หลายครั้งที่สถานการณ์ไม่เป็นใจให้เราหาที่นั่ง หย่อนก้นลงพักให้หายเมื่อยล้า จะนั่งลงไปกับพื้นก็เกรงใจกางเกงตัวเก่ง แถมยังไม่มั่นใจในความสะอาดอีกด้วย อย่างมากคงทำได้แค่หากระดาษปูให้ได้นั่งชั่วคราว แต่ถ้าพื้นที่ยังไม่เอื้ออำนวยอีกล่ะ UNLOCKMEN อยากให้คนที่เจอปัญหานี้มาทำความรู้จักกับ “The Sitpack” ที่พร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นเก้าอี้ให้เราได้หย่อนกายได้ทุกที่ The Sitpack ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พื้นที่จำกัด ความสะอาด สภาพพื้นที่ ที่ไม่เอื้ออำนวยให้เรานั่งลงกับพื้นได้ตรง ๆ หรือเพราะความรักสะอาดของเราเองก็ตาม ดูจะเป็นปัญหาที่ใครหลายคนเคยเผชิญ ไม่ว่าจะเป็น รอแฟนช็อปปิ้ง เดินทางไกลแต่ไม่อยากพกเก้าอี้สนามเทอะทะ หรือเหตุผลง่าย ๆ อย่างไปไหนแล้วไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง แต่ขาคุณเมื่อยล้าซะเต็มทีแล้ว เราคงจะเริ่มมองหาอะไรที่ทดแทนกันได้ อย่างการยืนพิงผนัง นั่งบนวัตถุอื่น ๆ ที่แข็งแรงมากพอ แต่ถ้าหากเรามี “The Sitpack” เลิกกังวลกับเรื่องพวกนี้ไปได้เลย น้ำหนักเบา พกพาง่าย ไม่เทอะทะเหมือนเก้าอี้พับ เก้าอี้สนาม ที่ดูเป็นเก้าอี้จ๋าเสียเหลือเกิน มันคงตลกดีที่ไปไหนแล้วจะต้องพกเฟอร์นิเจอร์ไปกับตัวเองตลอดเวลา ลองเป็นอะไรที่พกพาง่าย ชนิดที่พับ ๆ แล้วสะพายขึ้นไหล่ในไซซ์ใกล้เคียงกับร่มพกพาเลยล่ะ ดีไซน์ออกมาเท่ ๆ ไม่เหมือนเก้าอี้เลยด้วยซ้ำอย่าง The Sitpack กันดีกว่า มาในรูปทรงตัววายในส่วนที่นั่ง และส่วนที่รับน้ำหนักเป็นทรง Cylindrical ตัวบอดี้ทำมาจาก
กิจกรรมสุดคลาสสิกในวันหยุดยาวของหนุ่มสายชิลล์คงไม่พ้นการนอนดูหนังดี ๆ สักเรื่องอยู่บ้าน และวันหยุดยาวที่ใกล้จะถึงนี้ ลองเพิ่มความพิเศษด้วยการชวนคุณแม่มาดูหนังด้วยกัน กระชับความสัมพันธ์ในครอบครับ กับ 5 หนังเกี่ยวกับแม่ที่ UNLOCKMEN คัดมาให้แล้วว่าครบรส ทั้งความมันส์ และสตอรี่เกี่ยวกับแม่ ที่อาจจะเรียกน้ำตาของผู้ชายแมน ๆ อย่างเราได้เหมือนกัน The Blind Side (2009) Director: John Lee Hancock เค้าโครงจากชีวิตจริงของ Michael Oher นักอเมริกันฟุตบอล ที่มีชีวิตอีกด้านที่ไม่ได้ราบรื่นนัก กว่าเขาจะมาถึงจุดนี้ได้ ต้องผ่านอะไรมามากมาย โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ในภาพยนตร์จะเป็นเรื่องของเขาในช่วงวัยรุ่น ที่ได้รับการอุปการะจากครอบครัวบุญธรรมของเขา ให้ชีวิตใหม่ ให้การศึกษา และสิ่งที่เขาไม่เคยได้มาก่อนอย่างความเป็นครอบครัว ในเรื่องเราจะได้เห็นความโอบอ้อมอารี อินเนอร์ของความเป็นแม่ ที่หวังจะฟูมฟักให้เขาเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพแบบที่เด็กคนหนึ่งควรจะได้แม้จะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ก็ตาม มาดูกันว่า กว่าเขาจะมาถึงตรงนี้ได้ นอกจากความพยายาม พรสวรรค์ด้านกีฬาของเขาแล้ว อีกแรงผลักดันสำหรับเขาคือ “แม่” ที่เลือกจะอุปการะเขาในวันนั้น คอยซัพพอร์ตในทุกสิ่งที่เขาต้องการ ความเหน็ดเหนื่อยของคนเป็นแม่ แม้จะไม่ใช่แม่แท้ ๆ ก็ตาม มันไม่ง่ายเลยที่จะทำให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวได้
ฝนตก รถติด รถไฟฟ้าเสีย และอีกสารพัดปัญหาของคนเมืองที่ทำให้ปวดหัวได้อยู่ทุกวี่ทุกวันจนบางทีก็อย่างหนีเข้าป่าไปให้พ้น ๆ แต่เมื่อมาคิดดูดี ๆ แล้วก็เป็นตัวเราเองนั่นแหละที่เสพติดความสะดวกสบาย จะ Into the Wild แบบในภาพยนตร์ก็คงไปได้ไม่กี่น้ำเดี๋ยวก็คงซมซานกลับเข้าสังคมเมือง ดังนั้นมันจะดีแค่ไหนถ้าเราได้ทั้งความสะดวกสบายไปพร้อม ๆ กับการใช้ชีวิตสงบ ๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ด้วยแนวคิดแบบนี้จึงเกิดสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถตอบโจทย์ขึ้นมา ‘Mono Cabin’ คือชื่อของเจ้ากระท่อมในฝันหลังนี้ มันถูกออกแบบให้เป็นเหมือนที่พักพิงที่ครบครันทั้งความสะดวกสบายและความทันสมัย ทุกรายละเอียดมีประโยชน์ต่อการใช้สอยในพื้นที่ 106 ตารางฟุต ภายใต้คอนเซ็ป “Plug and Play” ที่มีทั้งความสนุกสนานและการพักผ่อน ความเรียบง่ายที่สร้างอารมณ์สุนทรีคือปรัชญาในการรังสรรค์ Mono Cabin ออกมา โดยด้านนอกจะมีเหล็กเป็นส่วนประกอบหลักเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้ตัวกระท่อม ส่วนภายในจะตกแต่งด้วยไม้ เพดานถูกออกแบบเป็นทรงโค้งให้ความรู้สึกอิสระ นอกจากนั้นบรรดาอุปกรณ์ภายในตัวกระท่อมสามารถเคลื่อนย้ายได้ทำให้คุณสามารถจัดวางและออกแบบในแบบที่เป็นตัวคุณได้ Mono Cabin มีให้เลือกจับจองถึง 3 แบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นรุ่นมาตรฐานที่มาพร้อมกับอุปกรณ์กำเนิดไฟฟ้าในตัว รุ่นใช้พลังงานจากแผงโซลาเซลล์ซึ่งติดตั้งอยู่ด้านบน และรุ่นสุดท้ายสำหรับคนที่ต้องการใกล้ชิดความเป็นธรรมชาติที่สุดด้วยออปชั่นเสริมเตาผิงไม้ติดตั้งมาในตัว เรื่องราคาก็ต้องยอมรับว่าไม่ใช่แค่คิดแล้วคุณจะมีกระท่อมในฝันไว้นอนท่ามกลางขุนเขาได้แต่คุณต้องมีเงินด้วย! เพราะราคาเฉลี่ยของเจ้า Mono Cabin อยู่ที่ 25,000 เหรียญหรือประมาณเกือบ 1 ล้านบาทเลยทีเดียว
การฟังเพลงในรถเป็นอีกกิจกรรมที่ผู้ชายอย่างเราทำจนเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว ทุกครั้งที่สตาร์ทรถ เป็นอันต้องเอื้อมมือไปเปิดเพลงทุกครั้งไป ไม่ว่าจะเชื่อมต่อกับ Music Streaming ในสมาร์ทโฟน หรือยังฟังบน Platform อื่น ๆ อยู่ก็ตาม แต่สิ่งที่ทุกคนมีร่วมกันก็คือความรักในเสียงเพลง UNLOCKMEN มี PLAYLIST เพลงจากภาพยนตร์ BABY DRIVER ที่ได้มาสร้างกระแสฮือฮาในบ้านเราอยู่พักหนึ่ง นอกจากความเจ๋งของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ยังมีเพลงในเรื่องนี่แหละ ที่เจ๋งไม่แพ้กัน สำหรับใครที่สะดวกฟังใน Spotify เราจัด PLAYLIST ไว้ให้เหมือนเดิมแล้ว สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ หากใครยังไม่ได้ดูเราขอแนะนำแบบติดดาว แม้จะไม่ได้คะแนนเต็มในแง่หนังดี แต่ในแง่หนังบันเทิง เราให้คะแนนแบบทะลุปรอท กับความมันส์ของเนื้อเรื่อง ความเท่ของคอสตูม และเพลงเจ๋ง ๆ ที่โผล่มาให้ฟังในแต่ละซีน เรื่องราวของหนุ่มน้อยติดไอพอดอย่างเบบี้ ที่จับพลัดจับผลูมาเป็นคนพาโจรปล้นธนาคารหลบหนี และเรื่องราวของสาวที่เขาปิ๊ง เข้ามาเพิ่มสีสันให้เรื่องนี้อีกด้วย รับรองเลยว่าดูจบแล้ว เราจะอยาก Go Back To The Past หยิบไอพอด เสียบหูฟัง และขับรถเกียร์กระปุกแบบเบบี้บ้างแน่นอน The Detroit Emeralds – Baby
ปัญหาทีมเวิร์คในที่ทำงาน ดูเหมือนเป็นอะไรที่คลาสสิกเอามาก ๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาที่แฟนซีหวือหวารับมือยากแต่อย่างใด ถือว่าเข้าใจได้ คิดง่าย ๆ คือคนหลายคนจากต่างที่อยู่ ต่างสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดู และอีกสารพัดปัจจัยที่ส่งผลถึงการเรียนรู้ นิสัยใจคอ ย่อมทำให้แต่ละคนมีนิสัยใจคอที่แตกต่างกัน รวมไปถึงการแก้ปัญหา การทำงานร่วมกับผู้อื่นด้วย ถ้าเราอยู่ในฐานะหัวหน้า การเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนในทีมก็ตกเป็นหน้าที่ของเราไปโดยปริยาย นอกจากเรื่องให้พวกเขามีทีมเวิร์คที่ดีในกลุ่มแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าและลูกน้องก็ควรไปได้ดีด้วยเช่นกัน ต่อให้ทีมเวิร์คในกลุ่มเจ๋งแค่ไหน ถ้าพวกเขาไม่ลงรอยกับหัวหน้า บรรยากาศในการทำงานก็ชวนให้กระอักกระอ่วนอยู่ดี UNLOCKMEN จะมาแนะนำเทคนิคเจ๋ง ๆ ที่จะช่วยทีมไว้ใจและรู้สึกปลอดภัยที่จะทำงานกับเรา มันคงเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเท่าไหร่ ถ้าเรากับลูกน้องไม่ได้รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ใช่แค่เรื่องผลประโยชน์ในการทำงานเท่านั้น แต่ในเรื่องความสัมพันธ์ก็ออกจะห่างเหินไปเสียหน่อย มันก็ทำให้บรรยากาศดูไม่ค่อยราบรื่นเสียเท่าไหร่ การที่เราเป็นหัวหน้า ทำให้เราอาจจะไม่ได้ลงไปทำงานกับเขาในทุกกระบวนการ ไม่ได้ร่วมหัวจมท้ายในทุกสถานการณ์ เลยอาจมีความผูกพันน้อยกว่าเพื่อในทีมเป็นธรรมดา หากเราอยากจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราที่เป็นหัวหน้าและลูกน้องในทีมแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือความไว้ใจ ทำให้เขาไว้ใจเราด้วยความรู้สึกจริง ๆ นั่นหมายความว่าเขาต้องรู้สึกปลอดภัยที่จะเปิดใจ ปรึกษา พูดคุย และทำงานกับเรา หากจะมามัวเล่นสงครามประสาทกันตลอดเวลา มันไม่ช่วยให้เรื่องนี้ขึ้นแน่นอน มาดูกันว่าอะไรที่จะช่วยให้พวกเขารู้สึกไว้ใจเรามากขึ้นและรู้สึกปลอดภัยที่จะซี้ปึ้กกับเราได้บ้าง ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ใช้เราเองนี่แหละเป็นต้นแบบ ลงมือทำให้เขาเห็นว่ามันต้องทำยังไง ลองผิดลองถูกไปด้วยกัน เหมือนเราเป็นหน่ึงในสมาชิกของทีม ถ้าไม่มีใครพูด ไม่มีใครถาม เราทำเลย เป็นตัวแทนของพวกเขา
เป็นเรื่องน่ายินดีที่การออกกำลังกายในทุกวันนี้ทั้งสนุกทั้งสะดวกกว่าเมื่อก่อนมาก มียิมเจ๋ง ๆ ผุดขึ้นมาเพียบ บางที่ก็เปิด 24 ชั่วโมงตอบสนองชีวิตประจำวันที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละคน แต่ละที่ก็แข่งกันทั้งเรื่องราคาและคุณภาพน่าดู ทำให้ประโยชน์ตกมายังผู้ใช้งานอย่างเรา ๆ เต็ม ๆ เดินเข้าไปโซนออกกำลังกายก็จะเห็นอุปกรณ์มากมายทั้ง free weight และ machine ทั้ง barbell ยัน kettlebell เรียงรายเต็มไปหมด รองรับการสร้างความแข็งแกร่งตั้งแต่หัวจรดเท้าตามที่ใจต้องการ… …และเมื่อทุกอย่างมันครบ คำถามสุดคลาสสิคก็ตามมา “ระหว่างการเทรนด้วย free weight กับ machine อะไรดีกว่ากัน ?” ทีมงาน UNLOCKMEN ได้สอบถามจากเทรนเนอร์มืออาชีพ และนักวิทยาศาสตร์การกีฬา และก็ได้คำตอบมาในแนวทางเดียวกันว่า ขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการฝึก แม้ว่าทั้ง free weight และ machine จะช่วยให้คุณมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้นได้ แต่ทั้งสองอย่างมันก็มีความแตกต่างกันในตัว การเลือกใช้นั้นก็ควรจะเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการ สำหรับคุณผู้อ่านที่ยังลังเลว่าจะใช้อุปกรณ์อะไรในการ workout เรามีคำแนะนำจากมืออาชีพมาฝากกัน เพื่อสุขภาพและความแข็งแรง Free Weight ถ้าต้องการเวทเทรนนิ่งเพื่อรักษาสุขภาพโดยรวม และสร้างร่างกายที่แข็งแรง
การที่ซากุระสักต้นจะเจริญเติบโตแผ่กิ่งก้านสาขาได้มากมายนั้นแน่นอนว่าระหว่างทางกลีบของมันต้องมีร่วงโรยลงไปบ้าง เช่นเดียวกับสถานการณ์ของวง BNK48 ตอนนี้ที่ถึงแม้ว่าข่าวใหญ่ล่าสุดจะเป็นข่าวการประกาศจบการศึกษาของ ‘แคน’ นายิกา ศรีเนียน หนึ่งในสมาชิก แต่วงก็ต้องเดินทางต่อไปข้างหน้า ไม่สามารถจะหยุดพักได้ ก้าวต่อไปของ BNK48 คือซิงเกิ้ลที่ 4 ของวงที่ได้ประกาศไปเรียบร้อยแล้วเมื่องานเปิดตัวรุ่น 2 ที่ผ่านมาว่าซิงเกิ้ลที่ 4 คือเพลง ‘Kimi Wa Melody’ หนึ่งในบทเพลงระดับตำนานของ 48 Group ที่มีเรื่องราวมากมายเรียงร้อยอยู่เบื้องหลัง โดยในวันนี้ UNLOCKMEN จะพาไปรู้จักเพลง ๆ นี้กันรวมถึงคาดเดาเซ็มบัตสึและเซ็นเตอร์ของเพลงนี้ด้วย Kimi Wa Melody ‘Kimi Wa Melody’ คือซิงเกิ้ลลำดับที่ 43 ของ AKB48 วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2016 เป็นซิงเกิ้ลที่มาในคอนเซ็ปต์ความเป็นญี่ปุ่นแบบจัดเต็มพร้อมด้วยเนื้อหาเพลงที่เกี่ยวกับการแอบรักของเด็กสาว อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงขมวดคิ้วและตั้งคำถามว่ามันก็ดูเหมือนซิงเกิ้ลอื่น ๆ ตามสไตล์ของเพลงไอดอลทั่วไป มันพิเศษยังไงและอะไรที่ทำให้มันกลายเป็นตำนาน? ความพิเศษของ Kimi Wa Melody คือซิงเกิ้ลฉลองครบ 10
สาวกความเร็วทั้งหลายที่ชอบให้ผิวกายปะทะกับลมเพราะมันได้ฟีลกว่า และชอบการบิดควบคุมความเร็วผ่านกำมือ คงต้องเคยเจอปัญหาชวนเซ็งอย่างการโทรศัพท์และการฟังเพลง เพราะพอต้องใส่อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอย่างหมวกกันน็อกแล้วมันดูจะมีอุปสรรคไปเสียทุกอย่าง แม้เราจะพยายามหานวัตกรรมใหม่มาเพิ่มความสะดวกมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่มันก็ไม่ค่อยพอดีเท่าไหร่ หูฟังบลูทูธเสียบไว้แต่บางทีเสียดสีกับผิวด้านข้างของหมวกกันน็อกมันก็หลุดหล่นลงพื้นระหว่างขับ จนเราต้องเสี่ยงวนรถกลับไปเก็บด้วย Domio Pro คืออุปกรณ์เสริมติดหมวกกันน็อกเพื่อสร้างความบันเทิงรูปแบบใหม่ที่แค่ดูวิดีโอตัวอย่างเราก็รู้สึกหลงรัก อยากได้จนมือไม้สั่น และเชื่อว่าสิงห์นักบิดทุกคนต้องชื่นชอบอย่างแน่นอน เพราะมันสามารถติดไว้ใช้ได้กับหมวกกันน็อกทุกรุ่นที่เราใช้งาน และแก้ปัญหา pain point ที่เราพูดถึงด้านบนไว้ได้แบบคูล ๆ จบในตัว คุณสมบัติของ Domio Pro ประกอบด้วย มี air mic หรือไมค์โครโฟนที่สามารถตัดเสียงรบกวนเข้าไมโครโฟนระหว่างสื่อสารได้ เชื่อมต่อด้วยระบบบลูทูธ สร้างระบบเสียงทรงพลังจากการสั่นสะเทือน ทำให้เกิดเบสแน่น ๆ ใน track ที่เราชื่นชอบ แบตเตอรี่ใช้ได้ยาวนานต่อเนื่องถึง 24 ชั่วโมง ฐานสำหรับติดตั้งยึดแน่นไม่ต้องกลัวหลุด อุปกรณ์สามารถกันน้ำได้ ไม่หวั่นแม้วันฝนตก แดดออก หรือเจอหิมะก็ยังไหว วิธีการใช้งานเครื่อง Domio Pro ใช้งานได้ง่าย เพราะสามารถเชื่อมต่อและรับคำสั่งการเปิดเพลงโดยเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟนและการกดเปิดของปุ่มบนตัวเครื่องเท่านั้น โดยเชื่อมต่อกันผ่าน bluetooth ถามว่าเครื่องเล็กแบบนี้สร้างเสียงเพลงกระหึ่มฟังชัดตลอดการบิดของเราได้อย่างไร บอกเลยว่าเสียงที่เราได้ยินสร้างขึ้นจากการสั่นสะเทือนที่กระทบผิวหมวกกันน็อกตามหลักการกำเนิดเสียง แต่ออกแบบเป็นพิเศษให้เสียงที่ได้ยินขึ้นภายในหมวกกันน็อกแบบเซอร์ราวนด์ โดยไม่ทำให้คุณสมบัติด้านความปลอดภัยลดลงแม้ต่อน้อย ลองคิดว่าถ้าเราเกิดอุบัติเหตุล้มลง
8 ชั่วโมงทำงานในแต่ละวันของพวกเรา เชื่อว่าหลายครั้งคงต้องเจอกับภาวะงานกองพะเนิน ทำอย่างไรก็ไม่เสร็จสักที ย่ิงคิดยิ่งปวดหัวเพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มสางมันตรงไหนก่อน เพื่อให้พวกเราสามารถควบคุมงานในมือให้อยู่หมัดและปัดมันออกไปจาก “To do list” โดยไม่ต้องเก็บไปฝันร้ายที่บ้าน UNLOCKMEN ได้เตรียมวิธีรับมือง่าย ๆ ทั้ง 5 หนทางต่อไปนี้ เริ่มต้นเตรียมพร้อมก่อนไปหาทางออกกันด้วยการ “หายใจ” โดยใช้วิธีหายใจเข้าแบบ “ช้า ๆ” เพราะการหายใจช้า ๆ จะช่วยแก้ไขอาการตื่นเต้นและการโฟกัสให้ยาวขึ้น เหมือนการปลุกสมองให้เตรียมพร้อมสู่การวางแผน ตอนนี้รู้สึกใจนิ่งขึ้นแล้วหรือยัง? ถ้านิ่งแล้วเราลุยต่อขั้นถัดไปกันได้เลย พูดเองเออเองคนเดียวบางทีก็ช่วยได้ พูดคนเดียวอาจจะเป็นวิธีโคตรฝืนสำหรับใครหลายคน เพราะกลัวคนรอบข้างจะคิดว่าเราบ้า แต่ถ้าได้ลองสักครั้งเราจะรู้ว่าความเป็นจริงมันเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้เราควบคุมความสงบในมือและวางแผนสิ่งที่จะทำต่อได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยบรรเทาความกังวลที่เกิดจากจากความรับผิดชอบซึ่งกำลังล้นมือเราในตอนนี้ด้วย ใครที่ยังคิดไม่ออกว่าจะพูดอะไร ลองพูดด้วยประโยคเหล่านี้ดู “ถึงงานจะเยอะแค่ไหน แต่ฉันก็โฟกัสมันได้แค่อย่างเดียวที่กำลังอยู่ตรงหน้าเท่านั้น และเราจะรู้สึกดีกว่าแน่นอนถ้าได้ทำแบบนั้น” “ฉันชอบให้งานจบภายในวันนั้น แต่จะยอมรับความเป็นไปได้จริงของสิ่งที่เกิดขึ้นด้วย” “ฉันสนุกกับการทำงานของฉัน ดังนั้น ถึงงานจะยุ่ง ๆ ฉันก็สนุก มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่บางครั้งจะรู้สึกว่างานล้นมือ ฉันสามารถจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นและปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ” เคล็ดลับของการใช้วิธีพูดคนเดียวเพื่อบำบัดเป็นเทคนิกที่เราแนะนำ เพราะการเปลี่ยนคำชวนเครียดอย่าง “ควร” เป็น “ชอบ” หรือ “ทำได้” มันช่วยให้เรารู้สึกมีพลังเพิ่มขึ้นและคลายความกังวลได้มากกว่า
ทุกครั้งที่เราเข้าสังคม ไม่ว่าจะเป็นการพบปะผู้คนใหม่ ๆ ตามงานอีเวนต์ เจอเพื่อนของเพื่อนในปาร์ตี้ หรือมีตติ้งครั้งแรกกับกลุ่มคนหน้าใหม่ ก็จะมีการแนะนำตัวกันตามปกติ มีกล่าวทักทาย ยกมือไหว้ ไม่ก็เชกแฮนด์กัน ช่างเป็นภาพการเริ่มต้นของมิตรภาพใหม่ที่แสนราบรื่น ทว่าความชื่นมื่นก็มักจะจบลง เมื่อเราดันลืมชื่อของคนคนนั้นในทันที ! พอเจอปัญหาลืมชื่อแบบนี้ สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการแอบถามคนรอบข้างแถวนั้น ไม่ก็ต้องถามชื่อคนนั้นอีกที ซึ่งมันดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ที่แย่ที่สุดคือการจำชื่อผิด แล้วมั่นใจทักไปแบบเต็ม ๆ หน้าแตกกันแบบเข้ม ๆ เลยทีเดียว แล้วมันมักจะเป็นแบบนี้อยู่ค่อนข้างบ่อยเหมือนกัน ซึ่งผลเสียที่ตามมาอาจจะมีมากกว่าที่คิด ทั้งสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ หรือเริ่มต้นมิตรภาพไม่สวย เป็นต้น ลองคิดดู พอคุณกับเขามาเจอกันอีกที เขาเรียกชื่อคุณถูก แต่คุณกลับจำชื่อเขาไม่ได้ เรียกชื่อเขาไม่ถูก ก็คงจะทำให้คนตรงหน้าเซ็งพอควร ทำไมเราถึงชอบลืมชื่อคนที่เจอกันครั้งแรกในทันที ? เรื่องนี้ Charan Ranganath ผู้อำนวยการโปรแกรมความจำและความสามารถของสมอง แห่ง University of California มีคำตอบ ทำไมเราถึงลืม คำอธิบายที่ง่ายที่สุดก็คือ เราอาจไม่ได้สนใจและไม่ได้ใส่ใจ เลยไม่จดจำ อย่างที่ Ranganath บอกไว้ว่า “คนทั่วไปมักจะจำสิ่งที่ดึงดูดใจให้เรียนรู้ได้ดีกว่า บางครั้งมันก็มีแรงจูงใจให้เราต้องจำชื่อคนคนนั้นให้ได้ แต่ในบางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ต้องให้ความสำคัญก็ได้”