หนุ่ม ๆ ที่ชื่นชอบยนตรกรรมจากฟอร์ด โดยเฉพาะโมเดลซูเปอร์คาร์อย่าง GT น่าจะถูกใจกับรุ่นพิเศษล่าสุดที่ถูกเปลี่ยนวัสดุตัวถังและล้อแม็กรวมถึงปรับสีให้ดุดันไม่แพ้พลังม้าที่มีใต้ฝากระโปรง และชื่อของมันคือ Ford GT Liquid Carbon Ford GT Liquid Carbon มีพื้นฐานมาจาก Ford GT รุ่นปี 2020 ถูกแผนก Ford Performance หยิบไปปรับแต่งและใส่แรงบันดาลใจจากโมเดล Ford GT Mk ll Track-Only ออกมาเป็น GT ที่มาพร้อมวัสดุคาร์บอนพิเศษสีดำชั้นนอกสุดเคลือบสีเงาเพื่อโชว์เส้นคาร์บอนโดยรอบตัวรถ นอกจากตัวถังคาร์บอนแล้ว Ford GT Liquid Carbon ยังมาพร้อมล้อแม็กคาร์บอนไฟเบอร์ที่ให้ติดมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน น็อตล้อเสริมความแกร่งด้วยไทเทเนียม พร้อมคาลิปเปอร์เบรกให้หนุ่ม ๆ เลือกเพิ่มสีสันให้กับรถคันเก่งถึง 5 สีด้วยกัน นอกจากนี้ผู้สั่งซื้อยังสามารถสั่งคัสตอมฝาครอบกระจกและแถบสีเสริมตามส่วนต่าง ๆ ของตัวรถได้ ถือเป็นการเพิ่มความแตกต่างตั้งแต่ออกจากโรงงานกันไปเลย Liquid Carbon ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่ภายนอกแต่ยังถูกปรับแต่งในเรื่องของสมรรถนะและระบบอากาศพลศาสตร์เพิ่มเติมอีกด้วย โดยเครื่องยนต์ที่ใช้เป็นเครื่อง V6 ตัวใหม่ที่มีพลังเพิ่มขึ้น 13
ถ้าพูดถึงรถสปอร์ตจากนิสสันหนุ่ม ๆ หลายคนคงนึกภาพของ Nissan Skyline หรือ GT-R เป็นภาพตัวแทนความแรงของแบรนด์รถยนต์จากแดนอาทิตย์อุทัยแบรนด์นี้ แต่จริง ๆ แล้ว อีกหลายคนคงรู้ว่านิสสันยังมีรถยนต์สายพันธุ์สปอร์ตอีกหนึ่งตระกูลที่เป็นตำนานไม่แพ้ Godzilla นั่นก็คือรถตระกูล Z-Cars และคอลัมน์ THE ICONIC CARS ครั้งนี้จะมาพูดถึงต้นแบบของ Z-Cars ด้วยชื่อแสนอ่อนหวานผิดวิสัยรถสปอร์ตดุดัน จนเคยโดนสบประมาทว่าเป็นชี่อที่ไม่ดีพอสำหรับใช้ทำตลาดในสหรัฐอเมริกา ชื่อของรถยนต์คันนั้นคือ Nissan Fairlady Z กำเนิด Fairlady Z ต้นกำเนิดของ Nissan Fairlady Z เกิดขึ้นในปี 1969 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงได้ไม่นาน ตลาดรถยนต์ในยุคนั้นคือช่วงแห่งการแข่งขันและขยายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ไปสู่ทวีปต่าง ๆ และนิสสันในเวลานั้นอยู่ภายใต้การนำทีมของประธาน Yutaka Katayama หรือ Mr.K ผู้รู้ดีถึงความสำคัญของรถสปอร์ตโดยเฉพาะถ้าพวกเขาต้องการตีตลาดรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา โดยเน้นในเรื่องของการทำราคาที่อยู่ในระดับซึ่งจับต้องได้ควบคู่กันไป ซึ่งประจวบเหมาะกับที่นิสสันกำลังลุยสร้าง Prototype สายพันธุ์สปอร์ตขึ้นมาจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น Prince Skyline ที่ต่อมาถูกพัฒนาและเปลี่ยนชื่อเป็น Nissan
หากใครที่เป็นนักขี่ก็คงจะรู้ดีว่า การเลือกรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจสักคันนั้น ไม่ใช่แค่การเลือกยานพาหนะที่พาเราจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ซึ่งถ้าหากจะพูดในแง่ของฟังก์ชั่นมันก็คงใช่ แต่ถ้าหากพูดถึงในแง่ของแพชชั่น ของความหลงใหลแล้วล่ะก็ คงต้องบอกว่า มันมีความละเอียดละออกว่านั้นเยอะ เพราะการเลือกรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจสักคัน มันต้องคำนึงถึงหลากเหตุหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน รูปแบบการใช้งาน เรื่องของดีไซน์ ซึ่งทุกอย่างล้วนมีความชอบแตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนั้น เมื่อเราเห็นรถจักรยานยนต์คันโปรดของใครสักคน เราก็คงจะพอเดาได้ทันทีว่าคนคนนั้นมีรสนิยมอย่างไร เช่นเดียวกับ คือ คุณสัน–สรวิศิษฎ์ บรรจงลักษมี สุภาพบุรุษที่ผู้ชายสาย Vintage ทั้งหลายรู้จักกันดี และการันตรีได้อย่างเต็มปากเลยว่า คนนี้เขา Vintage ตัวพ่อของจริง ที่ชื่นชอบ และเป็นเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์ BMW สาย Vintage อยู่หลายคัน คุณสัน–สรวิศิษฎ์ บรรจงลักษมี หลายคนที่อยู่ในสาย Vintage คุ้นกับชื่อนี้เป็นอย่างดี เพราะจริง ๆ แล้ว เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นผู้ก่อตั้งร้าน Smiths Vintage Club ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่ของคนที่ชื่นชอบ และหลงใหลในรถมอเตอร์ไซค์สไตล์ Vintage ซึ่งก็แน่นอนว่า การที่คนเราจะทำอะไรเป็นอาชีพจนประสบความสำเร็จได้นั้น จุดสำคัญมันต้องเริ่มต้นจากตัวตนที่แท้จริงของเราก่อน และตัวตนที่แท้จริงของเราก็จะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นไลฟ์สไตล์ เป็นความชอบให้คนภายนอกได้เห็น ซึ่งคุณสันเองก็ได้ใช้ความชอบ และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแบบของตัวเองนี่แหละ
หลายคนน่าจะทราบกันดี ถึงสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจในศึกชิงแชมป์คนชนคนอย่าง Super Bowl นอกเหนือจากผลการแข่งขัน และ Half-Time Show นั่นก็คือ TVC หลากหลายประเภทสินค้า จนถือป็นอีกหนึ่งเวทีขายของประลองไอเดียโฆษณาจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ รวมถึงเป็นพื้นที่โชว์ตัวอย่างหนังตลอดจนซีรีส์ใหม่ ๆ อีกหลายต่อหลายเรื่อง โดยแบรนด์ใหญ่แต่ละแบรนด์ ค่ายหนังแต่ละค่าย ต่างคนต่างพร้อมใจกันควักกระเป๋าจ่ายเงินมหาศาล เพื่อแลกกับการที่ Ads หรือ Teaser หนังของตัวเองได้เผยแพร่สู่สายตามากกว่าร้อยล้านคู่จากผู้ชมทั่วโลก อย่างในปีล่าสุด FOX Sports เจ้าของลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสด ได้ออกมาเปิดเผยว่าแมทช์หยุดโลกระหว่างทีม Kansas City Chiefs และ San Francisco 49ers นั้นมีอัตราค่าโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 5.6 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 173 ล้านบาท ต่อ 30 วินาที แถมยังขายดิบขายดีจนสล็อตโฆษณาขายหมดล่วงหน้าไปตั้งแต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 ที่ผ่านมา และค่ายรถพันธุ์แกร่งสัญชาติอเมริกันอย่าง Jeep ก็เป็นอีกหนึ่งเจ้าที่ทุ่มเม็ดเงินซื้อเวลาเผยแพร่ TVC ใน Quarter
Lotus Cars Limited ค่ายรถสัญชาติอังกฤษเปิดตัวรุ่นใหม่ของ Lotus Evora สายพันธุ์แรงไซซ์เล็กของค่ายที่มาพร้อมงานดีไซน์ใหม่บางจุดและน้ำหนักเบากว่าเดิม Evora คือรถสปอร์ตที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2008 ก่อนจะถูกพัฒนาและเริ่มผลิตครั้งแรกในปี 2009 ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมามีรุ่นรถย่อยออกจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น Evora S, Evora 400 และ Evora GT จนกระทั่งในปี 2018 โลตัสได้ปล่อย Evora GT410 Sport ลงสู่ตลาด ซึ่งมันได้เสียงตอบรับที่ดีในเรื่องความเร็วและความคล่องตัว แม้ยอดขายจะไม่ได้สูงมากเนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังมองว่ามันไม่เหมาะสมกับการใช้งานประจำวัน เรื่องนี้เป็นเหตุผลทำให้โลตัสต้องการปรับปรุงโมเดล Evora ให้เหมาะกับการขับขี่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ด้วยการเพิ่มความหรูหราและเทคโนโลยีสนับสนุนการขับขี่เข้าไปจนออกมาเป็น Evora GT410 คันนี้ ดีไซน์ภายนอกของ Evora GT410 ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ส่วนใหญ่ที่เคยใช้ใน Evora GT410 Sport ยกเว้นแต่ส่วนกระจกด้านหลังของ Evora GT 410 ที่ใช้เป็นวัสดุกระจกมากขึ้น รวมถึงสปอยเลอร์ดีไซน์ใหม่ ทางด้านยางมาตรฐานติดรถจะเป็น Michelin Pilot
หากพูดถึงรถยนต์รุ่น DeLorean DMC-12 บางคนอาจไม่เคยรู้จัก แต่หลายคนคงรู้ว่านี่คือรถในตำนานที่เท่เหนือกาลเวลา โดยรถระดับตำนานรุ่นนี้ปรากฏตัวครั้งแรกในยุค 80’s ก่อนที่กาลเวลาจะทำให้มันกลายเป็นของหายากที่หนุ่ม ๆ ทั่วโลกอยากครอบครอง ตอนนี้มีข่าวว่า DMC-12 เตรียมกลับมาอีกครั้งในปี 2021 ดังนั้นก่อนที่ DeLorean DMC-12 จะกลับมาโลดแล่นบนท้องถนนอีกครั้ง THE ICONIC CARS อยากพาทุกคนไปทำความรู้จัก Timeless Car คันนี้ไปพร้อมกัน DMC-12 DMC-12 เป็นรถยนต์ที่ผลิตโดย DeLorean Motor Company ค่ายรถเมืองลุงแซมที่ John DeLorean เป็นผู้ก่อตั้ง โดย Prototype คันแรกของ DMC-12 ผลิตขึ้นในปี 1976 เป็นงานออกแบบของ Giorgetto Giugiaro นักออกแบบผู้ก่อตั้ง Italdesign สำนักออกแบบรถชื่อดังจากอิตาลี ก่อนต่อยอดพัฒนา Prototype จนกระทั่งปี 1981 DeLorean DMC-12 คันแรกก็ถูกส่งออกสู่ตลาด DeLorean
หนุ่ม ๆ หลายคนโดยเฉพาะคอเพลง Metal และ Thrash Metal คงรู้จะรู้เจมส์ เฮตฟิลด์ ฟรอนต์แมนของโคตรวงดนตรีอย่าง Metallica ที่คงไม่ต้องอธิบายให้มากความถึงความสามารถทางดนตรีที่มีอิทธิพลกับผู้คนจำนวนมาก แต่นอกจากความหลงใหลในด้านดนตรีแล้ว หลายคนอาจไม่เคยทราบว่าป๋าเจมส์ก็เป็นหนึ่งในคนรักรถและนักสะสมรถตัวยง โดยเฉพาะโมเดล Custom ซึ่งวันนี้คอลเลกชันรถส่วนตัวของเขาถูกขนมาจัดแสดงให้ชมกันแล้ว ‘Reclaimed Rust: The James Hetfield Collection’ คือชื่องานจัดแสดงครั้งนี้ซึ่งจะเปิดให้ทุกคนเข้าชมในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ งานเกิดจากแนวความคิดของ James Hetfield ผู้หลงใหลในรถยนต์ที่ต้องการแสดงออกถึงพลังด้านศิลปะรถยนต์คลาสสิกหายากและรุ่น Custom จำนวนมาก รถยนต์ในคอลเลกชันประกอบไปด้วย Jaguar Mark IV รุ่นปี 1948 “Black Pearl” และ Packard รุ่นปี 1934 “Aquarius” ต่อด้วยโมเดลสุดเก๋า Buick Skylark รุ่นปี 1953 “skyscraper” และตำนานคลาสสิกอย่าง Lincoln Zephyr รุ่นปี
สำหรับ Car Guys หรือคนที่ชื่นชอบรถยนต์ เราเชื่อว่ารถยนต์ทุกคันล้วนมีเสน่ห์ มีความสวยงาม และเกิดมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานของใครบางคนเสมอ วินาทีที่เราได้ยินราคาเปิดตัว 2,490,000 บาท ของ Mercedes-Benz A 200 AMG Dynamic (CBU) ในสมองก็เกิดการประมวลผลเปรียบเทียบกับรถยนต์รุ่นอื่น ๆ ที่มีราคาใกล้เคียงกันทันที ไม่ว่าจะเป็น segment ที่ใหญ่กว่าอย่าง C 220d Avantgarde ตัวเริ่มต้น หรือที่ใกล้เคียงกันอย่าง GLA ที่มีพื้นที่เยอะกว่าค่อนข้างมาก หรือ CLA ที่ได้ความหล่ออารมณ์คูเป้ และอีกมากมายจากหลายแบรนด์ ว่า A-class คันนี้จะมีจุดเด่นอะไรให้หลายคนตัดสินใจเลือกเป็นเจ้าของ และทันทีที่เราได้ครอบครองมัน ประสบการณ์ที่ได้สัมผัส A 200 AMG Dynamic มา ก็พบว่ามีจุดเด่นที่น่าประทับใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสดใหม่ หน้าตาภายนอกและภายในที่ออกแบบได้อย่างโดดเด่น หรูหรา สปอร์ต เทคโนโลยีที่ทันสมัยกว่า และได้รถยนต์นำเข้าทั้งคันไปขับก่อนใคร ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงเหตุผลบางส่วน แต่ก็มากพอที่จะทำให้ใครหลายคนตัดสินใจครอบครองรถคันนี้ได้ไม่ยาก Mercedes-Benz A-class
ถ้าพูดถึงเรื่องรถยนต์หนุ่ม ๆ ในเมืองไทยคงคุ้นเคยดีกับค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นจำนวนมากที่ได้รับความนิยมในบ้านเรามาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 1990 ช่วงเวลาที่มีรถญี่ปุ่นสร้างความยิ่งใหญ่ให้ทั่วโลกรู้จักกับคำว่า JDM Cars JDM ย่อมาจาก Japanese Domestic Market หมายถึงรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่ผลิตขึ้นมาตามกฎหมายหรือสอดคล้องกับระเบียบรถยนต์และถนนในญี่ปุ่น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารถญี่ปุ่นจะถูกยกให้เป็น JDM เพราะรถยนต์ญี่ปุ่นมากกว่าครึ่งเป็นรุ่นเดียวกับที่ออกแบบเพื่อส่งขายต่างประเทศโดยเฉพาะ เพราะกฎหมายและระเบียบควบคุมเกี่ยวกับรถยนต์ของแต่ละประเทศแตกต่างกันออกไป รถหรือชิ้นส่วน JDM ถูกผลิตขึ้นมาภายใต้กฎข้อบังคับที่เข้มงวดซึ่งจะต้องผ่านการทดสอบที่เรียกว่า Shaken (車検) ทำให้รถที่ใช้ภายในประเทศและรถสำหรับส่งออกมีจุดที่แตกต่างกัน บางคนบอกว่าคุณภาพสูงกว่า บ้างก็บอกว่าความสวยงามและความแรงโดยรวมเหนือกว่า ที่แน่ ๆ คือรถเหล่านี้สามารถปรับจูนให้แรงขึ้นด้วยงบประมาณไม่สูงเกินไป คนรักความเร็วทั่วโลกรวมถึงในไทยเองจึงชื่นชอบรถยนต์ JDM ไม่ว่าจะสั่งซื้อเข้ามาทั้งคัน เปลี่ยนอะไหล่หรือทำรถแบบลูกผสมก็แล้วแต่ความชอบและงบประมาณ ยุค 90’s ยังถือเป็นช่วงเวลาที่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นเปิดตัวและพัฒนารถยนต์ออกมาจำนวนมาก หลายคันกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยของค่ายโดยปริยาย กลายเป็นยุคสมัยที่นักเลงรถทั่วโลกอยากจะลองของแรงจากแดนอาทิตอุทัยสักครั้งในชีวิต เมื่อบวกกับอายุการใช้งานรถของคนญี่ปุ่นที่ค่อนข้างต่ำและไม่นิยมมีในครอบครองจำนวนมากเกินไป เพราะภาษีและค่าตรวจสภาพรถในญี่ปุ่นมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้มีรถมือ 2 สภาพดีและอะไหล่ JDM จำนวนมากถูกส่งออกไปทั่วทุกมุมโลก แต่ JDM CAR คันไหนถือเป็นที่สุดแห่งยุค 90’s มาย้อนชมโลกรถยนต์ไอคอนิกแห่งยุคสมัยไปพร้อมกัน MAZDA RX-7 เริ่มกันที่ตัวแรงจาก
ศิลปะ คือ ความพากเพียรของมนุษย์ ศิลปะ คือ ผลผลิตแห่งความคิดสร้างสรรค์ ศิลปะ คือ การปลดปล่อยอารมณ์และถ่ายทอดไปยังผู้ชม ไม่ว่านิยาม ‘ศิลปะ’ ของคุณจะเป็นแบบไหนหรือมีมากมายขนาดไหน คงต้องยอมรับว่าศิลปะนั้นเป็นสิ่งจรรโลงใจที่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้ทุกพื้นที่ และสืบเสาะหาศิลปินทุกผู้ทุกนามจนเจอเสมอ แต่ในยุคที่โลกกำลังเดินหน้าและดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดดเฉกเช่นตอนนี้ นิยามของศิลปะในอดีตก็อาจถูกเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ผลงานศิลปะบางชิ้นถูกตัดสินว่าเก่าคร่ำครึและค่อนไปทางโบราณ บ้างถูกตีค่าว่าเป็นศิลปะยุคใหม่ที่ไร้ขนบ แล้วเชื่อว่าศิลปะทั้งสองอย่างนี้คงจะเลือนรางและจางหายไปในสักวัน จะมีก็แต่ ‘ศิลปะร่วมสมัย’ ที่คงอยู่จากรุ่นสู่ คงอยู่ท่ามกลางจุดเปลี่ยนของยุคสมัย และอาจอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน ๆ มาโดยตลอด ย้อนไปในปี 1975 นั่นเป็นครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่บริบทของศิลปะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ศิลปะไม่ได้จำกัดอยู่แค่บนผืนผ้าใบหรือในพิพิธภัณฑ์อีกต่อไป หากสอดแทรกอยู่แทบทุกที่รอบตัวเรา แม้แต่บนหลังคา ปีก หรือฝากระโปรงของรถยนต์หรูก็ตาม BMW ART CAR โปรเจกต์ตำนานที่ผสาน ‘ศิลปะ’ เข้ากับ ‘ความเร็ว’ ของรถยนต์ จุดเริ่มต้นของโปรเจกต์ ‘BMW Art Car’ เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของ Hervé Poulain นักแข่งรถและนักประมูลรถชาวฝรั่งเศส ที่รวบรวมความรักทั้งสองด้านของเขาเข้าด้วยกัน หนึ่งคือศิลปะที่เขาหลงใหล สองคือความเร็วที่เขาหลงรัก ในปี 1975
อิตาลี เป็นประเทศที่โดดเด่นด้วยเรื่องของแฟชั่น และวัฒนธรรมที่มีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกทั้งยังมีความคลาสสิคที่ถูกผสมผสานจนกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ใครหลายคนต่างหลงใหลกับดินแดนแห่งนี้ เท่านั้นยังไม่พอสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยังได้ถูกถ่ายทอดมายัง “Lambretta” สกู๊ตเตอร์อิตาลีพันธุ์แท้ที่ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1947 พวกเขาสั่งสะสมประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงโมเดลรุ่นใหม่ล่าสุด “X300” ที่เพิ่งเปิดตัวในบ้านเราไปได้ไม่นาน “X300” ถูกเนรมิตขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีของ Lambretta มาพร้อมกับคอนเซปต์ “Heritage To Future” มันคือการถ่ายทอดความงดงามในอดีตที่ส่งต่อมาสู่ปัจจุบัน หรือให้อธิบายเข้าใจง่าย ๆ ก็คือการคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณของความคลาสสิค แต่เติมเต็มด้วยความล้ำสมัยนั่นเอง ว่าแต่ความน่าสนใจของ “X300” มีอะไรบ้าง ทาง Unlockmen ขออาสาพาทุกคนไปสัมผัสกับมันกันครับ บอดี้รูปทรง DIAMOND LINES สัมผัสแรกที่เตะตาคงหนีไม่พ้นบริเวณบอดี้ของ “Lambretta X300” ที่โดดเด่นด้วยรูปทรงคล้ายกับเพชรสุดเลอค่า ซึ่งมาจากการออกแบบลายเส้นบริเวณตัวรถอย่างสวยงามนั่นเอง เท่านั้นยังไม่พอ “X300” ยังถูกดีไซน์มาให้ขับขี่ง่ายมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยโครงสร้างของตัวรถแบบ Low & Long ช่วยลดปัญหาเท้าเหยียบไม่ถึงพื้นในขณะจอด อีกทั้งยังมีการบาลานซ์ที่ยอดเยี่ยม หมดห่วงเรื่องการทรงตัว ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสนุกในการขับขี่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว “Lambretta X300” ยังมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 275 CC. มีระบบจ่ายนํ้ามันเชื้อเพลิงด้วยเทคโนโลยีหัวฉีด และระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่วนการสตาร์ทไม่ต้องเสียบกุญแจ แค่วางไว้ใกล้ตัวรถก็สามารถสตาร์ทได้ทันทีด้วยระบบ Smart Key
Nissan Leaf Nismo RC ต้นแบบรถแข่งพลังงานไฟฟ้ารุ่นที่ 2 โชว์ความแรงในทวีปยุโรปเป็นครั้งแรกที่ Circuit Ricardo Torno สนามแข่งรถในเมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน พร้อมพลังที่เพิ่มจากรถรุ่นแรกเกือบเท่าตัว Nissan Leaf Nismo RC รุ่นปี 2020 คือรถแข่งพลังไฟฟ้าที่มีพื้นฐานจาก Nissan Leaf (ZE1) โดยไม่ได้สร้างมาแค่จัดแสดงเท่านั้น แต่เป็นรถสำหรับทดสอบพัฒนาการของเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของนิสสันในอนาคต ทั้งระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ รวมถึง Nissan Leaf ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายถึง 450,000 คัน Leaf Nismo RC มาพร้อมดีไซน์ภายนอกแบบใหม่สไตล์ Racing ที่สร้างและพัฒนาโดย NISMO แผนกรถแข่งของค่าย ออกมาเป็น Nissan Leaf ลุค 2 ประตูแบบต่อท้าย มาพร้อมกับสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ เพื่อตอบโจทย์ระบบ Aerodynamic บนสนามแข่งที่ดีที่สุด