เป็นรถลุยป่า ก็ต้องมีที่ให้นอนพักค้างคืนได้ และมันต้องสามารถติดตั้งกับรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นเหตุผลที่ Autohome คิดค้นและพัฒนาร่วมกันกับ Land Rover เพื่อให้มั่นใจว่าจะผลิต Roof tent ที่ตอบโจทย์ทั้งฟังก์ชัน และเหมาะสมกับรถ Defender 110 ใหม่ได้สมบูรณ์แบบที่สุด Autohome Roof Tent ผลิตจาก fiberglass น้ำหนักเบา ออกแบบให้ติดตั้งง่ายดายด้วยมือเดียวได้ภายในไม่กี่วินาที ใช้เทคโนโลยีโครงสร้างระบบ Gas Struts-assisted ด้านในเป็นที่นอน full-size เต็มพื้นที่สำหรับผู้ใหญ่นอน 2 คนได้สบาย ๆ พร้อมเครื่องนอนหมอนและไฟ LED ส่องสว่างในเวลากลางคืน การขึ้นลงจากหลังคารถทำได้อย่างมั่นคงด้วยบันได aluminum ที่สามารถถอดเก็บได้ง่ายดาย ไม่ต้องกลัวว่าใส่ Roof Tent แล้วจะมีปัญหากับการขับขี่ เพราะ Autohome และ Land Rover ได้ทำการทดสอบตามหลัก aerodynamic มาเป็นอย่างดี ให้การลุยป่าผจญภัยของคุณไปได้ไกลกว่าเดิม Autohome Roof Tent มาพร้อมราคา
ห่างหายจากตำแหน่งรหัสที่แรงที่สุดในตระกูล Mustang มากว่า 17 ปี โดยยอมให้ Cobra ที่พัฒนาโดย SVT (Special Vehicle Team) ครองตำแหน่ง top of the line ของม้าป่าไปตั้งแต่ปี 1979 วันนี้ Ford ได้เปิดตัวรหัส Mach 1 กลับมาทำตลาดอีกครั้ง แต่จะยังคงตำแหน่งทางการตลาดให้แรงที่สุดในโมเดล Mustang แต่น้อยกว่าตระกูล Shelby และ Cobra ซึ่งวันนี้ All-new version ก็ได้เผยโฉมออกมาแบบเต็ม ๆ เรียบร้อยแล้ว Ford Mustang Mach 1 เครื่องยนต์ 5.0-liter Coyote V-8 480 แรงม้า 570 นิวตัน-เมตร (แรงขึ้นกว่า 2020 Mustang GT 20 แรงม้า
วันนี้แบรนด์ Luxury ไหนยังไม่ย้ายตัวเองเข้ามาอยู่ใน Subculture นอกสายแฟชั่น อาจจะถูกนับว่าเป็นแบรนด์ที่ห่างไกลไลฟ์สไตล์คนมากเกินไป ล่าสุดเป็นการ Collaboration สุดปังของ Christian Dior และ Vespa สองแบรนด์ที่เกิดพร้อมกันในปี 1946 จึงมีอายุ 74 ปีเท่ากัน เรียกว่าชื่อชั้นความเก๋าขลังอยู่ในขั้นตบไหล่กันได้สบาย ๆ Vespa ได้นำเอาโมเดลยอดฮิต 946 ซึ่งเป็นโมเดลกลางเก่ากลางใหม่ เพราะพึ่งจะถือกำเนิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2013 แต่ด้วยดีไซน์แบบ retro-futurist ที่ผสมผสานทั้งความคลาสสิคของ Vespa ยุคเก่า ให้เข้ากับความทันสมัยของเทคโนโลยี และปรับโฉมให้คล่องตัวขึ้นกว่าเดิม มันจึงผ่านการ Collab ทำรุ่นพิเศษมาหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น Emporio Armani edition สีดำด้านสุดเท่ หรือ RED edition สีแดงสดเพื่อการกุศล ก็ล้วนประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีทั้งนั้น ล่าสุดเป็นการสร้างสรรค์ดีไซน์พิเศษที่เน้นจับกลุ่มหญิงสาวมีสไตล์และชอบใช้ของหรูหราโดยเฉพาะ ผลงานของ Maria Grazia Chiuri, Dior’s director โดยเลือกใช้โทนสีครีมรอบคัน เพิ่มความหรูด้วยลายเส้นสีทองตามจุดต่าง
หลายคนอาจจะเคยสงสัยเหมือนเรา ว่าเพราะอะไร ถึงค่ายรถถึงนิยมดีไซน์รถยนต์ Coupe SUV ออกมาขาย ทำไมเราถึงต้องเอารถที่มีจุดเด่นเรื่องพื้นที่ห้องโดยสารและที่เก็บสัมภาระ ลดขนาดมันให้เล็กลง เพื่อแลกกับความโฉบเฉี่ยวสวยงามที่เพิ่มขึ้น แถมยังต้องจ่ายเงินแพงกว่าหลายแสนบาท? จนกระทั่งเราได้รีวิวมัน ถึงได้เข้าใจว่าอารมณ์ของรถ Coupe SUV และการขับขี่ในความเร็วสูงนั้น มันแตกต่างกันจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม BMW และ Porsche ถึงต้องมีรถทรงนี้ออกมาขายกันอย่างจริงจัง ที่จริง BMW เป็นผู้ริเริ่มการทำ Coupe SUV ไม่ว่าจะเป็น X4, X6 ซึ่งมีความสวยงามโฉบเฉี่ยวมากขึ้น และก็ทำกำไรได้มากกว่ารุ่นทั่วไป เช่นเดียวกับ Mercedes-Benz ที่ตั้งราคาขายรุ่น Coupe SUV ไว้สูงกว่าปกติพอสมควร อย่างใน GLC 220d 4MATIC Coupe’ AMG Dynamic Facelift คันนี้ราคา 4,040,000 บาท ซึ่งต่างจากรุ่นหลังคาปกติ GLC 220d Off-Road ราคา 3,239,000
ถ้าเอ่ยถึงชื่อ Ford Mustang พวกเราคงมีรุ่นที่ชอบเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น King Cobra, Bullit, GT หรือ Shelby GT500 รถทุกคันล้วนเป็นสายพันธุ์ม้าป่าตัวแรงที่ได้รับความนิยมข้ามยุคสมัย และแฟนพันธุ์แท้ของมัสแตงหลายคนคงทราบกันดีว่ามีอีกหนึ่งรุ่นคลาสสิกเตรียมกลับมาโลดแล่นอีกครั้งในปี 2021 ชื่อของมันคือ Ford Mustang “Mach 1” การคืนชีพของ Ford Mustang Mach 1 รุ่นปี 2021 เป็นการสานต่อตำนาน Mach 1 ที่ถือกำเนิดมานาน 52 ปี และเชื่อว่าการกลับมาครั้งนี้ทำให้แฟนมัสแตงหลายคนต้องประทับใจแน่นอน แต่ก่อนที่จะไปพบกับโฉมใหม่ของ Mach 1 ที่ยังถูกปิดบังไว้ วันนี้ไปทำความรู้จักจุดเริ่มต้นของม้าป่าสายพันธุ์นี้ใหัมากขึ้นกันก่อน ย้อนกลับไปในปี 1960 ช่วงเวลาที่ฟอร์ดต้องการเพิ่มรุ่นของในสายการผลิตของ Mustang ซึ่งเน้นเรื่องความเร็วที่มากกว่ารุ่นปกติ เพื่อเป็นตัวเลือกให้กับอเมริกันผู้ชื่นชอบเครื่องใหญ่ม้าเยอะ จึงเริ่มพัฒนารถต้นแบบในเดือนสิงหาคม 1968 และเปิดตัวในปีต่อมา โดยใช้ชื่อว่า Ford Mustang Mach 1 ซึ่งรถยนต์คัน Prototype
การกลับมาอีกครั้งของ Vintage model อย่าง Aston Martin DB5 หลังสิ้นสุดสายพานการผลิตไปเมื่อ 55 ปีที่แล้ว แต่คราวนี้ไม่ได้มาแค่ DB5 ธรรมดา เพราะมันคือเวอร์ชันพิเศษ ‘Goldfinger’ พกอาวุธและเทคโนโลยีของสายลับ James Bond ใส่มาครบ ๆ ผลิตจำกัดเพียง 25 คัน ในราคาขายที่แพงระยับสมกับความพิเศษ คันละ 3.4 ล้านเหรียญ (120 ล้านบาท) ผลงานสุดพิเศษนี้มาจากทางฝั่ง Aston Martin Heritage Division ซึ่งปัจจุบันหลายค่ายมักจะมีแผนกที่รับผิดชอบด้านการนำรถคลาสสิคมาผลิตขายใหม่แบบนี้ เช่น Jaguar E-type เป็นต้น แต่สำหรับ Aston Martin นี่เป็นโมเดล vintage ลำดับที่ 3 ที่ถูกนำกลับมาผลิต โดยก่อนหน้านี้มี DB4 GT Zagato และ DB4 GT ถูกปลุกชีพมาผลิตขายใหม่แบบจำนวนจำกัด
คงยากจะปฏิเสธว่าทุกวันนี้รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงถือเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ชายอย่างเรา ๆ ควรจะหันมาทำความรู้จักเทคโนโลยีด้านยนตรกรรมชนิดนี้ให้เข้าใจมากขึ้น ทั้งระบบการทำงานรวมไปถึงส่วนประกอบพื้นฐานของรถยนต์ไฟฟ้า เพราะเราเชื่อว่าอีกไม่นาน ความรู้ในด้านนี้จะมีประโยชน์สำหรับการเลือกรถยนต์ไฟฟ้าสักคันมาใช้งานแน่นอน สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถ EV ส่วนประกอบสำคัญที่สุดที่พวกเราควรทำความรู้จักให้ดี นั่นก็คือ แบตเตอรี่ ที่เปรียบได้ดั่งหัวใจของรถยนต์ไฟฟ้า ถ้าน้ำมันและเครื่องยนต์เผาไหม้คือหัวใจที่ขับเคลื่อนรถยนต์ทั่วไป แบตเตอรี่ขับเคลื่อนที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถคือแหล่งพลังงานหลัก ทำหน้าที่ส่งกำลังไฟฟ้าไปยังมอเตอร์เพื่อเริ่มต้นการขับเคลื่อนรถ คำถามที่สำคัญคือ รถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานอยู่ในบ้านเรา ระบบแบตเตอรี่แบบไหนที่จะทำให้ขับขี่ได้อย่างเต็มสมรรถนะมากที่สุด? ปกติการทำงานของ ‘แบตเตอรี่ขับเคลื่อน’ จะสามารถทำงานได้ดี และดึงสมรรถนะสูงสุดเมื่ออยู่ภายใต้อุณหภูมิที่เหมาะสม การทำงานของแบตเตอรี่ขับเคลื่อนจึงต้องมีระบบควบคุมอุณหภูมิซึ่งจะช่วยให้แบตเตอรี่ขับเคลื่อนสามารถทำงานได้ดีภายใต้สภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งต้องบอกก่อนว่าระบบนี้มีความแตกต่างกันไปในรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละแบรนด์ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่หลากหลายตามแต่ละภูมิภาค โดยระบบควบคุมอุณหภูมิแบตเตอรี่ขับเคลื่อนจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ระบบ ดังต่อไปนี้ ระบบ Heating System: ระบบควบคุมอุณหภูมิแบตเตอรี่ขับเคลื่อน Heating System สร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานในประเทศที่มีอากาศหนาว หรืออุณหภูมิติดลบ โดยภายใต้สภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิต่ำ ระบบจะทำหน้าที่ส่งผ่านความร้อนเพื่อเพิ่มอุณหภูมิของแบตเตอรี่ขับเคลื่อนให้สูงขึ้น ทำให้มีอุณหภูมิเหมาะสมกับการขับขี่ใช้งานต่อไป ระบบต่อมาคือ ระบบ Cooling System: เป็นระบบที่เหมาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้งานในประเทศเขตร้อน เช่นประเทศในทวีปเอเชียและประเทศไทย ที่มีอุณหภูมิสูงในบางฤดูกาล โดยระบบ Cooling System จะทำหน้าที่ในการควบคุมความร้อนของแบตเตอรี่ขับเคลื่อน
ต้องขอบคุณ Ferrari และ Lamborghini Miura ในวันนั้น ที่ทำให้ Ferruccio Lamborghini (เฟอร์ลูซิโอ แลมเบอร์กินี) มีวันนี้ เพราะถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป Mr. Lamborghini คงเป็นได้เพียงแค่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่มีทางได้เติมเต็มความฝันในการสร้างแบรนด์ Supercars ที่ดีที่สุดในโลกอย่างที่เจ้าตัวใฝ่ฝันเอาไว้ ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า Lamborghini มีจุดเริ่มต้นจากบริษัทผลิตรถไถที่เกิดจากความอัจฉริยะของ Mr. Ferruccio Lamborghini ใช้ทั้งสมบัติเก่าและเศษซากหลังสงครามโลก บวกกับความรู้ด้านเครื่องยนต์ สร้างรถไถที่ไม่มีใครตามทัน ก่อนจะร่ำรวยจนซื้อ Supercars ดี ๆ เก็บไว้ขับเล่นมากมาย รวมถึง Ferrari แต่ระหว่างที่ขับไป ก็พบหลายสิ่งที่เจ้าตัวไม่ชอบ และรู้สึกว่า Ferrari ที่ถือว่าเป็นรถที่ดีที่สุดในยุคนั้นยังไม่สามารถมอบสิ่งที่ Lamborghini ต้องการได้ ระหว่างทางก็นึกได้ว่า ‘กูก็ทำเองซะเลยมั้ยล่ะ” จึงตัดสินใจก่อตั้ง Automobili Ferruccio Lamborghini S.p.A ขึ้นมาในปี 1963 โดยใช้ทั้งความรู้ ความรวยจากการทำธุรกิจมาลงทุนซื้อตัวคนสำคัญจาก Ferrari อย่าง
ขวัญใจชาวซูบี้ที่ต้องรีบหามาไว้ในครอบครอง กับตัวแรงรหัสร้อน Subaru WRX S4 STI Sport# ที่ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คัน มากับขุมพลังเดิม 2.0-liter เทอร์โบ 300 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือการปรับแต่งช่วงล่างให้เหนียวแน่นหนึบพร้อมรับทุกสถานการณ์ และเปลี่ยนอุปกรณ์บางจุดเพื่อให้ขับขี่แบบสปอร์ตได้สนุกสนานมากขึ้น Subaru WRX S4 STI Sport# เป็นรุ่นพิเศษที่อัพเกรดมาจากรุ่นย่อย WRX S4 STI Sport EyeSight ค่อนข้างจะแยกยากถ้าไม่ใช่แฟนซูบี้ตัวจริง ภายนอกมีชุดแต่งใหม่ที่เพิ่มอารมณ์สปอร์ตมากขึ้น กระจังหน้าสีดำ Dark Clay Silica กันชนหน้าเพิ่มช่องระบายอากาศขนาดใหญ่ ด้านหลังเพิ่มสปอยเลอร์ดำ กันชนหลังเพิ่มรูระบายอากาศและเปลี่ยน rear diffuser ให้โหดขึ้นพร้อมปลายท่อออกด้านละสอง ล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 18 นิ้วสีดำตามสไตล์นักซิ่ง ภายในมาพร้อมโทนสีดำขรึมทั้งห้องโดยสารสลับตะเข็บด้ายสีน้ำเงิน เบาะคู่หน้าทรงสปอร์ตจาก Recaro ปักโลโก้ STI หุ้มหนังกลับสลับหนังแท้เช่นเดียวกับพวงมาลัย
แม้ผลกระทบจากโควิดจะทำให้ตลาดรถยนต์ทั่วโลกซบเซาไปบ้าง แต่หนุ่ม ๆ ที่รักรถยนต์โดยเฉพาะสาวกของ Porsche 911 ยังคงมีเรื่องให้ได้กระชุ่มกระชวยหัวใจกันอีกครั้ง เพราะโปรเจกต์ที่พัฒนาและผลิตเอาไว้ก่อนหน้านี้ได้เปิดตัวออกมาแล้วกับ Porsche 911 ตัวถังรหัส 992 Targa 4 และ Targa 4S ถ้าพูดถึงรถยนต์อย่าง Porsche 911 ผู้ชายส่วนใหญ่คงนึกถึงรุ่นสองประตู (Coupe) หรือเปิดประทุน (Convertible) มาเป็นภาพแรกในหัว แต่สำหรับ Porsche รุ่นเปิดประทุนดีไซน์คลาสสิกสไตล์ Targa ก็เป็นอีกรูปแบบที่ทุกคนอยากครอบครอง พวกเขาจึงได้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดสร้างมันขึ้นมาให้เกิดใหม่อีกครั้งภายใต้รหัส 992 *Cool Fact: นอกเหนือจาก Porsche ยังมีรถรุ่นอื่นที่ใช้การเปิดหลังคาสไตล์ Targa อยู่ใน Chevrolet Corvette, Lamborghini Aventador Roadster, Ferrari 812 GTS เป็นต้น แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นคู่แข่งกันซะทีเดียว เพราะอยู่กันคนละกลุ่มราคา แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะ Porsche เคยสร้าง 911
ถ้าเราพูดถึง BMW 8-Series ในวันนี้ คนส่วนใหญ่จะนึกถึง BMW แบบ Grand Tourer สปอร์ต 2 ประตู รุ่นใหญ่สุดเก๋าของค่ายที่พึ่งจะเปิดตัวไปไม่นานในรหัส G14 (Coupe’) และ G15 (Covertible) ที่เรียกได้ว่ามีดีไซน์ที่สุดสวยงามผสมผสานความสปอร์ตและความหรูหราเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แน่นอนว่ามันเป็นรถในฝันที่หลายคนต้องอยากได้ไว้ในครอบครอง แต่ถ้าพูดถึงรหัสเลข 8 เราต้องย้อนไปพูดถึงโมเดลที่สร้างมาตรฐานความเป็นที่สุดของ BMW ซึ่งถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1989 และปัจจุบัน BMW 8-Series รหัส E31 ซึ่งเป็นผู้สร้างความขลังให้กับตัวเลข 8 ของค่ายใบพัดฟ้าขาว ก็ยิ่งทวีความ Rare เพิ่มมูลค่าในหมู่นักสะสมและผู้คนที่มีโอกาสได้เห็นมัน ส่งผลให้รถ 2-Door Coupe’ ที่มีจุดเด่นคือไฟ Pop-up headlight เพียงหนึ่งเดียวของตำนาน BMW ยังคงเป็นรถที่สวยงามเอาชนะกาลเวลา และไม่ว่าใครก็ต้องหันไปมองกันจนคอเคล็ดเสมอแม้เวลาจะผ่านมากว่า 20 ปีแล้วก็ตาม ในอดีตหลายคนเข้าใจผิดว่า BMW 8-Series คือรถโมเดลที่ต่อยอดมาจาก BMW 6-Series
จากตำนานการแข่งขันในยุค 60s ส่งต่อแรงบันดาลใจสู่งานดีไซน์ “เวสป้า เรซซิ่ง ซิกส์ตี้” (Vespa Racing Sixties) กับ 2 รุ่นพิเศษ ทั้ง “เวสป้า สปริ้นท์ 150 ไอ-เก็ต เอบีเอส เรซซิ่ง ซิกส์ตี้” (Vespa Sprint 150 i-Get ABS Racing Sixties) และ เวสป้า จีทีเอส ซูเปอร์ 300 เอชพีอี เรซซิ่ง ซิกส์ตี้ (Vespa GTS Super 300 HPE Racing Sixties) ด้วยคาแรคเตอร์สปอร์ตที่ยังคงกลิ่นอายคลาสสิกเอาไว้ ผ่านลวดลายกราฟิก บนตัวรถทั้ง 2 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น ลายกราฟิกสีเหลืองและทองบนรถสีเขียวเมทัลลิก (สี Green Racing Sixties) และลายกราฟิกสีแดงและทองบนรถสีขาว (สี White