีกรี Le cordon bleu จากประเทศออสเตรเลีย โดยแนวคิดการสร้างสรรค์อาหารของเขาคือการเลือกเนื้อคุณภาพเยี่ยมในประเทศไทย นำมาปรุงรสในสไตล์ยุโรป และตกแต่งให้หน้าตาอาหารออกมาเป็นสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนรสชาติไม่ต้องพูดถึง แค่ดูเฉย ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความฉ่ำแล้ว Location: ประดิพัทธ์ 6 เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร Open: 12.00
เนื่องด้วยเรากำลังใช้ชีวิตท่ามกลางป่าคอนกรีตที่มีสิ่งปลูกสร้างหลากระดับ ตั้งแต่บ้านแนวราบ อาคารแนวตั้ง ไปจนถึงตึกระฟ้าสูงลิบลิ่ว จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีสถาปัตยกรรมสอดแทรกอยู่ในแทบทุกรายละเอียดยิบย่อยของชีวิตเสมอ ไม่เพียงนิยามถึงสิ่งปลูกสร้างอย่างบ้าน อาคาร หรือคอนโดมิเนียมที่มนุษย์อาศัยอยู่ หากสถาปัตยกรรมกว้างขวางจนครอบคลุมไปถึงเจดีย์ สถูป และอนุสาวรีย์ที่ปราศจากผู้อยู่อาศัย ในยุคกระแสนิยมที่ทุกอย่างมาเร็วไปเร็วเฉกเช่นตอนนี้ ต้องยอมรับว่าแนวคิดการสร้างสถาปัตยกรรมแบบเดิมถูกปรับแต่งและโละทิ้งไป แทนที่ด้วยแนวคิดสมัยใหม่ จนบางครั้งค่านิยมของสถาปัตยกรรมปัจจุบันโน้มเอียงไปทางสุนทรียศาสตร์ซึ่งกระทบต่อความรู้สึกและรสนิยม มากกว่าความหมายดั้งเดิมทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ชั่งตวงระหว่างเทคนิควิทยาศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมอย่างละเท่า ๆ กัน แต่น่าแปลกที่การตอกเสาเข็มสร้างสถาปัตยกรรมของ ‘บุญเสริม เปรมธาดา’ กลับต่างออกไป เขาไม่ได้ใช้สถาปัตยกรรมเพื่อขับเน้นความงามให้ตกกระทบต่อสายตาผู้ชมเท่านั้น ทว่ายึดมั่นการขับเคลื่อนบริบทแวดล้อมและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในเวลาเดียวกัน วิธีการทางสถาปัตยกรรมที่ปลีกออกไปของ ‘บุญเสริม เปรมธาดา’ ความสงสัยใคร่รู้เรื่องมุมมองการสร้างสถาปัตยกรรมพาเราเดินดุ่มเข้ามาคุยกับ ผศ.บุญเสริม เปรมธาดา สถาปนิกเจ้าของรางวัลศิลปาธร สาขาออกแบบเชิงสร้างสรรค์ (สถาปัตยกรรม) ในปีล่าสุด ปัจจุบันเขาเป็นเจ้าของสตูดิโอออกแบบเล็ก ๆ ชื่อว่า ‘Bangkok Project Studio’ และสอนหนังสือที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาร่วม 20 ปี “หลังเรียนจบผมก็เหมือนคนทั่ว ๆ ไปที่ทำงานในสตูดิโอออกแบบและสร้างงานตามคำสั่งลูกค้า แต่พอทำมาได้สักพักมันก็เบื่อ และรู้สึกว่าสถาปัตยกรรมมันไม่ได้ส่งผลอะไรต่อคุณภาพชีวิตคนเลย ตั้งแต่นั้นผมจึงตัดสินใจออกมาเปิดสตูดิโอของตัวเอง เพื่อให้เป็นอีกทางเลือกในการออกแบบ แต่เผอิญมันดันเป็นวิธีการทางสถาปัตยกรรมที่โลกกำลังสนใจตอนนี้” “ผมคิดว่าสถาปัตยกรรมคือความจริงใจ” ไม่แปลกถ้าคุณไม่เคยเห็นผลงานของสถาปนิกคนนี้ในกรุงเทพฯ
เราสามารถเห็นผลงานศิลปะญี่ปุ่นได้หลายช่องทาง บางครั้งก็เสพงานอาร์ตเก่าแก่จากภาพพิมพ์แกะไม้ญี่ปุ่นอันโด่งดังที่ทำให้แวนโก๊ะตามเก็บสะสมเป็นร้อย ๆ แผ่น หรือเห็นลายเส้นสไตล์ญี่ปุ่นผ่านมังงะเรื่องโปรดที่ตามอ่านมาตั้งแต่เด็ก ไปจนถึงรอยสักอันเป็นเอกลักษณ์ของแก๊งยากูซ่า จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าศิลปะญี่ปุ่นนั้นผสานเข้ากับวัฒนธรรมทั้งกระแสหลักและกระแสรอง กลืนกับสังคมญี่ปุ่นมาทุกยุคสมัยจนแยกไม่ออก UNLOCKMEN เคยพูดถึงศิลปะญี่ปุ่น ทั้งภาพพิมพ์แกะไม้ รอยสัก การออกแบบเครื่องแต่งกาย หรืองานดีไซน์ของเหล่าสถาปนิก จนตอนนี้พร้อมทำความรู้จักกับ ซาเอกิ โทชิโอะ (Saeki Toshio) ชายผู้ถูกขนานนามว่า “เจ้าพ่อวงการอีโรติกญี่ปุ่น” (Godfather of Japanese Erotica) ผ่านผลงานที่เขาสร้างสรรค์ขึ้น ผลงานที่เป็นเหมือนเส้นแบ่งของอีโรติกกับความตาย ซาเอกิ โทชิโอะ เกิดปี 1945 ปีเดียวกับที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ยับเยินจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้เด็กชายโทชิโอจะเกิดที่มิยาซากิแต่เขาเติบโตขึ้นในเมืองโอซาก้า เริ่มรู้สึกหลงใหลภาพวาดการ์ตูนของศิลปินตะวันตกโดยเฉพาะผลงานของนักวาดภาพประกอบชาวฝรั่งเศส Tomi Ungerer และมองว่าฝรั่งเศสคือประเทศในฝันที่บ่มเพาะศิลปินเก่ง ๆ ให้กับโลกเรื่อยมา ศิลปะสไตล์โทชิโอะเต็มไปด้วยกลิ่นอายและเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นช่วง 70s เขานำประสบการณ์ที่ได้จากการเดินทางไปเยือนบ้านเรือนแถบชนบทมาเป็นแรงบันดาลใจ เขาได้สัมผัสกับบรรยากาศเงียบเหงา มองเห็นป่าทึบก่อให้เกิดความรู้สึกลึกลับ พาลคิดว่าถ้าโลกของวิญญาณมีจริงอย่างที่คนเฒ่าคนแก่เล่า พวกเขาในโลกหลังความตายก็คงมีวิถีชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เท่าไรนัก โทชิโอะเล่าว่าผลงานส่วนใหญ่ของเขาเกิดขึ้นจากความกลัว ความวิตกกังวลกับชีวิตที่ไม่แน่นอน ผสมผสานกับความรู้สึกสุขเพียงชั่วครู่และนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น จนออกมาผลงานเป็นงานศิลปะที่เร้าอารมณ์อย่างรุนแรง พร้อมกับความคิดหลักที่มองว่าผลงานที่ไร้พิษสงคือความน่าเบื่อที่เขาไม่คิดจะทำ หากมีศิลปินหลายคนเล่าเรื่องดอกไม้เบ่งบานท่ามกลางทิวทัศน์สวยงาม เขาจะไม่ทำเรื่องซ้ำ
ส่งท้ายเดือนแห่งความรักที่ไม่ได้มีแค่ผู้คนโรแมนติกใจเต้นเต็มท้องถนน แต่ยังมีใครบางคนต้องจมกองน้ำตาอยู่ที่ไหนสักแห่ง ถ้าให้พูดถึงเรื่องความรัก “ความรักพัง ๆ” คงเป็นวิบากกรรมอะไรสักอย่างที่ผู้ชายเราต้องเจอเหมือน ๆ กัน เคยปรึกษาปรับทุกข์กันในวงเหล้าสักครั้งของชีวิต อาการหนักหน่อยก็เน่าไปหลายวัน กลายเป็นผักทำอะไรไม่ได้จนกว่าจะฮีลตัวเองขึ้น จากนั้นก็โยนคำตอบปลอบกันเองว่า “เออ ก็อย่างนี้แหละ รักมันออกแบบไม่ได้” “ออกแบบไม่ได้” จู่ ๆ คำนี้มันก็ติดอยู่ในหัวเราและทำให้เรานึกขึ้นได้ว่าเมื่อสัก 2 ปีที่แล้ว มีอาจารย์พิเศษท่านหนึ่งที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดคลาสสอนหารักชื่อ “พบรักที่ใช่” จนเป็นกระแสโด่งดัง ซึ่งพอเราตามหาข้อมูลต่อเพื่อพูดคุยกับเขาก็เริ่มเจอเรื่องน่าสนใจมากเข้าไปอีก นฤพนธ์ เวียงชนก หรือโค้ชแมกซ์ จบการศึกษาปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาโทในสาขาเดียวกันจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ แต่ชื่นชอบเรื่องการศึกษาความสัมพันธ์และการแก้ปัญหาด้านความรัก ความหลงใหลและอยากช่วยคนคือจุดเริ่มต้นให้เขาเรียนต่อ ศึกษาศาสตร์ด้านนี้ เก็บใบประกาศนียบัตรมากมายด้านความสัมพันธ์ เลือกเรียนวิชาที่เหมาะสมกับคนไทยก่อนจะมาทำธุรกิจออกแบบความรักควบคู่กับการเป็นวิศวกร แถมตัวเลขราคาให้คำปรึกษาก็ไม่ธรรมดา เริ่มต้นที่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว Coaching Workshop พบ “รักที่ใช่” ใน 5 นาทีเพื่อคนวัยทำงานแบบตัวต่อตัวมูลค่า 10,000 บาท Calling Consulting โทรศัพท์สอบถาม ต้องการทางออกแบบเร่งด่วนและเฉพาะตัวราคา 5,000 บาท/ครั้ง อะไรที่อยู่หลังตัวเลขราคานี้ ? วิทยาศาสตร์สอนว่าอย่าเชื่อจนกว่าได้พิสูจน์มัน