สำหรับเหล่าขุนพลคอทองแดง หรือนักดื่มทีมชาติไทยทั้งหลาย แน่นอนว่าทุกคนคงคุ้นเคยกับการสั่งเด็กเสิร์ฟด้วยคำที่ติดปากอย่าง “เหล้า-โค้ก” กันอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงของเครื่องดื่มที่ดูเป็นการดื่มแบบเร่งรีบนี้ แรกเริ่มเดิมทีมันมีที่มาที่ไปที่ละเมียดละไมเกินกว่าที่หลายคนจะรู้ ซ่อนอยู่ด้วย บางคนอาจจะรู้ว่า ถ้าให้ถูกต้องตามหลักสากลขึ้นมาหน่อย ถ้าอยากดื่มเหล้ากับโค้กให้อร่อย ต้องเป็น Jacks Daniels กับ Coca-Cola เท่านั้น ซึ่งมันก็ถือเป็นเครื่องดื่มที่ในอดีตไม่มีใครคิดมาก่อนเหมือนกันว่า มันจะสามารถมาบรรจบกันได้ภายในแก้วเดียว แถมลงตัว ทั้งเรื่องของรสชาติ และกรรมวิธีจนกลายเป็นเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และมีชื่อสากลว่า “Jack&Coke” ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ แม้กระทั่งบริษัทอย่าง Jacks Daniels เอง ยังถึงกับมีการผลิต “Jack&Coke” ออกมาจากโรงงาน ให้คนที่ชื่นชอบไม่ต้องไปเสียเวลา ตามหา 2 อย่างมาผสมกันเอง ชนิดที่ว่า บิดฝาเทใส่ปากได้ในทันที เราเชื่อว่าเมื่อหลายคนนึกภาพตามไปด้วยแล้ว ต้องเกิดอาการเปรี้ยวปากขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่ขอให้อดใจไว้สักครู่ เพราะตอนนี้ เราจะพาทุกคนไปรู้จักถึงที่มาของ “Jack&Coke” ในตำนานกันก่อน จุดเริ่มต้นของ “Jack&Coke” ที่แท้จริงนั้นไม่มีระบุไว้อย่างแน่ชัด แต่เท่าที่มีการเล่าต่อ ๆ กันมา เหล้าผสมโค้กนั้นเกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1907 และต่อมาผู้คนมักจะเรียกเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า ‘Coca-Cola
ถ้าหากย้อนไปก่อนหน้านี้สัก 10 ปี เราคงเถียงสุดตัวเวลาที่ใครสักคนบอกกับเราว่า เขาสามารถใช้กล้องที่ฝังอยู่ในโทรศัพท์มือถือมาทำการถ่ายทำ VDO เจ๋ง ๆ หรือแม้กระทั่งนำมาใช้ถ่ายหนังกันเลยก็ยังมี แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง และดูทีท่าแล้ว คงจะไม่มีใครยอมหยุดพัฒนาความทันสมัยที่ขายได้ตังค์เหล่านี้อย่างแน่นอน และสุดท้ายก็ทำให้การถ่าย VDO เจ๋ง ๆ จากมือถือเกิดขึ้นได้จริง แต่มันก็ไม่ใช่เพราะว่า เหล่าผู้ผลิต Smartphone เพียงอย่างเดียว ที่สมควรจะได้รับเครดิตในการผลิตโทรศัพท์มือถือที่สามารถถ่าย VDO ได้อย่างคมชัดจนหลายคนเอามาทำเป็นหนังได้ เพราะมันยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ โทรศัพท์มือถือ หรือ Smartphone ในสมัยนี้ บันทึกความทรงจำเป็นภาพเคลื่อนไหวได้อย่างไร้ที่ติ เพราะไม่ว่าจะเป็นกล้อง หรือโทรศัพท์มือถือเอง ต่างก็ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เสริมที่ช่วยเพิ่มความเจ๋งให้กับมันมากขึ้นกันทั้งนั้น อย่างเช่น ไมค์โครโฟน, เลนส์, โปรแกรมแต่งภาพต่าง ๆ ซึ่งจะว่าไปสิ่งเหล่านี้ ทั้งกล้อง และ Smartphone ส่วนใหญ่ก็มีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่ในตัวทั้งนั้น แต่มันก็อาจจะดีไม่เท่า กับสิ่งที่ถูกตั้งใจสร้างมันขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งของตัวมันเองโดยเฉพาะ ทำให้เรามักจะเห็นว่า มีอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ (Rig) วางขายอยู่มากมายในท้องตลาดตอนนี้ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพการถ่าย VDO ของ โทรศัพท์ Smartphone
สายคอนโซลยังต้องอ้าปากเหวอ เมื่อเจอคลิป NINTENDO ออกมาเปิดวงการการเล่นถอยกลับไปวัยเด็ก ฉีกความล้ำนำเทรนด์ด้วยการใช้กระดาษลังล้วนมาสร้างเป็นเกม ทำเอาเราอดคิดถึงของเล่นวัยเด็กอย่างการประกอบโมเดลบ้านกระดาษจาจาไม่ได้ แต่จาจามันแค่กระดาษแผ่นบาง ๆ อยากจับให้สมจริงเป็นชิ้นเป็นก็ใช้กระดาษลังนี่แหละ รีไซเคิลได้ด้วยง่ายดี NINTENDO LABO เป็น Episode 2 ไว้ขยายการเล่นของ NINTENDO Switch ที่ออกมาวางขายเรียกความคิดถึงยุค 90s เมื่อปีที่แล้ว ด้วยนวัตกรรมล้ำ เฉียบ ฉบับเกมคอนโซล portable ในฝัน ที่สามารถใช้งานทั้งการถอดและเสียบจอยคอนฯ ทั้ง 2 ข้างได้แบบโดน ๆ ซิงค์ร่วมกับอุปกรณ์เสริมอย่างอื่นทั้งที่พอรวมร่างจะเจ๋งขึ้น เช่น จากจอยเล็กในมือสองข้างจะกลายเป็นจอยคอนฯ ชิ้นใหญ่, ใช้สำหรับติดที่จับเสริมสำหรับเล่นเกมออกโมชันการขยับตัวได้เท่ พร้อมทั้งสามารถต่อจอเล็กสู่จอใหญ่ โชว์แสดงผลในหน้าจอทีวีเหมือนตระกูล playstation ก็ได้ โดยคอนเซ็ปต์ “MAKE PLAY DISCOVER” ของ NINTENDO LABO ที่ปู่นินปลุกความเป็นชายสายประดิษฐ์เราให้ลุกโชนมาสร้างเกมเอาเอง ทันทีที่เปิดกล่องมาเราจะเจอกระดาษไดคัตเป็นชิ้นพร้อมปรุให้เรามาประกอบ แบ่งเป็น 2 ชุด คือ Variety Kit
Handshake ถือเป็นวิธีการทักทายแบบสากลที่ในหลาย ๆ ประเทศใช้เพื่อแสดงออกถึงภาษากาย ความเคารพ นอบน้อม และกล่าวทักทายเพื่อเริ่มต้นความสัมพันธ์ ซึ่งนับว่าเป็นก้าวแรกในการพบปะกัน และไปสู่ 50% ของการประสบความสำเร็จในการเจรจา แม้ว่าประเทศไทยของเราจะมีวัฒนธรรมการทักทายด้วยการสวัสดียกมือไหว้ แต่ ณ ปัจจุบันต้องยอมรับข้อหนึ่งว่าการทำงานหรือใช้ชีวิตที่เราต้องเจอ ล้วนมีโอกาสได้พบปะกับชาวต่างชาติ ซึ่งบางทีพวกเขาอาจจะไม่เข้าใจว่าการไหว้คืออะไร ดังนั้นอย่างน้อยหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN ก็ควรศึกษาวิธีทักทายแบบสากลด้วยการจับมือ (handshake) หรือที่บ้านเราเรียกกันว่า Shakehand ให้ถูกต้อง เพราะสำหรับสังคมตะวันตก การจับมือถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่งที่พวกเขาค่อนข้างจะจริงจังอย่างมาก A Manly Handshake Step 1 ยื่นมือออกมาเมื่อต้องการที่จะแสดงความเป็นมิตรกับผู้ที่เราจะจับมือด้วย (ผู้อาวุโสน้อยต้องยื่นมือออกมาก่อน) โดยเราจะต้องยื่นมือขวาด้วยกริยาที่มั่นใจ ให้แขนขนานกับพื้น นิ้วโป้งตั้งชี้ฟ้า ขณะที่นิ้วอื่น ๆ ให้แบออก แต่ไม่ควรกางออกมามากเกินไป และห้ามใช้มือซ้ายล้วงกระเป๋ากางเกงขณะจับมือเป็นอันขาดเพราะถือเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก *ถ้าเกิดเราต้องการแสดงความนับถืออย่างมากอาจจะเพิ่มการก้มโค้งลงไปด้วยก็ได้ Step 2 เมื่อมือผสานกันแล้ว ควรจับมือให้แน่น เพื่อแสดงออกถึงความนับถือ และจริงใจ แต่ไม่ควรบีบแรงจนทำให้ผู้ถูกจับมือรู้สึกเจ็บหรือไม่สบาย โดยที่ระดับสายตาของคุณต้องมองอยู่ในบริเวณหน้าของคู่จับมือ พร้อมแสดงออกด้วยท่าทางยิ้มแย้ม Step 3
“เห้ย แป๊ปนึงเดะ อีกครึ่งชั่วโมงค่อยกลับ” “อีกแก้วก่อน ๆ โถ่ จะรีบไปไหน นาน ๆ เจอที” “เดี๋ยวนี้เห็นหญิงดีกว่าทีมเวิร์กเหรอวะ ! ” นี่คือตัวอย่างประโยคกระแทกใจที่ผู้ชายอย่างเรามักจะได้ยินในปาร์ตี้เวลาจะขอลี้กลับก่อน ส่วนเพื่อนฝูงก็ช่างสรรหาสารพัดวิธีรั้ง เราเองก็ต้องไปแล้วจริง ๆ บางทีก็มีหญิงรออยู่ มีงานค้างบ้าง พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า แต่ดูเหมือนว่างานเลี้ยงย่อมไม่มีวันเลิกราง่าย ๆ และการจากไปด้วยดีก็ดูทำยากเหลือเกิน ทีมงาน UNLOCKMEN เห็นว่าการ “ขอตัวกลับก่อน” ยังคงเป็นปัญหาสุดคลาสสิคของหนุ่ม ๆ เลยอยากจะนำเสนอทางออกที่สามารถนำไปใช้ได้จริงเวลาไปปาร์ตี้กับเพื่อน แล้วจะรู้ว่าการชิ่งแบบมีศิลปะนั้นมีอยู่จริง ! รู้ว่าควรปลีกตัวตอนไหน แม้ว่าคุณจะเนียนเก่งขนาดไหนแต่ก็อาจจะต้องอยู่ยาวได้ถ้าผิดจังหวะ แม้ว่างานปาร์ตี้นั้นคุณจะฝืนใจเมาแค่ไหนก็ตาม เราแนะนำให้คุณอยู่ร่วมงานอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หรือรอให้ปาร์ตี้เริ่มมันส์ เพื่อนคุณเริ่มมึน บรรยากาศเริ่มได้ที่ จังหวะนี้แหละค่อย ๆ ชิ่งเลย ผมนี่ยืนขึ้นบอกลาเลย หลายคนพอเริ่มอยากกลับก็จะเริ่มโชว์ท่าทีนั่งไม่ติด ดูนาฬิกาบ่อย บางทีก็บ่นออกมากลางวงว่า “โอ่ห์ ดึกแล้วนะเนี่ย” จากนั้นก็นั่งอยู่ต่อแบบอึดอัด ไม่เอาหน่า แมน ๆ พูดกับทุกคนไปตรง ๆ เลยว่าจะกลับแล้ว ค่อย
ช่วงนี้คงไม่มีอีเว้นท์ไหนที่ฮอตฮิตไปกว่างานจับมือของสมาชิก BNK48 กับเหล่าโอตะผู้หลงใหลสาว ๆ กลุ่มนี้อีกแล้ว เพราะว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะมีโอกาสได้ไปกระทบไหล่สัมผัสมือนุ่ม ๆ เพื่อพูดคุยกับเหล่า idolsในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่กำลังมาแรงที่สุดในประเทศขณะนี้ บางคนอาจจะสงสัยว่าแค่การมือทำไมถึงได้มีความสำคัญอะไรมากมายถึงขั้นต้องไปต่อคิวรอกันข้ามคืน แต่ถ้าหากเราย้อนไปถึงความหมายของการจับมืออย่างแท้จริงแล้ว เรียกได้ว่าต้องย้อนกลับไปไกลกว่า 800 ปีก่อนศริสต์ศตวรรษ โดยมันเป็นสัญลักษณ์ของการให้ของพระเจ้า แม้ในปัจจุบันความหมายของการจับมืออาจจะมีการเปลี่ยนไป อย่างเช่นการจับมือทักทาย หรือจับมือสงบศึกขอคืนดี ก็ตามแต่วาระกันไป ดังนั้นในวันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN ได้ไปรวบรวมการจับมือที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น และผู้ชายอย่างเราอยากให้เกิดขึ้นจริงมากที่สุด ลองมาดูกันว่ามีอันไหนที่ตรงใจผู้อ่านกันบ้าง Noel & Liam Gallagher สองพี่น้องตระกูล Gallagher ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวงดนตรีชื่อดังจากเกาะอังกฤษอย่าง Oasis โดยทั้ง Noel และ Liam เป็นผู้นำพาสไตล์เพลง Brit Pop เข้าสู่กระแสเพลงสากล และแพร่กระจายความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งนอกเหนือจากชื่อเสียงในวงการเพลงแล้ว สองพี่น้องคู่นี้ยังโด่งดังและมีวีรกรรมสุดติ่งในเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งกับชาวบ้านไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรีคนอื่น ๆ แฟนคลับของตัวเอง หรือแม้กระทั่งสมาชิกภายในวง จนทำให้ Oasis ถือเป็นวงดนตรีที่ผลัดเปลี่ยนสมาชิกกันเป็นว่าเล่น แต่ทั้ง Noel และ
หลายคนอาจจะเชื่อว่าภาษาที่ดึงดูดใจจะทำให้ชีวิตไปได้สวย แต่ว่าถูกเพียงครึ่งเดียว เพราะภาษาปากที่สะกดใจได้มันต้องมาคู่กับภาษากายที่ดีเหมาะสมกันด้วย วันนี้ UNLOCKMEN ขอชวนให้ทุกคนมาสำรวจท่าทางตัวเองกันดีกว่า ว่าภาษากายแบบไหนที่เรามักทำเป็นประจำ แต่มันไม่เวิร์กกับคู่สนทนา หรือคนที่กำลังมองดูเราอยู่ กับ 11 อิริยาบทต่อไปนี้ที่ควรสลัดมันทิ้ง 1. ขยับนิ้วมือยุกยิกไปเรื่อย การขยับนิ้วมือมันไม่ผิดอะไร แต่เคยสังเกตไหมว่าเรามักจะทำท่าทางแบบนั้นบ่อย ๆ ตอนรู้สึกไม่มั่นใจ ซึ่งความรู้สึกนี้มันส่งผ่านถึงอีกฝ่ายได้ ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับสาวที่ถูกใจ การ Present งานลูกค้า กระทั่งการออกคำสั่งคนใต้บังคับบัญชา ดังนั้นใครที่อยากเหลาะแหละนี้ทิ้งไปก็ลองหยุดทำท่าแบบนี้ในสถานการณ์ชวนตื่นเต้น แล้วลองไปหา “The Power of Body Language” ของ Tonya Reiman ที่เคยบอกไว้ใน Business Insider มาอ่านดู เพราะท่าที่บอกในนั้นล่ะคือท่าที่ผู้นำเขาทำกัน 2. จับจัดผม/หนวดเล่น ลองปล่อยมันไปไหม? พวกพฤติกรรมนิ้วพันหนวดพันเส้นผมแก้เก้อ ABC Report ก็ออกมาบอกว่ามันยากจะเปลี่ยน แต่เราชวนให้คุณเลิกการยกมือขึ้นจับ ลูบ ม้วน พัน เส้นผมบ่อย ๆ เพราะไม่เพียงมันจะไม่โก้ แต่ยังเป็นการทำลายเส้นผมสวย
เบื่อไหม…เมื่อเราทำงานได้ดีแล้วเพื่อนหรือคนรู้จักมาพูดใส่หน้าเราว่า “ก็มึงมันเก่ง” “มึงมีพรสวรรค์” พูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็อยากหันไปตบกบาลคนที่พูดแบบนั้น คนเราเดี๋ยวนี้พร้อมใจแปะฉลาก “พรสวรรค์” กลบความขี้อิจฉาและความขี้เกียจของตัวเองเมื่อพบว่าใครสักคนประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในสาขาไหนก็รีบโบ้ยให้คำว่าพรสวรรค์กันทันที ความลำบากที่ลากมาจากวันแรกจนถึงวันที่สำเร็จกลายเป็นหยดเหงื่อที่มองไม่เห็นเพราะดันไปแห้งตรงเส้นชัย แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ออกปากชมคนข้างเคียงว่ามีพรสวรรค์ และยืนยันว่าโลกนี้มันมีคนเก่งฟ้าประทานล่ะ เราก็ไม่ขอเถียงเรื่องนี้ แต่อยากให้ลองเปลี่ยนการตั้งคำถามหรือความคิดแบบนั้นเป็นการค้นหาวิธี STAND OUT ฉบับคนไม่มีพรสวรรค์แต่มีพรแสวงบ้าง เพราะคนที่ไม่ได้เก่งตั้งแต่แรกไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนขี้แพ้ตลอดไป อันที่จริงแล้วการลงทุนลงแรงอย่างจริงจังมันให้ผลดีไม่แพ้สิ่งที่ติดตัวมาจากท้องพ่อท้องแม่เหมือนกัน ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ต่อไปนี้ พากเพียรนี่แหละตัวจริง อย่าเพิ่งเชื่อเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่องการมีพรสวรรค์นัก เพราะหลายครั้งคนที่สำเร็จมาแบบโชคไม่ได้ยื่นมือช่วยก็มีหลายคน ไอดอลเทพของผู้ชายอย่างเราหลายคนก็เกิดเป็นดาวดังได้จากการทำงานหนักนี่แหละ ยกตัวอย่างไม่ไกลเป็นคนที่หลาย ๆ คนคุ้นหน้าอย่างบุคคลระดับตำนานหลายคน – Michael Jordan กว่าจะเป็นตัวจี๊ดในสายบาสเกตบอลยังเจอปฏิเสธมาเหมือนกัน รู้ไหมครั้งหนึ่งจอร์แดนยังเคยโดนเทจากทีมบาสเกตบอลจอร์แดนในโรงเรียนมัธยม? – ผู้สร้างแอนนิเมชั่น Walt Disney เจอจวกว่า “ไร้การริเริ่ม ด้อยจินตนาการ” จากหนังสือพิมพ์หัวหนึ่งที่ไล่เขาออก สุดท้ายก็ยัง “LET IT GO” ปล่อยของมาได้จนเป็นที่ยอมรับเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ -Oprah Winfrey เจ้าแม่วงการสื่อผู้ทรงอิทธิพลที่โด่งดังจากการ์ทอล์คโชว์ในรายการ The Oprah Winfrey Show เจอแนะเชิงวิจารณ์ล่อเสียเจ็บว่า “ไม่เหมาะกับสายทีวี”
มาเช็กแอปพลิเคชันในสมาร์ทโฟนรับต้นปีกันหน่อย เพราะ Forbes เขาจัดอันดับความเด็ดของแอปพลิเคชันเพื่อให้คุณเคลียร์เมมให้ว่างไว้รอ Install ตัวช่วยที่ใช่ถึง 13 ตัวเข้าไปในเครื่องให้เลือกใช้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ผู้ชายทุกสายตามด้านที่แต่ละคนสนใจดังต่อไปนี้ ชาว UNLOCKMEN ลองไปเช็กดูกันว่ามีแล้วหรือยัง? ด้านผลิตภาพและการจัดการ 1: Evernote (Free) เคลมตรงมาว่า Evernote นี่มันแสนจะเป็น perfect เมโม ที่ใช้แปะเตือนความจำบนหน้าจอได้ดี ฟังก์ชั่นอื่นก็เยี่ยมเพราะไม่ได้มีไว้พิมพ์โน้ตจดไว้เฉย ๆ แบบโพสต์อิท แต่มันยังบันทึก Voice Memos หรือบันทึกเสียงไว้เป็นเมโมได้ด้วย จุดเด่นไม่ซ้ำใครที่ทำให้ต้องแนะนำแอปฯ นี้อีกอย่างก็อยู่ที่ความสามารถในการจัดการพวกบันทึกได้ในระดับท็อปฟอร์มจากการเข้าไปในฟีเจอร์หลักของแอปฯ ที่ชื่อว่า “notebook” ทำให้เสิร์ชบันทึกที่เคยเซฟไว้เจอได้ง่าย ๆ สุดท้ายสิ่งที่ชวนประทับใจคือแอปฯ นี้ทำงานร่วมกับคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเครื่องอื่นได้ ไม่ว่าจะซิงค์ ถ่ายโอนเท่าไรก็ง่ายสุด ๆ โดยเฉพาะพวก List to Do ทั้งหลาย เช่น ถ้าเราอยากซื้อของแล้วมีลิสต์ในมือแต่เกิดไปไม่ได้กะทันหันเลยจะฝากเพื่อนไปแทน แค่แชร์ให้เพื่อนไปซื้อไปเช็กให้ครบ แค่นี้ก็ไม่พลาด 2. Habit Tracker (Free) ตัวช่วยพัฒนาเชิงลึกระดับนิสัยและพฤติกรรม แอปฯ นี้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงที่จะคอยเตือนเป้าหมายของเรา
คำว่า “Genius” ใครก็รู้ความหมายของมัน แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่ “Genius” ก็ตาม โดยส่วนใหญ่ คนมักเข้าใจผิดว่า ความ “Genius” จะเป็นสิ่งที่ฟ้าประทานมาให้ตั้งแต่เกิด จนบางคนใช้ช่องโหว่แห่งการเข้าใจผิดเหล่านี้ มาเป็นข้ออ้างในทำนองว่า ในเมื่อเกิดมาฟ้าไม่ได้ประทานความ “Genius” ติดตัวมาให้ ยังไงก็สู้คนที่ฟ้ามอบพลังสุดพิเศษมาตั้งแต่แรกไม่ได้อยู่ดี ก็เลยปล่อยชีวิตไปแบบเลยตามเลย ไม่เคยคิดจะพัฒนาอะไรอีกนับจากนั้น หากใครที่เคยใช้ข้ออ้างแบบนั้น หรือเคยถกเถียงกันมาว่า คนเราฉลาดมาตั้งแต่เกิดเลยหรือเปล่า? คำตอบก็คือ ไม่มีใครที่เกิดมาพร้อมกับความ “Genius” เลยแม้แต่คนเดียว แต่ที่บางคนดูจะ “Genius” กว่าคนอื่น ๆ นั้น เป็นเพราะคนเหล่านั้น มี Lifestyle ที่แตกต่างออกไปต่างหาก เราเลยมีสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ ใช้เวลาไม่มาก มีการพิสูจน์มาแล้วว่า มันสามารถทำให้คนเราฉลาดขึ้นได้จริง ๆ Not all brilliant people are born that way. ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่า ข้อแรก ไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับความเจ๋งเหล่านั้น ข้อ 2 คนเราจะไม่มีทางจะเก่งกาจ