คงต้องยอมรับถึงเทรนด์วิถีชีวิตล้ำ ๆ แห่งอนาคต ซึ่งกำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างออกมาให้เห็นเป็นเทคโนโลยีที่ชัดเจนจับต้องได้ในปัจจุบัน ว่า ณ ตอนนี้ไม่น่าจะมีอะไรโดดเด่นไปกว่าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่เขยิบมาเข้าใกล้ชีวิตประจำวันของมนุษย์เราขึ้นทุกที ผ่านรูปแบบของผู้ช่วยอัจฉริยะที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียง อารมณ์เดียวกับที่อัจฉริยะมหาเศรษฐีปากดีขี้โอ่อย่าง Tony Stark (aka Iron Man) นั้นสั่งการ JARVIS ให้ช่วยงานต่าง ๆ ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง แบบครอบจักรวาล ซึ่งระบบสั่งงานด้วยเสียงที่พวกเราคุ้นเคยกันดี และกำลังมีบทบาทสำคัญในวิถีชีวิตมนุษย์ยุคปัจจุบัน นอกจากระบบผู้ช่วยอัจฉริยะรองรับคำสั่งเสียงอย่าง Siri จาก Apple, Google Now จาก Google และ Cortana จาก Microsoft ที่มีไว้ให้พวกเราได้เอ่ยปากเจรจาถามไถ่ข้อมูล รวมถึงช่วยจัดการงานต่าง ๆ แล้ว ยังมีอีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ที่กำลังร้อนแรงแห่งซิลิคอนวัลเลย์อย่าง Amazon ที่ได้ลงมาลุยเต็มตัว เพื่อผลักดันวิถีชีวิตสะดวกสบาย จัดการชีวิตง่าย ๆ แค่เปล่งเสียงให้ความเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น ด้วยระบบ Alexa ที่มีให้ใช้งานในลำโพง Amazon Echo รวมถึงอุปกรณ์อื่น
ยุคนี้ความวินเทจเป็นอะไรที่กลับมาเป็นเทรนด์ล้ำ ๆ ได้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น เกม หรือแม้แต่ Gadgets ที่มักจะมีอะไรยุคเก่า ๆ ที่เราคิดถึงกลับมาให้เราได้รำลึกกันอย่าง Klipsch ยักษ์ใหญ่วงการเครื่องเสียง ก็ไม่พลาดที่จะปล่อยคอลเลคชั่นวินเทจออกมาให้กระเป๋าตังค์เราได้ร้อนผ่าว ๆ กันตั้งแต่เห็นรูปสินค้า แต่ล้ำไปกว่านั้นด้วยการรองรับความไฮเทคจาก Google Assistant ให้เราสั่งงานด้วยเสียงกันแบบล้ำ ๆ UNLOCKMEN จะพาไปดูกันว่า เจ้าตัวนี้มีอะไรเท่ ๆ อีกบ้าง ลำโพงสุดวินเทจนี้จาก Klipsch ยักษ์ใหญ่วงการเครื่องเสียง ที่มี Gadgets วินเทจอีกหลายอย่างให้เราได้เลือกกัน โดยเจ้าตัวนี้เป็นลำโพงในคอลเลคชั่น Heritage Wireless ชื่อ “THE THREE” ดีไซน์วินเทจนี้ได้แรงบันดาลใจจาก Mid-Century Modern แบบสวยเนี้ยบด้วยงานไม้ และส่วนที่เป็นโลหะจะทำมาจากทองแดง ความพิเศษของเสียงจากเจ้าตัวนี้อยู่ที่การเปลี่ยนจาก Subwoofer ไปเป็น Provide Bass นอกจากฟังก์ชั่นพื้นฐานอย่าง Bluetooth®, aptX™ codec แล้ว ยังล้ำด้วยการรองรับฟังก์ชั่น Google Assistant พูดง่าย ๆ คือให้เราสามารถสั่งงานด้วยเสียงได้อีกด้วย เบ็ดเสร็จราคาอยู่ที่ $499
ด้วยนวัตกรรมในโลกที่ทุกอย่างก้าวไปไกลเกินเราจะคิดทัน ทั้งนี้เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกสบายให้กับชีวิตประจำวัน แต่ก็ดูเหมือนจะสะดวกมากไปเมื่อเจอกับ “self-driving slippers” หมดปัญหารองเท้าเกะกะไม่เป็นระเบียบ เพราะมันพาตัวเองไปหาคู่แล้วเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบได้ด้วยตัวเอง มาดูกันว่าเจ้านวัตกรรมชวนหัวแบบนี้ มีที่มายังไง UNLOCKMEN จะเล่าให้ฟัง เจ้ารองเท้าสุดเจ๋งนี้ NISSAN เป็นผู้ผลิตคิดค้นมันขึ้นมา เพื่อให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ที่มักจะเปลี่ยนรองเท้าก่อนเข้าบ้าน ส่วนพื้นที่เปลี่ยนรองเท้า (foyer) นั้น เหล่าแม่บ้านอาจจะเคยปวดหัวกับความระเกะระกะของรองเท้าที่ถอดแล้วมันสะบัด กลิ้ง ไปผิดที่ผิดทาง แต่ไม่ต้องเหนื่อยใจกับปัญหาหยุมหยิมเหล่านี้อีกแล้วถ้าหากเรามีเจ้ารองเท้าที่จอดตัวเองได้เหมือนกับรถยนต์ไม่มีผิด โดยรองเท้าพวกนี้เริ่มต้นใช้ในโรงแรมในญี่ปุ่น ด้วยเทคโนโลยี ProPilot Driving ของนิสสันเอง ใต้รองเท้านี้มีล้อจิ๋ว ๆ สองข้าง มอเตอร์ และเซ็นเซอร์เอาไว้ให้จอดเข้าซองได้แบบเซียนเหมือนมีคนขับนั่นเอง (นั่นมันรถแล้ว!) แต่ทั้งนี้ก็ยังมีระบบการจอดอยู่ใต้พื้นไม้ของโรงแรมอีกด้วย ถึงแม้จะดูเป็นนวัตกรรมที่เกินความจริงไปหน่อย แต่นิสสันกลับบอกว่านี่มันจริงจังนะเว้ย! เพื่อเอนเตอร์เทนแขกที่มาเข้าพักแล้วก็ยังลดหน้าที่ของพนักงานอีกต่างหาก มันเล่น ๆ ที่ไหนล่ะเนี่ย! และเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเดียวกับ Semi-Autonomous Nissan Leaf ที่นิสสันเข็นออกมาขายแบบเป็นจริงเป็นจังตั้งแต่ปลายปีที่แล้วด้วย ซึ่งทางนิสสันกล่าวอีกว่า “The self-parking slippers นี่แหละที่จะทำให้คนเข้าใจถึงประสิทธิภาพของเทคโนโลยี ว่ามันไม่ใช่แค่แอปพลิเคชั่นช่วยจอดแบบเจ้าอื่นในตลาด” พูดแล้วเหมือนจะโฆษณา (เปล่านะเปล่า)
“แก้วใครเป็นแก้วใครวะเนี่ย?” เชื่อว่าผู้ชายอย่างเรา ๆ ต้องเคยเจอปัญหาแบบนี้เวลา hangout กับเพื่อน หรือระหว่างพักเบรกกินของว่างตอนสัมมนา คุยเพลิน ๆ วางแก้ววางกระป๋องไว้หันมาอีกทีเจอแฝดหน้าเหมือนกันเด๊ะ ไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครเลยยอมช่างแม่งเรื่องอนามัย หยิบของใครได้ก็กิน ๆ ไปก่อน ถ้าคนไหนพอรู้หลบหลีกเก่ง ๆ ก็อาจจะใช้วิธีปักหลักตรงจุดที่วางแก้วไว้แล้วส่องเรื่อย ๆ หรือสแกนจากสายตา กะ ๆ ปริมาณเครื่องดื่มในแก้วกันพลาด แต่แค่นั้นก็ประกันไม่ได้หรอกว่าเราจะโดนวางยาจากเพื่อนสายเติมของเราไหม ทั้งที่เรื่องพวกนี้เป็นปัญหาง่าย ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรามาตลอด แต่ดันไม่มีใครมาแก้มันสักที วันนี้เราเลยไปเสาะหาวิธีทำให้ชาว UNLOCKMEN ล้ำกว่าใครไปอีกระดับ ด้วยการแนะนำกับโปรดักส์ดีไซน์เท่ ๆ ที่เห็นได้เลยว่าคนออกแบบแม่งก็คิดง่าย ๆ แต่ดันไม่มีใครทำกันมายั่วน้ำลายให้ซื้อ My Can กระป๋องบอกเจ้าของ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เปลี่ยนกระป๋องชีวิตก็เปลี่ยนจากการดีไซน์ง่าย ๆ แค่เพิ่มตัวเกาะขอบนิดหน่อยก็บอกได้แล้วของใครเป็นของใคร คอนเซ็ปต์งานดีไซน์ครั้งนี้ชื่อว่า My Can เป็นของดีไซน์เนอร์แดนมังกร 3 คน ชื่อ Binglin Wei, Fang Lu
อินโนเวชั่นของแต่ละยุคเรียกได้ว่าวิ่งแข่งแซงกันไปมาในแต่ละปีแบบไม่หยุดยั้ง รวมถึงเจ้าแป้นพิมพ์หรือที่เรียกทับศัพท์กันจนติดปากว่า “คีย์บอร์ด” ด้วยก็ตาม ยิ่งนับวันจะยิ่งบาง เรียบ ใช้ง่าย และไร้เสียงรบกวน แต่ความทรงจำอันหอมหวานของเรายังคงอยู่กับเจ้าเครื่องพิมพ์ดีด ที่หน้าตาโคตรเชยแต่มันคือจุดเริ่มต้นของการพิมพ์ความเร็วแสงของเราในปัจจุบัน แต่จะนำมาใช้อีกก็คงลำบาก วันนี้ UNLOCKMEN ขอแนะนำคีย์บอร์ดวินเทจแบบเครื่องพิมพ์ดีด ให้ทุกคนได้รำลึกถึงความหลังกันแบบเท่ ๆ Gadget สุดเจ๋งจาก AZIO คีย์บอร์ดสุดวินเทจ “RETRO CLASSIC BT Vintage Typewriter Bluetooth Backlit Mechanical Keyboard” ที่ให้คุณได้ย้อนเวลาไปฟังเสียงต๊อกแต๊กอันเป็นเอกลักษณ์เวลาใช้พิมพ์ดีด มีสี่สีสุดคลาสสิคให้เลือกกันแบบตรงใจ แม้หน้าตาจะวินเทจแต่ก็ใส่ฟังก์ชั่นล้ำ ๆ ของยุคนี้ลงไปแบบครบถ้วน เรียกได้ว่าไฮเทคในคราบวินเทจเลยจริง ๆ โดยฟังก์ชั่นเด่น ๆ มีดังนี้ รองรับกับทั้ง PC & MAC USB TYPE-C น้ำหนักเบาเพียง 1587 กรัม เท่านั้น แป้นมีเสียงแบบพิมพ์ดีด และไฟ backlight LED เพิ่มความสวยงาม แบตลิเทียม 6,000 mAh รายละเอียดและสเปกอื่น
ในยุค 1950s เป็นปีช่วงหลังสงครามโลก หลายสิ่งมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วเพื่อฉลองให้ความสงบสุข แม้จะมีวัตถุดิบในการผลิตจำกัดเพราะถูกทำลายไปจากการรบ แต่ก็ทำให้มนุษย์รู้จักใช้สอยสิ่งของอย่างชาญฉลาดขึ้น ส่งผลไปถึงการออกแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นเดียวกับความพยายามพิสูจน์ตัวเองของ Chrysler Corporation ที่ริเริ่ม Project ‘Plymouth Belmont’ รถสปอร์ต 2 ที่นั่งในสีแดงสดบนโครงสร้าง Fiberglass body รูปทรงสวยงามสุดคลาสสิค แต่น่าเสียดายที่คนในยุคนั้นไม่เห็นด้วย ทำให้ Plymouth Belmont ต้องหยุดอยู่แค่ขั้น Concept Car ไม่สามารถผ่านเข้าไปเป็น Production Car ได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่า มันมีหลุดรอดมา 1 คัน และมันมีมูลค่ามากกว่า 42 ล้านบาท แต่แทนที่ Plymouth Belmont จะถูกหยุดพัฒนา และยกไปทำลายเหมือนรถรุ่นอื่น Virgil Exner ผู้บริหารของบริษัทไม่สามารถทนเห็นรถสปอร์ตคันงามถูกบดขยี้ได้ จึงนัดประชุมเพื่อพูดคุยขอนำ Belmont คันนี้ไปเก็บไว้ใช้ส่วนตัว แม้จะเป็นเรื่องไม่ปกติในยุคนั้น แต่การตัดสินใจของ Exner ก็ทำให้รถสปอร์ต 2 ประตู เครื่องยนต์ V8 157
เข้ายิมบ่อย ๆ อาจจะเบื่อกับอะไรเดิม ๆ บรรยากาศเดิม ๆ สิ่งบันเทิงใจก็มีแค่เพลงในยิม (ที่ไม่ได้เลือกเอง) กับสาว ๆ ที่นาน ๆ ทีจะโผล่มาให้ชื่นใจบ้าง แต่วันนี้ยักษ์ใหญ่วงการสุขภาพอย่าง Onnit ที่มีผลิตภัณฑ์สารพัดอย่างเกี่ยวกับสุขภาพ ได้ออกอุปกรณ์ออกกำลังกายซีรีส์ใหม่ ที่รับรองว่าแฟน STARWARS ต้องโคตรคลั่ง เป็นอะไรมาดูกัน ไม่ต้องปล่อยตัวเองให้ย้วยแบบแจ้บบ้าอีกต่อไป Onnit ได้ออกอุปกรณ์ฟิตเนสซีรีส์ใหม่ที่ออกมาเอาใจแฟน STARWARS กันแบบสุด ๆ ในซีรีส์ใหม่นี้ ประกอบด้วย Kettlebells, Medicine Balls และเสื่อโยคะ โดย Kettlebells ขนาด 70 ปอนด์เป็นรูปหัวของ Darth Vader ราคา $199.95 ขนาด 60 ปอนด์เป็นรูปหัวของ Stormtrooper ราคา $179.95 และขนาด 50 ปอนด์เป็นรูปหัวของ Boba Fett ราคา $149.95 ส่วน
ในบรรดาแบรนด์เฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านชื่อดังระดับโลก ชื่อของ IKEA คงจะติดอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอนเวลาที่คนจะไปซื้อของตกแต่งบ้านด้วยดีไซน์ที่เรียบง่าย ใช้งานได้หลากหลาย วัสดุคงทน ทำให้ถูกใจคนใช้ทั่วโลก แต่ใครจะนึกล่ะว่าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์อย่าง IKEA จะทำการแหกคอกมา Collaboration กับแบรนด์แฟชั่นสุดแนวอย่าง OFF-WHITE ได้ซะเนี่ย โดยความร่วมมือระหว่างสองแบรนด์เริ่มต้นขึ้นในเดือนมิถุนายนปีก่อนที่งาน IKEA Democratic Design Days ซึ่ง Virgil Abloh ผู้ก่อตั้ง OFF-WHITE ได้เผยโฉมกระเป๋า IKEA FRAKTA ที่ถูกรีดีไซน์แปะด้วยคำว่า “Sculpture” ตรงข้างกระเป๋าเข้าไป แต่ก็ยังไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเป็นผลงานตามมาอย่างจริงจัง หลังจากนั้นก็มีภาพหลุดออกมาเป็นระยะไม่ว่าจะพรมปริ้นท์ลายที่มีคำว่า “KEEP OFF” ในห้องทดลองต้นแบบของ IKEA จนเมื่อเร็ว ๆ นี้มีแอคเค้าท์ Instagram ที่ชื่อ Portnygain ได้ไปเยี่ยมชมห้องทดลองของ IKEA ในสวีเดน และเปิดเผยส่วนอื่นของคอลเลคชั่นแบบไม่ได้ตั้งใจ โดยสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือพรมสีแดงผืนใหญ่มีคำว่า “BLUE” อยู่ตรงกลางในขณะที่มีคำว่า OFF-WHITE อยู่มุมขวาล่างของพรม ก็ได้สร้างความแตกตื่นบนโลกออนไลน์พอสมควร เนื่องจากไม่มีคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดการ crossover
เมื่อสื่อส่วนใหญ่หันไปโผล่ในออนไลน์มากขึ้น การดีไซน์หน้าเว็บไซต์ให้ดึงดูด เชิญชวนนักท่องโลกสายดิจิทัลมาสร้าง Engagement ร่วมกันจึงถือเป็นภารกิจหลักระดับชาติที่คนสร้างเว็บทุกคนให้ความสนใจ เพราะเรารู้ว่าต่อให้เนื้อหาข้างในดีแค่ไหน แต่ถ้าหน้าตาไม่ผ่านก็ยากที่คนจะกดเข้ามาอ่าน ดังนั้น เพื่อให้ชายนักออกแบบ UI ทั้งหลายใช้สร้างศักยภาพงานให้น่าสนใจยิ่งขึ้น พวกเราทีมงาน UNLOCKMEN ที่คอยติดตามข่าวคราวงานดีไซน์เพื่อใช้พัฒนาตัวเองเช่นกันจึงคัดสรร 9 เทรนด์ที่เป็นปัจจัยเปิดสปอตไลท์ให้เว็บของคุณโดดเด่นกว่าใครมาแบ่งปัน 1. เว็บต้องฟิตติดแอนนิเมชั่น Chris Gannon นักออกแบบ Interactive ออกมาบอกว่าการสร้างแอนนิเมชั่น หรือความเคลื่อนไหวมันเป็นจุดใหญ่ใจความที่จะทำให้ไอเดียกับอินเตอร์เฟสเข้าใจได้ง่าย และชัด เพราะทุกวันนี้เราทุกคนเหลือเวลาให้เสพเรื่องราวน้อยลง อะไรที่ซับซ้อนให้เลือกใช้วิธีออกแบบเป็นภาพเคลื่อนไหว เล่าไม่ยาวมาก จะเข้าถึงกว่า เรื่องน่าจับตาอีกเรื่องการคืนฟอร์มของไฟล์ Gif ทั้งหลายที่จะเห็นใช้ในการออกแบบถี่ขึ้น เพราะเป็นตัวสกุลพื้นฐานที่ไม่สร้างปัญหาเรื่องการแสดงผลเท่าไร ที่สำคัญอีกสิ่งคือบทบาทของการมีแอนนิเมชั่นในหน้าเว็บยังช่วยเปิดต่อมความรู้สึกร่วมระหว่างคนอ่านกับคนสร้าง เพราะทั้งขำก็ดี กวนตีนก็ได้ หรือจะให้ดูโปรก็เอาอยู่ 2. เพิ่มสีสันให้เยอะกว่าเดิมหน่อย James Bearne ตำแหน่ง Creative director ของ Kagool เล่าถึงสีใหม่ที่จะสร้างประสบการณ์ประทับใจได้ดียิ่งขึ้นว่าคงจะมีออกมาเยอะในปีนี้ เพราะมีเครื่องมือใหม่ช่วยครีเอทสีอย่าง Khroma ที่เราสามารถไปเลือกเล่นเพื่อหาสีเล่าเรื่องงานดีไซน์ได้เยอะขึ้น เป็นรูปแบบของการก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมที่นักออกต้องเรียนรู้เพื่อสร้างความยูนีคจากสีสันเฉพาะตัวในการสื่อสาร 3. การประดิษฐ์
หากพูดถึงบทบาทของนาฬิกา Hamilton (แฮมิลตัน) ในแวดวงการบินก็คงไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เมื่อมองย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1919 Hamilton เป็นแบรนด์นาฬิกาที่ได้รับเลือกจากกรมไปรษณีย์กลางสหรัฐฯ ให้ใช้บนเที่ยวบินปฐมฤกษ์จากวอชิงตันไปยังนิวยอร์ก รวมถึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ผลิตและส่งมอบนาฬิกาให้แก่กองทัพสหรัฐฯอย่างเป็นทางการ นับแต่ปี 1914 อีกด้วย แบรนด์ Hamilton จึงนับได้ว่ามีชื่อเสียง และมรดกทางประวัติศาสตร์ด้านการบินมาอย่างโชกโชน ด้วยการทำงานร่วมกับฝูงบิน และนักบินที่มีชื่อเสียงระดับโลกมามากมาย สู่การนำเสนอคอลเลคชั่นนาฬิกากลุ่ม Khaki Aviation สุดโดดเด่นจาก Hamilton มาในรูปลักษณ์สุดคลาสสิค พร้อมฟังก์ชันที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของนักบินได้อย่างลงตัว เรือนเวลาที่สะท้อนตัวตนแห่งการบินและเครื่องมือนำทางเชิงเทคนิค พร้อมความเที่ยงตรงในทุกรายละเอียด ทำให้นาฬิการุ่น Khaki X-Wind Auto Chrono เรือนใหญ่สุดห้าวหาญนี้ ไม่ได้อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ข้อนี้แต่อย่างใด งานตกแต่งรายละเอียด และตัวเรือนเคลือบ PVD สีดำสุดดุดันของ Khaki X-Wind Auto Chrono ยิ่งตอกย้ำถึงรูปลักษณ์และชื่อเสียงของนาฬิกานักบินในซีรี่ส์นี้ทั้งในแง่ของความเที่ยงตรงและฟังก์ชั่นเชิงเทคนิคได้เป็นอย่างดี มาพร้อมสายหนังสีดำช่วยขับเน้นลุคเข้มขรึม ตัวเรือนขนาด 45 มม. สุดทนทาน พร้อมองค์ประกอบแห่งฟังก์ชั่น 5 คุณลักษณะรอบข้างตัวเรือนในรูปของตัว X ตามแบบฉบับเรือนเวลาซีรี่ยส์
หลายครั้งที่ปกอัลบั้มของศิลปินเป็นภาพที่คุ้นตา โด่งดังไปทั่วโลก จนเป็นเหมือนงานอาร์ตอีกชิ้นนึง ทำให้ปกอัลบั้มเป็นมากกว่าสิ่งพิมพ์หรือบรรจุภัณฑ์ของอัลบั้ม มันคือการสื่อความหมายของศิลปินผ่านปกอัลบั้ม วันนี้ UNLOCKMEN เอาเรื่องราวเบื้องหลัง ที่มาที่ไป ของปกอัลบั้มที่เราทุกคนต้องคุ้นตาจากศิลปินดังอย่าง Pink Floyd, Radiohead, Nirvana, Joy Division และ Coldplay มาบอกเล่าเอาไว้คุยกับเพื่อนแบบเท่ ๆ อย่างคนรู้จริง Nevermind จาก Nirvana ภาพสุดดังคุ้นตานี้เป็นภาพของเจ้าหนูน้อย Spencer Eldren ที่อายุเพียงสี่เดือนในตอนนั้นและเป็นการว่ายน้ำครั้งแรกของเขาด้วย โดยการถ่ายทำปกอัลบั้มนี้เกิดขึ้นที่ Pasadena public pool ที่มีเด็กที่เพิ่งโผล่ออกมาดูโลกได้ไม่นานมาออดิชั่นอีกหลายคน แต่ Kurt ประทับใจรูปของเด็กคนนี้มากที่สุด แต่ยังรู้สึกว่ามันใส่อะไรเข้าไปได้อีก เขาพูดติดตลกให้ใส่เบ็ดตกปลาลงไป ซึ่งนั่นทำให้ทีมงานต่อยอดไอเดียออกมาเป็นปกสุดเจ๋งที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ แม้ว่า Kurt เองจะไม่ได้บอกถึงความหมายจริง ๆ ว่ามันหมายถึงอะไร แต่ดีไซเนอร์ของภาพนี้อย่าง Robert Fisher ได้สันนิษฐานไว้ว่า เด็กเป็นตัวแทนของความไร้เดียงสาของเขา ส่วนเบ็ดนั้นหมายถึงการเข้าสู่วงการเพลงของเขานั่นเอง A Rush of
ในฐานะที่เราเองก็เป็นคนชื่นชอบมอเตอร์ไซค์ ครั้งแรกที่ได้เห็นชื่อ คุณณัฐพัชร์ จรรยาพาณิชย์ ในงานเปิดตัวรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ ที่จัดโดย รถจักรยานยนต์ฮอนด้า นอกจากความตื่นเต้นกับดีไซน์สวยงามของรถรุ่นใหม่ที่กำลังเปิดตัวบนเวที อีกสิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นกว่านั้น คือชื่อของคนที่ออกแบบมอเตอร์ไซค์ที่เรากำลังมองตาค้างอยู่นั่นเอง “คุณณัฐพัชร์ จรรยาพาณิชย์ ดีไซน์ โปรเจกต์ ลีดเดอร์” พิธีกรบนเวทีพูดชื่อพร้อมแนะนำตำแหน่งของเขาใน ฮอนด้า อาร์แอนด์ดี เซ้าท์อีสท์ เอเซีย เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าในบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นอย่างฮอนด้า จะมีคนไทยเป็นดีไซน์เนอร์อยู่ในนั้นด้วย และยังเป็นถึงระดับโปรเจกต์ ลีดเดอร์อีกต่างหาก พร้อมคิดในใจว่าอยากนั่งพูดคุยเกี่ยวกับแนวคิดที่น่าสนใจกับผู้ชายคนนี้สักครั้ง และวันนึงเราก็มีโอกาสได้พูดคุย ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้ มีมุมมองดี ๆ และประสบการณ์ที่น่าสนใจมากมาย น่าจะถ่ายทอดแรงบันดาลใจให้เราไล่ตามความฝันได้ไม่ยากเลยครับ อะไรที่ทำให้เลือกมาเป็นดีไซน์เนอร์สายอุตสาหกรรมยานยนต์ ‘เพราะเป็นคนชอบเรื่องของยานพาหนะมาตั้งแต่เด็ก ๆ ชอบขับรถ จริง ๆ ชอบยานพาหนะทุกอย่างเลยครับ พอตอนจะเข้ามหาลัยเลยเลือกคณะสถาปัตยกรรม โปรดักส์ ดีไซน์ ศิลปะอุตสาหกรรม ซึ่งจริง ๆ ก็จะแยกเป็นหลายแขนง แต่ผมเลือกยานยนต์’ รู้ตัวว่าอยากออกแบบมอเตอร์ไซค์ตั้งแต่ช่วงเรียนเลยไหม ‘ถ้าหมายถึงจุดเริ่มต้นที่อยากออกแบบรถมอเตอร์ไซค์จริง ๆ คือตอนเรียนปี 5 ครับ ตอนนั้นยังเรียนไม่จบ อยู่ในช่วงทำธีสิสผมกำลังอินกับมอเตอร์ไซค์ แล้วได้เจอรุ่นพี่คนหนึ่งที่ได้เข้าไปทำงานออกแบบของฮอนด้า เล่าให้ฟังว่าการได้ทำงานออกแบบรถมอเตอร์ไซค์แล้วได้เห็นคนใช้งานมันจริง ๆ เห็นคนที่ชื่นชอบและหลงใหลไปกับสิ่งที่เราออกแบบมันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก