Work

STAND OUT จากการทำงานหนัก ทีเด็ดที่ไม่น้อยหน้าการมีพรสวรรค์

By: anonymK January 17, 2018

เบื่อไหม…เมื่อเราทำงานได้ดีแล้วเพื่อนหรือคนรู้จักมาพูดใส่หน้าเราว่า “ก็มึงมันเก่ง” “มึงมีพรสวรรค์”

พูดถึงเรื่องนี้ทีไรก็อยากหันไปตบกบาลคนที่พูดแบบนั้น คนเราเดี๋ยวนี้พร้อมใจแปะฉลาก “พรสวรรค์” กลบความขี้อิจฉาและความขี้เกียจของตัวเองเมื่อพบว่าใครสักคนประสบความสำเร็จไม่ว่าจะในสาขาไหนก็รีบโบ้ยให้คำว่าพรสวรรค์กันทันที ความลำบากที่ลากมาจากวันแรกจนถึงวันที่สำเร็จกลายเป็นหยดเหงื่อที่มองไม่เห็นเพราะดันไปแห้งตรงเส้นชัย

แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ออกปากชมคนข้างเคียงว่ามีพรสวรรค์ และยืนยันว่าโลกนี้มันมีคนเก่งฟ้าประทานล่ะ เราก็ไม่ขอเถียงเรื่องนี้ แต่อยากให้ลองเปลี่ยนการตั้งคำถามหรือความคิดแบบนั้นเป็นการค้นหาวิธี STAND OUT ฉบับคนไม่มีพรสวรรค์แต่มีพรแสวงบ้าง เพราะคนที่ไม่ได้เก่งตั้งแต่แรกไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนขี้แพ้ตลอดไป อันที่จริงแล้วการลงทุนลงแรงอย่างจริงจังมันให้ผลดีไม่แพ้สิ่งที่ติดตัวมาจากท้องพ่อท้องแม่เหมือนกัน ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ต่อไปนี้

 

พากเพียรนี่แหละตัวจริง

อย่าเพิ่งเชื่อเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่องการมีพรสวรรค์นัก เพราะหลายครั้งคนที่สำเร็จมาแบบโชคไม่ได้ยื่นมือช่วยก็มีหลายคน ไอดอลเทพของผู้ชายอย่างเราหลายคนก็เกิดเป็นดาวดังได้จากการทำงานหนักนี่แหละ ยกตัวอย่างไม่ไกลเป็นคนที่หลาย ๆ คนคุ้นหน้าอย่างบุคคลระดับตำนานหลายคน

– Michael Jordan กว่าจะเป็นตัวจี๊ดในสายบาสเกตบอลยังเจอปฏิเสธมาเหมือนกัน รู้ไหมครั้งหนึ่งจอร์แดนยังเคยโดนเทจากทีมบาสเกตบอลจอร์แดนในโรงเรียนมัธยม?

– ผู้สร้างแอนนิเมชั่น Walt Disney เจอจวกว่า “ไร้การริเริ่ม ด้อยจินตนาการ” จากหนังสือพิมพ์หัวหนึ่งที่ไล่เขาออก สุดท้ายก็ยัง “LET IT GO” ปล่อยของมาได้จนเป็นที่ยอมรับเรื่อยมาจนถึงตอนนี้

-Oprah Winfrey เจ้าแม่วงการสื่อผู้ทรงอิทธิพลที่โด่งดังจากการ์ทอล์คโชว์ในรายการ  The Oprah Winfrey Show เจอแนะเชิงวิจารณ์ล่อเสียเจ็บว่า “ไม่เหมาะกับสายทีวี”

เห็นไหมว่าของดีเทคนิคไม่ต้อง อย่างเดียวที่ต้องมีคือความพยายายามที่มากพอ

 

ติดฉลากคำว่า “เก่ง ฉลาด” สาดความด้อย

ภูมิใจเถอะถ้าไม่ได้มีใครมาชื่นชมว่าคุณเก่ง ฉลาด หรือมีพรสวรรค์ เพราะคำชมแบบนั้นบางทีก็เป็นดาบสองคม กำลังใจที่เกิดอาจจะขยายความลำพองของคุณเสียจนทำให้สตาฟฟ์การพัฒนาตัวเองไปก็ได้ เช่นเดียวกับเด็กมัธยมบางคนที่คิดเอาว่าตัวเองเป็นพี่เบิ้มของโรงเรียนจากคำครูสปอยล์ว่าเก่งนักเก่งหนาเลยวางตัวชิลคิดว่าตัวเองจะเข้ามหาวิทยาลัยได้แบบหมู ๆ ลงท้ายไม่ผ่านแถมไม่ฟลุคก็ได้กลายเป็นหมูตัวจริง วิ่งตามหามหาวิทยาลัยเรียนกันให้ควั่ก เพราะสอบไม่ผ่าน

มุมกลับสำหรับคนที่โดนกดจากการพูดแบบขวานผ่าซากใส่ว่า “ห่วย” อันนี้ทำให้หลายคนดับเครื่องเฉย ๆ ไม่ยอมไปต่อ อำลาความฝัน ดับไฟในตัว ตั้งหลักใหม่ปล่อยเสียงนกเสียงกานี้ไปเหอะ เพราะการที่เราไม่ยอมลงมือทำอะไรสักอย่าง มันอาจจะทำให้เราพลาดการก้าวไปเป็นคนพิเศษในวันหนึ่งข้างหน้าก็ได้

อ้อ อีกอย่างการไปบอกว่าคนอื่นเขามีพรสวรรค์มันโคตร RUDE หยาบคายเหมือนเอาชื่อพ่อแม่มาล้อ เพราะมันแปลว่าคุณกำลังบอกว่าอีกฝ่ายไม่มีมีความสามารถพอจะทำอะไรสำเร็จได้ด้วยตัวเอง ต้องพึ่งใบบุญสิ่งที่พ่อแม่ให้มาอย่างเดียว แถมการทำอย่างนั้นมันยังเป็นวิธีอนุญาตให้ตัวเองขี้เกียจด้วยเพราะถ้าคุณเลือกจะพูดกับใครไปแบบนั้นแล้วบอกว่าตัวเองไม่มีพรสวรรค์ มันก็กลายเป็นว่า เออ…พอใจสิ่งที่มีเนี่ยแหละ ทำไมจะต้องพยายามให้ได้ผลลัพธ์ความสำเร็จระดับเดียวกับคนมีพรสวรรค์ด้วย เหนื่อยเปล่า

 

 

ทำยังไงถึงจะสร้างลายเซ็นความสำเร็จของตัวเองได้

การทำงานหนักมันเป็นเคล็ดความสำเร็จชั้นสูงที่ใครก็ทำได้ ถ้ายังไม่รู้ว่าจะต้องขยันยังไงเริ่มต้นจากขั้นตอนพวกนี้ได้

 

1. ถามตัวเองว่าสนใจอะไรเป็นพิเศษ

จะเป็นคนพิเศษก็ต้องตั้งต้นจากสิ่งที่สนใจเป็นพิเศษ เพราะว่ามันจะเป็นแรงขับในการปล่อยพลังออกมาได้ดี ถ้ายังไม่รู้ว่าชอบอะไร ให้ย้อนคิดก่อนว่าอะไรมันแว้บเข้ามาในความคิดเราบ่อยสุด อะไรที่เราแคร์ที่สุด อะไรที่เรายอมเสียเวลาไปทำ อะไรที่ทำให้เรามีความสุขความพอใจ ถ้ายังไม่ชัวร์ว่าสิ่งนั้นจะใช่จริงๆ ก็ลองค้นใหม่ ให้เวลากับการใส่งานอดิเรกเพิ่มอีกหน่อย เพิ่มความสนใจอีกสักเรื่องสองเรื่องในชีวิตแล้วมาลองดูว่ามันใช่แล้วหรือยัง

 

2. เสริมใยเหล็กสร้างความแข็งแกร่งด้านนั้น

ความเก่งมันจะสร้างได้จากความลึก เช่น ถ้าคุณเก่งศิลปะ คุณก็จะเก่งขึ้นอีกถ้าหางานคนอื่นมาดู หรือหาปรมาจารย์มาสอนเพิ่มสกิลคุณให้เก่งขึ้น ตลอดจนอุปกรณ์หรือที่จะมาช่วยให้คุณก้าวเร็วขึ้นอีกก้าว ลองสำรวจดูว่าสิ่งที่เราอยากจะเก่งมันยังต้องเพิ่มอะไรอีก แล้วเรียนรู้ฝึกฝนมันซะ ดีแน่นอน

 

3. ฟัง feedback ประเมินผลตัวเอง

มุ่งพุ่งเข้าชน ฝึกฝนไปเท่าไร ก็ต้องเหลือเวลามาฟังความเห็นกลับบ้าง อย่ามัวแต่พุ่งไปไม่รู้จุดหมายปลายทาง เพราะการฟังความเห็นมันจะลดเวลาเราได้อีก ฝ่ายให้ความเห็นก็เหมือนคนที่ช่วยเราปรับหางเสือให้ไปในทางที่ถูก เช่น จากเคยเป็นคนร้องเพลงเพี้ยน หนนี้ก็ไม่เพี้ยนแล้วแต่ส่วนที่ต้องแก้อาจจะเป็นการเพิ่มเสียงให้ดังชัดขึ้น หยิบเอาความเห็นที่ได้รับจากคนอื่นที่ให้ไว้มาใช้เป็นใบเบิกทางความสำเร็จ อย่าฟังแล้วท้อหยุดก้าวต่อไปข้างหน้า แต่ใช้มันแรงผลักให้โฟกัสเรื่องความพยายามกับงานตรงหน้าเข้าไว้

 

กอดผลงานสร้างความเชื่อมั่นส่วนตัว

ตอนนี้คงรู้กันแล้วว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่พรสวรรค์ แต่เป็นเรื่องการทำงานหนัก ก็ถึงเวลาเดินทางย่นระยะเข้าไปหาความฝันได้แล้ว เลิกอิดออดสักที เดินไปในทางที่ใจบอกแล้วพลีพลังทั้งหมดที่มีให้ความฝันเพื่อสร้างสกิลแกร่งสักครั้งเดี๋ยวความสำเร็จจะมาหา ที่สำคัญหนนี้ถ้าใครมาพูดใส่ว่ามี “พรสวรรค์” อีกล่ะก็หันไปตอบกลับได้เลยว่า “พรแสวงต่างหากคือความต่างระหว่างนายกับเรา”

เฉลยเบ็ดเสร็จเรื่องพรสวรรค์กับพรแสวง และหนทางพุ่งไปหาฝันแล้ว ภารกิจสุดท้ายที่เหลือก็มีแค่ลงมือทำเท่านั้น เพราะต่อให้ทฤษฎีจะแน่นแค่ไหน ใจจะพร้อมเท่าไร แต่ถ้ายังขาดการปฏิบัติไปอีกอย่างก็เท่ากับเรายังนั่งบนเก้าอี้โยกเหมือนตัวเดิม เคลื่อนไหวเหมือนจะไปข้างหน้าแต่สุดท้ายก็ไปไม่ถึงไหน ว่าไหม!

SOUCE

anonymK
WRITER: anonymK
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line