ก่อนจะพูดถึงอะไรที่เจาะลึก เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าไอดอลในเครือ 48 Group คืออะไร? เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักวงไอดอล BNK48 ที่กำลังโด่งดังเป็นปรากฏการณ์ในประเทศไทยในตอนนี้กันอยู่แล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้ว BNK48 คือวงน้องสาวหรือเรียกให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าเป็นเหมือนเฟรนไชส์ของวงรุ่นพี่อย่าง AKB48 ของประเทศญี่ปุ่น และนอกจาก BNK48 แล้ว AKB48 ก็มีวงน้องสาวอีกมากมายทั้งในญี่ปุ่นและทั่วทั้งเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น SKE48 (นาโกย่า), NMB48 (โอซาก้า), HKT48 (ฟุกุโอกะ), NGT48 (นีงาตะ), STU48 (เซะโตชิ), JKT48 (จากาตาร์), TPE48 (ไทเป), MNL48 (มะนิลา), MUM48 (มุมไบ) และล่าสุดเพิ่งประกาศกันไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ว่าประเทศเวียดนามจะมีไอดอลในเครือ 48 Group เช่นกันในนาม SGO48 (ไซง่อน) เรียกได้ว่าตีตลาดไปทั่วทั้งเอเชียแล้วจริง ๆ แต่ละวงถึงแม้จะอยู่ต่างเมืองต่างประเทศกัน แต่เมื่ออยู่ในเครือเดียวกันจึงมีกฎเกณฑ์ภายในวงเหมือนกัน ซึ่งกฎที่เราจะพูดถึงในวันนี้มันนำไปสู่การเลือกตั้งคือ ‘เซ็มบัตสึ’ ทำความเข้าใจง่าย ๆ เนื่องจากสมาชิกในแต่ละวงนั้นมีจำนวนมาก เช่น BNK48 ตอนนี้ก็มีสมาชิกถึง 26 คน ยังไม่รวมรุ่น 2 อีกกว่า 30
หลายคนคงรู้สึกเหมือนกันว่าคนไทยมีพรสวรรค์เรื่องอารมณ์ขันกันไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะมุกคำผวน คำคล้องจอง คำพ้องเสียง หรือมุกสองแง่สองง่ามยิ่งเป็นสิ่งที่ Expert เข้าไปใหญ่ เราเลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Page Facebook ที่เอาแต่โพสต์เกี่ยวกับมุกตลก ถึงเป็นที่ถูกอกถูกใจคนไทยจำนวนมาก การันตีด้วยยอดไลก์หลักแสนถึงหลักล้าน UNLOCKMEN อยากพาทุกคนมาพูดคุยกับเจ้าของ Page Facebook ที่กำลังมาแรงในตอนนี้อย่าง “JOOK GRU” ที่เราอาจคุ้นหูคุ้นตากันดีสำหรับมุกตลกสามช่องของเขา บางคนอาจขำจนท้องแข็ง บางคนก็ขำแห้ง ๆ ยิ้มมุมปาก แต่ก็ยังได้พลังบวกกระตุ้นอารมณ์ขันให้กับวันที่เหน็ดเหนื่อยได้แหละน่า มาดูกันว่าจากมุมมองของเจ้าของมุกตลก อะไรที่ทำให้ตัวละครสุดกวนอย่าง จุ๊ก และ อาแปะ เป็นขวัญใจของแฟน ๆ ได้ขนาดนี้ และเส้นทางกว่าจะมาเป็นเพจหลักแสนที่ครองใจคนอ่านในเรื่องความฮา เขาต้องเจออะไรมาบ้าง เรานัดคุณสมูธที่ร้านกาแฟย่าน RCA ในบรรยากาศสบาย ๆ และเริ่มต้นพูดคุยกันถึงที่มาของเพจ และเราก็ต้องเซอร์ไพรส์เมื่อความตั้งใจแรกเริ่ม มันไม่ได้มาจากการอยากเล่นมุกตลก และคุณสมูธเองก็ไม่ได้อินกับ Page ตลกมากนัก มาดูเหตุผลและที่มา ช่วยเล่าที่มาของ JOOK GRU หน่อย “จริง ๆ JOOK GRU ไม่ได้มาจากการทำเพจครับ มันเริ่มจากการที่เราทำสติกเกอร์ LINE
ในยุคปัจจุบันอะไรก็สามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะคงพิสดารไม่น้อย เมื่อแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง IKEA จะไปขอทำคอลเลคชั่นร่วมงานกับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติหรือ NASA’s เพื่อพัฒนาข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านให้อลังการกว่าเดิม แต่ทว่าโปรเจคต์นี้ได้เกิดขึ้นจริงเป็นที่เรียบร้อย เพราะว่าก่อนหน้านี้ IKEA ได้ส่งทีมพนักงานของบริษัทไปใช้ชีวิตที่ Mars Desert Research Station (แบบจำลองการใช้ชีวิตบนดาวอังคาร) เพื่อเก็บข้อมูลให้ได้ความรู้สึกแบบเดียวกับที่นักบินอวกาศต้องเจอเมื่ออยูบนดาวอังคาร และนำมาพัฒนาต่อจนเป็นโปรดักต์ที่เกิดประโยชน์มากที่สุดสำหรับคนเมืองที่มีพื้นที่ใช้สอยอย่างจำกัด หลังจากไปใช้ชีวิตเต็ม 3 วันเป็นที่เรียบร้อย ทางทีมดีไซน์ที่นำโดยหัวหน้าฝ่ายครีเอทีพ Micahel Nikolic ก็นำไอเดียต่าง ๆ เหล่านั้นกลับมาผลักดันจนเกิดเป็นคอลเลคชั่นใหม่ที่พร้อมวางจำหน่ายในอนาคตอันนี้ สำหรับเฟอร์นิเจอร์ชุด IKEA x NASA’s นั้น จะเน้นไปถึงการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ที่กำลังประสบปัญหามีพื้นใช้สอยน้อย IKEA จึงอยากมอบความสะดวกสบายในพื้นที่กะทัดรัด จนออกมาเป็นสินค้าต่าง ๆ ที่ล้วนมีความคล่องตัวในการเคลื่อนย้ายและพับเก็บง่าย เป็นการจัดการพื้นที่เก็บของในรูปแบบใหม่ ซึ่งจำแนกตามไลน์สินค้าเป็น Time, Space, Water และ Air จนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ประกอบไปด้วย Terrarium (ระบบนิเวศในภาชนะใส) ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโคมไฟได้ พร้อมทั้งยังมีเครื่องฟอกอากาศ ชั้นวาง โต๊ะ ตู้เสื้อ ที่ได้รับการออกแบบใหม่ทำมาจากวัสดุไม้รีไซเคิล และมีน้ำหนักเบา
อยากตัดขาดความเป็นเมืองแต่ไม่อยากตัดขาดการติดต่อทางโซเชียลคือเรื่องปกติของผู้ชายอย่างเรา เพราะอย่างน้อยเวลาผู้ชายอย่างเราบุกป่าฝ่าดงเดินทางท่องเที่ยวธรรมชาติที่ไหน เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันถึงคราวคับขันเจ้าสมาร์ตโฟนในมือยังช่วยชีวิตพวกเราได้ ทั้งเรื่องการเดินทาง เพราะเป็นแผนที่ การเชื่อมต่อกับคนทางบ้านเพื่อส่งคราวคราวกับความคิดถึงให้กัน หรือกระทั่งเรื่องที่เราไม่อยากให้เกิดอย่างการแก้ไขหรือนัดหมายงานสำคัญที่รีบร้อนมาในวันหยุด แต่เมื่อตัดสินใจท่องเที่ยวธรรมชาติแบบลุย ๆ ไม่สนใจความสบาย จึงเป็นธรรมดาว่าทุกที่ที่เราไปอาจจะไม่ได้มีไฟฟ้าพอให้ใช้งาน ไม่มีปลั๊กให้เสียบ การต่อสัญญาณชีพของสมาร์ตโฟนในมือไม่ให้กลายเป็นก้อนหินจึงต้องพกพาพาว์เวอร์แบงก์ แต่เหมือนแก้ปัญหาไม่ถูกจุดเพราะพาวเวอร์แบงก์เมื่อไฟหมดก็ไม่ต่างจากก้อนหินอีกก้อนหนึ่งเช่นกัน ดังนั้น UNLOCKMEN เลยแสวงหานวัตกรรมที่ตอบโจทย์มากกว่า นั่นก็คือที่ชาร์จพกพาจากธรรมชาติไร้สายที่ชื่อว่า Waterlily นี่เอง “Waterlily” มีลักษณะเป็นล้อสีเหลืองขนาด 7 x 7 นิ้ว หน้าตาเรียบง่าย ปลายล้อยึดกับเชือก สุดปลายเชือกอีกด้านหนึ่งเป็นช่องสำหรับเสียบพอร์ต USB เพื่อต่อสายชาร์จเข้าโดยตรงเข้ากับอุปกรณ์ที่เราต้องการชาร์จได้ทันที วิธีการใช้งานสามารถใช้ได้ง่ายเพราะอาศัยพลังจากธรรมชาติคือพลังงานลมหรือแรงดันน้ำเท่านั้น เมื่อเราพบแหล่งน้ำเราสามารถโยนล้อลงไปในแหล่งน้ำนั้นได้ทันที ล้อจะหมุนด้วยแรงดันน้ำและปั่นกระแสไฟส่งขึ้นมาให้ใช้งานได้ ข้อดีของเครื่องนี้ไม่เพียงพวกเราจะไม่ต้องปวดหัวจากการหาแหล่งชาร์จไฟให้เสียเวลาแล้ว เรายังต้องถูกใจกับความทนทานเพราะเขาออกแบบมาเพื่อการเดินทางจึงไม่พังง่าย ๆ แถมยังสามารถชาร์จทิ้งไว้ได้ตลอดทั้งคืนไม่ต้องกังวลเหมือนการชาร์จด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ด้วย ที่สำคัญเมื่อจบทริปแล้วใครอยากจะนำมาใช้ต่อที่บ้านหลังกลับจากวันหยุดเอาไปวางไว้แถวที่ลมโกรกยังช่วยประหยัดค่าไฟให้เราได้เป็นอย่างดี ใครที่อยากได้ไว้ในครอบครองสั่งซื้อกันได้จากเว็บไซต์ Official ที่ https://waterlilyturbine.com เจ้า Waterlily สนนราคาเบาะ ๆ ที่ 159.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 5,277 บาทเท่านั้น เชื่อว่าบางคนที่อ่านเจอราคานี้อาจจะชะงัก แต่กับคนที่ท่องเที่ยวสายลุยบ่อย ๆ
Treat Pain And Reduce Stress With Music เราพอทราบกันมาสักพักแล้วว่า Music therapy มันช่วยบำบัดอาการตกหลุมอากาศของชีวิตได้แบบยอดเยี่ยม เพราะดนตรีมันส่งผลกับอารมณ์และความคิดของเราผ่านตัวโน้ตแต่ละตัวได้อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นความถี่ จังหวะ ประเภทของดนตรี ช่วยเยียวยาร่างกายของเราได้จริง ๆ Daniel J. Levitin, PhD เขาบอกมา ซึ่งคุณหมอเนี่ยศึกษาเกี่ยวกับ Music Therapy โดยเฉพาะจาก McGill University ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับประโยชน์ของดนตรีที่ส่งผลต่อสุขภาพของเราทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ตัวอย่างเช่น การศึกษาของ Mona Lisa Chanda, PhD พบว่าดนตรีช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย และลดความเครียดของเราได้ แถมยังพบอีกว่าการฟังเพลงช่วยคลายความกังวลก่อนผ่าตัดได้ดีกว่าการใช้ยา ทั้งการฟังและเล่นดนตรี ช่วยเพิ่มการสร้าง Antibody Immunoglobulin A ของร่างกาย ซึ่งมันจะช่วยโจมตีไวรัสแปลกปลอม และช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอย่างที่บอกไป แค่นั้นยังไม่พอ ยังช่วยลดระดับฮอร์โมน Cortisol ในตอนที่เรามีความเครียดได้ด้วย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมดนตรีถึงเกี่ยวข้องกับการผ่อนคลาย (Trends in Cognitive Sciences, April, 2013)
วันนี้ UNLOCKMEN จะมาพูดถึงเรื่องความฝันกันอีกครั้ง หลังจากเคยพูดถึงมาแล้วครั้งหนึ่งในคอนเทนต์นี้ ฝันก็มีความหมาย ‘จิตวิทยาแห่งความฝัน’อยากรู้ไหมว่าสิ่งที่เราฝันซ้ำ ๆ บอกอะไรเรา? แต่จริง ๆ แล้วความฝันของคนเรายังมีอีกมากมายหลายรูปแบบ วันนี้จึงขอมาพูดถึงเรื่องความฝันอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฎให้เราเห็นแทบทุกค่ำคืนนั้นกำลังบอกอะไรเรากันแน่ ทำไมเราถึงฝันถึงสิ่งที่ไม่เคยนึกถึงในชีวิตประจำวันเลย มีอะไรซ่อนอยู่ในจิตใจเรางั้นหรือ ไปหาคำตอบพร้อมกันเลย เอเลี่ยนหรือยาน UFO เป็นความฝันที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ แต่ถ้าเคยฝันแล้วครั้งหนึ่งละก็จำได้ไม่ลืมแน่นอน เพราะมันแปลกประหลาดเหลือเกิน ส่วนความหมายของความฝันนี้คือ ถ้าคุณฝันว่าโดนเอเลี่ยนหรือยาน UFO จับตัวไปแปลว่าคุณกำลังกลัวจะสูญเสียที่อยู่อาศัย หรือต้องพรากจากบ้านเกิดเมืองนอน แต่ถ้าในฝันคุณกำลังพูดคุยอยู่กับเอเลี่ยนนั่นอาจจะหมายความว่าคุณกำลังพยายามเริ่มต้นสิ่งใหม่หรือกำลังต้องพบเจอผู้คนใหม่ ๆ ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากให้มนุษย์ต่างดาวหน้าตาประหลาดมาเยือนคุณในฝันก็อย่าพยายามหมกมุ่นกับเรื่องนี้มากเกินไป คิดในแง่บวกกับสิ่งใหม่ ๆ เข้าไว้ รถไฟเหาะ เป็นความฝันที่หวาดเสียวน่าดู แต่ความหมายของมันคืออะไรกันนะ? ถ้าในความฝันคุณกำลังเล่นรถไฟเหาะอยู่แล้วล่ะก็หมายความว่าชีวิตของคุณกำลังเผชิญกับความเสี่ยงในการเดินทางหรือการเริ่มต้นเผชิญสิ่งใหม่ ๆ เช่นกำลังตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองเป็นต้น ถ้าไม่อยากเจอความน่าหวาดเสียวแบบนี้แล้วล่ะก็ลองมองความเสี่ยงในการเริ่มต้นใหม่เป็นเรื่องตื่นเต้นท้าทายในชีวิตดูสิ เป็นราชาหรือราชินี คงเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่และรู้สึกดีน่าดู แต่ความหมายของมันอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้น เพราะการที่ในฝันคุณกลายเป็นพระราชาหรือราชินีทรงอำนาจ สามารถชี้นิ้วสั่งทุกอย่างได้ตามบัญชา แปลว่าในชีวิตจริงคุณอาจจะบกพร่องเรื่องความรับผิดชอบหรือหัวหน้างานอาจไม่ให้อำนาจที่เหมาะสมกับคุณในที่ทำงาน ดังนั้นจงปรับปรุงพัฒนาตัวเองซะถ้าไม่อยากยิ่งใหญ่แค่ในฝัน! ตกรถหรือเครื่องบิน เป็นความฝันที่ความหมายค่อนข้างตรงตัวเลยล่ะ ถ้าในฝันคุณไปขึ้นรถหรือเครื่องบินไม่ทัน ในเรื่องจริงคุณก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ชีวิตคุณกำลังยุ่งเหยิง ขาดระเบียบวินัยในตัวเอง และมักจะไปทำงานหรือไปตามนัดสายเป็นประจำ เพราะฉะนั้นใครที่รู้ตัวว่ากำลังเป็นแบบนี้อยู่รีบพัฒนาตัวเองโดยด่วน จะได้ไม่สายทั้งตอนฝันหรือตอนตื่น
เป็นเรื่องน่ายินดีที่ผู้ชายอย่างเราหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพกันมากขึ้น เรียกได้ว่ามียิมเป็นบ้านหลังที่ 3 ก็ว่าได้ แถมความรู้นี่แน่นราวกับกล้ามแขน ควรเทรนยังไง ควรทานยังไง วางโปรแกรม workout ประมาณไหน รู้หมด และถ้าจะให้ยิ่งชัวร์ เมื่อรู้ว่าอะไรควรแล้ว ก็ต้องรู้ว่าอะไรที่ไม่ควรทำทั้งก่อน และหลังเข้ายิม แน่นอนว่านอกจากการ warm up และยืดกล้ามเนื้อก่อนเทรน รวมถึง cool down และยืดกล้ามเนื้อหลังฝึกเสร็จแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ไม่ควรทำ ซึ่งบางอย่าอาจเป็นสิ่งที่เรามองข้ามไปก็ได้ ลองดูว่าเราเผลอทำสิ่งที่ว่านี้ในช่วงเวลาก่อนและหลังจัดหนักในยิมหรือไม่ ถ้าใช่ ก็ควรเลิกทำสิ่งเหล่านี้ จะได้ฟิตได้สุด ๆ แบบไม่มีอะไรมาฉุด ยืดกล้ามเนื้อมากเกินไป การยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกายคือการเตรียมร่างกายให้พร้อมยืดเหยียดได้เต็มที่ และลดความเสี่ยงบาดเจ็บ แต่ก็ต้องดูตามความเหมาะสมด้วย Michael Olajide Jr. อดีตนักมวยอาชีพ เทรนเนอร์ และผู้ร่วมก่อตั้ง Super-Gym Aerospace แนะนำว่า “จากประสบการณ์ของผม การยืดกล้ามเนื้อก่อนการวิ่ง, ต่อยมวย และปั่นจักรยาน อาจไม่ต้องยืดให้สุดมากก็ได้ เนื่องจากการออกกำลังกายเหล่านี้ใช้น้ำหนักตัวของคุณเอง และมีการเคลื่อนไหวของร่างกายแบบสุดเหยียดอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณออกกำลังกายแบบจำกัดการเคลื่อนไหว หรือเคลื่อนไหวทางเดียว อย่างเวทเทรนนิ่งกับแมชชีน เวทเทรนนิ่งหนัก
แม้การพักผ่อนในพื้นที่ส่วนตัวอย่าง “บ้าน” หรือ “คอนโด” คือชั่วโมงความผ่อนคลายของผู้ชายอย่างพวกเรา แต่เชื่อว่าบางครั้งคืนวันอันสงบสุขคงต้องเคยโดนทำลายจากแขกไม่คาดฝันเพราะเสียงรบกวนอย่างเสียงน้ำหยด ที่ขยันดัง “ติ๋ง ๆ” จากก๊อกหรือฝักบัวที่เราเพิ่งใช้งานมันไป ปัญหานี้อาจจะดูเหมือนเล็กน้อย แต่สำหรับคนที่กำลังปั้นไอเดียส่งงานหรือกำลังนอน มันสุดแสนจะหงุดหงิด! เพื่อแก้ปัญหานั้น UNLOCKMEN เชื่อว่าหนุ่ม ๆ หลายคนคงต้องเคยเอานิ้วตัวเองอุดก๊อกหวังว่ามันจะเลิกหยด แต่พอเอามือออก น้ำเจ้ากรรมมันก็ดันโผล่มาค้างอีกไม่หายสักทีจนสุดเราต้องยอมแพ้ ! ทว่า UNLOCKMEN เชื่อในพลังของพ่อบ้าน เพราะสาว ๆ ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ยามที่เราแก้ปัญหาเรื่องทางบ้าน เป็นช่วงที่มีเสน่ห์มากมายเหลือเกิน “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ดังนั้น ครั้งนี้เราขอพาผู้ชายทุกคนทะลวงปัญหาง่าย ๆ นี้จากบทวิจัยที่เราเก็บมาฝากนั่นเอง ทำไมน้ำหยดดังติ๋ง เคยคิดกันไหมว่าเสียงน้ำที่หยดจากก๊อกกระทบพื้นซิงค์หรือพื้นกระเบื้องในห้องน้ำทำไมถึงหยดดังติ๋ง ? คุณคงคิดว่าถามอะไรโง่ ๆ มันต้องเกิดจากหยดน้ำกระทบพื้นอยู่แล้ว คำตอบนี้มันถูกต้องเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะถ้าเราสังเกตให้ดี บางจังหวะเสียงติ๋งก็หายไปทั้งที่มันยังหยดอยู่ Dr. Anurag Agarwal จากภาควิชาวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้แรงบันดาลใจการศึกษาเรื่องนี้หลังจากไปบ้านเพื่อนที่หลังคารั่ว จึงนำประเด็นนี้กลับมาปรึกษากับทีมว่าเคยมีใครหาที่มาของเสียงนี้ที่แท้จริงแล้วหรือยัง ซึ่งทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่” เขาจึงตั้งกล้องความเร็วสูงจับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นหลังจากน้ำหยด ผลลัพธ์ของภาพที่ได้มาทำให้สาวไปถึงสาเหตุได้ว่า ต้นตอของเสียงเกิดจากการสั่นสะเทือนของฟองอากาศขนาดเล็กใต้ผิวน้ำที่เกิดจากแรงตึงผิวขณะหยดกระทบต่างหาก เล่าไปอาจจะยังไม่เห็นภาพเราลองมาดูภาพจากทีมวิจัยที่นำกล้องความเร็วสูงจับปฏิกิริยาการหยดของน้ำตามลำดับภาพด้านล่างกันดู
ฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คงไม่มีใครเหมาะกับวลี ‘From Zero to Hero’ มากไปกว่า Gabriel Jesus กองหน้าดาวโรจน์ของทีมชาติบราซิลอีกแล้ว เพราะถ้าย้อนไปเมื่อ 4 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ Gabriel Jesus ในวัย 17 ปี ขณะนั้นเขาเป็นเพียงนักเตะฝึกหัดของสโมสร Palmeiras แน่นอนว่ารายได้ย่อมไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ ดังนั้นเขาจึงรับจ็อบพิเศษด้วยการเป็นช่างทาสีตามกำแพงหรือพื้นถนนต้อนรับฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึง แต่เพชรยังไงก็คือเพชร หลังจากจบศึกฟุตบอลโลก 2014 Gabriel Jesus ก็เริ่มโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมจนได้รับโอกาสลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ Palmeiras และเขาก็ไม่ทำให้โค้ชและเพื่อนร่วมทีมผิดหวัง กระหน่ำประตูได้เป็นกอบเป็นกำจนเป็นที่หมายปองจากหลายสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรป และก็เป็นทีมเรือใบสีฟ้า Manchester City ที่คว้าตัวเขาไปครองได้สำเร็จด้วยค่าตัว 27 ล้านปอนด์ ซึ่งนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น Gabriel Jesus ไม่หยุดการพัฒนาตัวเองไว้เท่านี้ เขาพิสูจน์ตัวเองว่าฝีเท้าเป็นของจริง ก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีม และสุดท้ายก็สามารถพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ Premier League ได้สำเร็จ เมื่อฟอร์มดีขนาดนี้ การมีชื่อติดทีมชาติบราซิลมาลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 จึงไม่ใช่เรื่องแปลก จากวันที่เขานั่งทาสีอยู่ข้างสนามฟุตบอล ถึงวันที่เขาเป็นซูเปอร์สตาร์พาทีมบ้านเกิดลุยฟุตบอลโลกใช้เวลาเพียง 4
ภาษากายนั้นเป็นสื่อในการสื่อสารอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนสามารถแสดงความหมายต่าง ๆ ออกมาได้แม้ไม่ต้องใช้คำพูดใด ๆ ก็ตาม มันมีทั้งประโยชน์มากมาย แต่ก็เป็นโทษได้หากเราไม่ระมัดระวัง ยิ่งถ้าเป็นภาษากายที่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกในแง่ลบแล้ว ยิ่งต้องสำรวจตัวเองกันหน่อยว่าเราเองทำบ่อยมั้ย มันกลายเป็นความเคยชินหรือเปล่า ? และที่แย่ที่สุดก็คือ มันอาจทำให้เราสูญเสียโอกาสดี ๆ ที่นาน ๆ จะมาทีก็ได้ จากผลการสำรวจของ TalentSmart ที่ทดสอบกับคนกว่าล้านคนพบว่า ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มคนที่มีตำแหน่งงานในระดับสูง มักจะมีตัวเลข EQ ที่ค่อนข้างพุ่ง ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้รู้ดีว่าพลังของภาษากายนั้นมีมากแค่ไหน และมักจะสำรวจตัวเองในเรื่องนี้เสมอ เพราะฉะนั้น เพื่อความไม่ตายน้ำตื้นของผู้ชายที่กระหายความสำเร็จอย่างเรา มาดูกันดีกว่า ว่าภาษากายแบบไหนที่อาจพาเราดำดิ่งได้แบบไม่รู้ตัว จะได้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ก่อนสายเกินไป ใช้มือมากเกิน อย่าคิดลึกครับหนุ่ม ๆ การใช้มือมากเกินในที่นี้คือการขยับมือไม้มากเกินเวลาสนทนา ราวกับว่าคุณกำลังจะใช้กำลังภายในอะไรอย่างนั้น ซึ่งมันดูเหมือนกับว่าคุณปรุงแต่งสิ่งที่ต้องการจะสื่อสารมากเกินไป พยายามควบคุมมือไม้ให้ดี ใช้เท่าที่จำเป็น อาจจะผายมือออกมาช้า ๆ โชว์ฝ่ามือให้ทุกคนเห็นเวลาที่พูดอะไรออกไป แบบนี้จะทำให้คนอื่นรู้สึกว่าคุณไม่ได้เสแสร้ง ดูรุ่นใหญ่ และมั่นใจ กอดอกตลอด การกอดอกเป็นภาษากายกึ่งอัตโนมัติเวลาที่คุณสร้างกำแพงทางความคิดขวางไอเดียของคนที่สนทนาด้วย แม้ว่าจะยิ้มอยู่ หรือกอดอกหลวม ๆ ก็อาจทำให้คนข้างหน้ารู้สึกอึดอัดได้ไม่มากก็น้อย พยายามอย่ากอดอกแบบเหมือนทากาวไว้